692. วิวัฒนาการ
แม้ผืนน้ำส่วนใหญ่จะปกคลุมดาวรานหยุน ยังคงมีภูเขาและพื้นดินอยู่เป็นจำนวนมาก ถึงแม้ภัยพิบัติเมื่อหลายปีก่อนทำให้พลังปราณบนดาวอ่อนไปลงอย่างมาก มันยังดีกว่าดาวซูซาคุอยู่เล็กน้อย
ร่างสองพ่อลูกมักจะพบเห็นบ่อยอยู่เสมอบนภูเขาโด่งดังบนดาวรานหยุน พวกเขากำลังปีนขึ้นไปและยืนอยู่บนยอดของโลกใบนี้
พวกเขาเฝ้ามองดูการเปลี่ยนแปลงของโลกและการทับซ้อนกันของก้อนเมฆ ก้อนเมฆหดตัวลงอย่างมากราวกับสามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดได้ด้วยการจ้องมอง
เมื่อทั้งสองถึงยอดเขา สายลมหวีดหวิวในรูหู หวังผิงยืนอยู่บนยอดมองลงไปข้างล่าง ราวกับวิญญาณเขาได้มีการพัฒนาการ
ขณะที่ปีนขึ้นไปบนภูเขาลูกแล้วลูกเล่า ร่างกายที่อ่อนแอก็ค่อยๆได้รับความแข็งแกร่งขึ้นมา ในสายตาเขา ทุกอย่างเกี่ยวกับพ่อล้วนเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นความสงบสุขสิบเก้าปีหรือการท้าทายโลกในปัจจุบัน
หลังข้ามผ่านยอดเขาแต่ละแห่ง ความคิดหวังผิงจึงขยายตัวออกมหาศาล ราวกับเขาได้ลืมเลือนทุกสิ่งอย่างที่สับสนในโลก แม้จะมีคนร่วมผจญไปกับเขาคือพ่อเพียงคนเดียว เหล่าภูเขา แม่น้ำ ท้องฟ้าและผืนดินดูเหมือนจะรับรู้การมีอยู่ของเขาและติดตามเขาไปด้วย
นี่จึงไม่เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว เป็นจิตวิญญาณแห่งอิสระ!
ไม่ว่าภูเขาจะอันตรายแค่ไหนก็ไม่อาจหยุดสองพ่อลูกไปได้ ไม่ว่าภูเขาจะขนาดใหญ่เพียงใด ทั้งหมดก็ยังอยู่ใต้ฝ่าเท้า
แม้ร่างกายหวังผิงจะเป็นคนธรรมดา จิตใจเขาถูกหล่อขึ้นอีกครั้งและอีกครั้งจนกระทั่งบรรลุความสูงใหม่
รับรู้ประสบการณ์ชีวิตผ่านภูเขา ให้ความคิดสงบนิ่งผ่านการก้าวข้ามผ่านพวกมันและให้ความรู้สึกถึงอำนาจในการก้าวข้ามผ่านภูเขาแต่ละแห่ง ทว่าเขาไม่หยุดหรือยอมแพ้ต่ออำนาจนี้ดังนั้นจึงปีนภูเขาที่เผชิญอย่างต่อเนื่อง ใช้ร่างกายของคนธรรมดาเพื่อสืบทอดเจตนารมณ์แห่งการฝืนลิขิตฟ้าของหวังหลิน
หวังหลินไม่ได้บอกวิธีการฝึกเซียนใดๆให้กับหวังผิงแต่เขาใช้วิธีของตัวเองในการช่วยหล่อหลอมความคิดของหวังผิง
กระหายน้ำ? ดื่มน้ำสิ
หิว? กินผลไม้และสัตว์ป่าเสียบ้าง
เหนื่อย? พักผ่อนอยู่บนพื้น
ง่วง? นอนบนพื้นดินและท้องฟ้าจะเป็นผ้าห่มให้เจ้า
เวลาสามปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในสามปีนี้หวังผิงเคารพพ่อของตนมากยิ่งขึ้น ในสายตาเขา พ่อของตนคือคนที่อัศจรรย์ที่สุดในโลก
หลังพิชิตภูเขาไปหลายลูก แม่น้ำคือสิ่งถัดไป!
เงาของสองพ่อลูกปรากฏไปทั่วแม่น้ำทุกแห่งหน พวกเขามองไปยังแม่น้ำที่ตั้งตระหง่านและฟังเสียงคำรามฝืนลิขิตฟ้าของสายน้ำ
เรือโดดเดี่ยวลำหนึ่งจับสายตาของหวังผิงและค่อยๆพัฒนาความคิด ขณะที่มันข้ามผ่านแม่น้ำ มันก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องและท้าทายคลื่นอันบ้าคลั่ง
หวังหลินและหวังผิงทิ้งเงาตัวเองไปทุกแห่งข้ามผ่านธารแม่น้ำขนาดใหญ่จนเกือบไปทั่วดาวรานหยุน เสียงหัวเราะออกมาจากปากหวังผิงพรอ้มกับเสียงหัวเราะจับใจของหวังหลิน
เสียงหัวเราะแบบนี้หาได้ยากยิ่งที่จะมาจากหวังหลิน เสียงหัวเราะเขาดูเหมือนจะแพร่ออกไปได้และทำให้หวังผิงมีความสุขขึ้น
ตราบใดที่พ่อของเขาอยู่ข้างๆ ทุกสิ่งในโลกจะไม่เป็นไร!
“ท่านพ่อ ข้าจะใช้ชีวิตของข้าไปกับท่าน หากตายไปแล้วชาติหน้ามีจริง แม้เราจะไม่เป็นพ่อลูกกันอีก ข้าจะไม่ลืมท่าน!” ในแม่น้ำ น้ำเสียงของหวังหลินกลับมุ่งมั่นมาก
เรือโดดเดี่ยวลำนี้ล่องอยู่บนแม่น้ำข้ามผ่านดาวรานหยุนไปมากกว่าครึ่งดวงและมุ่งหน้าเข้าสู่มหาสมุทร
การเดินทางบนพื้นดินจบลงแล้ว แต่การเดินทางบนทะเลพึ่งเริ่มต้น การแล่นเรือผ่านสายลมมหาสมุทร ทำให้โลกของหวังผิงขยายกว้างออกไม่รู้ที่สิ้นสุด
เกาะและคลื่นผ่านไปทีละแห่ง เขาเห็นสายฟ้าสวรรค์กระแทกลงมาบนผิวน้ำ เห็นปลาวาฬขนาดใหญ่เท่าหมู่บ้าน ทั้งยังเห็นภาพลวงตาอีก
ความกว้างใหญ่ของทะเลถือได้ว่ามีมากมายกว่าผืนแผ่นดิน หวังผิงรู้สึกว่าความกว้างใหญ่นี้เหมือนกับพ่อของเขา มันดูเหมือนจะยืดยาวออกไปตลอดกาล
หลังการเชื่อมต่อกับการไร้ขอบเขตของทะเล ความดุร้ายของภูเขาและการยื่นออกไปไม่รู้จบของแม่น้ำ เขาก็สามารถรับรู้ถึงอำนาจของโลกได้ เมื่อหวังหลินและหวังผิงกลับสู่ผืนแผ่นดินในห้าปีต่อมา หวังผิงก็ได้เกิดใหม่
แม้ว่าเขายังเป็นคนธรรมดา แต่วิญญาณปรับตัวเข้ากับโลก!
เมื่อพวกเขากลับมา ภูเขาสุดท้ายที่ข้ามผ่านคือภูเขาฉุยเหลียนถัดจากหมู่บ้านจันทราร่วงหล่น
ใบหน้าอ่อนต่อโลกของหวังผิงในอายุยี่สิบเจ็ดปีได้หายไปอย่างสิ้นเชิง แทนที่ด้วยสายตาแห่งความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ช่วงการเดินทางแปดปีนี้ ธรรมชาติชั่วร้ายที่แฝงไว้ค่อยๆเลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยความหล่อเหลาอันหมดจด
ใบหน้าหล่อเหลาและคมกริบยังมีรอยยิ้มที่ส่องสว่างดุจดวงตะวันและกระทั่งแววตายังสุกสกาวมากขึ้น
หวังหลินเผยรอยยิ้มเมื่อมงไปที่หวังผิง การเดินทางครั้งนี้คือวิธีที่หวังหลินคิดขึ้นมานานในการช่วยขับไล่ความอาฆาตในร่างกายหวังผิงให้หายไปอย่างสิ้นเชิง
เม็ดยาของหลิวเหมยและวิชาของหวังหลินสามารถกำจัดแรงอาฆาตส่วนใหญ่ได้เท่านั้น ในขณะที่แรงอาฆาตก็ต้องเชื่อมต่อกับวิญญาณเขาด้วย ตลอดยี่สิบปีแห่งความสงบสุข แรงอาฆาตค่อยๆลดลงและการวิวัฒนาทางวิญญาณในช่วงเวลาแปดปีได้ทำให้วิญญาณหวังผิงบริสุทธ์ผุดผ่อง หวังผิงค่อยๆลบแรงอาฆาตในวิญญาณของตนเองจนกระทั่งเหลือเพียงแค่เศษเสี้ยวโดยไม่รู้ตัว
เศษเสี้ยวนี้เป็นสิ่งที่ไม่มียาหรือวิชาใดสามารถลบออกไปได้ มันสามารถลบเลือนผ่านวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่เท่านั้น
ภายใต้ยอดเขาฉุยเหลียน หวังหลินมองไที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ห่างออกไปไกลและเอ่ยถาม “เจ้าไม่อยากไปดูหรือ?”
หวังผิงส่ายศีรษะอยู่ข้างๆ “ไม่ไป”
หวังหลินไม่ได้กล่าวอะไรอีกและก้าวไปข้างหน้าเข้าหายอดภูเขา หวังผิงตามหลังพ่อและหัวเราะออกมา “ท่านพ่อ ตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก ครั้งนึงข้าเคยได้ยินเรื่องคนพูดถึงยอดภูเขาฉุยเหลียนว่ามีก้อนเมฆสวรรค์ พวกเขาพูดว่าเพียงแค่สูดอากาศเข้าไปหนึง่คำก็ทำให้ไม่ป่วยไข้ไปสิบปี ข้าสงสัยมาตลอดว่าเมื่อไหร่ท่านพ่อจะพาข้ามาที่นี่”
หวังหลินยิ้มเบาบางและมองหวังผิงอย่างอ่อนโยน
สองพ่อลูกค่อยๆขึ้นไปสู่ยอดของภูเขาฉุยเหลียน ก้อนเมฆนับไม่ถ้วนลอยอยู่บนยอดนั้นราวกับพวกเขากำลังก้าวไปบนก้อนเมฆ
หวังผิงสูดหายใจลึกและจากนั้นมองพ่อของตนเอง แม้ว่าภูเขาฉุยเหลียนจะมีขนาดใหญ่ มันก็เทียบไม่ได้กับพ่อของเขา แม้ภูเขาฉุยเหลียนจะสูงมาก ก็เทียบไม่ได้กับพ่อของเขาเลย!
ก้อนเมฆที่อยู่ห่างไกลดูเหมือนจะมืดครึ้ม มีประกายสายฟ้าและเสียงฟ้าผ่าดังออกมาจากข้างใน พลังอำนาจแห่งฟ้าดินนี้ได้จับสายตาของหวังผิง
หลังจากนั้นไม่นานสายฟ้าก็ดังมากขึ้น สายลมเย็นฉ่ำพัดผ่านตามมาพร้อมกับสายฝน ก้อนเมฆมืดครึ้มเริ่มขยายตัวออก สายฝนเริ่มหนักขึ้น
แต่เพราะมันไม่ได้ตกมานาน ฝุ่นบนพื้นดินจึงเริ่มลอยขึ้นไปบนอากาศ ทว่าก่อนที่มันจะลอยไปได้สูงกว่านี้มันก็ผสานเข้ากับสายฝนที่พรำลงมาและกลับคืนสู่พื้นดินอีกครา
ฝุ่นดินเป็นเสมือนกับเซียนผู้ฝืนลิขิตสวรรค์ หวังจะบรรลุถึงสวรรค์แต่ก็ต้องถูกดึงลงมาตามสายฝน ดังเช่นเหล่าเซียน จะมีจุดฝุ่นมากแค่ไหนที่สามารถขึ้นไปถึงสวรรค์ได้จริงๆ…
สายฟ้าและสายฝนพัดผ่านไป สองพ่อลูกอยู่บนยอดภูเขาได้เฝ้ามองทั้งหมดอย่างสงบนิ่ง สายฝนดูเหมือนจะตกไปทุกแห่งหนแต่ไม่มีส่วนไหนตบกระทบบนร่างสองพ่อลูก
นอกจากเสียงฟ้าร้องดังสนั่นและเสียงสายฝนหวีดหวิว ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
สายฟ้าและสายฝนมาอย่างรวดเร็วและจากไปอย่างรวดเร็ว ในไม่นานก้อนเมฆก็หายไปและสายรุ้งหนึ่งดูเหมือนจะแทงทะลุขึ้นมาจากท้องฟ้าปรากฏต่อเบื้องหน้าสองพ่อลูก
สายรุ้งงดงามและมีสีสัน เจ็ดสีสันเหล่านี้ใกล้กันมากจนดูเหมือนจะแฝงเต๋าแห่งสวรรค์ไว้ด้วย
ทว่าในจังหวะนี้ ความเงียบก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงหวีดหวิว กระบี่เหินเล่มหนึ่งหวีดออกมาด้วยเสียงตูมดังสนั่น ราวกับว่าตอนที่มันลอยผ่านไปเป็นการทำให้สายรุ้งแตกสลาย
มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างในแสงกระบี่ คนผู้นี้มีบรรยากาศของความเป็นเทพในขณะที่ยืนอยู่บนกระบี่เหินสีเขียวก็สะท้อนแววอันเยือกเย็น
ขณะที่เขาเหาะเหินผ่านไป พลันมองหวังหลินและหวังผิงที่อยู่บนยอดภูเขาฉุยเหลียนและตื่นตะลึง
การที่คนธรรมดาปีนขึ้นมาถึงที่นี่ได้นับว่าไม่ใช่คนทั่วไป มันต้องการความมุ่งมั่นมหาศาล เขาเผยแววตาชื่นชมออกมาแต่ก็ไม่หยุดชะงัก เหาะเหินข้ามผ่านภูเขาและมุ่งหน้าออกไปไกล
หวังผิงจ้องชายกลางคนจนกระทั่งเลือนหายไปเหนือเส้นขอบฟ้า เป็นครั้งแรกที่หวังผิงเคยเห็นบางสิ่งเช่นนี้ ทำให้จิตใจเขาตกตะลึงมหาศาลและไม่อาจสงบลงได้เป็นเวลานาน
หวังผิงพึมพำ “ท่านพ่อ…นั่นเป็นเซียนอมตะใช่ไหม?”
หวังหลินถอนหายใจ “ใช่”
หวังผิงขบคิดเป็นเวลานานก่อนจะเงยศีรษะขึ้นมา จากนั้นมองพ่อตนเองด้วยแววตาเปล่งประกายและเอ่ยเสียงเบา “ท่านพ่อ ข้าไม่สามารถฝึกเซียนได้จริงๆหรือ…”
สายตาหวังหลินจับลงบนสายรุ้งที่ค่อยๆจางหายไป ในส่วนลึกของแววตาพลันแฝงความเศร้าหมอง เขาไม่ได้พูดขึ้นมาและเพียงแค่ส่ายศีรษะ
หวังผิงไม่กล่าวอีกต่อไปแต่จ้องจุดที่ชายวัยกลางคนหายไป
หลังออกมาจากยอดภูเขาฉุยเหลียน หวังผิงก็เงียบอย่างสิ้นเชิง เขาเดินบนถนนสายหลักเข้าสู่เมืองก่อนจะขึ้นรถม้าเข้าไปที่เมืองใหญ่ ระหว่างทางหวังผิงไม่พูดอะไรสักคำ
นอกจากคนขับรถม้า ก็มีแต่หวังหลินและหวังผิงเท่านั้น หวังหลินมองออกไปด้านนอก ในสายตาเขามีความเศร้ารุนแรงมากขึ้นและยังแฝงความขมขื่นที่ไม่อาจบรรยายได้
รถม้าเงียบสนิทเป็นเวลานาน หวังผิงก้มศีรษะและกล่าวอย่างกระซิบ “ท่านพ่อ ข้าอยากฝึกเซียน…” เป็นครั้งที่สองที่เขาพูดขึ้นมาว่าต้องการฝึกเซียน
ครั้งแรกตอนเมื่อสิบปีก่อน นั่นเป็นตอนที่เขาอายุสิบเจ็ดปี
หวังหลินไม่ได้ถอนสายตาออกมาพร้อมกับมองออกไปข้างนอก “เจ้าไม่เหมาะสมที่จะฝึกเซียน!”
หวังผิงมองภาพเงาของพ่อและเอ่ยถามอย่างดื้อรั้น “ทำไมเล่าท่านพ่อ?”
หวังหลินหันศีรษะกลับมา เหมือนเมื่อสิบปีก่อน เขาไม่ได้กล่าวอะไรและเพียงแค่มองหวังผิงอย่างสงบนิ่ง
เสียงล้อหมุนของรถม้ากำลังเคลื่อนตัวได้ดังออกมาจากด้านนอกและถูกแทนที่ไปตามกาลเวลา ในที่สุดหวังผิงก็ก้มศีรษะและกระซิบ “ข้าเข้าใจ ท่านพ่อ”