672. บ่วงกรรม ค้นหาชีวิตและความตาย
“ทั้งหมดคือเงื่อนไขของข้าในการปกป้องพวกเจ้า!” คำพูดของหวังหลินไม่ได้ให้ทั้งสามคนมีสิทธิ์เลือกอันใด สายตาจรดลงบนทั้งสามคน
หากสามคนนี้ตกลงถือว่าดี แต่หากไม่ หวังหลินก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
บรรพชนตระกูลรานขบคิดในชั่วจังหวะ ความอันตรายของตระกูลฮวนถือว่าใหญ่เกินไป หากไม่มีใครรับผิดชอบเรื่องนี้ เมื่อนั้นตระกูลรานจะเผชิญหน้ากับอันตรายการสูญสิ้นทั้งตระกูล
เขากัดฟันแน่นและกล่าวอย่างมุ่งมั่น “ตกลง!” สิ้นคำนั้นบรรพชนตระกูลรานหันศีรษะกลับมาจ้องชายวัยกลางคนที่อยู่ในธารน้ำแข็ง
ไม่เพียงแค่บรรพชนตระกูลรานคนเดียว ซุนซื่อมองไปที่ชายกลางคนด้วยเช่นเดียวกัน
บรรพชนตระกูลรานกล่าวอย่างเยือกเย็น “น้องซาโฮ ตอนนั้นเราสามคนต่างก็โจมตีด้วยกัน เจ้าตั้งใจจะหนีหรือ!?”
ชายวัยกลางคนขบคิดและหลังจากนั้นไม่นานก็ยิ้มอย่างบูดเบี้ยว “ข้าตกลง” สักพักเขาก็นำกระเป๋าออกมาหยิบหินหยกสวรรค์บางส่วนโยนให้หวังหลินแล้วกล่าวอย่างขมขื่น “ตระกูลของข้าไม่ได้ใหญ่มาก ดังนั้นเราจึงไม่ได้มีหินหยกสวรรค์มากมายนัก ข้าเก็บหินหยกสวรรค์ไว้ในกระเป๋านั้นอย่างระมัดระวัง”
บรรพชนตระกูลรานและซุนซื่อต่างก็ส่งหินหยกสวรรค์ออกมาด้วย หินหยกสวรรค์เป็นของมีค่าที่ใช้แล้วทิ้ง ดังนั้นเหล่าเซียนจึงมักจะเก็บไว้กับตัวเอง
ส่วนสิ่งของของคนตระกูลรานนั้น ทั้งสามคนส่งพวกมันออกมาให้โดยไม่ลังเล สำหรับพวกเขาแล้ว ของเหล่านี้ไม่ใช่สมบัติแต่เป็นน้ำหนักที่ทำให้จิตใจหนักหน่วงตลอดสี่ปีที่ผ่านมา
หลังเก็บของทั้งหมด หวังหลินหันตัวกลับและจากไปทิ้งไว้แต่เพียงประโยคเดียวลอยมาตามสายลม
“หากไม่มีอะไรสำคัญอีกอย่ารบกวนข้า หากตระกูลฮวนปรากฏตัว ข้าจะลงมือด้วยตัวเอง”
หลังจากหวังหลินจากไปแล้ว ทั้งสามคนครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ ซุนซื่อมีความคิดอื่นในใจและเป็นคนที่ผ่อนคลายมากที่สุด เขายิ้มพร้อมคำนับฝ่ามือ “สหายเซียนสองคน ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องทำ ขอตัวลาก่อน”
ชายวัยกลางคนถอนหายใจเช่นกันและเอ่ยขึ้น “ข้าต้องเดินทางกลับบ้านเพื่อเตรียมหินหยกสวรรค์หากสหายเซียนซิ่วต้องการอีก”
สองลำแสงสีแดง หนึ่งไปเหนือและอีกหนึ่งไปทางใต้ บรรพชนตระกูลรานยืนอยู่ที่เดิมและครุ่นคิดอย่างเงียบๆสักพัก จากนั้นถอนหายในยาวมองออกไปไกลและพึมพำ “ช่างมันเถอะ ยากนักที่จะหลีกเลี่ยงหายนะได้…เรื่องเมื่อสี่ปีก่อนจะถูกแบกไว้บนไหล่ซิ่วมู่ หากเขาไม่ตายก็คงดี แม้เขาดูไม่เหมือนคนที่จะทำลายสัญญาก็เถอะ ข้ายังต้องป้องกันไม่ให้เขาลอบออกจากดาวรานหยุนด้วย”
ชั่วขณะนั้น ณ ทางใต้ของดาวพันมายา บ้านบรรพชนตระกูลฮวน หัวหน้าตระกูลฮวนนามว่าฮวนเฟิงเฉินกำลังยืนอย่างเคารพถัดกับชายชราผู้หนึ่ง ชายชราผู้นี้รูปร่างผอมและเป็นคนเดียวกับที่พาหลิวเหมยมาจากดาราจักรพันธมิตรเซียน
ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “หากเขาหายตัวไปเมื่อสี่ปีก่อน ทำไมถึงมาจัดการตอนนี้?”
ฮวนเฟิงเฉินกล่าว “ท่านบรรพชน ชายคนนั้นเป็นแค่คนของตระกูลสาขา แต่พรสวรรค์ถือว่าดีอยู่จึงบ่มเพาะได้ถึงขั้นเทวะระดับกลาง จึงทำให้เขาได้รับหน้าที่ออกไปภายนอก ท่านบรรพชน ท่านก็รู้ว่าตระกูลฮวนกว้างใหญ่เกินไป นอกจากศิษย์สายตรงแล้ว แม้จะเขาจะหายตัวไปก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะตามรอยทุกคนได้หมด”
บรรพชนขมวดคิ้วและถามกลับมา “ไม่มีใครที่มีระดับบ่มเพาะสูงกว่าหรือ?”
ฮวนเฟิงเฉินกระซิบ “ท่านบรรพชน เวลาที่ท่านให้เรานับว่าน้อยเกินไป หากท่านให้ข้าอีกสามเดือน ข้าสามารถหาคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกว่าได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ตอนนี้”
ชายชราขบคิดก่อนจะกล่าวอย่างมุ่งมั่น “ก็ได้ ข้าจะให้เวลาเจ้าอีกสามเดือน!”
ฮวนเฟิงเฉินเงยศีรษะขึ้นและเอ่ยถาม “ใครกันที่หายตัวไปเมื่อสี่ปีก่อน?”
“ตอนที่เรารู้เรื่องนี้ เราได้ให้ฮวนเหมยส่งองครักษ์ไปจัดการคนเกี่ยวข้องแล้ว! เราต้องแสดงอำนาจของตระกูลฮวนให้เห็น!”
ฮวนเฟิงเฉินพยักหน้าและจากไป
หลังออกจากห้อง ในสายตาเขาแฝงความมืดมิดพร้อมกับคิดกับตัวเอง ‘ท่านบรรพชนแก่แล้วจริงๆ เขาถึงกับต้องการทำพิธีถ่ายโลหิตให้กับคนภายนอก ทั้งยังปล่อยฮวนเหมยไปแสดงอำนาจของตระกูลฮวนอีก เป็นไปได้ว่าเขาต้องการนางให้เป็นผู้นำตระกูลฮวน!?’
สามวันถัดมา…
หลิวเหมยอยู่ในบ้าน มองออกไปท้องฟ้าด้านนอกและกล่าวเบาๆ “ดาวรานหยุน…เมื่อท่านพ่อบุญธรรมขอให้ข้าจัดการเรื่องนี้โดยการส่งคนไป…งั้นฮวนตง เจ้าไป…”
“ขอรับ!” คนผู้หนึ่งปรากฏตัวจากเหงาของหลิวเหมย เขาอายุราวสามสิบปีและรูปร่างหน้าตาดีอย่างยิ่ง เขาคุกเข่าลงหนึ่งข้างมองแผ่นหลังของหลิวเหมยด้วยสายตาคลั่งไคล้
หลิวเหมยหันกลับมาและกล่าวกับชายผู้นั้นเบาๆ “เจ้าบรรลุขั้นเทวะระดับกลางแล้ว ดังนั้นจึงไม่ควรจะมีปัญหาอะไร แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องเล็กแต่เป็นงานแรกของข้าในตระกูลฮวน เจ้าต้องเสร็จงานนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เข้าใจไหมฮวนตง?”
“นายหญิงสบายใจได้ ฮวนตงจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!” ฮวนตงสูดหายใจลึกและแววตาคลั่งไคล้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น ตอนที่เขาเห็นหลิวเหมยครั้งแรกเขากลับตกอยู่ในอาการตกใจ พลันคิดว่านางเป็นนางฟ้าจากสวรรค์
“เซียนที่แข็งแกร่งที่สุดบนดาวรานหยุนคือบรรพชนตระกูลราน ระดับบ่มเพาะของเขาเท่าเดียวกับข้าซึ่งเป็นขั้นเทวะระดับกลาง แม้เขาจะกล้าหาญกว่าข้าเป็นร้อยเท่า เขาก็จะไม่กล้าต่อต้าน การเดินทางครั้งนี้ของข้าจะไม่ทำให้นายหญิงเสียหน้าแน่นอน”
หลิวเหมยเผยรอยยิ้มงดงามยิ่ง ฮวนตงตกตะลึงกับรอยยิ้มนั้นและแข็งค้างไปเล็กน้อย แววตาคลั่งไคล้รุนแรงและแฝงความคิดครอบครอง
หลังจากหวังหลินเคลื่อนที่พริบตามา เขาก็มาถึงด้านหลังเมืองตระกูลซุน เขาไม่ได้ตรงกลับไปที่บ้านแต่เดินบนถนนแทน เขากำลังคิดถึงความเข้าใจเขตแดนของตนเอง เขตแดนแห่งชีวิตและความตายได้หลอมรวมเข้ากับวิญญาณดั้งเดิมไปแล้ว วิญญาณดั้งเดิมของเขาก็คือความเข้าใจในเขตแดนนั่นเอง
“เหนือชีวิตและความตายอาจเป็นเคราะห์กรรม…ข้าไม่อาจมั่นใจได้…เต๋าแห่งกรรมถือว่าใหญ่เกินไป ตอนที่ข้าบรรลุขั้นเทวะ ข้าได้รับความเข้าใจและสร้างแม่น้ำอเวจีขึ้นมา แต่นั่นเป็นเพียงแค่ความตายเท่านั้น”
เมื่อมองเมืองที่อึกทึกรอบตัว หวังหลินพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย
“แต่ไหนเล่าคือเต๋าแห่งชีวิต…”
ขณะที่กำลังขบคิด หวังหลินก็ถอนหายใจออกมา เขามาถึงทิศเหนือของเมืองในไม่นาน เมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ใต้ก้อนหิน หวังหลินก็เผยรอยยิ้ม
“สาวคนนี้มีจิตใจเมตตามาก ในโลกแห่งเซียนมีน้อยนักที่มีเซียนแบบนี้อยู่”
เด็กหนุ่มดูเหมือนจะรับรู้บางอย่างได้และลืมตาขึ้นมา เมื่อนางเห็นหวังหลินจึงเกิดอาการตกใจและถามขึ้น “เจ้า…เจ้าไม่ได้ถูกจับไปหรือ?”
หวังหลินยิ้มบาง “เขาปล่อยข้าไปหลังจากถามอะไรบางอย่าง”
เด็กหนุ่มมองหวังหลินด้วยสายตางุนงงและไม่ได้ถามต่อ ทุกคนต่างมีความลับของตนเอง หากไม่อยากพูด ถามไปก็ไร้ประโยชน์
“เจ้าเอาเวลามาฝึกฝนดีกว่า ข้ามองออกว่าระดับบ่มเพาะของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ จงจำสิ่งที่ข้าบอกเจ้าครั้งล่าสุดไว้” เด็กหนุ่มมองหวังหลินอย่างจริงจังและกล่าวขึ้น “ความขยันหมั่นเพียรสามารถทดแทนพรสวรรค์ได้!”
หวังหลินพยักหน้าและยิ้มๆ “เจ้าฝึกฝนได้หนักทีเดียวและมุ่งมั่นที่จะบรรลุขั้นตัดวิญญาณ”
“ตัดวิญญาณ…” เด็กหนุ่มส่ายศีรษะและกล่าวออกมา “ข้าได้ยินจากผู้อาวุโสในตระกูลว่าขั้นตัดวิญญาณนั้นต่างกัน ไม่ว่าเจ้าจะขยันหมั่นเพียรแค่ไหน หากเจ้าไม่สามารถรู้แจ้งสวรรค์ได้เมื่อนั้นก็ไม่สามารถบรรลุตัวตนดุจครึ่งเทพไปได้ เป็นขอบเขตที่เจ้าไม่สามารถเอื้อมถึงอย่างแท้จริง”
“ข้ามั่นใจว่าในชีวิตของข้าบรรลุได้แค่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลาย”
หวังหลินยิ้มเล็กๆ ตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังอยู่ด้านหลังเขาและแสงของมันกำลังตกกระทบบนร่างกาย ดูเหมือนกับว่ารอยยิ้มนี้จะมีแสงอาทิตย์ไปด้วย
“หากเจ้ารักษาความคิดเช่นนี้ต่อไป เจ้าก็จะบรรลุชั้นตัดวิญญาณได้”
นางคิดว่าเขากำลังทำให้นางสบายใจและนางยิ้มขึ้น “ก็ดี หากข้าบรรลุขั้นตัดวิญญาณได้ ข้าจะจดจำความเข้าใจของเจ้าในวันนี้ เอาหล่ะเจ้ากลับไปฝึกฝนเสียดีกว่า”
หวังหลินยิ้มและพยักหน้า เขาเดินผ่านทางเข้าและเลือนหายไป
นางพึมพำกับตัวเองอยู่ใต้ก้อนหิน “หากข้าบรรลุขั้นตัดวิญญาณได้จริงๆ…”
หลังกลับมาที่ห้องของตัวเอง หวังหลินนั่งสมาธิลง ร่างกายเต็มไปด้วยพลังปราณสวรรค์ การกลืนกินปราณสวรรค์ให้มากกว่านี้นับว่าไร้ค่า เว้นแต่เขตแดนของเขาจะพัฒนาไปอีกขั้น
หวังหลินนำสิ่งของของคนตระกูลฮวนออกมา ของทั้งหมดอยู่ในกระเป๋าใบเดียวซึ่งเป็นพวกเสื้อผ้าและของเล็กๆน้อยๆ
สิ่งที่ทำให้สายตาหวังหลินเคร่งเครียดนอกจากเม็ดยาระดับแปดก็คือสมบัติวิเศษสองชิ้น เศษหินหยกและป้ายสิทธิ์
สมบัติวิเศษสองชิ้นไม่ได้มีสัมผัสวิญญาณทิ้งเอาไว้ ซึ่งความจริงจะมีเศษวิญญาณของสมาชิกตระกูลฮวนที่ตายไปแล้วเหลืออยู่
เห็นได้ชัดว่าบรรพชนตระกูลรานและชายวัยกลางคนที่ได้ของพวกนี้มาไม่กล้าทิ้งสัมผัสวิญญาณของตนเองไว้ภายใน
หนึ่งในสองสมบัติคือหวีสีดำ มีซี่ทั้งหมดสิบเก้าซี่ที่ปลดปล่อยกลิ่นอายโลหิตออกมา ขณะที่มันปรากฏในมือหวังหลิน เขาสัมผัสถึงความดุร้ายที่ออกมาจากมันได้
“สมบัติสวรรค์เทียมรูปแบบโจมตี! ทั้งยังมีค่ายกลอยู่ด้วย พลังอำนาจของสมบัติชิ้นนี้ไม่ใช่ของธรรมดา” หวังหลินสัมผัสซี่ของหวี่อย่างเบามือและสายตาตกลงบนสมบัติอีกชิ้น
มันคือหินธาตุเหล็กหนึ่งคู่ สองชิ้นนี้เป็นสีแดงล้วนและลอยในฝ่ามือหวังหลิน เขารู้สึกถึงความร้อนที่ออกมาได้
“นี่มัน…” หวังหลินจ้องหินด้วยแววตาส่องสว่าง จากนั้นคว้าหนึ่งชิ้นมาเสียดสีกันพลันเกิดประกายขึ้นและเกิดคลื่นความร้อนกระจายออกมา
“สมบัติวิเศษที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ!” หวังหลินสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปและจิตใจเพ่งพินิจบนหินสองก้อน
สมบัติส่วนใหญ่ถูกพวกเซียนสร้างขึ้นมาและมีบางส่วนที่เกิดตามธรรมชาติ ทว่าสมบัติแบบนั้นมีน้อยมาก น้อยยิ่งกว่าสมบัติมรดกเสียอีก
หวังหลินรู้เรื่องนี้ได้จากความทรงจำของเทพโบราณ ทว่าสำหรับเทพโบราณแล้วมันไม่ถือเป็นสมบัติแต่เป็นเพียงวัตถุดิบในการหลอมสมบัติเท่านั้น
หินสองชิ้นนี้เป็นวัตถุดิบที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เดิมทีมันเป็นธาตุโลหะแต่เนื่องจากมันมีความทนทานจึงมีความสามารถลึกลับบางอย่าง ดังนั้นเมื่อทั้งสองเสียดสีเข้าด้วยกันจึงสามารถสร้างประกายไฟออกมาได้
หินเหล็กไฟสองก้อนนี้ไม่เหมือนของที่คนธรรมดาจะใช้สร้างไฟขึ้นมา ตามจริงพวกมันเริ่มต้นเป็นไฟทองคำที่คล้ายกับไฟหยางของผู้ดูแลแคว้นปิศาจฟ้า(คนที่ใช้หอกดวงอาทิตย์ซึ่งก่อกวนหวังหลินระหว่างการประลองแม่ทัพปิศาจ) ถือว่าของชิ้นนี้เป็นสมบัติวิเศษแทนที่จะเป็นวัตถุดิบหล่อหลอม และมีพลังอำนาจไม่อ่อนแอ