670. เหนือชีวิตและความตายนั่นคือชะตากรรม
ซุนไท่ทางหวังหลินด้วยใบหน้าซับซ้อน ไม่มีคำพูดคำใดออกจากปากไปพักใหญ่ แม้ระดับบ่มเพาะจะตกลงมาที่ขั้นตัดวิญญาณแต่ความสามารถการสังเกตยังอยู่ดี ซึ่งไม่ว่าเขาพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถมองทะลุระดับบ่มเพาะของหวังหลินได้
เขาตกตะลึง คิดได้ว่าเซียนขั้นตัดวิญญาณที่อ่อนแอในแดนสวรรค์คราวนั้นและถูกบังคับให้ยกเลิกการควบคุมเขา เซียนที่อ่อนแอที่ทำได้แต่เพียงมองดูการต่อสู้ระหว่างเขาและโจวยี่ เป็นไปไม่ได้ที่เซียนอ่อนแอคนนั้นจะคือคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้
แม้หวังหลินเมื่อตอนนั้นจะดุร้ายอำมหิต เขายังขาดไหวพริบเชาว์ปัญญาและระดับบ่มเพาะต่ำเกินไป หากไม่มีตราประทับของโจวยี่ เขาคงสามารถฆ่าหวังหลินด้วยฝ่ามือเดียว
หวังหลินเบื้องหน้าเขาเป็นคนสงบนิ่งและเพียงแค่สายตานั้นก็เพียงพอให้วิญญาณดั้งเดิมสั่นไหวได้แล้ว ความแตกต่างมหาศาลนี้เป็นสิ่งที่ซุนไท่ไม่อาจรับได้
หวังหลินเมื่อก่อนนั้นมีสถานะต่ำต้อยและนับว่าเป็นหมากตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่มีเซียนขั้นเทวะคนใดคิดว่าเขาจะเป็นภัยคุกคามได้
ทว่าในขณะที่หวังหลินปรากฏตัว เขาพลันกระตุ้นความสนใจของบรรพชนตระกูลรานออกมาจนยกเม็ดยาระดับแปดให้เป็นของขวัญ สำหรับตัวเขาเองที่เป็นเพียงแขกของตระกูลรานนั้นนี่เป็นการเสียเกียติทั้งหมดที่เขามีในอดีต
ตอนนั้นที่หวังหลินเผชิญสถานการณ์เฉียดเป็นเฉียดตาย หวังหลินต้องการให้เขาช่วยเหลือ หากไม่มีเขา หวังหลินคงถูกบรรพชนเผ่ามารยักษ์ฆ่าไปแล้ว
แต่คนเบื้องหน้าเขาตอนนี้กลับมีระดับบ่มเพาะสูงยิ่ง อีกทั้งหวังหลินยังมีกลิ่นอายปล่อยออกมาบอกซุนไท่ว่าหวังหลินฆ่าเซียนระดับเดียวกันไปมากมาย!
การฆ่าเซียนขั้นเทวะได้คือคนที่น่าสะพรึงกลัว!
ความต่างชั้นรุนแรงนี้ได้ทำให้เกิดความรู้สึกอันซับซ้อนพัดเข้าใส่จิตใจของซุนไท่ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหลายร้อยปีที่ผ่านมาของคนตรงหน้าคือการสั่นสะเทือนถึงสวรรค์
ด้วยความตกใจ ภาพความคิดของเซียนผู้อ่อนแอในใจเขาค่อยๆเลือนหายไป ถูกแทนที่ด้วยคนที่แข็งแกร่งจนเขาไม่สามารถกล่าวเสียงดังใกล้ๆหรือมองแววตาได้ แม้กระทั่งหากเขาถูกกลายเป็นคนรับใช้ของคนผู้นี้ เขาก็จะไม่มีข้อโต้แย้งใดทั้งสิ้น!
หวังหลินไม่ได้กล่าวอะไรแต่เขาสามารถเดาอารมณ์ของซุนไท่ตอนนี้ได้ไม่มากไม่น้อย เขาเพียงแต่มองซุนไท่ด้วยความสงบนิ่ง
ซุนไท่จ้องมองหวังหลินและกระซิบ “เจ้า…ตอนนี้เจ้ามีระดับบ่มเพาะอะไร?”
หวังหลินตอบ “ขั้นเทวะ!”
ซุนไท่ยิ้มบิดเบี้ยว เขาไม่เชื่อว่าหวังหลินจะเป็นแค่ขั้นเทวะซึ่งเขายังสามารถสัมผัสอะไรบางอย่างได้ จากมุมมองของเขาแล้วแม้แต่บรรพชนตระกูลรานก็ไม่อาจเปรียบเป็นเซียนอ่อนแอไปได้
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมบรรพชนตระกูลรานถึงยกเม็ดยาระดับแปดให้กับหวังหลินผ่านการประมูล
“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้า!” หวังหลินเอ่ยน้ำเสียงสงบนิ่ง ละสายตาออกจากซุนไท่และมองออกไปนอกหน้าต่าง
ประโยคเรียบง่ายเช่นนี้ทำใหร่างซุนไท่สั่นเทาและเกิดความรู้สึกซับซ้อนในใจ เซียนตัวน้อยจากเมื่อก่อนกล้าพูดคุยกับเขาเช่นนี้ แต่น่าเศร้าที่เพียงแค่ประโยคเดียวก็เพียงพอให้วิญญาณเขาสั่นไหวแล้ว
ซุนไท่กล่าวอย่างเจ็บปวด “ข้า…ตอนที่ข้าถูกเคลื่อนย้ายมาที่ดาราจักรทุกชั้นฟ้า ข้าปรากฏตัวใกล้กับดาวตงหลิน อาศัยทำงานให้กับตระกูลลิ่วอยู่เกือบร้อยปี แล้วในที่สุดก็ได้รับอิสระ”
“ตราประทับในร่างกายข้าถูกคนจากตระกูลลิ่วทำพังเสียหาย เพียง…ข้าไม่คิดว่าตราประทับยังคงอยู่”
“ตระกูลลิ่ว?” หวังหลินหรี่ตา
ซุนไท่กระซิบ “ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดบนดาวตงหลินมีอยู่สามตระกูลคือตระกูลซิ่ว ตระกูลลิ่วและตระกูลหลิว!”
หวังหลินขบคิดและกล่าวอีก “สามตระกูลนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน? ดาวตรงหลินมีสิ่งใดพิเศษ?”
“สามตระกูลนั้นแข็งแกร่งจนหยั่งไม่ถึง เรื่องที่แข็งแกร่งแค่ไหนนนั้นสถานะของข้าไม่สูงพอที่จะรู้ได้ อย่างไรก็ตามตระกูลเหล่านี้เพียงแค่ส่งผู้อาวุโสออกมาคนเดียวก็เข่นฆ่าดาวรานหยุน…”
“เรื่องความแตกต่างระหว่างดาวตงหลินนั้น สิ่งเดียวที่ข้าบอกได้คือความโกลาหลและเป็นดินแดนแห่งโลหิต” ซุนไท่นึกถึงอดีตที่ผ่านมา ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หวังหลินรับรู้ร่องรอยความหวาดกลัวของเขาได้จึงลอบถอนหายใจ เมื่อหัวหน้าผู้อาวุโสของสำนักซากศพบนดาวซูซาคุหายตัวไป แม้เขาจะฟื้นระดับบ่มเพาะกลับมาได้ เขาก็ไม่สามารถปีนขึ้นไปให้มีสถานะสูงส่งได้อีก
เพราะเขาสูญเสียจิตใจแห่งเต๋าที่ควรจะมี ติดใจแห่งเต๋าถูกบดขยี้มาเป็นร้อยปีที่เขาใช้ชีวิตอยู่บนดาวตงหลิน
หวังหลินถามขึ้นมา “มีตระกูลเซียงบนดาวตงหลินหรือไม่?”
“ตระกูลเซียง?” ซุนไท่คิดอยู่นานและส่ายศีรษะ “ตามที่ข้ารู้จัก ไม่มีตระกูลเซียงอยู่ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าสถานะของข้าอยู่ต่ำเกินไปที่จะรู้ความลับใดได้”
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่ซุนไท่และกล่าวออกมา “เจ้าเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสของสำนักซากศพบนดาวซูซาคุแห่งดาราจักรพันธมิตรเซียน ดังนั้นเจ้าต้องรู้อะไรบางอย่าง สำนักซากศพมีโครงสร้างแบบไหน?”
ซุนไท่ถอนหายใจและกล่าวอย่างขมขื่น “แม้ข้าจะเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสของสำนักซากศพ ยังมีอีกหลายอย่างที่ข้าไม่รู้ ข้ารู้แต่เพียงว่าสำนักซากศพคือหนึ่งในสองสำนักที่ยิ่งใหญ่แห่งดาราจักรพันธมิตรเซียน”
“สำนักที่ข้าพูดถึงนั้นคือสำนักจริงๆ ไม่ใช่แค่อยู่บนดาวดวงเดียวเท่านั้นแต่สำนักขยายตัวออกไปข้ามผ่านพันธมิตรดวงดาว มีเซียนทรงพลังหลายคนอยู่ในนั้น ความแข็งแกร่งแต่ละคนกระทั่งแข็งแกร่งกว่าคนที่มีตำแหน่งสูงๆในพันธมิตรเซียนเสียอีก”
“มีข่าวลือว่าบรรพชนของสำนักซากศพคือคนที่มีสถานะสูงส่งในเหล่าพันธมิตร นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสำนักซากศพถึงได้คงอยู่มานานมาก”
“ส่วนสำนักขนาดใหญ่แห่งอื่นที่สามารถต่อสู้กับสำนักซากศพได้คือสำนักจตุรเทพ กล่าวให้ชัดก็คือดาวซูซาคุถือเป็นกิ่งก้านสาขาของสำนักจตุรเทพ ลือกันว่าซูซาคุรุ่นแรกก็มาจากดาวจตุรเทพด้วย”
“ดาวจตุรเทพเป็นเพียงดาวสาขาของสำนักจตุรเทพเท่านั้น หากคิดตามไปด้วย เจ้าถือว่าเป็นศิษย์สายนอกสุดของสำนักจตุรเทพ”
หวังหลินเผยแววตรเคร่งขรึม ช่วงเวลาที่เขาฝึกเซียนถือว่าค่อนข้างสั้นดังนั้นจึงมีความลับหลายอย่างที่เขาไม่รู้ เมื่อหวังหลินได้ยินเรื่องนี้ เขารู้สึกราวกับกำลังเข้าใจดาราจักรพันธมิตรเซียนเสียใหม่
หลังขบคิดเล็กน้อย หวังหลินมองซุนไท่และเอ่ยถาม “เจ้ามีสถานะอะไรในตระกูลราน?”
“ข้าเป็นแค่แขกของตระกูลรานเท่านั้นและใช้เวลาอยู่อย่างสันโดษที่อารามกองสมบัติ บรรพชนตระกูลรานรับข้ามาเพราะข้ามีวิชาปรุงยาและหลอมสมบัติ” แววตาซุนไท่เต็มไปด้วยความหดหู่ เขาลังเลและเอ่ยออกมา “เจ้า…เจ้าไม่ควรรับเม็ดยารับแปดนั้นไป มันเป็นกับดักที่บรรพชนตระกูลรานวางเอาไว้ เมื่อสี่ปีก่อน…”
ซุนไท่อธิบายทุกอย่างที่เขารู้จากเมื่อสี่ปีก่อน มันผิวเผินเหมือนกับที่ซุนซื่อบอกเขา
ตอนนี้ท้องฟ้าข้างนอกกำลังมืดและดวงอาทิตย์ตกไปแล้ว แสงจากข้างนอกกระทบลงบนซุนไท่ทำให้เขาดูแก่ชราขึ้นไปอีก
เศษเสี้ยวกลิ่นอายแห่งความตายปรากฏขึ้นมาเมื่อแสงอาทิตย์กระทบบนร่างเขา แม้ว่ามันจะเลือนลางแต่เขตแดนของหวังหลินคือชีวิตและความตาย ดังนั้นเขาจึงมองออกได้ทันที
หวังหลินถอนสายตาและกล่าวอย่างนิ่งเฉย “เจ้ามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว…”
ซุนไท่พยักหน้าอย่างขมขื่น “เวลาเหลือไม่มากจริงๆ ข้ารู้สึกว่าข้าอายุขัยอีกราวๆยี่สิบปี”
“เจ้ากลับไปได้แล้ว หากข้ายังอยู่บนดาวรานหยุนในอีกยี่สิบปี ข้าจะเป็นคนไปส่งเจ้าเอง” หวังหลินหลับตาลง
ซุนไท่ครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะยืนขึ้น เขามองออกไปนอกหน้าต่างและกล่าวเสียงเบา “เจ้า…สัญญากับข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?”
หวังหลินกล่าวโดยไม่ได้ลืมตา “พูดมา”
“หากในอีกยี่สิบปีเจ้าจะเป็นคนส่งข้าจริงๆ โปรดเอาขี้เถ้าของข้ากลับไปที่ดาวจันทร์มืดแห่งดาราจักรพันธมิตรเซียนด้วย มีภูเขาแห่งหนึ่งที่แทงยอดทะลุท้องฟ้า ข้าจะได้ว่ามีหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่นั่นอยู่ตรงตีนเขา โปรดนำขี้เถ้าของข้ากลับไปไว้ที่หมู่บ้านแห่งนั้น”
หวังหลินถอนหายใจ เขาลืมตาขึ้นและพยักหน้าให้ซุนไท่
ซุนไท่เผยรอยยิ้มแห่งความขอบคุณ ในจังหวะหนึ่งเขาราวกับเป็นชายชราธรรมดาที่ต้องการกลับรากเหง้าของตนเองหลังจากตายไปแล้วและไม่ต้องการกลายเป็นผีอยู่ต่างแดน
เขานำกระเป๋าออกมาวางลงไว้อย่างช้าๆและเอ่ยขึ้น “นี่คือหินหยกสวรรค์ที่ข้าเก็บรวบรวมตอนที่ฟื้นฟูระดับบ่มเพาะ แต่หลังจากเห็นเจ้า ข้ากลับรู้สึกว่าข้าไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกแล้ว ยังมีบันทึกประสบการณ์การปรุงยาและหลอมสมบัติไว้อยู่ด้วย เพื่อเป็นการขอบคุณที่จะส่งตาแก่คนนี้กลับบ้าน”
ซุนไท่เดินออกไปขณะมองพระอาทิตย์กำลังตกดิน แสงสีส้มจากดวงอาทิตย์พร้อมกับซุนไท่เดินออกไปไกลและไกลยิ่งขึ้น
เขาพบกับสหายเก่าและไม่รู้ว่าตกอยู่ในอารมณ์แบบไหน ขณะที่หวังหลินมองร่างของซุนไท่ หัวหน้าผู้อาวุโสแห่งสำนักซากศพผู้แข็งแกร่งต่อสู้กับโจวยี่และขโมยร่างศพสตรีพลันทับซ้อนรับร่างนั้น
แม้เขาจะเดินจากไปแล้ว เขาก็ไม่ได้ถามถึงเด็กที่เขาปล่อยทิ้งไว้เมื่อตอนนั้น บางทีเขาคงล้มเลิกทุกอย่างและเพียงต้องการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ยี่สิบปีอย่างเงียบๆ
การยกกระเป๋าของเขาให้คือการคลายปมในใจ นั่นหมายถึงเขายอมแพ้การฟื้นฟูระดับและยอมแพ้ต่อทุกสิ่งอย่าง รวมไปถึงยอมแพ้ต่อความรู้สึกที่เขาแข็งข้อใช้เวลาอยูที่นี่ไปหลายร้อยปี
นั่นก็เพราะหวังหลินที่เขาเลือกจะจบโชคชะตาของตัวเอง แต่ก็เพราะหวังหลินด้วยที่ทำให้วิญญาณเขาซึ่งเจ็บปวดมาหลายร้อยปีเกิดโล่งใจขึ้นมา หากมีคำว่าชะตากรรม ก็คงเรียกกันแบบนั้น
คำขอของเขามีอย่างเดียวคือนำเขากลับบ้าน ให้หวังหลินส่งเขากลับไปที่หมู่บ้านเล็กๆใต้ภูเขาสูงเสียดฟ้าแห่งนั้น…
พระอาทิตย์ตกดินและหวังหลินหลับตาลง ชีวิตและความตาย เพียงแค่คิดขึ้นมาก็แยกสาเหตุและผลลัพธ์แห่งชะตากรรมออกจากกันได้เหมือนดั่งเช่นหยินหยาง ถูกและผิด
นี่คือหนทางที่โลกเป็นอยู่
“ผลกรรมคือเส้นทางหลังเขตแดนแห่งชีวิตและความตาย กล่าวได้ว่าชะตากรรมคือรากเหง้าแห่งชีวิตและความตาย เป็นเพราะมีชะตากรรมแห่งชีวิตจึงมีผลแห่งกรรมขึ้นมา” หวังหลินรู้สึกเกิดการรู้แจ้งแต่ทุกอย่างยังแปลกตา ราวกับเขามองเห็นแต่ไม่สามารถสัมผัสได้