609. เงาโลหิตของปิศาจโบราณ
หยดโลหิตสีฟ้าเปลี่ยนเป็นหวังหลิน เขายื่นมือเข้าสู่อากาศเปล่าและกระเป๋าปรากฏออกมาจากตรงนั้น หวังหลินดึงเสื้อคลุมสีฟ้าออกมาก่อนจะก้าวเท้าไปใช้เคลื่อนร่างพริบตาหนึ่งครั้ง เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ร่างหวังหลินปรากฏตัวห่างออกไปอีกไกลหลายลี้ จากนั้นพุ่งตรงเข้าหาเมืองหลวงของแคว้นปิศาจฟ้า
หลังจากเม็ดยาวิญญาณโลหิตดูดซับรอยสัมผัสวิญญาณและโลหิตไปแล้ว มันจึงกระตุ้นอีกความสามารถหนึ่งได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ในชั่วจังหวะเป็นตาย สิ่งใดก็ตามที่เชื่อมกับดวงวิญญาณดั้งเดิมจะผสานเข้ากับมิติว่าง เมื่อฟื้นชีวิตขึ้นมาจะสามารถใช้พลังอำนาจของวิญญาณโลหิตเพื่อรับของที่เก็บไว้ในมิติว่างได้!
ตอนนั้นเหยาซีเชว่ก็ใช้ความสามารถนี้!
ตอนนั้นเทียนหยุนได้ใช้สมบัติช่วยชีวิตไว้หนึ่งอย่างกับหวังหลิน แต่สมบัตินั้นสามารถช่วยเพียงแค่ต้านรับพลังของเซียนขั้นเทวะได้สักหนึ่งคน แม้ว่าระดับของชายชราที่สูงสามสิบฟุตนั้นจะเป็นระดับกลาง แต่พลังที่แท้จริงของเขานำไปไกลมาก
ทั้งยังมีตัวตนลึกลับที่อยู่ในหอคอยทมิฬด้วย ดังนั้นแม้หวังหลินจะใช้สมบัติช่วยชีวิตก็ยังยากที่เขาจะรอดไปได้ นั่นเป็นเหตุผลที่หวังหลินตัดสินใจเสี่ยงใช้เม็ดยาวิญญาณโลหิตหลังจากคิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดแล้ว!
ไม่เช่นนั้นเขาคงจะต้องสู้กับตัวตนที่อยู่ในหอคอยทมิฬ และตัวตนนั้นทรงพลังเกินไป หลังจากหวังหลินฟื้นคืนสติขึ้นมาได้เขาจึงนึกย้อนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและหวาดกลัวอย่างสิ้นเชิง หากไม่ใช่ว่ามีแรงกระตุ้นของผลทะยานสวรรค์ เขาก็คงตายไปหลายครั้งจากสัมผัสวิญญาณของตัวตนลึกลับในหอคอยทมิฬแล้ว
เขาไม่สามารถใช้เวลาอีกสี่ร้อยปีถัดไปในดินแดนวิญญาณปิศาจโดยที่กินผลทะยานสวรรค์เพื่อกระตุ้นวิญญาณดั้งเดิม ไม่เช่นนั้นก่อนที่คนผู้นั้นจะฆ่าหวังหลินได้ เขาก็คงสิ้นสติจนบ้าคลั่งไปแน่ๆ
ดังนั้นเขาจึงต้องเสี่ยงมัน หากเขาไม่สามารถทำให้ตัวตนในหอคอยทมิฬได้รับบาดเจ็บหนักหรือทำลายไป ไม่ว่าหวังหลินจะหนีไปไกลแค่ไหนก็ไม่สามารถการโจมตีสัมผัสวิญญาณของคนผู้นั้นไปได้
เขากลัวว่าชั่วขณะที่ผลลัพธ์ของผลทะยานสวรรค์หายไป ตัวตนนั้นจะเริ่มโจมตีด้วยสัมผัสวิญญาณอีกครั้ง หวังหลินเชื่อว่าตัวเองต้องตายแน่นอนในตอนนั้น!
ตัวตนในหอคอยทมิฬไม่เคยออกมาเลยตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่ามันจำเป็นต้องมีหอคอยอยู่และนั่นทำให้หวังหลินยิ่งมั่นใจ!
เขาเคลื่อนที่พริบตาออกมาและเหาะเหินเข้าหาเมืองปิศาจฟ้า หวังหลินเตรียมการไว้สองอย่าง อย่างแรกเสร็จเรียบร้อยแล้วและอย่างที่สองต้องการความช่วยเหลือจากปิศาจโบราณ!
หวังหลินลอบคิดขึ้น “เรื่องเมื่อสิบปีก่อนถูกล่าช้าไปเนื่องจากข้ากำลังทะลวงผ่านเข้าสู่ขั้นเทวะ ทว่าเรื่องนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าเชื่อว่าปิศาจโบราณจะไม่กลับคำพูดแน่” เขาเหาะเหินเร็วยิ่งขึ้น ยังมีเศษผลทะยานสวรรค์บางส่วนอยู่ภายในวิญญาณดั้งเดิม ตอนนี้เขามีสติขึ้นมาจึงสามารถขจัดมันออกไปได้ง่ายๆ แต่หวังหลินไม่ได้ทำลงไปเพราะเขายังจำเป็นต้องเก็บมันไว้เป็นตัวช่วยในกรณีสำคัญที่หอคอยทมิฬและตัวตนข้างในยังโจมตีเขาด้วยสัมผัสวิญญาณ!
“หากเกิดเรื่องนั้นขึ้นจริงๆ ข้าต้องเตรียมทางหนีทีรอดเอาไว้” หวังหลินถอนหายใจ เขาและตัวตนข้างในหอคอยทมิฬไม่มีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน ไม่มีผิดหรือถูกในโลกแห่งเซียน ความแข็งแกร่งอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นสิ่งสำคัญ
หลังออกมาจากการเคลื่อนย้าย หวังหลินตกตะลึงเมื่อพบว่าปราณสวรรค์ที่เขาใช้ไปได้ถูกเติมเต็มทันที นั่นหมายความว่าเขาสามารถใช้เคลื่อนย้ายขั้นสูงได้หลายครั้ง
ต้องกล่าวว่าวิชาเคลื่อนย้ายขั้นสูงนั้นบริโภคปราณสวรรค์จำนวนมาก ก่อนหน้านี้หวังหลินต้องใช้เวลาดูดซับปราณสวรรค์ออกมาจากหินหยกสวรรค์เสียก่อน อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาจำไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรนักเพราะสามารถใช้เคลื่อนย้ายขั้นสูงได้ต่อเนื่อง
“ต้องเป็นเพราะน้ำทิพย์สวรรค์สี่หยดที่หลอมรวมกับข้าอย่างสมบูรณ์ตอนที่ข้าระเบิดตัวเอง หลังจากที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาพวกมันต้องคงอยู่ในร่างกายข้าด้วยวิธีการพิเศษบางอย่างแน่!” หลังคิดเรื่องนี้สักพัก หวังหลินก็ไม่คิดมากอีก เขาใช้วิชาเคลื่อนย้ายระดับสูงหลายครั้งจนห่างจากเมืองหลวงไม่ไกล
กล่าวได้ว่าหวังหลินรีบเร่งมาเหมือนเขาไม่เคยมาที่นี่มาก่อน
“น่าเสียดายนัก ข้าตกอยู่ภายใต้แรงกระตุ้นของผลทะยานสวรรค์ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ทิ้งปราณกระบี่นั่นไว้ด้านหลัง…แต่ว่าข้ายังจำได้ว่าร่างกายนั้นอยู่ที่ไหน สงสัยจริงหากปราณกระบี่ยังอยู่ดีหรือไม่หากข้ากลับไป” สายตาหวังหลินส่องสว่างและตื่นเต้น เขารู้ว่าตอนนี้ไม่มีเวลากลับไปแคว้นปิศาจอัคคีแล้ว
หวังหลินห่างจากเมืองหลวงของแคว้นปิศาจฟ้าเพียงเคลื่อนที่ระดับสูงขั้นเดียว ตอนที่เขากำลังจะก้าวเท้าเคลื่อนที่ เสียงคำรามโกรธแค้นพลันดังออกมาจากด้านหลัง
“ข้าอยากเห็นเสียจริงว่าเจ้าจะหนีไปไหนได้!”
ชายตัวใหญ่สวมเกราะปรากฏตัวด้านหลังหวังหลินห่างออกไปหมื่นฟุต คนผู้นี้ดูสง่าผ่าเผยอย่างยิ่ง ดวงตาส่องสว่าง ร่างกายถูกปกคลุมด้วยพลังชั่วร้ายจำนวนมหาศาล
ตอนที่ร่างหวังหลินกำลังเลือนหายไป เขาหันกลับมามองชายร่างใหญ่ สายตานี้แทบทำให้เขาอุทานออกมา
“หลิงเทียนโฮว!!!”
ชายร่างใหญ่คนนี้ดูคล้ายคลึงกับเซียนกระบี่หลิงเทียนโฮวอย่างยิ่ง!
ร่างหวังหลินเลือนหายและปรากฏตัวอีกครั้งนอกเมืองหลวงห่างไปห้าสิบลี้ สีหน้ามืดมน ดวงตาส่องสว่างและคิดขึ้น “เขาไม่ใช่หลิงเทียนโฮว! แม้จะดูเหมือนหลิงเทียนโฮวแต่เขาดูอ่อนเยาว์กว่า! นอกจากนั้นคนผู้นี้ยังขาดกลิ่นอายที่หลิงเทียนโฮวมี ภาพลักษณ์สองคนไม่เหมือนกันสิ้นเชิง แต่มีบางส่วนคล้ายกัน…หรือเป็นไปได้ว่า…”
เพียงชั่วขณะนั้น ชายร่างใหญ่สวมเกราะก้าวออกมาจากความว่างเปล่าด้านหลังหวังหลิน เขาจ้องหวังหลินและเอ่ยถามออกมา “เจ้าไม่วิ่งหนีแล้วหรือ?” สิ้นคำพูดเขายื่นมือออกมาและพลังชั่วร้ายห้าสายพุ่งออกจากนิ้วทั้งห้า
ดวงตาหวังหลินส่องสว่างและถามออกมาทันที “หลิงเทียนโฮวเป็นอะไรกับเจ้า!?”
มือขวาชายร่างใหญ่หยุดชะงัก สายตาที่เต็มไปด้วยพลังชั่วร้ายพลันปรากฏความงุนงง
“หลิงเทียนโฮว…ชื่อคุ้นๆ…”
หวังหลินรีบถอยกลับอย่างรวดเร็ว ดวงตาเยือกเย็นและตะโกน “เซียนกระบี่หลิงเทียนโฮวแห่งสำนักกระบี่ต้าหลัว!”
“สำนักกระบี่ต้าหลัว…เซียนกระบี่…” สายตาชายร่างใหญ่ยิ่งสับสนใหญ่และเริ่มต่อสู้ดิ้นรน ชั่วขณะนั้นภาพมายาของวิญญาณปิศาจพลันปรากฏระหว่างคิ้ว มันจ้องหวังหลินอย่างโหดเหี้ยมก่อนจะร้องเสียงแหลม
เสียงร้องนี้ทำให้ความงุนงงสับสนในแววตาชายร่างใหญ่หายไปและถูกแทนที่ด้วยเพลิงชั่วร้าย
หวังหลินรีบถอยกลับและตะโกน “ปิศาจโบราณ!”
พลังอำนาจทรงพลังพุ่งออกมาจากเมืองปิศาจฟ้าและตกลงมาเบื้องหน้าหวังหลิน!
“เจ้ามาช้าไปสิบปี!” เสียงปิศาจโบราณเข้าสู่โสตประสาทหวังหลิน
“ให้ข้ายืมโลหิตเจ้า!”
หลังได้ยินเสียงนั้น โลหิตจำนวนมากออกมาจากรูขุมขนบนร่างหวังหลิน โลหิตถูกควบแน่นกลายเป็นรูปร่างมนุษย์ และจิตสำนึกของปิศาจโบราณสิงเข้าไปในนั้น
ร่างหวังหลินสั่นเทาเมื่อสูญเสียโลหิตในร่างไปมาก ใบหน้าซีดเผือดและรีบนำเม็ดยาออกมา หวังหลินนั่งสมาธิลงและเริ่มบ่มเพาะ
วิญญาณปิศาจบนหน้าผากชายคนนั้นจ้องเงาโลหิตเบื้องหน้าหวังหลินและตะโกนด้วยภาษาอันลึกลับ “เป้ยหลัว เจ้ากล้าขัดขวางข้าหรือ?!”
เงาโลหิตเคลื่อนไหวและเปลี่ยนเป็นร่างกายที่มีสองเขา ลำแสงปิศาจปรากฏชัดในดวงตา เขามองวิญญาณปิศาจดวงนั้นและกล่าวอย่างเยือกเย็น “เจ้าเป็นแค่หนึ่งในเศษเสี้ยววิญญาณทั้งเก้าที่กระจัดกระจายของมารโบราณ ทำไมข้าจะขัดขวางเจ้าไม่ได้?!”
“ภาษาเทพโบราณ!” หวังหลินลืมตาขึ้นและเผยใบหน้าขบคิด