Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 665

Cover Renegade Immortal 1

665. คำเตือน

ขณะที่ชายชราจ้องสมบัติมรดกเทียม แววตาของเขากลับปรากฏร่องรอยความโลภที่ซ่อนไว้อย่างแนบเนียน

หวังหลินรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม เขาไม่ได้แกล้งทำเป็นกลัวหรือตื่นตระหนก หวังหลินยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม

หวังหลินไม่ได้ต้องการเริ่มขโมยหินหยกสวรรค์ อย่างไรก็ตามถ้าชายชราอยากปล้น เขาก็คงจะไม่ฆ่าเพื่อหวังขโมยสมบัติแต่ลงมือเพื่อปกป้องตนเองแทน

ซึ่งแม้จะฆ่าใครสักคน หวังหลินก็ยังมีคุณธรรมสูงส่ง รวมไปถึงระดับบ่มเพาะที่ทรงพลัง ไม่มีใครกล้าที่จะไล่เขาออกไปจากดาวรานหยุนแน่นอน

หลังจากฝึกเซียนมาแปดร้อยปี ไม่เพียงหวังหลินจะมีเล่ห์เหลี่ยมมากขึ้นเขายังรู้วิธีต่อกรกับแผนการร้ายอีกด้วย ถึงกระนั้นก็หายากนักที่หวังหลินจะเปิดเผยแผนการของอีกฝั่งออกมา ตอนนี้หวังหลินได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปแล้วแม้จะมีคนที่คุ้นเคยกับเขาก็คงจะไม่สามารถระบุตัวตนที่แท้จริงได้

ความลังเลใจปรากฏในแววตาชายชรา ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ถอนหายใจยาว ในขณะที่ถือกระจกทองแดงก็ถามขึ้นว่า “เจ้าต้องการหินหยกสวรรค์สำหรับสิ่งนี้เท่าไร”

หวังหลินเอ่ยเสียงราบเรียบ “ห้าหมื่นก้อน!”

ชายชราขมวดคิ้วเป็นปม แม้ว่าเขาจะสามารถหยิบหินหยกสวรรค์ออกมาจากกระเป๋าจำนวนห้าหมื่นได้แต่เขาใช้เวลาเกือบร้อยปีในการเก็บรวบรวมมาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต ถ้าใช้มันไปในตอนนี้เขากังวลว่ามันอาจไม่เพียงพอในการทะลวงเข้าสู่ขั้นเทวะ

ขณะที่ขบคิดเขาก็ก้มศีรษะลงมองกระจกทองแดงอย่างลังเล เขาถูกสมบัติชิ้นนี้ยั่วยวนอย่างมาก ต้องกล่าวว่าเซียนขั้นแปลงวิญญาณที่มีสมบัติมรดกเทียมนั้นถือเป็นความแตกต่างอย่างมาก หากสมบัติทรงพลังมากพอก็สามารถต่อสู้กับเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายได้เลยทีเดียว

ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่ากระจกทองแดงมีพลังมากแค่ไหนตราบเท่าที่มันคือสมบัติมรดกก็จะไม่อ่อนด้อย

ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้คิดจะฆ่าเพื่อชิงสมบัติ แต่เมื่อเขามองไปที่เด็กหนุ่ม มองดวงตาที่สงบนิ่งนั้นเรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องรอง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการที่เขาสามารถหาสมบัติวิเศษทั้งสองชิ้นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นสมาชิกสำคัญภายในตระกูล

หลังจากขบคิดสักนิดชายชราก็หยิบกระเป๋านำหินหยกสวรรค์ห้าหมื่นก้อนออกมา จากนั้นโยนกระเป๋าไปที่หวังหลิน

หวังหลินรับมาตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณว่าจำนวนหยกสวรรค์ถูกต้อง จากนั้นโยนหินหยกมรดกไปที่ชายชรา

ชายชรารับมันทันทีและสำรวจอย่างละเอียด ใบหน้าเผยความสุขก่อนที่เขาจะถามอย่างลังเล “เจ้ามีอีกไหม?”

หวังหลินมองชายชราและหยิบปิ่นปักผมออกจากกระเป๋า

“นี่ก็เป็นสมบัติสวรรค์เทียม” แววตาของชายชราปรากฏความผิดหวังขึ้นมา เขาพยักหน้าให้หวังหลิน ก่อนที่จะหันไปรอบๆและเดินออกจากอารามไผ่เขียว

หวังหลินซื้อวัตถุดิบบางส่วนจากร้านก่อนจะเดินออกไป ชายหนุ่มภายในร้านยังไม่เชื่อว่ากับสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้น

ขณะที่หวังหลินเดินไปบนถนนเขาพลันกระจายสัมผัสวิญญาณออกมา มุมปากเผยรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้นมา มีสัมผัสวิญญาณหนึ่งเจาะจงอยู่กับเขาตลอดเวลา

“ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง!” หวังหลินเปลี่ยนเส้นทางไปยังประตูเมืองฝั่งหนึ่ง เขาออกจากเมืองหยิบกระบี่เหินออกมาทะยานตรงไปด้านหน้า

ความเร็วของเขาไม่เร็วมากนักเพราะประคองความเร็วของเซียนขั้นแกนลมปราน หลังจากที่เขาเดินทางมาได้ห้าพันลี้ หมอกเมฆขนาดใหญ่พลันปรากฏขึ้นต่อหน้า หมอกนี้ประหลาดมากปละมันปรากฏออกมาจากที่ใดไม่ทราบได้

ในพริบตาเดียว หมอกควบแน่นกลายเป็นแขนยื่นเข้าหาหวังหลิน แขนข้างนั้นสร้างเสียงร้องแหลมออกมาด้วย

แววตาเยาะเย้ยยิ่งรุนแรงขึ้นและมีสายฟ้ากระพริบภายใน ขณะที่ฝ่ามือยักษ์เงื้อมเข้ามา หวังหลินพลันสะบัดแขน คลื่นพลังปราณสวรรค์รุนแรงปรากฏขึ้นในทันที

เกิดเสียงดังปังและแขนยักษ์พลันหายไปทันที จากนั้นสายหมอกด้านหลังก็พัดไหวรุนแรงและเกิดเสียงโหยหวนออกมา

“เจ้าไม่ใช่เซียนขั้นแกนลมปราน!!” หมอกกระจายหายไปเผยร่างชายวัยกลางขึ้นมา เขากระอักโลหิตและมีสายฟ้ากระพริบไปทั่วร่างกาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและถอยร่นอย่างไม่ลังเล มีสายฟ้าสีดำออกมาจากร่างกายเขาซึ่งเห็นได้ชัดว่าเกิดจากการใช้วิชาบางอย่าง

หวังหลินชำเลืองมองอย่างสงบนิ่งและไล่ตามไปสบายๆ เขาเป็นเพียงเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับเท่านั้น ถ้าหวังหลินต้องการฆ่าก็คงไม่ต้องลงแรงอะไรมากมาย

ชายวัยกลางคนกลัวมาก คนผู้นี้เพียงแค่สะบัดฝ่ามือเท่านั้นเพียงพอให้วิญญาณแรกกำเนิดของเขาแตกสลายได้แล้ว หากเขาไม่สามารถกลับไปที่ตระกูลได้ในช่วงเวลาอันสั้น เขาก็จะต้องตายอย่างแน่นอน

เขาเสียใจอย่างยิ่ง เขาไม่น่าทำตามคำสั่งของผู้อาวุโสซุนจนสร้างปัญหาเพื่อหินวิญญาณเลย

สิ่งที่ทำให้เขาตกใจมากขึ้นคือคนผู้นี้ยังไล่ตามเขาอยู่ แรงกดดันจากความเป็นความตายเกือบทำให้เขาพังทลาย

ระยะทางหลายพันลี้ผ่านไปพริบตา เมื่อชายวัยกลางคนเข้าไปในเมือง ใบหน้าของเขาก็ซีดเซียว วิญญาณดั้งเดิมส่วนใหญ่ของเขากระจัดกระจายไปแล้ว เขากระอักโลหิตออกมาก่อนที่จะพุ่งไปที่คฤหาสน์ตระกูลซุนที่อยู่กลางเมือง

หลังจากมาถึงที่นี่แล้ว เขาก็ไม่อาจรักษาวิญญาณดั้งเดิมไม่ให้กระจัดกระจายได้อีก พลันตะโกนด้วยเสียงแหบแห้ง “ช่วยข้าที!” ร่างโน้มเอียงและล้มลงในที่สุดราวกับว่ามันมาจากพลังเฮือกสุดท้าย

ร่างเงาสีขาวพุ่งเข้ามาปรากฎเป็นชายชุดขาว เมื่อจับชายวัยกลางคนท่าทางของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย นำเม็ดยาออกมาจากกระเป๋าโดยไม่ลังเลและเทใส่ในปากของชายวัยกลางคน

ในขณะเดียวกัน ผู้คนมากมายพุ่งออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลซุนและบางส่วนก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

ตอนนั้นเองหวังหลินก็มาถึงอย่างใจเย็น

“เจ้ากล้าลงมือกับคนของตระกูลซุน!?” ผู้คนของตระกูลซุนที่ลอยขึ้นมาพลันส่งกระบี่เหินจำนวนมากพุ่งใส่หวังหลิน หวังหลินสะบัดแขนเสื้อและสร้างสายลมพัดรุนแรงจนเกิดพายุทันที พายุกวาดผ่านเหล่าสมาชิกตระกูลซุนทั้งหมดภายในพันฟุตและโยนพวกเขาออกไป

“ทั้งหมดกลับมา!” เสียงคำรามหนึ่งออกมาจากภายในบ้านจากนั้นชายชราสามคนก็ออกมา ในบรรดาสามคนนี้มีผู้อาวุโสซุนซึ่งเคยซื้อขายกับหวังหลินอยู่ด้วย

ชั่วขณะนั้นสีหน้าผู้อาวุโสซุนกลับมีท่าทางมืดมน

คนที่พูดเป็นชายชราหน้าแดง เขามองหวังหลินบนอากาศและถามอย่างเย็นชา “เจ้ามาจากตระกูลไหน? รู้หรือไม่ว่าการบุกเข้ามาในอาณาเขตของตระกูลซุนมีโทษร้ายแรง?”

หวังหลินยิ้มพลางชี้ไปยังผู้อาวุโสซุนข้างชายชราหน้าแดง “ข้ามาหาเขา!”

ท่าทีของผู้อาวุโสซุนเริ่มมืดมัวมากขึ้นและร้องตะโกน “เด็กน้อย การค้าที่ข้าทำกับเจ้าได้จบลงแล้ว หรือเจ้าเสียดายมัน!?”

หวังหลินส่ายศีรษะ เขาชี้ไปที่ชายวัยกลางคนที่นอนสลบอยู่และเหยียดยิ้มออกมา “มันน่าแปลกใจนักที่ข้าถูกคนผู้นี้ขัดขวางเอาไว้หลังจากออกจากร้าน หลังเขาพ่ายแพ้ก็วิ่งตรงมาที่นี่”

ผู้อาวุโสพ่นลมหายใจเย็นเยียบแต่ชายชราสองคนด้านข้างขมวดคิ้ว เรื่องนี้เดาได้ง่ายมาก พวกเขาเดาได้ว่าผู้เฒ่าซุนอยากได้ของบางอย่างจากคนผู้นี้ แต่ไม่สามารถลงมือด้วยตัวเองจึงส่งคนอื่นไปแทน

แต่อย่างไรซุนโม่เหรินก็เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลซุน เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วพวกเขาก็จะอยู่ข้างผู้อาวุโสซุนอย่างแน่นอน ชายชราหน้าแดงกำลังยิ้มเยาะ “ไร้สาระ ไม่ว่าเจ้าจะมาจากตระกูลใด เจ้าต้องอยู่ที่นี่ รอให้ผู้อาวุโสของเจ้ามาที่นี่ก่อนแล้วเราจะตัดสินใจว่าเจ้าจะอยู่หรือตาย!”

ในแววตาแฝงความเย็นเยียบพลันยกแขนขึ้นและกดลงไป ทันใดนั้นเกิดเสียงฟ้าร้องดังสะท้อนพร้อมกับแรงกดดันทรงพลังตรงไปยังคฤหาสน์ตระกูลซุน

พริบตานั้นท่าทีของสมาชิกตระกูลซุนทุกคนก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ทั้งหมดโคจรพลังปราณภายในร่างกายเพื่อที่ต่อต้าน ราวกับว่าหากไม่ต่อต้าน ร่างกายจะแตกสลายไปทันที

สายตาชายชราสามคนซึ่งรวมไปถึงผู้อาวุโสซุนเบิกกว้างแต่แฝงความหวาดกลัวอยู่ในนั้น

“ไร้สาระ?” หวังหลินเอ่ยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

“สหายเซียน โปรดอย่าพึ่งโกรธเกรี้ยว!” น้ำเสียงเสียงแก่ชราดังออกมาจากภายในบ้าน จากนั้นชายชราสวมชุดสีดำค่อยๆก้าวเท้าออกมา การปรากฏตัวของเขาทำให้แรงกดดันสลายไปเล็กน้อย

แม้ว่าคนผู้นี้ยังไม่ได้ทะลวงมาถึงขั้นเทวะ แต่เขาก็เป็นถึงเซียนแปลงวิญญาณระดับปลายแล้วซึ่งห่างจากขั้นเทวะเพียงก้าวเดียว ดูเหมือนว่าเขายังขาดความเข้าใจอีกพียงเล็กน้อยในการทะลวงผ่านช่วงคอขวด

อย่างไรก็ตาม หวังหลินมองเห็นกลิ่นอายของเซียนขั้นเทวะจากร่างของชายชรา ไม่ใช่เพราะเขาปิดบังระดับฝึกตนแต่เพราะมีสัมผัสวิญญาณของใครบางคนแฝงอยู่บนร่างของเขา

ชายชราชุดดำกล่าวขึ้น “เรื่องนี้เป็นความผิดของตระกูลซุนที่ได้ล่วงเกินต่อสหายเซียน”

หลังจากที่ชายชรากล่าวเช่นนี้แล้ว ผู้อาวุโสทั้งสามก็ตกตะลึงแต่พวกเขาก็ได้สติในช่วงเวลาต่อมา

“หินหยกสวรรค์สองแสนก้อนและข้าจะลืมว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น!” หวังหลินมองไปยังชายชราอย่างใจเย็น

ท่าทีของชายชราชุดดำเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาลังเลชั่วขณะและพยักหน้า “ไม่เป็นไร เพียงแต่หินหยกสวรรค์สองแสนเป็นของก้อนใหญ่ ที่นี่เป็นเพียงสาขาของตระกูลซุนเท่านั้น สหายเซียนรอสามวันได้หรือไม่?”

หวังหลินจ้องมองชายชราอย่างล้ำลึก สิ่งที่เขามองไม่ใช่ชายชราแต่เป็นสัมผัสวิญญาณของเซียนขั้นเทวะบนตัวเขา

จนเมื่อหวังหลินอยู่ห่างไกลจากชายชราแล้วเขาจึงผ่อนคลายขึ้นมาและสัมผัสวิญญาณเทวะหายไปจากร่างกาย เขาชำเลืองมองผู้อาวุโสซุนก่อนจะถอนหายใจเย็นเยียบ

ชายชราหน้าแดงกำลังลังเลและกล่าวเบาๆ “หินหยกสวรรค์สองแสนก้อน…แม้ในสาขาหลักก็ยังเป็นจำนวนที่มากอยู่ดี”

ชายชราชุดดำกล่าวอย่างเย็นเยียบ “ก่อนหน้านี้สัมผัสวิญญาณของท่านบรรพชนในตระกูลได้ส่งมาที่ข้าและสั่งการให้ยอมรับข้อเสนอทั้งหมด ไม่ต้องพูดถึงสองแสนก้อนเลย แม้จะเป็นสี่แสนก้อนเราก็ยังให้ได้! อีกทั้งข้อมูลเรื่องราวในวันนี้ถือว่าเป็นความลับ ส่งคำสั่งของสำนักออกไปและอย่าไปรบกวนเขา”

ณ มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ทางด้านตะวันออกของดาวรานหยุน บุรุษผมยาวร่างกายส่วนบนเปลือยเปล่ากำลังนั่งสมาธิในส่วนลึกของมหาสมุทร ในทันใดนั้นเขาลืมตาขึ้นมาและส่องสว่างเจิดจ้าดุจโคมไฟสองดวงในมหาสมุทร

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าและพึมพำกับตัวเอง “หรือเขาคือเซียนขั้นเทวะที่พึ่งปรากฏตัวมา…เพียงแค่ข้าไม่สามารถมองเห็นระดับการบ่มเพาะของเขาได้…มีบางอย่างในร่างเขาที่ทำให้ข้าสั่นสะท้าน

“คนผู้นี้ไม่สามารถตอแยได้ เมื่อเขาจะพักอยู่ที่เมืองตระกูลซุน บางทีนี่อาจเป็นโชควาสนาของตระกูลซุน!”

“สายตาสุดท้ายของเขาคือคำเตือน…ใช่แน่ๆ เขากำลังบอกข้าว่าอย่ารบกวนเขา เขามีคุณสมบัติที่จะพูดกับข้าแบบนี้…” ชายคนนั้นครุ่นคิดเป็นเวลานานจากนั้นทะยานตรงขึ้นมาจากก้นมหาสมุทร

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!