Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 797

Cover Renegade Immortal 1

797. รีบออกไป 1

จางกงเล่ยกำลังเหาะเหินผ่านช่องว่างเช่นเดียวกัน ในฐานะสมาชิกใหม่ของอารามเทพอัสนี เขาจึงรู้ว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายอยุ่ที่ไหน จึงเหาะเหินไปหาทางนั้นอย่างรวดเร็ว

ตอนที่เขาอยู่กับเฉินกงฮู่ เขาก็คิดว่าจะไปค่ายกลเคลื่อนย้ายเช่นกัน ทว่าเมื่อพิจารณาถึงสถานะของเฉินกงฮู่แล้วเขาจึงไม่ได้เอ่ยถึงมันและไปประตูสวรรค์พร้อมกับเฉินกงฮู่

การต่อสู้นอกประตูสวรรค์ทำให้เขาตื่นเต้นยิ่งนัก แม้ว่าแดนสวรรค์จะไม่มั่นคงแต่จิตใจเขาแน่วแน่ เขาก็เหมือนกับเฉินกงฮู่ที่เชื่อว่าหวังหลินคงไม่แพ้

‘ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าเฉินกงฮู่อยู่ไหน ข้าเชื่อว่าเขาต้องเป็นเหมือนข้าที่มุ่งหน้าไปหาค่ายกลเคลื่อนย้ายของอารามเทพอัสนี’ ร่างจางกงเล่ยกระพริบวูบวาบ หลบเลี่ยงรอยแยกอวกาศที่ปรากฏขึ้นทันทีทันใด

ความจริงแล้วหลังจากมุ่งความสนใจไปที่การต่อสู้นอกประตูสวรรค์ เขาก็พบว่าไม่มีผู้ส่งสาส์นคนอื่นของอารามเลยนอกจากเขาและเฉินกงฮู่ จากนั้นจึงตระหนักได้ว่าผู้ส่งสาส์นทั้งหมดได้ไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายแล้ว

จางกงเล่ยและเฉินกงฮู่กำลังมุ่งหน้าไปหาค่ายกลเคลื่อนย้ายจากตำแหน่งทิศทางแตกต่างกัน

หวังหลินกำลังเคลื่อนผ่านช่องว่างมุ่งสู่ตำแหน่งที่มีเฉินกงฮู่เป็นฐานการติดต่อ ทว่ายิ่งการล่มสลายของแดนสวรรค์รุนแรงขึ้นก็ยิ่งมีรอยแยกอวกาศมากขึ้น ถ้าเขาลดความระมัดระวังลงสักครู่เดียว คงถูกกลืนกินไปแล้ว

ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วมากพร้อมทั้งต้องให้ความสนใจการเปลี่ยนแปลงในอวกาศรอบตัวไปด้วย

ขณะที่เหาะเหิน นอกจากเสียงร้องครวญคราง ยังมีเสียงระเบิดดังสนั่นทั่วอวกาศอีกด้วย เสียงเหล่านี้ยิ่งชัดเจนเมื่อหวังหลินเข้าใกล้ชิ้นส่วนที่กำลังพังทลาย

ระหว่างทางเขาเห็นชิ้นส่วนแดนสวรรค์สองแห่งแตกสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยกับตาตัวเอง ครึ่งนึงของมันถูกดูดเข้าไปในรอยแยกอวกาศและอีกครึ่งกระจัดกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง

บางส่วนพุ่งตรงใส่หวังหลิน พลังที่สร้างขึ้นไม่ด้อยไปกว่าการโจมตีเต็มกำลังของเซียนขั้นเทวะเลย

แม้ว่าการโจมตีเหล่านี้ไม่ได้ร้ายแรงต่อเซียนขั้นแรกนัก แต่ถ้าโชคไม่ดีเกิดมีรอยแยกอวกาศปรากฏใกล้ๆระหว่างเผชิญหน้า เมื่อนั้นก็คงตกอยู่ในสถานการณ์ความเป็นความตายไปด้วย

หวังหลินไม่ต้องกังวลอะไรนัก ไม่ว่าจะเป็นวิชายับยั้งหรือวิชาอื่นของเขา ต่างก็ทำให้หวังหลินหลบเลี่ยงพวกมันได้ง่ายดาย หวังหลินเหาะเหินด้วยท่าทีสงบนิ่ง ร่างกายกระพริบวูบวาบบ่อยครั้งหลบเลี่ยงรอยแยกอวกาศพร้อมกับพรุ่งตรงไปข้างหน้า

อย่างไรก็ตามขณะที่เหาะเหินไปไกลขึ้นก็ยิ่งมีรอยร้าวปรากฏออกมามากขึ้น ราวกับเศษกระดาษถูกฉีกกระชากเต็มพื้นนับไม่ถ้วนและสามารถถูกทำลายลงได้ในทุกขณะ

หวังหลินขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่ามีระยะห่างอันคลุมเครืออยู่ช่วงใหญ่ระหว่างเขาและเฉินกงฮู่ เขาไม่สามารถไล่ตามทันได้ในช่วงเวลาอันสั้น

หลังขบคิดชั่วขณะ ดวงตาหวังหลินส่องสว่างและประทับนิ้วมือลงระหว่างคิ้ว อ้าปากออกและพ่นเม็ดทรายออกมา มันเปลี่ยนกลายเป็นตราประทับชิ้นส่วนยักษ์ขนาดกว้างถึงพันฟุต

‘ชิ้นส่วนแห่งนี้ถูกปรับแต่งด้วยทัณฑ์สวรรค์ แม้แต่สายลมทมิฬของขุนนางเทพก็ไม่สามารถทำลายมันได้ ดังนั้นมันก็ควรจะทนต่อรอยแยกอวกาศได้เช่นกัน’ หวังหลินชี้แขนออกไป ชิ้นส่วนลอยออกไปข้างหน้าและหวังหลินสังเกตการณ์อย่างระมัดระวัง

เขาเห็นชิ้นส่วนชนเข้ากับรอยร้าวนับไม่ถ้วนในไม่กี่วินาที พลังจากข้างในรอยร้าวแพร่กระจายไปทั่วชิ้นส่วน แต่มันกลับผ่านเลยไปโดยไม่มีผลกระทบ

เวลาเดียวกับที่มันผ่านไป ราวกับรอยแยกอวกาศถูกทับจนแบนและแสดงลักษณะอาการกำลังปิดตัวลง

หวังหลินดวงตาหรี่แคบและก้าวไปบนชิ้นส่วนในทันที เขานั่งสมาธิลงและใช้ฝ่ามือสร้างผนึก พลังดั้งเดิมรั่วไหลเข้าไปในชิ้นส่วนทำให้มันเรืองแสงสว่าง มันพุ่งไปข้างหน้าตรงๆและเพิ่มความเร็วขึ้นหลายเท่า

เป็นผลให้ความเร็วของหวังหลินเร็วมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว หวังหลินเพียงแค่ต้องใส่ใจรอยแยกที่มีขนาดกว้างมากพันฟุต ซึ่งเขาสามารถเมินพวกมันได้ไม่กี่แห่ง

ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวรวดเร็วผ่านแดนสวรรค์ หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมงหวังหลินก็ผ่อนคลายเล็กน้อย แต่แค่เล็กน้อยนี้เขากลับมองไปข้างหน้าและสีหน้าเปลี่ยนไป

เขาเห็นลำแสงสีแดงหม่นกำลังเหาะเหินข้ามผ่านมาจากระยะไกล มีสตรีสาวอยู่ในลำแสงแห่งนั้น ทว่าใบหน้านางซีดขาว ดวงตาตื่นตระหนกพร้อมกับหลบเลี่ยงรอยแยกอวกาศอย่างต่อเนื่อง แทบจะถูกพวกมันกลืนเข้าไปหลายครั้ง

ชิ้นส่วนที่หวังหลินกำลังขับขี่มาเป็นจุดสนใจในความว่างเปล่าแห่งนี้ ดังนั้นนางจึงเห็นชิ้นส่วนของหวังหลินทันที ใบหน้านางเต็มไปด้วยความปิติยินดีและกำลังจะมุ่งตรงมา แต่รอยแยกอวกาศยาวหนึ่งร้อยฟุตพลันปรากกฏขึ้นเบื้องหน้า นางใบหน้าซีดทันทีพร้อมกับพยายามหลบเลี่ยง อย่างไรนางก็สายเกินไป สายตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

หวังหลินถอนสายตาออกมาด้วยความสงบ ด้วยนิสัยของเขาแล้วคงไม่ช่วยใครคนอื่นโดยไม่มีเหตุผล ชิ้นส่วนของเขามุ่งตรงไปข้างหน้าโดยไม่หยุดชะงัก

นางดิ้นรนให้ออกมาจากรอยแยกและตะโกนทันที “ผู้อาวุโสโปรดช่วยข้าด้วย จางกงเล่ยเป็นพี่ของข้า!”

หวังหลินขมวดคิ้ว เขาเคยเห็นสตรีคนนี้มาก่อน ตอนที่กลุ่มของจางกงเล่ยสิบกว่าคนผ่านไป นางอยู่ในกลุ่มคนพวกนั้น

ตอนที่พวกเขาเจอกัน นางพึ่งบรรลุขั้นมายาหยิน ทว่าตอนนี้ระดับบ่มเพาะของนางตกลงและเกือบสูญสิ้นพลังดั้งเดิมทั้งหมด นางอาจทำได้แค่ใช้ระดับบ่มเพาะขั้นเทวะอยู่ตอนนี้

ชิ้นส่วนใต้หวังหลินพลันเปลี่ยนไปและมุ่งตรงไปหานาง พริบตานั้นชิ้นส่วนก็กระแทกใส่รอยแยกขนาดร้อยฟุต จังหวะที่รอยแยกแตกสลาย นางก็กระโดดออกมาร่อนไปบนชิ้นส่วนของหวังหลิน

นางหน้าซีด ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ จ้องมองหวังหลินด้วยสายตาขอบคุณและเอ่ยกระซิบ “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยข้า”

หวังหลินขมวดคิ้วมองนางและเอ่ยถาม “เจ้ามีหินหยกสวรรค์ไหม?”

นางตกตะลึงและรีบพยักหน้า

หวังหลินเอ่ยขึ้นท่าทีสงบ “หินหยกสวรรค์หมื่นก้อนสำหรับการช่วยชีวิตเจ้า เพิ่มขึ้นอีกหมื่นก้อนทุกชั่วโมงที่เจ้าอยู่บนนี้!”

ชิ้นส่วนด้านล่างเขาพุ่งออกไปไกล

นางขบคิดเงียบๆ สายตากระพริบวาบแทบสังเกตไม่เห็น นางไม่ได้คาดคิดว่าคนที่พี่ใหญ่จางเคารพจะเป็นคนแบบนี้ หากนางไม่ได้เห็นการต่อสู้ระหว่างเขากับชายประหลาดผมขาวด้วยตาตัวเอง นางคงไม่เคารพคนตรงหน้าว่าเป็นผู้อาวุโส!

นางโยนกระเป๋าเก็บของและกล่าวกับหวังหลิน “ข้างในมีหินหยกสวรรค์ห้าหมื่นก้อน ผู้อาวุโสโปรดนับมันด้วย!”

หวังหลินรับมาและกวาดสัมผัสวิญญาณบนกระเป๋าออกไป เขาใช้สัมผัสวิญญาณตรวจสอบและพบว่าจำนวนค่อนข้างถูกต้อง พลันหลับตาและไม่สนใจนางอีกต่อไป

นางไม่คาดคิดว่าหวังหลินจะนับจริงๆและดูถูกเขาอยู่ในใจ หลังจากถอนหายใจออกมานางก็นั่งลงห่างจากหวังหลิน มองออกไปในความว่างเปล่า สายตาเต็มไปด้วยความสับสน

‘พี่ใหญ่จาง ท่านอยู่ไหน…’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version