615. เจ้ากรีดอยู่ไหน
ชายวัยกลางคนชื่อฮายจู้ ตอนที่หวังหลินตัดศีรษะของเขาออกมานั้น หวังหลินผนึกวิญญาณดั้งเดิมไปด้วย ด้วยระดับขั้นเทวะของหวังหลิน การผนึกวิญญาณดั้งเดิมของเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายนับว่าไม่ต้องลงแรงอะไรมากสักนิด!
หวังหลินตัดศีรษะและจากไป ราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิที่เลือนลับหายไปในพริบตา ส่วนหยกของจักรพรรดินั้นเขาไม่ได้นำมันกลับมาเพราะมันไร้ค่าสำหรับเขา
อย่างไรก็ตามมันเป็นสิ่งที่จักรพรรดิมอบให้ด้วยความหวังดี หากเขาไม่รับมันไว้ก็คงน่าละอายเล็กน้อย
ขณะที่หวังหลินจากไป เขาไม่ได้มองมาที่เหล่าทหารปิศาจทั้งสิบล้านตนเลยแม้แต่น้อย หวังหลินก้าวเท้าขึ้นสู่อากาศและเลือนหายไป
หวังหลินหล่อหลอมศีรษะของฮ่ายจู้และกลืนกินปราณกระบี่ ส่วนวิญญาณดั้งเดิมนั้นหวังหลินใช้วิชาค้นหาวิญญาณเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการ หลังได้มาแล้ว วิญญาณดั้งเดิมของฮ่ายจู้แทบสูญสลาย หวังหลินโยนวิญญาณนั้นเข้าไปในธงวิญญาณเพื่อใช้เป็นดวงวิญญาณหลัก
“ไม่เพียงแต่คนของสำนักกระบี่ต้าหลัวที่เข้ามาในนี้จะมีปราณกระบี่ของหลิงเทียนโฮว แต่ยังมีคนที่เรียกว่า ‘กรีด’ คอยปกป้องอย่างลับๆ…กรีด…ชื่อนี้เป็นชื่อที่พิเศษ ข้าไม่น่าจะเคยได้ยิน ภาพลักษณ์ของกรีดจากความทรงจำของฮ่ายจู้เป็นคนที่ดูคุ้นๆ แต่ข้ามั่นใจว่าข้าไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน” หวังหลินขบคิดขณะเหาะเหินไปด้วย
“กรีด…จากความทรงจำของฮ่ายจู้ ระดับบ่มเพาะของเขาก้าวข้ามผ่านขั้นเทวะไปแล้วและบรรลุถึงขั้นมายาหยิน…อยู่ใต้ขั้นตัวตนหยางของซือถูหนานเพียงก้าวเดียว…” คิ้วหวังหลินขมวดเป็นปม ทว่าเขาพลันหยุดเหาะเหินและค้างอยู่กลางอากาศ
“ซือถูหนาน!” หวังหลินสูดหายใจลึก มือขวาสัมผัสกระเป๋า หินหยกก้อนหนึ่งลอยออกมาและคว้าเอาไว้ หลังตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณแล้วสีหน้าหวังหลินจึงเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
หากเขาไม่ได้คิดเรื่องซือถูหนานก็คงจำไม่ได้ว่าซือถูหนานเคยให้หินหยกเขาไว้ มีรูปภาพหลายรูปอยู่ในหินหยกนี้ ซึ่งคนที่อยู่ในหินหยกคือคนที่บังคับให้ซือถูหนานต้องสละร่างกายตนเอง
เดิมทีตอนที่ซือถูหนานให้หินหยกแก่หวังหลิน เขาไม่ได้คาดคิดว่าหวังหลินจะเผชิญคนพวกนั้นเข้าจริงๆ เขาเพียงต้องการให้หวังหลินจดจำคนพวกนี้เอาไว้และไม่เข้าไปแหย่
หวังหลินไม่คิดว่าเขาจะพบเจอหนึ่งในนั้นเช่นกัน อีกทั้งสำหรับเหล่าเซียนแล้วการเปลี่ยนภาพลักษณ์เป็นเรื่องง่ายดายมาก การหาใครสักคนเพียงแค่ภาพนั้นยากไม่น้อยไปกว่าการงมเข็มในมหาสมุทร
“หากกรีดคนนี้คือศัตรูของซือถูหนานจริงๆ เช่นนั้นเขาก็ต้องรู้เรื่องลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า…” หวังหลินสัมผัสจุดระหว่างคิ้ว ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าคือความลับที่ใหญ่ที่สุดของหวังหลิน ตั้งแต่ได้รับมามันอยู่กับเขามามากกว่าเจ็ดร้อยปีและคุณสมบัติของลูกปัดฝืนลิขิตฟ้ายังเป็นความลับยิ่งยวด
ตอนนั้นมีเพียงเม็ดฝนบางส่วนที่สามารถทำให้ธาตุวารีสมบูรณ์ได้ แต่ว่าในเวลาต่อมามันกลับยิ่งยากขึ้นไปอีก
ตอนนี้มีเพียงธาตุโลหะที่ไม่สมบูรณ์ ทว่าหวังหลินกลับรู้สึกว่าการทำให้ธาตุสุดท้ายสำเร็จนั้นมีความยากทบเท่าทวีคูณ
หากเขาสามารถแยกลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าออกจากร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ก็คงไม่ต้องกังวล หากหวังหลินถูกฝืนบังคับในช่วงความเป็นความตาย เขาก็คงต้องเลือก
แต่ว่าตอนนี้ลูกปัดได้หลอมรวมเข้ากับวิญญาณดั้งเดิมของเขา ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะแยกมันออกจากหวังหลินได้ มีเพียงวิธีเดียวคือการแยกวิญญาณดั้งเดิมของเขาและหลอมมันเหมือนตอนที่เขาทำกับปราณกระบี่หลิงเทียนโฮว นั่นคือหนทางเดียวในการหลอมลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าจากวิญญาณดั้งเดิม
หวังหลินขมวดคิ้วหนัก
“ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้ามาจากไหนกัน…ทำไมสมาพันธ์เซียนถึงได้ใส่ใจมันมากมายขนาดนี้…ลูกปัดนี้อยู่กับข้ามาหลายร้อยปี นอกจากช่วยชะลอเวลาที่อยู่ข้างในแล้วมันแทบไม่มีความสามารถอื่น แม้จะซ่อนตัวอยู่ข้างใน หากเจอเซียนที่แข็งแกร่งก็ยังไม่สามารถหนีไปได้และถูกพบอยู่ดี”
“ไม่ว่าจะมองมันยังไง ลูกปัดนี้เป็นเพียงของธรรมดาชิ้นหนึ่งเท่านั้น แม้มันจะสามารถช่วยชะลอเวลาได้ก็แค่มีประโยชน์ต่อเซียนระดับต่ำ ส่วนเซียนระดับสูง หินหยกสวรรค์จำนวนมากนับว่าน่าสนใจมากกว่า”
หวังหลินถอนหายใจ จากนั้นสายตามองออกไปไกลดุจคมกระบี่และพึมพำกับตัวเอง “แต่เดิมมีศิษย์สำนักกระบี่ต้าหลัวอยู่ห้าคนโดยมีเฉินหลงเป็นหัวหน้า หลังจากโม่หยางตาย แม้พวกเขาจะไม่มั่นใจแต่ก็สงสัยข้า ด้วยวิธีการปกติของสำนักกระบี่ต้าหลัวแล้วพวกเขาควรจะส่งใครเข้ามาถามไถ่เรื่องนี้แต่ก็ไม่ได้ทำ”
“จากความทรงจำของฮ่ายจู้ ตอนนั้นกรีดคนนี้อยู่ในแคว้นปิศาจอัคคี เขาดูเหมือนจะพบความลับบางอย่างที่นี่ หลังจากนั้นสิบปีฮ่ายจู้ก็อยู่ในแคว้นปิศาจฟ้าเพียงคนเดียว อีกสามคนไปที่แคว้นปิศาจอัคคีเพื่อพบกรีด…”
“ใช่แล้ว ซื่อจูต้องได้เจอกับพวกเขาด้วยเช่นกัน แต่ว่าระหว่างทางเขาส่งจิตสังหารมาหาข้า จึงถูกข้าฆ่าแทน”
“กรีดคนนี้ค้นหาอะไรกันแน่…” สายตาหวังหลินส่องสว่างขึ้น
“น่าเสียดายนัก ที่ข้าสูญเสียโอกาสการรวบรวมปราณกระบี่ของหลิงเทียนโฮวไป แต่ข้าเรื่องนี้ข้าไม่อาจเร่งรีบได้” หวังหลินเหยียดยิ้มพลางใช้เคลื่อนที่พริบตาขั้นสูงเพื่อออกห่างไปไกล
“สงครามเบื้องหน้าข้าคือโอกาสที่ดีที่สุดในการรวบรวมพลังสังหาร ข้าไม่อาจปล่อยมันหลุดมือไปได้ แต่ข้ามีเพียงพลังอำนาจของคนเพียงคนเดียว เรื่องนี้…ใช่แล้ว ข้าควรทำเช่นนี้!” ดวงตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบและจากนั้นร่างกายเลือนหายไป
หวังหลินไม่ได้เข้าร่วมในสงครามแคว้นปิศาจอัคคี เขาเคลื่อนที่พริบตาไปหลายวันจนกลับมาถึงเผ่าหลอมวิญญาณที่อยู่ในแคว้นปิศาจฟ้า หลังจากพัฒนาอย่างต่อเนื่องไปสิบปี เผ่าหลอมวิญญาณจึงใหญ่โตและกลายเป็นหนึ่งในสี่เผ่าที่ใหญ่ที่สุดแห่งนี้
การกลับมาของหวังหลินทำให้ทั้งเผ่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง แม้สมาชิกในเผ่าหลายคนจะไม่เคยเจอหวังหลิน จากคำพูดปากต่อปาก หวังหลินจึงกลายเป็นสิ่งที่คล้ายกับปิศาจโบราณ ผู้คนทั้งหมดบูชาเขาอยู่เต็มหัวใจ
หุบเขาที่หวังหลินเคยอยู่จึงกลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในใจผู้คนในเผ่า!
หลังจากหวังหลินกลับมา เขาเรียกหาฉือซานและโอวหยางฮัวเพื่อนำตัวสมาชิกหมื่นคนมา หวังหลินส่งพลังสังหารกับสมาชิกในเผ่าคนละเส้น ทุกครั้งที่สมาชิกในเผ่าฆ่าคน พลังชีวิตของคนที่ถูกฆ่าจะถูกดูดซับเข้าไปในพลังสังหารสายนั้น
ยิ่งหมื่นคนนี้ฆ่ามากเท่าไหร่ พลังสังหารในร่างก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นผนึกชีวิตเพื่อปกป้องคนพวกนี้ในช่วงเวลาคับขันได้
จากนั้นคนทั้งหมื่นถูกส่งเข้าไปในสนามรบของแคว้นปิศาจอัคคี หวังหลินไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาเข้าร่วมกับแคว้นปิศาจฟ้าแต่ให้พวกเขาลงมือจัดการกันเอง หวังหลินมีเพียงแค่หนึ่งคำสั่งให้พวกเขานั่นก็คือสั่งการให้ฆ่าไปเรื่อยๆเพื่อหล่อเลี้ยงพลังสังหารในร่าง
คนหมื่นคนไม่นับว่ามากนักในการต่อสู้ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับทหารปิศาจสิบล้านคน หวังหลินเข้าใจเรื่องนี้ดีและนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงส่งโอวหยางฮัวและฉือซานไปด้วย หวังหลินให้สมบัติแก่พวกเขาและให้เวลาสามเดือนเพื่อนำสมาชิกในเผ่าที่เหลือไปกลืนกินเผ่าอีกสามเผ่า!
หวังหลินใช้เวลานี้อยู่ในหุบเขาและสลักตราประทับบนเจ้ามารชั่วร้ายข้างในร่างอย่างต่อเนื่อง หวังหลินยังใช้เวลาที่เหลือเพื่อซ่อมแซมธงกฏเกณฑ์อีกด้วย
สามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ด้วยสามบัติที่หวังหลินให้กับฉือซานและโอวหยางฮัว พวกเขาจึงสามารถควบรวมเผ่าสามเผ่าที่เหลือรอดได้ทีละแห่ง สมาชิกเผ่าต่างแดนจำนวนมากมายถูกบังคับให้ดื่มน้ำซุบล้างความทรงจำและกลายเป็นสมาชิกของเผ่าหลอมวิญญาณ
ส่วนสมาชิกใหม่ที่ไม่เคยฝึกฝนวิชาหลอมวิญญาณเหล่านี้ หวังหลินนำธงวิญญาณพันล้านดวงออกมาโบกสะบัด วิญญาณจำนวนมากลอยออกมามหาศาล ภายใต้การควบคุมของหวังหลินนั้นพวกวิญญาณลอยเข้าไปในร่างสมาชิกเผ่า ซึ่งแทนที่พวกวิญญาณจะทำอันตรายให้แต่กลับอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว
จากนั้นหวังหลินกระจายพลังสังหารออกมาและรวมเข้ากับคนเหล่านี้ เพียงเช่นนี้คลื่นสมทบจำนวนสามหมื่นคนก็ถูกส่งออกไปยังแคว้นปิศาจอัคคี!
ยังมีคนอีกจำนวนมากเหลืออยู่ในเผ่าหลอมวิญญาณ หวังหลินใช้เคลื่อนที่พริบตาขั้นสูงหลายครั้งเพื่อเคลื่อนทุกคนให้ออกจากดินแดนรกร้าง ตำแหน่งที่หวังหลินเลือกคือสนามรบโบราณที่ที่มารร้ายเคยใช้ชีวิตอยู่
หวังหลินใช้วิชาเพื่อสร้างหอคอยสูงตำแหน่งที่หอคอยมารเคยตั้งอยู่ จากนั้นนั่งสมาธิอยู่ข้างใน ส่วนสมาชิกเผ่านั้นพวกเขาได้เริ่มชีวิตใหม่ขึ้นที่นี่
บ้านเรียบง่ายได้ถูกสร้างขึ้นและในไม่นานเผ่าใหม่ก็ได้ถูกก่อตั้งขึ้นในที่แห่งนี้
อีกสิบปีผ่านไปในพริบตา!
หวังหลินไม่ได้ก้าวเท้าออกไปจากหอคอยเลยในช่วงเวลาสิบปีนี้
หลังจากกองกำลังขนาดใหญ่สามกองกำลังของแคว้นปิศาจฟ้าได้ฆ่าล้างบางเข้าไปในแคว้นปิศาจอัคคี แคว้นปิศาจอัคคีจึงหาทางต่อกรด้วยโดยธรรมชาติ พวกเขาโต้กลับและเริ่มต้นเข่นฆ่าไปหลายสนามรบไม่มีที่สิ้นสุด
ช่วงเวลาสงครามสิบปีมันแค่พึ่งเริ่มต้นเท่านั้น
ในช่วงเวลาสิบปีนี้คลื่นสมาชิกเผ่าหลอมวิญญาณที่มีพลังสังหารของหวังหลินได้เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย ขณะเดียวกันเผ่าหลอมวิญญาณก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เป้าหมายของพวกเขาคือเผ่าอำมหิตที่อยู่ในแคว้นปิศาจอัคคี
หวังหลินดูเหมือนจะหลงลืมการต่อสู้รบในแคว้นปิศาจอัคคี เขาใช้เวลาสิบปีเพื่อบ่มเพาะอยู่ในหอคอยและสลักตราประทับบนเจ้าเศษมาร หวังหลินกำลังเตรียมการ! เขาเตรียมการเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้นก่อนที่เวลาร้อยปีจะสิ้นสุดลง! นี่คือหนทางเดียวที่เขาจะทำข้อตกลงระหว่างเขากับปิศาจอัคคีให้สำเร็จลุล่วงไปได้
การฝึกฝนอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาสิบปีนี้ได้ทำให้ระดับบ่มเพาะขั้นเทวะระดับต้นของหวังหลินกลายเป็นเสถียรและมั่นคงยิ่งขึ้น
เขาสามารถรู้สึกได้ว่าแม้พลังสังหารบางส่วนที่เขาส่งออกไปจะเลือนหาย ทว่าในแต่ละวันพวกมันจะเข้ามามากขึ้น สำหรับสมาชิกเผ่าที่มีพลังสังหาร ยิ่งพวกเขาเข่นฆ่ามากมายเท่าไหร่ พลังสังหารที่ติดตัวไปจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ทำให้พวกเขาปลอดภัยและทรงพลัง!
ในวันนี้หวังหลินได้ส่งพลังสังหารหนึ่งแสนสายเข้าไปในสมาชิกเผ่าหนึ่งแสนคน พลังสังหารหนึ่งแสนเส้นเหล่านี้ได้เติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องตลอดในแต่ละวัน
“ใช้การเข่นฆ่าเพื่อหล่อเลี้ยงพลังสังหาร ข้าอยากเห็นเสียจริงว่าพลังสังหารจะถูกสร้างขึ้นมากมายแค่ไหนเมื่อสงครามนี้สิ้นสุดลง!” หวังหลินลืมตาขึ้นภายหอคอย ดวงตาส่องประกายดุจแสงไฟพร้อมกับมีพลังอำนาจกระจายออกมาจากหอคอย
พื้นที่ห้าลี้รอบหอคอยเป็นพื้นที่ว่างเปล่า นอกจากนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างจำนวนมากมายไร้ที่สิ้นสุด เมื่อมองออกไปไกล สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ยืดออกไปหลายร้อยลี้!
ที่นี่คือเผ่าหลอมวิญญาณแห่งใหม่
สมาชิกในเผ่าจะกลับมาพร้อมกับเชลยเผ่าแคว้นปิศาจอัคคีในทุกเดือน ซึ่งทำให้เผ่าหลอมวิญญาณเติบโตยิ่งใหญ่มากขึ้น!
หวังหลินถอนสายตาออกมา ตบกระเป๋าและทรงกลมกฏเกณฑ์ที่ผนึกเหยาซีเชว่ได้ลอยออกมา เขาบีบมือขวาทำให้ทรงกลมแตกกระจาย จากนั้นร่างเหยาซีเซว่ปรากฏตัวขึ้นข้างในหอคอย
หวังหลินเอ่ยถามขึ้นช้าๆด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ “เจ้าตัดสินใจได้แล้ว?”
ร่างเหยาซีเชว่ไม่เปลือยเปล่าอีก ตอนนี้นางสวมชุดคลุมสีฟ้าน้ำทะเล หลังจากนางปรากฏตัว ดวงตาเรียวสวยจดจ้องหวังหลินพร้อมกับกัดฟันแน่น “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? สิบปีที่ผ่านมาข้าก็บอกทุกอย่างให้เจ้าไปหมดแล้ว เจ้ายังต้องการอะไรกัน!?”