Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 666

Cover Renegade Immortal 1

666. สตรีผู้แต่งกายเป็นบุรุษ

หวังหลินเตรียมการให้ตัวเองมีระดับบ่มเพาะต่ำระหว่างอยู่บนดาวรานหยุน การทำเช่นนี้จะทำให้เขาบ่มเพาะได้อย่างปลอดภัยและเพิ่มระดับได้อย่างรวดเร็ว จนสามารถกลับไปที่ดาราจักรพันธมิตรเซียนได้

อย่างไรก็ตามการปลอมแปลงตัวเองให้ระดับต่ำลงไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลายเป็นเซียนระดับต่ำจริงๆและอดทนต่อทุกอย่าง

การปลอมแปลงสถานะให้ต่ำลงที่แท้จริงคือการไม่กลัวว่าคนอื่นจะรู้จักเขาและจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวด้วยท่าทีไม่แยแส เขาจะไม่เข้าร่วมกับสถานการณ์ภายนอกใดๆเลย

ปลอมแปลงระดับให้ต่ำลงด้วยความคิดเช่นนี้จะทำให้เกิดพลังล่องหนที่ป้องกันเซียนชั้นยอดแห่งดาวเรียนหยุนมารุกรานเขาได้

นี่คือผลลัพธ์ที่หวังหลินต้องการ เขาค่อยๆก้าวเดินกลับไปยังที่พักทิศเหนือของเมือง ชายหนุ่มภายใต้หินยังคงบ่มเพาะและดูเหมือนจะเคร่งเครียดตลอดทั้งวัน

ทันทีที่เขาเข้ามาใกล้ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นและกล่าวเบาๆ “เจ้า หยุด!”

หวังหลินตกใจ เขาหยุดเดินและมองไปที่ชายหนุ่ม

“เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเซียนคืออะไร? ข้าจะบอกให้ มันคือความขยันหมั่นเพียร!” ชายหนุ่มมองไปที่หวังหลินและกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ของเจ้าจะไม่ดีนัก แต่ถ้าเจ้าขยันก็มีโอกาสก้าวหน้า ข้าเฝ้าสถานที่แห่งนี้มาหลายปี เซียนบางคนที่มาที่นี่ก็ทะลวงเข้าสู่ขั้นตัดวิญญาณไปแล้ว พวกเขาไม่เคยออกไปไหนตอนเช้าเหมือนกับที่เจ้าทำและเสียเวลาบ่มเพาะไปเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่รอบๆ”

“พรสวรรค์ของเจ้าไม่ดีนักดังนั้นควรจะขยันให้มากขึ้น มิฉะนั้นเจ้าไม่อาจสร้างวิญญาณดั้งเดิมตลอดชั่วไปชีวิต!”

บทเรียนนี้ทำให้หวังหลินยิ่งตกใจมากขึ้นและเผยรอยยิ้มแห้งๆ

เมื่อเด็กหนุ่มเห็นท่าทีของหวังหลิน น้ำเสียงของเขาก็ดีขึ้น แววตาดูหมิ่นลดลง “ไม่ใช่ข้ากำลังดูถูกเจ้า ในโลกแห่งการบ่มเพาะเจ้าต้องไม่ดูถูกผู้อื่นถ้าต้องการให้ผู้อื่นยอมรับ พลังปราณที่นี่หนาแน่นมาก หากเจ้าตั้งใจบ่มเพาะสักสิบปี แล้วสักวันเจ้าอาจทะลวงเข้าสู่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดก็เป็นได้ เมื่อถึงตอนนั้นข้าเชื่อเหลือเกินว่าเจ้าจะมีอำนาจและดูแลตระกูลของเจ้าเหมือนกับข้า”

หวังหลินลูบจมูก นับตั้งแต่ที่เขากลายเซียน ทุกคนที่เขาพบมากด้วยเล่ห์เหลี่ยมและเห็นแก่ตัว ไม่มีใครจะสนใจที่จะพูดคำเหล่านี้กับเขา หลังจากหวังหลินแข็งแกร่งมากขึ้นแต่เนื่องจากการเข่นฆ่าไปมากมาย ไม่มีใครกล้าพูดเช่นนี้กับเขาเลย

แม้แต่ผู้อาวุโสตุ้นเทียนก็มีเวลาไม่มากพอที่จะใช้กับหวังหลินก่อนจะเสียชีวิต

ขณะที่เขาถูกตำหนิโดยเด็กหนุ่มคนนี้ มันทำให้รู้สึกละอายใจและพยักหน้าอย่างรวดเร็วเป็นเชิงเห็นด้วย

ท่าทีของชายหนุ่มเริ่มดีขึ้น แต่เขาก็ยังคงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หากเจ้ามีปัญหาในการบ่มเพาะสามารถมาถามข้าได้ จงจำเอาไว้สิ่งหนึ่ง การไร้พรสวรรค์ไม่ได้น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือความขี้เกียจ เซียนเช่นพวกเราเดินบนหนทางต่อต้านสวรรค์ เราไม่สามารถผ่อนปรนจิตใจและร่างกายของเราได้ ถ้าเราทำเช่นนั้นเราจะเรียกว่าการต่อต้านสวรรค์ว่าการฝึกเซียนได้อย่างไร? เข้าไปข้างใน รีบฝึกฝนเข้า”

ถ้ามีใครรู้ว่าหวังหลินเจอกับสถานการณ์นี้ พวกเขาตงจะตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นทันที

รอยยิ้มบิดเบี้ยวของหวังหลินกลายเป็นยิ้มกว้างขึ้น ขณะที่เขาเดินเข้าไปในประตู หวังหลินหันไปมองไปที่ชายหนุ่ม มองด้านหลังแล้วเขาค่อนข้างผอม สวมเสื้อผ้าขนาดใหญ่ซึ่งดูเหมือนไม่สมดุลนัก

ขณะนั้นเกิดสายลมเบาๆพัดผ่านไปทำให้เส้นผมชายหนุ่มพัดขึ้นและเขาก็ลูบเส้นผมด้านหลังหูตามสัญชาตญาณ

ดูเหมือนเขาจะสังเกตเห็นว่าหวังหลินมองอยู่ เขาหันไปมองหวังหลินก่อนที่จะหันกลับมาและไม่สนใจจะก่อกวนหวังหลินอีก

เด็กหนุ่มคนนี้ที่แท้เป็นสตรีที่ปลอมตัวใส่เสื้อผ้าของบุรุษ ใบหน้าของนางถูกปกคลุมด้วยวิชาเซียน หวังหลินมองเห็นเรื่องนี้เมื่อวันก่อน แต่ภาพลักษณ์ที่แท้จริงของนางหวังหลินไม่ได้มองทะลุวิชาเซียนเพื่อที่จะดูมัน

หลังจากกลับมาที่บ้าน หวังหลินก็นั่งสมาธิ ตบกระเป๋านำหินหยกสวรรค์พันก้อนออกมา ฝ่ามือสร้างผนึกและส่งลำแสงหลายเส้นเข้าหาหินหยกสวรรค์จำนวนมากพวกนั้น พลังปราณสวรรค์หนาแน่นถูกบังคับให้ล้อมรอบหวังหลินและไม่มีการรั่วไหล

หวังหลินหลับตาลงเริ่มบ่มเพาะ เส้นสายพลังปราณสวรรค์เข้าสู่ร่างกายและค่อยๆโคจรอย่างช้าๆ

สามวันผ่านไปและหวังหลินลืมตาขึ้น หินหยกสวรรค์ทั้งพันชิ้นรอบตัวกลายเป็นฝุ่นผงและสลายหายไป หวังหลินสังเกตบริเวณโดยรอบ

“หินหยกสวรรค์ก็ยังไม่เพียงพอ ขั้นเทวะเทียบไม่ได้กับขั้นแปลงวิญญาณเลย หากเป็นขั้นแปลงวิญญาณ ข้ายังสามารถหามันได้แต่ตอนขั้นเทวะนี้พลังปราณสวรรค์ที่ต้องการมีจำนวนมากเกินไป!”

“แม้จะได้หินหยกสวรรค์สองแสนก้อนจากตระกูลซุน ข้าก็ไม่อาจทะลวงไปถึงขั้นเทวะระดับกลางได้ด้วยซ้ำ ส่วนระดับปลายนั้นต้องใช้มากมายเกินคาดการณ์ได้ นอกจากนี้ยังมีขั้นเทวะระดับปลายสูงสุดและการทะลวงสู่ขั้นหยินหยางอีก…หวังหลินขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ หยกสวรรค์นั้นหายากมาก เซียนขั้นแปลงวิญญาณจำเป็นต้องใช้มันเป็นประจำ ในอดีตที่ผ่านมามีการใช้หินหยกสวรรค์กันจำนวนมาก

แดนสวรรค์ได้หายไปแล้ว เช่นนั้นหินหยกสวรรค์เหล่านี้มาจากไหน?หวังหลินเคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนแต่เขาก็คิดอะไรไม่ออก

“นอกจากนี้นี่เป็นเพียงการฝึกเซียนช่วงขั้นแรก ยังมีต้องใช้หยกสวรรค์จำนวนมหาศาลขนาดนี้ ขั้นที่สองต้องใช้หยกสวรรค์อีกเท่าไร? ไม่มีใครเหมือนกับเทียนหยุนที่ต้องใช้หยกสวรรค์จำนวนมากเท่ากับความต้องการของเซียนขั้นเทวะหลายคน…” หวังหลินขมวดคิ้วแน่นขึ้น

“หรือว่า…ขั้นที่สองไม่จำเป็นต้องใช้หินหยกสวรรค์? หรือมีวิธีพิเศษที่ใช้สิ่งอื่นทดแทนหินหยกสวรรค์?” ข้อสันนิษฐานเกิดขึ้นภายในใจ

ขณะที่เขาขบคิดไปเรื่อยๆ พลันขยับศีรษะ มีสายลมพัดมาเบาๆ ชายชราชุดดำจากตระกูลซุนปรากฏตัวอยู่นอกบ้าน

หวังหลินโบกฝ่ามือและกฏเกณฑ์ในบ้านพลันหายไป ชายชรารีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ลดระดับการบ่มเพาะอยู่ขั้นแกนลมปรานและเดินเข้าไปในห้องด้วยรอยยิ้มขมขื่นในใจ

“ผู้อาวุโส ครั้งก่อนข้าเร่งรีบไปจึงไม่ได้แนะนำตัวเอง ผู้เยาว์มาจากตระกูลซุนชื่อซุนฉีหมิง ข้าเป็นคนดูแลเมืองแห่งนี้ ไม่ทราบว่าข้าขอทราบนามของผู้อาวุโสได้หรือไม่” ชายชรากล่าวอย่างเคารพที่สุด การที่ท่านบรรพชนออกมาเป็นการส่วนตัวแล้ว เขาจึงไม่สามารถล่วงเกินคนผู้นี้ได้

หวังหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ซิ่วมู่”

“ผู้อาวุโสซิ่วนี่คือหินหยกสวรรค์สองแสนก้อนจากตระกูล โปรดท่านตรวจสอบมัน” ชายชรารีบหยิบออกมาจากกระเป๋า อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ หินหยกสวรรค์จำนวนสองแสนก้อนนี้คือของขวัญจากท่านบรรพชน แสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้มีสิ่งพิเศษมาก

หลังจากรับกระเป๋ามา หวังหลินไม่ได้ตรวจสอบมันเลย เขาเชื่อว่าสหายเซียนขั้นเทวะจากตระกูลซุนคงไม่โกงเขาเช่นนี้หรอก

หลังจากที่ชายชรายื่นกระเป๋าให้เขารีบเอ่ยขึ้นมา “ผู้อาวุโสมั่นใจได้เลย ผู้เยาว์ได้ให้ถ่ายทอดคำสั่งออกไปเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ไม่ได้แพร่กระจายออกไป ไม่มีใครรู้ว่าผู้เยาว์นั้นมาที่นี่ในวันนี้ดังนั้นจะไม่มีใครรบกวนการฝึกฝนของผู้อาวุโส นอกจากนี้ถ้าหากท่านต้องการปิดด่านฝึกตนก็มีสถานที่ที่ดีกว่านี้ภายในเมือง”

หวังหลินพูดอย่างใจเย็น “ไม่เป็นไร เจ้าไปได้แล้ว”

ชายชราคำนับอย่างรวดเร็ว เขาลังเลเล็กน้อยแล้วก็พูดออกมา “อาวุโส อีกเจ็ดวันอารามกองสมบัติแห่งตระกูลรานจะจัดการประมูลขึ้น มันมียาระดับแปดในงานอีกด้วย…”

หวังหลินกวาดแววตาเย็นชาไป เขาตัวสั่นเทาและกลืนคำพูดต่อจากนั้นลงคอ

ภายในห้องเงียบกริบและเมื่อเวลาผ่านไปสำหรับชายชราแล้วมันยาวนานมากแต่ละลมหายใจกินเวลานานนับปี

ความเงียบสร้างแรงกดดันทำให้ร่างชายชราสั่นสะท้าน เขาไม่ต้องการทำเช่นนี้แต่ตระกูลสั่งให้เขาทดสอบระดับการบ่มเพาะคนตรงหน้าดังนั้นเขาจึงต้องกัดฟันถามคำถามออกไป อย่างไรก็ตามในใจเขายังมีความหวังอยู่ซึ่งไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสซิ่วมู่มองเจตนาของเขาออกแต่เพราะถูกหลอกล่อด้วยเม็ดยาเทพเทียมระดับแปด

จากนั้นไม่นานหวังหลินค่อยๆพูดขึ้น “นำมันมานี่!”

ใบหน้าชายชราซีดเผือดเมื่อจ้องไปที่หวังหลิน เขารีบส่งเหรียญตราสีแดงออกมาและกระซิบ “นี่คือเหรียญตราสำหรับการประมูล”

“เจ้าไปได้แล้ว” หลังจากรับได้เหรียญตรามาหวังหลินจึงหลับตาลง

ชายชราจากไปอย่างรวดเร็วและถอนหายใจอย่างโล่งอก เสื้อผ้าเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบและในขณะนั้นคำพูดเยือกเย็นของหวังหลินก็เข้าสู่หู

“จะไม่มีครั้งที่สองอีก!”

ใบหน้าของชายชราเริ่มบิดเบี้ยว เขารีบหันกลับไปและคำนับอย่างสุภาพก่อนจะหายตัวไปในสายลม เขาปรากฎตัวออกห่างไกลจากตัวเมืองและเช็ดเหงื่อเย็นจากหน้าผาก ขณะที่คำพูดของหวังหลินเข้ามาในหู เขาจึงรู้เลยว่าทุกความคิดของเขาถูกมองทะลุหมดแล้ว เล่ห์เหลี่ยมระดับนี้ทำให้เขาหวาดกลัว

เขาทำตามสิ่งที่ตระกูลบอกให้ทำโดยใช้ยาระดับแปดทดสอบหวังหลิน เมื่อหวังเห็นรับเหรียญตราไป ก็แสดงว่าหวังหลินน่าจะเป็นเซียนขั้นเทวะ ถ้าหวังหลินไม่ได้ถูกล่อลวง เขาก็จะอพยพสมาชิกในตระกูลทั้งหมดออกไปโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ

เขาได้รับคำตอบแล้วแต่ในใจยังไม่สงบลงเลย

“เม็ดยาระดับแปด….” หวังหลินครุ่นคิดขณะถือเหรียญตราไปด้วย

หวังหลินรู้จักระดับของยาเป็นอย่างดี นอกจากนั้นลี่มู่หวานยังเป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยา เม็ดยามีอยู่เก้าระดับ แต่ละระดับแยกคุณภาพเป็นคุณภาพต่ำ กลาง และสูง อันดับเก้าถือได้ว่าเป็นยาเทพ อันดับแปดคือยาเทพเทียม และอันดับเจ็ดคือยาสวรรค์

ในอดีตที่หวังหลินสร้างวิญญาณแรกกำเนิดขึ้นมา เขาเคยกินยาระดับหกคุณภาพสูงมาแล้ว

“ระดับเม็ดยาเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยชนรุ่นหลัง แม้ว่าชื่อคล้าย ‘สวรรค์’ และ’เทพเจ้า” จะฟังดูน่าทึ่งมากแต่มันไม่อาจเทียบได้กับเม็ดยาเทพและเม็ดยาสวรรค์ของจริง ซึ่งแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

“กล่าวให้ชัดก็คือเม็ดยาระดับเก้าถือเป็นขีดจำกัดแล้ว หากบรรลุก้าวที่สองไปได้ เม็ดยาจะไร้ประโยชน์ไปเลยเว้นแต่จะได้รับเม็ดยาเทพหรือเม็ดยาสวรรค์ของจริงมา แต่ด้วยระดับบ่มเพาะของข้าตอนนี้ เม็ดยาระดับแปดยังคงส่งผลอยู่” ดวงตาหวังหลินพลันเปล่งประกายและตัดสินใจได้แล้ว

“เด็กน้อยชุดดำนั้นคงไม่กล้าทดสอบระดับการบ่มเพาะของข้าด้วยเม็ดยาหรอก ต้องเป็นเซียนเทวะของตระกูลซุนแน่นอน เขาไม่อาจมองทะลุระดับการบ่มเพาะของข้าได้จึงใช้ได้วิธีลูกไม้เช่นนี้ทดสอบข้า”

“หากข้าไม่ถูกชักจูงนั่นหมายความว่าข้าผ่านขั้นแรกของการบ่มเพาะไปแล้ว” หวังหลินแตะไปที่กระเป๋าซึ่งภายในมีหินหยกสวรรค์สองแสนก้อน เขาเก็บเรื่องอื่นไว้ทีหลัง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!