Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 653

Cover Renegade Immortal 1

653. หุ่นเชิดทรงพลัง

การหล่อหลอมดำเนินอย่างต่อเนื่อง หลายเดือนถัดมาข้างในรอยร้าว หวังหลินสูดหายใจลึกและสูดเอาพลังงานดั้งเดิมทั้งหมดเข้าไปในร่างตนเองราวกับเขาพึ่งกลืนกินก้อนเมฆไป

หลังพลังงานดั้งเดิมหายไป ร่างผอมปรากฏต่อหน้าหวังหลิน กลิ่นอายเย็นเยียบเริ่มกระจายออกมาจากร่างนี้

ร่างนี้ขาวซีดอย่างยิ่งราวกับไร้เส้นโลหิตซึ่งความจริงแล้วโลหิตได้หลอมผสานเข้าไปในกระดูกทั้งหมดเรียบร้อย

หวังหลินถอนหายใจออกมาและมีใบหน้ามืดมน

“ล้มเหลวอีกแล้ว!”

นี่มันก็หลายเดือนมาแล้วตั้งแต่ที่ขั้นตอนแรกแห่งการปรับแต่งร่างกายเริ่มขึ้นและหวังหลินก็ล้มเหลวมาหลายครั้ง โชคดีที่หินหยกบันทึกไว้ว่าในช่วงเวลาขั้นตอนแรก ไม่ว่าเขาจะล้มเหลวไปกี่ครั้ง คนที่ใช้ปรับแต่งจะไม่หายไป

เมื่อมองไปที่หุ่นเชิดเบื้องหน้า หวังหลินพลันขมวดคิ้ว จากข้อมูลหินหยก มีวัตถุดิบมากมายที่จำเป็นต้องเพิ่มเติมระหว่างกระบวนการปรับแต่ง หลังจากวัตถุดิบทั้งหมดนั้นผสานเข้ากับร่างกายถือได้ว่าขั้นตอนแรกเสร็จสมบูรณ์

“องครักษ์เทพมีสี่ระดับคือเหล็ก ทองแดง เงินและทอง นี่มันไม่แม้แต่ระดับเหล็กเลยด้วยซ้ำ” หลังครุ่นคิดสักเล็กน้อย หวังหลินสัมผัสกระเป๋านำสมบัติวิเศษระดับต่ำจำนวนมากออกมา

สมบัติที่หวังหลินไม่ได้ใช้มานานแต่ดูน่าเศร้านักที่ต้องโยนออกไป

“ข้าไม่ได้มีวัตถุดิบอะไรนักแต่ข้ามีสมบัติมากมาย ข้าเชื่อว่าการหลอมสมบัติพวกนี้เข้าไปและผสมพวกมันกับหุ่นเชิดจะมีผลกระทบบางอย่าง…” หวังหลินสร้างผนึกขึ้นทันทีและดวงตาส่องสว่าง เปลวเพลิงปรากฏและล้อมรอบสมบัติเหล่านี้

เปลวเพลิงเผาไหม้และสมบัติวิเศษหลายชิ้นเริ่มละลาย ในที่สุดสมบัติแทบทั้งหมดก็หลอมละลายกลายเป็นทรงกลมสีดำ

หวังหลินส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในกระเป๋าและค้นไปทั่ว สมบัติอีกมากมายลอยออกมาทันทีและเข้าไปทรงกลม นี่คือเป็นการทำความสะอาดกระเป๋าของหวังหลินครั้งใหญ่

กระเป๋าของหวังหลินมีสมบัติมากมายที่เขาเก็บรวบรวมไว้มากกว่าแปดร้อยปี มีบางชิ้นที่เขาใช้เพียงไม่กี่ครั้งและไม่เคยใช้มันอีก นอกจากนั้นแล้วเมื่อระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้น สมบัติจำนวนมากมายก็ไร้ประโยชน์ต่อเขา

สมบัติทั้งหมดนี้ถูกโยนออกไปรวมเข้ากับทรงกลมสีดำ ในชั่วขณะนั้นกุหลาบสีฟ้าพลันปรากฏในฝ่ามือหวังหลิน

เมื่อมองไปที่ดอกกุหลาบนี้ ร่างสีแดงเผ็ดร้อนคล้ายจะปรากฏเบื้องหน้าหวังหลิน เขาลังเลก่อนจะเก็บกุหลาบกลับไปและโยนสมบัติชิ้นอื่นเข้าไปแทน

กระบวนการนี้กินเวลาหลายวัน การทำความสะอาดกระเป๋าของเขาได้ทำให้สมบัติระดับต่ำ กลางและกระทั่งระดับสูงกลายเป็นของเหลวไปหมด

ทรงกลมของเหลวเบื้องหน้าเขากลายเป็นมีสีสันและส่องสว่างขึ้น

หวังหลินคว้าด้วยมือขวาและโยนมันไปที่หุ่นเชิด การปรับแต่งอีกรอบได้เริ่มต้นอีกครั้ง

เวลาอีกสองเดือนผ่านไปราวกับกระพริบตา วันนี้หุ่นเชิดได้ส่องประกายแสงสีเหลืองสว่างขึ้นข้างในรอยร้าว

หวังหลินลืมตาและเผยอาการเมื่อยล้า เขามองแสงสีเหลืองจากหุ่นเชิดและเผยความผิดหวัง

“ความแข็งแกร่งระดับทองแดง…ช่างมันเถอะ มันเกือบจะใช้การได้แล้ว”

แม้ว่าขั้นตอนแรกของการสร้างองครักษ์เทพจะสำเร็จ หากขั้นตอนที่สองคือการบดสลายวิญญาณดั้งเดิมล้มเหลว เมื่อนั้นทุกอย่างจะล้มเหลวทันที ร่างกายนี้จะใช้การไม่ได้และเขาไม่สามารถลองวิญญาณดั้งเดิมดวงอื่นได้อีก

หวังหลินสูดหายใจลึกและเผยสีหน้าลังเลที่หาได้ยาก เขามองออกไปนอกรอยแตกร้าว หกเดือนที่ผ่านมาแรงดึงดูดด้านนอกไม่เคยหยุดลงเลยและดูเหมือนมันจะยิ่งรุนแรงขึ้น

หวังหลินกัดฟันแน่น สัมผัสกระเป๋านำธงวิญญาณออกมา หัวกะโหลกยักษ์หนึ่งปรากฏอยู่บนผืนธง

หัวกะโหลกนี้เป็นภาพมายาและลอยอยู่ข้างในธง มันมีสีดำอมเขียวและไม่มีเส้นผมราวกับเป็นปิศาจ ดวงตาดูคล้ายจริงและไม่จริงกำลังปลดปล่อยสายตาเย็นเยียบ

มันจ้องหวังหลินอยู่ในผืนธงและคำรามเสียงต่ำออกมา

วิญญาณส่วนใหญ่ภายในธงวิญญาณได้รักษาระยะห่างจากกะโหลกนี้ราวกับไม่ต้องการเข้าไปใกล้ ซึ่งทำให้เจ้ากะโหลกมีอาณาเขตของตนเองภายในธงวิญญาณ

มีเพียงเจ้ากิเลนเท่านั้นที่ต่างกัน หลังจากมันกินอาหารเทพเข้าไปแล้วมันก็ผ่านการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เมื่อมันเห็นเจ้ากะโหลกคำรามมันก็คำรามด้วยเช่นกัน

เจ้ากะโหลกมองดูกิเลนทันที ทั้งคู่จ้องกันและกันโดยไม่มีการผงะ พวกมันคำรามใส่กันพร้อมเจตนามุ่งร้าย

กะโหลกชิ้นนี้คือภูติสวรรค์!

หวังหลินมองภูติสวรรค์พร้อมกับดวงตาเปล่งประกาย เขายกมือขึ้นมาและคว้าเจ้าภูติสวรรค์ทันที มันเป็นสิ่งมีชีวิตดุร้าย หากไม่ใช่ว่าหวังหลินจับมันตอนที่อ่อนแอ มันคงไม่มาอยู่ในนี้ได้ง่ายๆ

เจ้าภูติสวรรค์ส่งเสียงคำรามในฝ่ามือหวังหลิน มันอ้าปากและต้องการกินหวังหลิน แต่หวังหลินมีสายตาเย็นเยียบ พ่นลมหายใจเย็นพร้อมกระตุ้นตราประทับลงไปในภูติสวรรค์ ซึ่งทำให้มันแทบจะแตกสลาย

เจ้าภูติสวรรค์ต้องถอยออกมาเมื่อจ้องหวังหลินและคำรามเสียงต่ำต่อเนื่อง

“ร่างหุ่นเชิดไม่แข็งแกร่งเพียงพอ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่เอาตัวรอดในขั้นที่สองได้ แต่หากข้าใช้ร่างวิญญาณและความดุร้ายจากภูติสวรรค์และยังล้มเหลว ข้าจะไม่หลอมองครักษ์เทพอีกเลย!” หวังหลินตัดสินใจมุ่งมั่นพร้อมกับประทับภูติสวรรค์ลงไปในระหว่างคิ้วของหุ่นเชิด

“เมื่อข้าจะหลอมสมบัติ ข้าก็ต้องการให้สมบัติมีระดับสูง หากมันเป็นเพียงขั้นเทวะระดับปลายเท่านั้นมันจะไม่คู่ควรกับสมบัติทั้งหมดของข้าเลย!” สายตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบและฝ่ามือซ้ายสร้างผนึกขึ้นมา เขาสัมผัสระหว่างคิ้วตัวเองและดึงสายฟ้าออกมาหนึ่งเส้น สายฟ้านี้บรรจุเพลิงเข้าไปด้วยและโยนเข้าไปในร่างหุ่นเชิด

“ปรับแต่ง!”

เจ้าภูติสวรรค์ดุร้ายอย่างยิ่งและไม่ยอมผนึกเข้าไปในหุ่นเชิดเพื่อช่วยหวังหลินปรับแต่ง มันส่งเสียงคำรามและกำลังจะพุ่งออกมา ทว่าแส้ปรากฏในมือขวาของหวังหลินและเขาฟาดไปใส่มัน

เสียงดังเพี๊ยะ เจ้าภูติสวรรค์ส่งเสียงร้องโหยหวน มันรู้สึกเจ็บปวดมากราวกับแส้นั้นเป็นศัตรูตามธรรมชาติของมัน

หากไม่ใช่ว่าเขาได้ทิ้งรอยประทับลึกไปบนเศษมารเพื่อใช้เป็นวิญญาณดั้งเดิมดวงที่สอง หวังหลินก็คงโยนเศษมารใส่ในหุ่นเชิดไปด้วย แต่การใช้วิญญาณเศษมารเป็นเรื่องยุ่งยาก เขาจึงลดปัญหามาใช้ภูติสวรรค์แทน

อีกหลายเดือนผ่านไป ภายใต้การปรับแต่งของหวังหลินอย่างต่อเนื่อง เจ้าภูติสวรรค์และวิญญาณดั้งเดิมของตู้เจี้ยนก็ผสานและกลืนกินกันและกันก่อนจะถูกบดขยี้ให้กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย อย่างไรก็ตามภูติสวรรค์แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แม้ตอนที่มันกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย เศษพวกนั้นยังคงเชื่อมต่อกันอยู่

นี่คือความต้องการที่สำคัญในขั้นตอนที่สอง ความล้มเหลวแทบทั้งหมดเกิดขึ้นในจังหวะนี้ หากไม่ใช่ว่าวิญญาณดั้งเดิมไม่แข็งแกร่งเพียงพอ ความเจ็บปวดจากการที่วิญญาณดั้งเดิมฉีกกระชากไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทนได้ เมื่อวิญญาณดั้งเดิมผ่อนคลายมันก็คงตาย

แม้มันจะไม่ผ่อนคลาย ส่วนใหญ่ไม่ได้มาถึงสภาวะที่วิญญาณดั้งเดิมยังเชื่อมกันอยู่หลังจากฉีกกระชากเป็นเศษเสี้ยวแล้ว

มีเพียงพวกที่มีจิตใจแข็งแกร่งเท่านั้นจะสามารถทนต่อกระบวนการนี้ได้ เทียบได้กับเหล่าคนที่เลือกจะฝืนลิขิตสวรรค์! นี่เป็นเหตุผลว่าเหล่าคนที่ค้นเจอเต๋าของตนเองจะมีโอกาสสูงกว่าในการหลอมให้เป็นองครักษ์เทพ

หวังหลินหลอมองครักษ์เทพโดยใช้เวลามากกว่าครึ่งปี แม้โอกาสสำเร็จจะต่ำเตี้ยอย่างยิ่งแต่เพิ่มด้วยเจ้าภูติสวรรค์เข้าไป โอกาสสำเร็จของการปรับแต่งวิญญาณดั้งเดิมนั้นจะไม่ขึ้นอยู่กับโชคอีกต่อไป

สำหรับหวังหลินแล้วเขาไม่สามารถหลอมองครักษ์เทพดวงที่สองได้ เว้นแต่จะใช้เจ้าวิญญาณเศษมาร

หวังหลินเผยความตื่นเต้นเล็กๆ พลันสูดหายใจลึกและทำความคิดตัวเองให้สงบนิ่ง เขามองหุ่นเชิดร่างผอมบางที่กำลังปลดปล่อยแสงสีเหลืองอยู่ด้านหน้า หวังหลินสามารถสัมผัสถึงการเชื่อมต่อที่ทำให้เขาสามารถควบคุมมันได้ตามต้องการ

จักรพรรดิเทพฉิงหลินจะไม่ยอมให้องครักษ์เทพตนใดต่อต้าน ในระหว่างกระบวนการปรับแต่งนั้นมีวิธีมากมายในการควบคุมให้หุ่นเชิดให้อยู่กับที่ หวังหลินปรับแต่งวิญญาณดั้งเดิมของตัวเองมาเป็นเวลานาน ดังนั้นการควบคุมหุ่นเชิดของเขาจึงบรรลุความเชี่ยวชาญถึงขีดสุดแล้ว

แม้ว่าภูติสวรรค์จะไม่เชื่อฟังแต่มันได้ถูกผนึกเข้าไปในระหว่างกระบวนการปรับแต่งและผสานเข้ากับหุ่นเชิดไปแล้ว

หวังหลินบีบหยดเลือดออกมาและสะบัดเข้าใส่หุ่นเชิด โลหิตร่อนลงระหว่างคิ้วของมันและผสานเข้าหุ่นเชิด จากนั้นดวงตาของหุ่นเชิดก็พลันตื่นขึ้น

ดวงตาคู่นี้ว่างเปล่า แม้จะเป็นเช่นนี้แต่ภายในยังแฝงสติปัญญาอยู่ด้วย

“ขั้นหยินหยาง!” หวังหลินส่งสัมผัสวิญญาณกวาดผ่านหุ่นเชิดทันที มันมีกลิ่นอายคล้ายกับซือถูหนาน แม้ว่าจะไม่แข็งแกร่งเท่าซือถูหนานแต่มันไม่ด้อยกว่ากันมากนัก

หวังหลินส่งเสียงหัวเราะออกมาและชื่นชมจักรพรรดิฉิงหลินอย่างมากมาย คนคนนี้ฉลาดอย่างยิ่งในการสร้างวิธีผลิตหุ่นเชิดขึ้นมาได้

แม้ว่าวิญญาณดั้งเดิมขององครักษ์เทพจะผสานเข้ากับร่างกายไปแล้ว มันก็ไม่สามารถใช้วิชาจำนวนมากได้และไม่สามารถเทียบได้กับเซียนขั้นหยินหยางของจริง อย่างไรก็ตามมีวิชามากมายที่เตรียมการไว้เป็นพิเศษเพื่อองครักษ์เทพไว้แล้ว! ดวงตาหวังหลินส่องสว่างขึ้น

“ข้าได้เตรียมของขวัญให้องครักษ์เทพตนนี้ไว้แล้ว!” หวังหลินใช้ฝ่ามือขวาสัมผัสจุดระหว่างคิ้วตนเองและควันสีเทาโผล่ออกมาจำนวนมาก พลังสังหารหนึ่งล้านสายเข้าไปในหุ่นเชิดทันที

ดวงตาหุ่นเชิดปลดปล่อยกลิ่นอายหนทางแห่งการเข่นฆ่าทันที หลังจากกระพริบไม่กี่ครั้งมันก็ค่อยๆซ่อนตัว แต่ดวงตาของมันกลับดุร้ายยิ่งขึ้น

หลังจากเสร็จสิ้นทั้งหมดนี้ หวังหลินสัมผัสกระเป๋านำหินหยกลอยออกมา เขาประทับหินหยกระหว่างคิ้วของหุ่นเชิด พลันเกิดแสงระเบิดขึ้นมาและสัญลักษณ์นับไม่ถ้วนกระพริบผ่านดวงตาขององครักษ์เทพ

หลังผ่านไปสักพัก หินหยกก็ตกลงมากลับคืนสู่หวังหลิน

หวังหลินกล่าวสงบนิ่ง “ปิดบัง!”

ร่างกายขององครักษ์เทพกระพริบและจากนั้นมันเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า เคลื่อนไหวด้านหลังหวังหลิน ไร้แสงและไร้เงา อย่างไรก็ตามหวังหลินรู้ว่าองครักษ์เทพนั้นได้ซ่อนตัวอยู่ในเงาของเขาแล้ว

“มีโอกาสถึงหกในสิบส่วนที่จะออกไปจากที่นี่ด้วยความสามารถขององครักษ์เทพ แม้ว่าที่นี่จะเป็นจุดอันตราย แต่เพราะมันเป็นจุดอันตรายมันจึงปลอดภัยไปด้วย!”

หวังหลินเริ่มขบคิด หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตบกระเป๋านำกระบี่เล่มใหญ่ออกมา กระบี่เล่มนี้ใหญ่เท่ากับประตูหนึ่งบาน!

“เจ้ามั่งคั่ง…กระบี่เล่มแรกของข้า! เจ้ามีความลับอะไร…” หวังหลินลูบกระบี่อย่างช้าๆ เขาสงบจิตใจและใช้ความคิดเข้าไปข้างในมันอย่างช้าๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!