679. เต๋าปิศาจสวรรค์หมื่นมายา
หวังหลินเก็บเข็มทิศดวงดาวและก้าวเข้าไปในดาวรานหยุน ขณะที่เขาเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ แววตาพลันกระพริบเย็นเยียบ
ตอนที่เขาอยู่ข้างนอกนั้นได้รับรู้ว่าดาวเคราะห์ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ คลื่นพลังปราณสวรรค์สะท้อนไปทั่วบริเวณ เห็นได้ชัดว่าพึ่งเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่นี่
หวังหลินสูดหายใจลึก สัมผัสวิญญาณของเขาได้ถูกหลิวเหมยเห็นไปแล้ว
ภาพลักษณ์ของหลิวเหมยได้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งต้องกล่าวว่านางน่าดึงดูดมากขึ้นกว่าก่อนยิ่งนัก
หวังหลินขมวดคิ้วเล็กน้อย ก้าวไปข้างหน้าและหายตัวไป เขาปรากฏตัวอีกครั้งทางฝั่งทิศใต้ของดวงดาวซึ่งห่างจากหลิวเหมยเพียงหนึ่งพันฟุต
หลิวเหมยจ้องมองร่างที่ปรากฏตัวห่างออกไปจากนาง แสงลึกลับในแววตายิ่งลึกลับขึ้น นางสังเกตเขาได้ตอนที่หวังหลินกำลังเข้ามาใกล้ดาวเคราะห์ นางรู้สึกว่าเขาช่างคุ้นเคยแต่รูปร่างหน้าตากลับไม่เคยเห็นมาก่อน
นางไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแต่กลับมองหวังหลินอย่างเงียบๆ
หวังหลินมองหลิวเหมยและกล่าวสงบนิ่ง “เจ้าฆ่าพวกเขาไปแล้ว ทีนี้ก็ไปได้แล้ว”
หวังหลินมาที่นี่ด้วยความสงสัยว่าทำไมหลิวเหมยถึงอยู่ฝั่งทิศใต้ของดาวเคราะห์ แต่เมื่อเขากระจายสัมผัสวิญญาณออกมาจึงพบร่างโคลนของซุนซื่อทันที หลังจากขบคิดเล็กน้อยจึงเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น
เมื่อทั้งสามคนโกหกเขาเรื่องร่างโคลน เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นที่เขาจะติดพันเรื่องนี้อีกต่อไป ตราบใดที่หวังหลินพยายามอย่างดีที่สุดนั่นก็เพียงพอแล้ว
นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้จิตใจหวังหลินจมดิ่งไปก็คือระดับบ่มเพาะของหลิวเหมยบรรลุขั้นเทวะระดับปลายสูงสุดไป ระดับบ่มเพาะเช่นนี้ทำให้รูม่านตาหวังหลินต้องหดแคบลง
‘หลิวเหมยบ่มเพาะมาถึงระดับนี้ได้อย่างไรกัน? หรือมันเกี่ยวพันกับบรรพชนตระกูลฮวน…ต้องเป็นเช่นนั้นแน่!’ หวังหลินกวาดสายตาผ่านร่างหลิวเหมยและเผยความกระจ่างชัดเจน
“ยังมีพลังปราณสวรรค์บางส่วนอยู่รอบตัวนาง ข้าสันนิษฐานว่ามีคนฝืนยกระดับให้นาง ทว่าการฝืนยกระดับนี้เป็นเพียงการเพิ่มพลังปราณสวรรค์เท่านั้น มันไม่ได้ทำให้นางบรรลุเขตแดนเดียวกัน!”
หลิวเหมยจ้องหวังหลินและกล่าวเสียงอ่อนนุ่ม “เราเคยเจอกันมาก่อนหรือไม่?”
“ไม่!”
หลิวเหมยมองหวังหลินอยู่นานก่อนจะเผยรอยยิ้มดุจสายลมอ่อนๆ ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือสายตาเยือกเย็นดุจสายน้ำของหวังหลิน
“พอแล้ว จงไปเสียตอนนี้ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ!” หวังหลินกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบ รอยยิ้มของนางเป็นที่รังเกียจของเขามาก ตอนที่อยู่บนดาวซูซาคุนางก็ทำแบบนี้เช่นกัน
ดวงตาหลิวเหมยพลันเปิดร่องรอยอารมณ์ที่ซับซ้อนและนางกล่าวเบาๆ “ข้าไม่คาดคิดว่าระดับบ่มเพาะของเจ้าจะบรรลุขึ้นมาได้น่าเหลื่อเชื่อเช่นนี้ แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถมองออกได้…”
หวังหลินขมวดคิ้วและมองหลิวเหมยเบื้องหน้าอย่างเย็นชาก่อนจะหันตัวจากไป เมื่อทั้งสามคนบนดาวรานหยุนได้โกหกเรื่องร่างโคลนของตัวเอง เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรที่เขาจะต้องมายุ่งเกี่ยวอีกต่อไป
“หวังหลิน เจ้าคิดว่าข้าจะจำไม่ได้หรือ?!” หลิวเหมยกล่าวแฝงน้ำเสียงเย็นชา
หวังหลินหยุดชะงักและหันกลับมา ดวงตาเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นและเอ่ยขึ้น “ไม่จำเป็นต้องมาทดสอบข้า ข้าคือหวังหลิน หากเจ้ามาก่อกวนข้าอีกเหมือนที่อยู่บนดาวซูซาคุ อย่ามากล่าวหาว่าข้าสังหารเจ้า!”
ตอนนี้ข้างในจิตใจของหลิวเหมยแตกต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกอย่างยิ่ง จิตใจของนางสับสนอลหม่าน นางไม่เคยจินตนาการว่าจะได้มาพบหวังหลินในดาราจักรทุกชั้นฟ้าและระดับบ่มเพาะของเขาแข็งแกร่งถึงจุดที่นางไม่อาจมองทะลุเขาไปได้
ฉากเหตุการณ์ในอดีตพลันแล่นผ่านดวงตาของนาง เมื่อนางจ้องมองหวังหลิน อารมณ์ซับซ้อนก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น “นอกจากเจ้าแล้ว ไม่มีใครมีสายตาเย็นชาแบบนี้ เจ้าเปลี่ยนภาพลักษณ์ เจ้าเปลี่ยนทุกอย่างของตัวเอง แต่เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนสายตาของเจ้าได้ ข้ากลัวว่าที่เจ้าเปลี่ยนตัวเองก็เพราะเจ้าไม่ต้องการให้ข้าจำเจ้าได้”
หวังหลินขมวดคิ้วมองหลิวเหมยด้วยสายตาเย็นเฉียบ “ข้าจะบอกอีกครั้ง จงไปซะ!”
หลิวเหมยเผยรอยยิ้มงดงาม จากนั้นอารมณ์ซับซ้อนในดวงตาของนางก็เลือนหายไป มันถูกแทนที่ด้วยความไม่แยแสต่อสิ่งใดและกล่าวเบาๆ “ระดับบ่มเพาะของเจ้าไม่สูงไปมากกว่าข้าแน่นอน เจ้าต้องมีสมบัติบางอย่างที่สามารถซ่อนระดับบ่มเพาะได้ วันนี้เจ้าจะไปไหนไม่ได้”
สายลมระเบิดขึ้นมาพร้อมกับดัชนีแห่งความตายพุ่งออกไป หลิวเหมยมีสีหน้าดังเดิมพลันใช้ฝ่ามือตัวเองสร้างผนึกและวิชาหนึ่งปรากฏขึ้น ม่านแสงปรากฏเบื้องหน้าในจังหวะเดียวกันก็ปะทะกับดัชนีแห่งความตายทำให้เกิดเสียงดังสนั่น สายฟ้ากระพริบออกมาจากทุกที่และเกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วนบนม่านแสง
หลิวเหมยส่ายศีรษะ “ข้าเดาไม่ผิด ระดับบ่มเพาะของเจ้าเป็นแค่ขั้นเทวะระดับต้นเท่านั้น”
หวังหลินเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สนใจไยดี “การฝืนเพิ่มระดับบ่มเพาะมีข้อบกพร่องมากเกินไป ข้ากลัวว่าอาจารย์ของเจ้ามีเจตนาอื่น!”
หลิวเหมยยิ้มบาง “แล้วยังไง? วันนี้เจ้าจะหนีไปไหนไม่ได้ หากเจ้าไม่ได้บรรลุขั้นเทวะ เช่นนั้นจะไม่สำคัญอะไรนัก แต่เมื่อเจ้ามาถึงระดับนี้ เรามาจบความอาฆาตจากดาวซูซาคุกันเถอะ ให้ข้าส่งเจ้าไปอยู่กับลี่มู่หวาน…”
“เจ้ารนหาที่ตาย!” หวังหลินตบกระเป๋านำค่ายกลกระบี่เจ็ดดาราออกมา มันเปลี่ยนเป็นลำแสงเจ็ดเส้นลอยตรงเข้าใส่หลิวเหมย
หลิวเหมยชี้จุดระหว่างคิ้วตนเองด้วยฝ่ามือดุจหยก จากนั้นลำแสงสีแดงหนึ่งเส้นออกมาจากระหว่างคิ้ว ลำแสงสีแดงนี้ห่อหุ้มรอบร่างกายตนเองและเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นสตรีสาวอีกคน
สตรีคนนี้เย่อหยิ่งจองหอง ดวงตาดุร้ายและนางงดงามมาก สายตาคมกริบคู่นั้นมองหวังหลินด้วยจิตสังหาร
“ผีเสื้อสีชาด!” หวังหลินปลดปล่อยระเบิดแสงสีทองออกมา
สตรีคนนี้คือผีเสื้อสีชาด!
ผีเสื้อสีชาดจ้องหวังหลินและกล่าวอย่างสงบนิ่ง “มาจบความบาดหมางของเรากันเถอะ!” สิ้นคำนั้นนางตบกระเป๋านำกุหลาบสีแดงออกมา พลันโยนมาข้างหน้าและกลีบกุหลาบทั้งหมดแตกกระจายลอยเข้าหาหวังหลินด้วยพลังลึกลับ
“นี่มันวิชาอะไรกัน?!” รูม่านตาหวังหลินหดแคบลง หลิวเหมยเบื้องหน้าเขาเปลี่ยนเป็นผีเสื้อสีชาดในทันที ต้องขอบคุณสัมผัสวิญญาณของหวังหลินเขาจึงยืนยันได้ว่านี่คือผีเสื้อสีชาดตัวจริงที่ไม่มีกลิ่นอายของหลิวเหมยเลย
เมื่อเผชิญหน้ากับกลีบดอกไม้ หวังหลินบังคับสร้างผนึกขึ้นมาบนแขนขวา ใช้ความคิดชักนำค่ายกลกระบี่เจ็ดดาราเข้ามาใกล้และหมุนเป็นวงกลมอย่างรวดเร็วกลายเป็นสายลมกระบี่ทรงพลังเข้าบดขยี้กลีบดอกไม้
แววตาโอหังในดวงตาผีเสื้อสีชาดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น นางสะบัดนิ้วและเกสรดอกไม้ลอยออกมา แขนซ้ายชี้สองสามครั้ง เกสรดอกไม้รวมกันกลายเป็นสัญลักษณ์รูนหนึ่งชิ้น นางประทับฝ่ามือลงไปทำให้สัญลักษณ์ลอยออกมา สัญลักษณ์ขยายตัวออกจนมีขนาดกว้างกว่าพันฟุตและกดทับลงบนหวังหลินราวกับภูเขายักษ์
หวังหลินเปลี่ยนสายตาเย็นเยียบพลันยกแขนขึ้นชี้ไปที่ท้องฟ้า สายฟ้ากระพริบผ่านท้องฟ้าตามมาด้วยแม่น้ำอเวจียาวเหยียดปรากฏขึ้นบดขยี้สัญลักษณ์รูน แม่น้ำอเวจีเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต แม่น้ำอเวจีอยู่ภายใต้การควบคุมของหวังหลิน มันเคลื่อนไหวดุจมังกรคำรามและล้อมรอบผีเสื้อสีชาดทันที จากนั้นกำลังจะดึงร่างนางเข้าไปในแม่น้ำอเวจี
แววตาผีเสื้อสีชาดส่องสว่างเจิดจ้าและกล่าวอย่างใจเย็น “เจตนาแห่งเต๋า! เจ้ามีเต๋าของตัวเองจริงๆ!”
หวังหลินพ่นลมหายใจเย็น เมื่อแม่น้ำอเวจีเคลื่อนไหว ท้องฟ้าก็มืดครึ้ม ลำแสงสายฟ้ากระพริบวาบอยู่ในแม่น้ำจนทำให้มันทรงพลังมากขึ้น
ผีเสื้อสีชาดรู้สึกถึงคราววิกฤต นางชี้นิ้วระหว่างคิ้วตัวเองอีกครั้ง คราวนี้มีลำแสงสีเหลืองล้อมรอบร่างของนาง เมื่อมันหายไปกลายเป็นร่างเล็กๆตัวผอมบาง
“ท่านลุง…”
คำพูดบรรจุพลังอำนาจลึกลับทำให้แม่น้ำอเวจีของหวังหลินหยุดชะงักทันที
“โจวลี่…”
ร่างเล็กๆนั้นคือโจวลี่ นางเบิกตากว้างมองหวังหลินอย่างขี้อายและใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ท่านลุง ในที่สุดข้าก็พบท่าน อย่าทิ้งข้าไปอีกได้ไหม?”
หวังหลินเผยใบหน้าเจ็บปวดและตะโกนขึ้น “พอแล้ว หลิวเหมย!”
แม่น้ำอเวจีหมุนปั่นและโจวลี่ถูกดึงเข้าไปข้างในทันที ดวงตาของโจวลี่เต็มด้วยความหวาดกลัวและสับสน หยาดน้ำตาไหลรินลงมา “ท่านลุง ท่านจะฆ่าลี่เอ๋อใช่ไหม?”
“นี่เป็นเรื่องหลอกลวง…” หวังหลินสูดหายใจลึก จิตใจมุ่งมั่นขึ้นมา แม่น้ำอเวจีต้องการฆ่าและพุ่งเข้าใส่ร่างโจวลี่ ทำให้นางจมลงไปอย่างสมบูรณ์
ขณะนั้นเองมีเสียงเบาๆและอ่อนแรงสะท้อนขึ้น
“ไท้จู…”
เสียงนี้ดุจระฆังดังสะท้อนในร่างกายหวังหลิน เขาเห็นแม่ที่แยกจากกันมาแปดร้อยปีกำลังมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนจากในแม่น้ำอเวจี
จิตใจหวังหลินสั่นสะท้าน
ฝ่ามือหวังหลินสั่นเทา จากนั้นแม่น้ำอเวจีก็ล่มสลายและเลือนหายไปสิ้นเชิง
“นี่ก็เป็นเรื่องหลอกลวงเช่นกัน” ดวงตาหวังหลินเรืองแสงสีแดง
“หลอกลวง…หวังหลิน เจ้าต้องขอบคุณเต๋าปิศาจสวรรค์หมื่นมายาของข้า ทั้งสองนั้นต่างเป็นทั้งของจริงและหลอกลวง!” เสียงของหลิวเหมยเป็นเสียงมายาและออกมาจากทุกทิศทาง
โจวลี่และผีเสื้อสีชาติปรากฏตัวจากความว่างเปล่า ในเวลาเดียวกันพ่อของหวังหลินก็ปรากฏขึ้นและมองหวังหลินด้วยสายตาอ่อนโยน
“หวังหลิน เจ้ายังจำข้าได้ไหม…” หวังจัวเดินออกมาจากความว่างเปล่า เขาไม่ได้เป็นชายชราแต่เป็นชายหนุ่มที่มีแรงเต็มเปี่ยม
“ลูกศิษย์ เจ้าจะต้องไม่ลืมถ่ายทอดมรดกของสำนักหลอมวิญญาณ…” ร่างชราของตุ้นเทียนเดินออกมาจากความว่างเปล่าด้วย
หลังจากนั้นไม่นานก็มีร่างที่หวังหลินคุ้นหน้าคุ้นตาเดินออกมาทีละคน แต่ละคนมองหวังหลินอย่างเงียบๆ สายตาทั้งหมดนั้นแตกต่างกัน บางส่วนซับซ้อน บางส่วนมีความสุข และบางส่วนเศร้าหมอง…
กลางท้องฟ้าปรากฏแสงสีฟ้ากระพริบวาบและเปลี่ยนเป็นสตรีผู้หนึ่ง สตรีคนนี้คือลี่มู่หวาน!
ลี่มู่หวานมองหวังหลินด้วยสายตาอ่อนโยนและกล่าวเสียงอ่อน “หวังหลิน ข้าก็เป็นเรื่องหลอกลวงใช่ไหม…”
นางยืนข้างแม่ของหวังหลิน ราวกับเป็นแม่และลูกสะใภ้ที่มองอย่างสงบนิ่งมาที่หวังหลิน
“เต๋าปิศาจสวรรค์หมื่นมายา…” หวังหลินมองร่างอันคุ้นเคยเบื้องหน้าและสายตาเผยอาการเจ็บปวดออกมา หวังหลินหลับตาและกล่าวขึ้น “เต๋าปิศาจสวรรค์หมื่นมายาเป็นดั่งปิศาจสวรรค์ มันรุกล้ำร่างกายและจุดปะทุวิญญาณดั้งเดิมให้เผ่าไหม้จิตใจและร่างกาย…หลิวเหมย เจ้าได้เก็บความเกลียดชังระหว่างเราในอดีตไว้มากมายแค่ไหน…”
ทุกร่างรอบตัวหวังหลินพลันเปลี่ยนเป็นควันสีเขียวและพุ่งเข้าใส่หวังหลินทันที