Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 658

Cover Renegade Immortal 1

658. เซียนเฒ่าลงมา 2

เหตุผลที่เขาสามารถออกมาได้ นอกจากการเป็นหนึ่งกับพลังดึงดูดแล้วส่วนใหญ่ก็เนื่องมาจากค่ายกลกระบี่เจ็ดดาราและองครักษ์เทพ พลังดึงดูดที่ลดลงยังมีส่วนสำคัญเช่นกัน

พลังดึงดูดจากหลุมนั้นมิอาจคาดเดาได้ บางครั้งมันก็รุนแรง บางครั้งมันก็อ่อน หากมันรุนแรงในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แม้จะด้วยข้อได้เปรียบของหวังหลินก็คงยากที่จะออกมาได้

หลังจากเหาะเหินออกมาพร้อมกับยืนบนเจ้ายุง หวังหลินจึงเห็นยุงหลายพันตัวจ้องเขาด้วยสายตาแดงฉานและปลดปล่อยกลิ่นอายไม่เป็นมิตร

หวังหลินขมวดคิ้วเบาๆ เทียบกับตอนนั้นแล้วมียุงอยู่น้อยลง ต้องมีบางอย่างไม่คาดคิดเกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้ของกรีดและโจวยี่จนทำให้จำนวนอสูรยุงลดลงฮวบฮาบขนาดนี้

“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่…” หวังหลินครุ่นคิดก่อนจะวางมือบนหัวเจ้ายุงและกระตุ้นสัมผัสวิญญาณของเขา

ฉากเหตุการณ์หลายอย่างกระพริบผ่านความคิดหวังหลิน การต่อสู้ระหว่างโจวยี่และกรีดผ่านไปครึ่งทาง หนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรีได้ลงมาจากทางออกสู่แคว้นปิศาจอัคคี

สองคนนี้ทรงพลังเกินไป เพียงคว้ามือง่ายๆ กรีดก็ถูกจับไปได้ โจวยี่ก็ด้วยเช่นกัน แต่ดูเหมือนทั้งสองคนไม่มีเจตนาร้าย ความจริงแล้วขณะที่พวกเขาเห็นโจวยี่ สายตาบุรุษนั้นกลับเผยความเศร้าและความคิดหา

ฝูงอสูรยุงไม่ได้ตาย แต่ส่วนใหญ่ถูกคู่รักนี้จับไป หากไม่ใช่ว่าอสูรยุงของหวังหลินรับรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติและใช้วิชาที่ทำให้ตัวเองดูเหมือนยุงตัวอื่นๆ มันอาจจะถูกจับไปเช่นเดียวกัน

เมื่อสัมผัสวิญญาณหวังหลินกลับออกมาจากเจ้ายุง ใบหน้าเขาจึงมืดมัว

เขาขบคิดเล็กน้อยก่อนจะตบหัวเจ้ายุงอีกครั้ง มันส่งเสียงคำรามออกมา แทนที่จะบินเข้าหาทางออกแต่เหาะเหินไปทางเข้าที่แคว้นปิศาจวารีแทน

ตอนนี้หวังหลินสามารถผสานเข้ากับพลังดึงดูดได้แล้ว ที่ไหนก็ได้ล้วนสามารถเป็นทางออกได้หมด

ขณะบินไป พวกอสูรยุงนับพันตัวก็ติดตามไปด้วย พวกมันส่งเสียงร้องอย่างสิ้นหวังและหมดหนทางเมื่อพยายามห้ามปรามอสูรยุงของหวังหลินไม่ได้จากไปไหน

วันหนึ่ง ณ แคว้นปิศาจวารี แสงสีม่วงหนึ่งพุ่งออกมาขึ้นไปในอากาศ มันคืออสูรยุงพร้อมกับหวังหลินนั่งอยู่บนหลังด้วยสีหน้ามืดมัว

หลังจากแสงสีม่วงปรากฏ พวกอสูรยุงมากกว่าสองร้อยตัวก็พุ่งออกมาด้วยและล้อมรอบหวังหลินทันที สายตาแต่ละตัวจับจ้องบนยุงสีม่วงและส่งเสียงร้องออกมาดังยิ่งขึ้น

เจ้ายุงของหวังหลินเผยสายตามุ่งมั่นส่งเสียงร้องหลายครั้งราวกับกำลังตอบกลับ

พวกยุงที่ล้อมรอบส่งสายตาแห่งความเศร้าออกมารุนแรงขึ้น พวกมันทั้งหมดจ้องมองหวังหลินด้วยสายตาดุร้าย

หวังหลินยืนขึ้น ดวงตาส่องสว่างและสายฟ้าจากวิญญาณดั้งเดิมก็กระจายออกมา ขณะนั้นดวงตาเขาดูเหมือนล้อมรอบด้วยประกายสายฟ้าและจ้องมองพวกยุงอย่างเย็นเยียบ

เมื่อรู้สึกถึงอารมณ์ของหวังหลิน ยุงด้านล่างก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมาทันที แรงกดดันแข็งแกร่งที่ส่งออกมานี้ทำให้พวกยุงรอบด้านกระเจิดกระเจิง

หวังหลินนำกระเป๋ษออกมาเปิดเป็นช่องว่างและมองไปที่พวกยุงรอบๆ

ฝูงยุงเงียบกริบโดยสิ้นเชิง หลังผ่านไปสักพักมีหนึ่งในนั้นลอยออกมาเปลี่ยนเป็นลำแสงสีเทาและเข้าไปในกระเป๋า จากนั้นก็มียุงตัวอื่นตามไปติดๆ

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่ายุงทั้งหมดเลือกที่จะเข้าไปในกระเป๋า ราวๆสองในสามเลือกที่จะเงียบ พวกมันเฝ้ามองหวังหลินและราชาของมันที่ค่อยๆเลือนหายออกไปเหนือเส้นขอบฟ้า

หลังจากนั้นสักพัก พวกมันทั้งหมดส่งเสียงร้องเต็มไปด้วยความเศร้าโศก จากนั้นร่างกายอสูรยุงแตกสลายทีละตัว ทั้งหมดตัดสินใจทำลายหัวใจของตนเองและตกลงสู่ทางเข้าเหวนรก

ห่างออกไปไกล อสูรยุงของหวังหลินสั่นเทาขึ้นมาและหันกลับมามองทางเข้าสู่เหวนรกอย่างช้าๆ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความเศร้าเช่นกัน

หวังหลินถอนหายใจและลูบศีรษะเจ้ายุง

ด้วยความเข้าใจอสูรยุงของหวังหลิน ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าพวกมันไม่ได้เชื่องเว้นแต่จะเป็นตัวอ่อน ทั้งหมดที่เข้าไปในกระเป๋าต่างก็เป็นตัวอ่อนกันทั้งนั้นและส่วนที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายนั้นคือตัวเต็มวัย

ในโลกของเหล่าอสูรยุง หากพวกมันถูกราชาละทิ้ง พวกมันมีทางเดียวคือตายเท่านั้น เว้นแต่จะมีราชาตนใหม่ปรากฏตัว

หวังหลินไม่สามารถอดทนต่อความเศร้าของเจ้ายุงได้ ดังนั้นเขาจึงกระโดดออกจากร่างของมันและเก็บเจ้ายุงใส่กระเป๋า มีเพียงการให้มันอยู่กับพรรคพวกและเจ้าคางคกสายฟ้าเท่านั้นจึงจะทำให้ฟื้นฟูความเศร้าขึ้นมาได้

หวังหลินลอยตัวอยู่กลางอากาศพร้อมกับมองไปบนท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาว นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นท้องฟ้านี้ หลังขบคิดเล็กน้อยหวังหลินจึงตบกระเป๋าและผลึกชิ้นหนึ่งปรากฏในมือ

เขาส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในผลึกและแสงสีทองเริ่มเปล่งออกมาทันที แสงนั้นล้อมรอบตัวเขาและหวังหลินหายเข้าไปข้างในในไม่ช้า

เมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้งหวังหลินก็มาอยู่ในถ้ำเรียบร้อยแล้ว เขามองกฏเกณฑ์ที่เหลืออยู่ดวงตาจึงส่องสว่างขึ้นและพึมพำ “ครั้งต่อไปที่ข้ากลับมา ข้าจะทำลายกฏเกณฑ์ทั้งหมดและปลดความลับของถ้ำแห่งนี้!”

หวังหลินสูดหายใจลึก ฝ่ามือสร้างผนึกเพื่อผนึกถ้ำ จากนั้นทำลายค่ายกลเคลื่อนย้ายซึ่งจะไม่มีใครสามารถเข้ามาถ้ำนี้ได้ แม้แต่บรรพชนโลหิตก็ไม่สามารถเข้ามาได้

หลังเสร็จสิ้น หวังหลินมองถ้ำอย่างใส่ใจ วิญญาณถ้ำปรากฏขึ้นที่ทางเข้า มันเพียงมองหวังหลินและไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

หวังหลินหันกลับมาพร้อมผลึกในมือและจากไป

หวังหลินปรากฏตัวด้านนอกเผ่าหลอมวิญญาณในแคว้นปิศาจฟ้า ผู้คนในเป่าต่างตกตะลึงชั่วขณะแต่จากนั้นเริ่มอุทานด้วยความสุขและโค้งคำนับ

หวังหลินไม่ได้เก็บรวบรวมวิญญาณทั้งหมดที่เผ่ารวบรวมมาได้แต่เรียกฉือซานและโอวหยางฮัวออกมาแทน หลังจากทิ้งคำสั่งบางอย่างและวิธีฝึกฝนไว้ เขาก็สอนวิธีฝึกครึ่งหลังของเผ่ามารยักษ์ เสร็จเรื่องแล้วหวังหลินก็ออกไปจากเผ่า

ขณะที่เขากำลังจากไป ฉือซานคุกเข่าอยู่บนพื้นและโค้งคำนับสองสามครั้งให้หวังหลิน โอวหยางฮัวทำเช่นเดียวกัน สายตาแต่ละคนเต็มไปด้วยความเศร้า แม้ว่าหวังหลินจะไม่ได้พูดอะไรแต่พวกเขากลับมีความรู้สึกว่าในชีวิตนี้…คงยากนักที่จะได้เจอกันอีกครั้ง…

ณ เมืองปิศาจฟ้าในคฤหาสแม่ทัพ ฉีเจี้ยนกำลังนั่งสมาธิ ด้านข้างเป็นเฉินต้าวกำลังนั่งสมาธิด้วยเช่นกัน ระดับบ่มเพาะของเขาฟื้นฟูกลับมาที่ขั้นเทวะระดับกลางแล้วหลังจากใช้โอสถและรักษามาหลายปี เขากระทั่งก้าวหน้าขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าจะยังห่างไกลจากระดับปลาย แต่มันก็ไม่ไกลเกินไป

หลังจากนั้นไม่นาน ฉีเจี้ยนลืมตาส่องสว่างขึ้นมา

เฉินต้าวลืมตาออกมาด้วยและมีสายตาล้ำลึก

ฉีเจี้ยนเอ่ยอย่างสงบ “เฉินต้าว พรุ่งนี้ข้าจะไปหาจักรพรรดิปิศาจและแนะนำเจ้าให้เป็นแม่ทัพปิศาจ จากนั้นเจ้าจะสามารถเข้าไปในทะเลสาบมังกรเพื่อฝึกฝนได้ แม้ว่ามันจะไม่ใช่การสืบทอดที่แท้จริง มันจะทำให้เจ้าได้รับประโยชน์อย่างมาก”

เฉินต้าวตอบกลับ “พรุ่งนี้ข้าจะต้องเรียกท่านว่า ‘รองผู้บัญชาการสูงสุด!’”

ฉีเจี้ยนเผยรอยยิ้มภูมิใจและเอ่ยออกมา “ตำแหน่งนี้ควรจะเป็นของข้าเมื่อร้อยปีก่อน! โม่ลี่ไฮ่แค่ขโมยไปจากข้าด้วยเล่ห์เหลี่ยม หากไม่ใช่เพราะเจ้าหวังหลินต่ำต้อยนั่น โม่ลี่ไฮ่จะเป็นอะไรได้?!”

เฉินต้าวมองฉีเจี้ยนและเอ่ยนิ่งๆ “หวังหลินคือศิษย์น้องของข้า!”

ฉีเจี้ยนเลิกเคิ้วและยิ้มเย็นเยียบ “ศิษย์น้องของเจ้าไปอยู่ที่ไหนเล่าระหว่างสงครามกับแคว้นปิศาจอัคคี? เขาเก็บเกี่ยวประโยชน์ของทุกคนตอนที่จบสงครามและได้ความเชื่อถือไป แม้ว่าเขาจะช่วยท่านปิศาจโบราณ เขาทำให้พวกเราอับอายกันทั้งหมด!”

“ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาก็หายหน้าไปหลายปีแล้ว ข้ากลัวว่าแม้แต่กระดูกก็หาไม่เจอ เจ้าจดจำเขาเป็นศิษย์น้องของเจ้า แต่ข้ากลัวว่าเขาจะไม่จดจำเจ้าเป็นศิษย์พี่อีกต่อไป”

เฉินต้าวขบคิดอย่างเงียบๆ

ฉีเจี้ยนเผยดวงตาเย้ยหยันและเอ่ยออกมา “เรียกเขาว่าต่ำต้อยถือว่าดีมากแล้ว หากเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้นข้าจะฆ่าเขาด้วยตัวเองและปล่อยให้รู้ว่าการฝึกฝนมันควรเป็นเช่นไร!”

“เป็นนั้นหรือ…” น้ำเสียงเย็นเยียบดังออกมาจากความว่างเปล่า

ฉีเจี้ยนตกตะลึงแต่ก็ร้องออกมาพร้อมกับใบหน้ามืดมัว “ใครกล้ามาลับๆล่อๆ? ออกมาหาแม่ทัพซะ!”

ดวงตาเฉินต้าวส่องสว่างขึ้นและจ้องไปที่ท้องฟ้า

เขาเห็นแต่เพียงเงาสีดำปรากฏอยู่บนท้องฟ้า ด้านหลังเป็นดวงจันทร์กลมโต และยิ่งอยู่ภายใต้แสงจันทรานั้นร่างกายยังเปล่งสายฟ้าโค้งปะทุออกมาอีก ทำให้ดูน่าตื่นตกใจยิ่งนัก

“เจ้า…หวังหลิน!” สายตาเฉินต้าวขมวดเข้ากันเมื่อจดจำตัวตนของเงาได้

“เจ้ากล้ามากที่มาทำลายถึงคฤหาสของข้า จงหนีไปในเวลาสามลมหายใจ ไม่เช่นนั้นก็ตายซะ!” ดวงตาฉีเจี้ยนเย็นเยียบและแฝงจิตสังหาร หลายปีที่ผ่านมาระดับบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นจนเท่าเทียบกับเซียนขั้นเทวะระดับต้น ร่างกายเต็มไปด้วยปราณปิศาจ

หวังหลินร่อนลงบนพื้น มองฉีเจี้ยนอย่างนิ่งเฉยและเอ่ยออกมา “ข้าสัญญากับคนหนึ่งไว้ว่าจะมาเอาชีวิตของเจ้า วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อเติมเต็มคำสัญญานั่น!”

จิตสังหารระเบิดออกมาจากดวงตาฉีเจี้ยนและร่างกายพุ่งออกไป เขาเปลี่ยนกลายเป็นเงาและพุ่งตรงใส่หวังหลิน ขณะเคลื่อนไหวฝ่ามือยังสร้างผนึกและกำลังจะใช้วิชาออกมา

ร่างหวังหลินไม่ได้เคลื่อนไหวแต่ภายใต้แสงจันทรานั้นเงาด้านหลังเขากลับดุร้ายขึ้นทันที มันพุ่งออกมาจากพื้นและผ่านตัวฉีเจี้ยนในพริบตา

เฉินต้าวสีหน้าเปลี่ยนไปมหาศาล ขณะที่เขากำลังจะก้าวออกไป เงาที่ผ่านฉีเจี้ยนก็ได้เผยสายตาดุร้ายออกมาแล้ว

ผายใต้สายตานี้ ร่างเฉินต้าวสั่นสะท้าน วิญญาณดั้งเดิมหดลงและเขาหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดลงมาจากหน้าผาก

“ขั้นหยินหยาง…” สายตาเฉินต้าวเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

เงาสีดำกลับคืนสู่หวังหลินและเปลี่ยนกลายเป็นเงาดังเดิม ฉีเจี้ยนตกลงพื้นทั้งที่ดวงตายังเปิดอยู่ ในสายตาเขายังคมีจิตสังหารแต่ว่าชีวิตและทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเขาได้แตกสลายไปเรียบร้อย

หวังหลินกลับตัวกลับและจากไป

ภายใต้แสงจันทรา เขาดูเหมือนกำลังจะก้าวขึ้นไปบนดวงจันทร์ เสื้อผ้าพริ้วสะบัด เส้นผมลอยไสวไปตามแรงลมโดยที่เขาเหาะเหินออกไปไกลและไกลยิ่งขึ้น…

“จงระวังอาจารย์เอาไว้!” น้ำเสียงหวังหลินดังก้องในหูของเฉินต้าว เขาจ้องท้องฟ้าอยู่นานและไร้คำเอื้อนเอ่ย

หลังจากหวังหลินเสร็จเรื่องสำคัญทั้งหมดที่เขาต้องจัดการแล้ว หวังหลินปรากฏตัวด้านนอกทางเข้าเหวนรก เขาหันกลับมามองพื้นดินก่อนจะเงยศีรษะขึ้นมองไปบนท้องฟ้า สายตาดูเหมือนแทงทะลุท้องฟ้าและปีนออกไปจนทะลุผ่านดินแดนแห่งนี้ในที่สุดและขึ้นไปถึงทะเลวิญญาณปิศาจตะวันออก

ด้านนอกประตูของทะเลวิญญาณปิศาจตะวันออก เทียนหยุน หลิงเทียนโฮว บรรพชนโลหิตและผู้อาวุโสเจ็ดถึงแปดคนต่างยื่นอยู่ตรงนี้

ทุกคนที่กำลังรอคอยให้หลิงเทียนโฮวเปิดประตูแต่เทียนหยุนอุทานออกมา เขามองไปที่ประตูสู่ดินแดนวิญญาณปิศาจและคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน

พวกเขากำลังจะเข้าไปในดินแดนวิญญาณปิศาจเร็วกว่าที่วางแผนไว้หลายสิบปี นั่นเป็นเพราะเมื่อสิบปีก่อน เทียนหยุนรู้สึกตกใจขึ้นมา เขาไม่รู้สึกเช่นนี้มาหลายหมื่นปีแล้ว

ความรู้สึกนี้ออกมาจากดินแดนวิญญาณปิศาจ! มาจากรอยที่เขาทิ้งไว้บนศิษย์คนหนึ่งที่ชื่อหวังหลิน! ในตอนนั้นรอยที่เขาวางไว้ได้ถูกบังคับให้ลบออก!

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รอยของเขาถูกลบออก นานมากแล้วมีศิษย์คนหนึ่งชื่อซุนหยุนก็สามารถทำเช่นนี้ได้

คนที่ไม่สบายใจไม่ใช่มีเพียงแค่เทียนหยุน อีกคนคือบรรพชนโลหิต ความไม่สบายใจนั้นออกมาจากลูกสาวของเขา เหยาซีเชว่ ในขณะที่เวลาผ่านเลยไปจิตใจเขาก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายขึ้น สำหรับคนที่มีระดับบ่มเพาะเช่นนี้ ความไม่สบายใจคงไม่ได้มาจากความว่างเปล่าไปได้

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเมื่อเทียนหยุนเสนอให้เข้ามาก่อนเวลา เขาจึงเป็นคนแรกที่ตกลง เหยาซีเชว่คือลูกสาวคนเดียวของเขาและเป็นครอบครัวเพียงคนเดียว สำหรับลูกสาวคนนี้เขาจะไม่สนใจสิ่งอื่น!

เช่นเดียวกันกับจิตใจของหลิงเทียนโฮวที่มืดมัว ตะเกียงชีวิตของสิบสองกระบี่ได้มอดดับไปแล้วเก้าดวง…หลิงเทียนโฮวซ่อนความโกรธของตัวเองไว้และเตรียมการเข้าไปในดินแดนวิญญาณปิศาจ เขาจะเข้าไปสอบถามกรีดกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างถี่ถ้วน

สามคนนี้ต่างไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำให้อึดอัดใจและกระวนกระวายนี้มาจากคนเพียงคนเดียว!

หลิงเทียนโฮวประทับฝ่ามือลงบนประตูสู่ดินแดนวิญญาณปิศาจ จากนั้นสะบัดแขนเสื้อและก้าวเดินเข้าไปข้างใน…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!