801. หนี้ครั้งนี้จะไม่มีวันลืม
คลื่นเสียงขนาดใหญ่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งผืนแผ่นดินดุจคลื่นโหมกระหน่ำ เสียงดังก้องของมันแทนที่เสียงทุกอย่างในพื้นที่
“หลีกทาง!!”
นี่คือเสียงร้องไห้ของผู้หาทางรอด เป็นเสียงคำรามของเซียนทุกคนที่นี่ เสียงดุจกระบี่แหลมคมทิ่มแทงทุกสิ่งทุกอย่าง เสียงคำรามของเซียนมากกว่าร้อยคนทำให้แม้เซียนขั้นส่องสวรรค์ยังต้องสั่นสะท้าน
“หลีกทาง!!!” เสียงดังขึ้นกว่าเดิมระเบิดออกมาจนก่อเกิดเป็นคลื่นเสียงอีกแห่งไล่ตามหลังอันก่อนหน้า กลายเป็นแรงกระตุ้นอันน่าเหลือเชื่อกว่เาดิม
เสียงนี้เกิดจึ้นจากหวังหลิน หลังจากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้า!
หวังหลินไม่ใช่คนเดียวที่เคลื่อนไหว เซียนทั้งหมดในพื้นที่ต่างก็ก้าวเท้าออกมา แม้ว่าการก้าวนี้จะอยู่ในความว่างเปล่าแต่กลับเกิดเรื่องน่าตกตะลึงยิ่งขึ้น
ราวกับพวกเขากำลังบดขยี้โลกด้วยก้าวแต่ละก้าว หวังหลินก้าวต่อไปทีละก้าวโดยไม่หยุดชะงัก แต่ละก้าวเดินเข้าหาผู้ส่งสาส์นพร้อมกับสั่นสะเทือนผืนโลกไปด้วย
แรงผลักดันนี้แข็งแกร่งเกินไป หากไม่มีคนอยู่ที่นี่คงไม่อาจให้สัมผัสน่าตกตะลึงแบบนี้ได้ เซียนมากกว่าร้อยคนส่งเสียงคำรามพร้อมกับพุ่งลงไปหาเส้นทางเอาชีวิตรอดด้วยดวงตาแดงฉาน
ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้จิตใจผู้ส่งสาส์นทั้งหกคนต้องสั่นสะท้าน แม้พวกเขาจะแข็งแกร่งก็ยังถูกแรงผลักดันนี้ให้สั่นไหว
ก้าวแต่ละก้าวของเซียนที่พุ่งเข้ามาส่งเสียงคำรามกึกก้องไปทั่วชิ้นส่วนแดนสวรรค์ กลิ่นโลหิตฟุ้งไปทั่วอากาศ ภายใต้เรื่องทั้งหมดนี้มีผู้ส่งสาส์นคนหนึ่งใบหน้าซีดและก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเขาล่าถอย เสมือนเขื่อนแตกพังที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ พอถอยอีกก้าว ผู้ส่งสาส์นคนอื่นก็เหมือนกัน ภายใต้แรงกดดันบ้าคลั่งเช่นนี้พวกเขาได้เริ่มล่าถอย
ถอย! ถอย! ถอย! ถอย!
หกคนก้าวถอยต่อเนื่อง พวกเขาจำเป็นต้องถอย แม้ไม่ยินยอมแต่ก็ต้องถอย! มีแรงผลักดันที่มิอาจต่อต้านได้เบื้องหน้า แม้ว่าแต่ละคนจะสามารถเข่นฆ่าเซียนส่วนใหญ่เหล่านี้ได้ แต่ถ้าหากทำแบบนั้นคงเป็นคนขี้ขลาดตาขาว!
พวกเขาฝึกฝนมานานหลายปี แต่ไม่เคยเห็นเซียนขั้นเทวะสักคนยังพยายามกัดพวกเขาหลังจากร่างและวิญญาณแตกสลายไปแล้ว
เห็นกระทั่งคนที่เลือกจะทำลายตัวเองหลังจากบาดเจ็บสาหัสเพื่อพยายามทำร้ายศัตรู พวกเขาไม่เคยเห็นคนจำนวนมากเลือกหนทางแบบเดียวกัน
จากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เกิดสัมผัสที่มิอาจต่อต้านได้ขึ้นในใจ!
หากเป็บแบบนี้มันคงไม่น่าหวดากลัวนัก แต่ในหมู่พวกเขามีเซียนขั้นรูปธรรมหยางสองคนและหวังหลิน!
ตัวตนแต่ละคนรวมกับคนอื่นๆพุ่งเข้าหาพวกเขาทำให้เกิดสัมผัสแห่งความหวาดกลัวเกิดขึ้นในจิตใจ โดยเฉพาะหวังหลินที่สามารถฆ่าพวกเขาได้ง่ายๆ!
พวกเขาไม่อาจต่อต้านได้! ทำได้เพียงล่าถอยเท่านั้น ล่าถอยอีกและถอยต่อไป!
ทั้งหกคนถอยร่นเร็วขึ้นและเร็วขึ้นจนกระทั่งออกมาถึงทางเข้าค่ายกล!
“เปิดค่ายกล แล้วเราก็จะออกไปได้! พวกบ้านั่น! มันเป็นกลุ่มคนบ้า!!” สีหน้าชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซีดเผือดมองไปยังเหล่าเซียนตาแดงที่กำลังพุ่งเข้ามา
พวกเขาสามคนนั่งลงทันทีและเริ่มสร้างผนึกเพื่อกระตุ้นค่ายกลให้ออกไป
แววตาหวังหลินกระพริบแสงเย็นเยียบ พลันก้าวหนึ่งคราพุ่งเข้าใส่ค่ายกลเคลื่อนย้าย เซียนอีกหลายคนพุ่งตามหลังเขาไปด้วย!
ขณะที่คนสามคนกระตุ้นค่ายกลเคลื่อนย้าย คนที่เหลือกัดฟันแน่นและพุ่งออกมาข้างหน้า หนึ่งในนั้นสร้างผนึกและพ่นโลหิตจำนวนหนึ่งออกมา ข้างในโลหิตมีสีทองและขยายจนมีขนาดใหญ่ทันที
“ขังต้นกำเนิดและผนึกวิญญาณ!” โซ่ตรวนสีทองพลันแตกสลายกลายเป็นจุดสีทองนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่หวังหลินและเซียนด้านหลัง
หวังหลินสร้างผนึกมือขวาและชี้ไปหาท้องฟ้า สายลมทมิฬรวบรวมในฝ่ามือและเติมเต็มทั่วโลกในไม่นาน สายลมทมิฬก่อร่างเป็นมังกรดำหนึ่งตัวและส่งเสียงคำรามทันที
มังกรพ่นสายลมเย็นยะเยือกออกมากวาดผ่านจุดแสงสีทองนับไม่ถ้วน จากนั้นจุดแสงก็หายไปทีละจุดเบื้องหน้าเหล่าเซียน
ขณะเดียวกันหวังหลินยื่นมือออกมา เจ้ามังกรดำลงมาจากฟากฟ้ารวมตัวอยู่ในฝ่ามือหวังหลินอย่างรวดเร็วจนมันเปลี่ยนกลายเป็นกรงขังสีทอง
‘สมบัตินี้เยี่ยมมาก!’ หวังหลินกลืนกรงขังทองเข้าไปด้วยสายตาเย็นเฉียบ สายฟ้าในวิญญาณดั้งเดิมปรากฏขึ้นมาและเริ่มปรับแต่งมัน
เซียนคนที่ปลดปล่อยกรงขังทองออกมากลับมีใบหน้าซีดเผือดและถอยกลับ ทว่าหวังหลินเร็วกว่า ใช้ฝ่ามือขวาเต็มไปด้วยพลังงานประทับลงใส่ผู้ส่งสาส์น
ขณะที่อีกฝ่ายล่าถอย ฝ่ามือสร้างผนึกและตบกระเป๋านำธงเล็กๆสามผืนขึ้นมาไว้รอบตัว ควันสีม่วงโผล่ออกมาจากธงเหล่านั้นและก่อเกิดเป็นวังวน
ขณะนิ้วหวังหลินกดลงไปบนควันสีม่วง เขากลับรู้สึกถึงพลังงานแข็งแกร่งออกมาจากข้างในได้ทันที หวังหลินอดไม่ได้ที่จะหยุดชะงักชั่วขณะ ดวงตาหรี่แคบ
ผู้ส่งสาส์นใช้จังหวะนี้ล่าถอยอีกครั้ง หวังหลินเผยสีหน้าเยาะเย้ยพลางยื่นแขนขวาขึ้น รอยสักกระดูกอสูรลอยออกมาพร้อมกระพริบกลิ่นอายชั่วร้าย ปรากฏแสงสีเทาขึ้นที่เท้าของผู้ส่งสาส์น
ใบหน้าผู้ส่งสาส์นซีดขาวราวกับคนตาย ควันสีม่วงรอบตัวพยายามต่อต้านแสงสีเทา ขณะนั้นหวังหลินเข้ามาใกล้และใช้วิชายับยั้งทันที
ร่างผู้ส่งสาส์นหยุดชะงัก แม้จะเป็นเพียงชั่วขณะแต่แสงสีเทาพลันแพร่กระจายไปทั่วร่าง หวังหลินพุ่งออกไปเตะเท้าขวาใส่เขา
เสียงแตกร้าวดังขึ้นทันที จากนั้นร่างกลายเป็นเศษหินหล่นลงพื้น ทว่าธงเล็กๆรอบตัวเขารับวิญญาณดั้งเดิมเอาไว้และลอยอกไป
“โปรดอย่าฆ่าข้า ข้าจะใช้สมบัติทรงพลัง…” ก่อนที่เขาจะพูดจบ หวังหลินพุ่งออกมาพร้อมแววตาส่องสว่าง ชี้แขนขวาออกไปและแส้แห่งเวรรกรรมปรากฏ วิญญาณดั้งเดิมข้างในหมอกม่วงส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน หวังหลินคว้าดวงวิญญาณดั้งเดิมและธงสามผืนเอาไว้ พ่นพลังดั้งเดิมออกมาก่อเกิดเป็นกฏเกณฑ์นับไม่ถ้วนเพื่อผนึกธงพร้อมกับวิญญาณ ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋ากลับไป
ในตอนนี้ผู้ส่งสาส์นที่พุ่งออกมาสองคนกลับถูกเซียนคนอื่นล้อมรอบเอาไว้ ภายใต้การโจมตีของเซียนขั้นรูปธรรมหยางสองคนที่มีเซียนมายาหยินและเซียนเทวะอีกหลายคนรวมอยู่ด้วย ผู้ส่งสาส์นอีกสองคนจึงถูกบังคับให้ล่าถอย
ขณะนั้นพลันเกิดแสงสีเงินกระพริบวาบและโลหิตพ่นกระจายออกมาจากผู้ส่งสาส์นหนึ่งคน ดวงตามืดมนลงและวิญญาณดั้งเดิมลอยออกมาหลบหนี
ก่อนที่หวังหลินจะทันได้ลงมือ เซียนขั้นเทวะมากกว่าสิบคนระดมโจมตีด้วยดวงตาแดงฉานพร้อมๆกับมีลำแสงสีเงินไล่ตามล่า วินาทีถัดมาผู้ส่งสาส์นคนนั้นก็ถูกฆ่า!
ณ ตอนนี้ผู้ส่งสาส์นสามคนกระตุ้นค่ายกลเสร็จสิ้น จากนั้นทั้งสามคนประสานแขนกันและพึมพำบทร่ายอันซับซ้อน ค่ายกลเคลื่อนย้ายเริ่มแตกสลายไปพร้อมๆกับชายขอบชิ้นส่วน!
การกระตุ้นค่ายกลเคลื่อนย้ายให้ทำงานเร็วขึ้นจะต้องจ่ายค่าแลกเปลี่ยนเป็นการทรุดโทรมของค่ายกลเคลื่อนย้าย พริบตานั้นปรากฏระลอกคลื่นขึ้นและพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ในระลอกคลื่นมีผู้ส่งสาส์นสามคนส่งสายตาอาฆาตพร้อมๆกับร่างแต่ละคนบิดเบี้ยวและค่อยๆเลือนหาย
ขณะที่ระลอกคลื่นกระจายออกมา ค่ายกลเคลื่อนย้ายเริ่มสั่นไหวรุนแรง แสงจากรอบด้านเริ่มรวบรวมไปอยู่ที่ตรงกลาง ชายขอบล่มสลายอย่างรวดเร็ว
ผู้ส่งสาส์นคนสุดท้ายกำลังต่อสู้กับเหล่าเซียนพลันหลบหนีและกลับเข้าไปในลำแสงทันที
ทว่าขณะที่พวกเขากำลังจะหายไปนั้น หวังหลินก้าวเท้าไป ใช้สองดัชนีก่อร่างเป็นกระบี่และตัดสวรรค์ผ่าลงบนลำแสงโดยตรง
ลำแสงแตกสลายและหายไปทันที ผู้ส่งสาส์นสี่คนในค่ายกลเผยความหวาดกลัวออกมา ราวกับพวกเขากำลังถูกฉีกกระจากจากการที่ร่างกายแตกสลายและกำลังเลือนหายไปก่อนนั้น
ขณะที่ลำแสงหายไป ระลอกคลื่นจากค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น ลำแสงแพรวพราวรวมตัวกันอีกครั้งและก่อเกิดลำแสงอีกแห่ง
เหล่าเซียนรอบด้านทั้งหมดพุ่งเข้าไปราวกับไม่ยอมเสียเวลาเพียงครู่เดียว
เฉินกงฮู่เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้โจมตีตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาติดหนี้อารามเทพอัสนีแม้จะถูกตีตัวออกห่างหลังจากส่งวิญญาณแห่งเต๋าให้หวังหลิน
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจลงมือได้ และเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเขาจึงใช้วิชาเปลี่ยนรูปลักษณ์ขณะอยู่ภายในระยะชิ้นส่วนแดนสวรรค์ประมาณห้าลี้ ณ ตอนนี้เขาพุ่งเข้าไปในลำแสงด้วย
ยิ่งมีเซียนพุ่งเข้าไปในลำแสง แสงนั้นก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้น ขณะที่ซื่อจื่อเฟิงพุ่งเข้าไปในลำแสง นางหันกลับมามองหวังหลิน กันริมฝีปากเล็กน้อยราวกับอยากจะบอกอะไรบางอย่าง
ขอบของค่ายกลเคลื่อนย้ายได้ล่มสลายอย่างรวดเร็วและพริบตานั้นมันก็เกือบจะถึงจุดตำแหน่งที่แสงอยู่ สิ่งแลกเปลี่ยนของค่ายกลเคลื่อนย้ายได้ทำให้มันเกินขีดจำกัด
เพียงก้าวเดียวหวังหลินก็เข้าไปในลำแสงแห่งนั้น ในใจพลันคิด ‘ถึงเวลาที่จะจากไปแล้ว…การล่มสลายของค่ายกลเคลื่อนย้ายเป็นเรื่องดี แม้มันไม่ได้พังทลาย ข้าก็ต้องทำลายมันเพื่อให้ตำแหน่งเป้าหมายแตกสลาย ด้วยวิธีนั้นมันคงพอเป็นไปได้ที่จะหลีกเลี่ยงการเคลื่อนย้ายสู่อารามเทพอัสนี!’
เมื่อลำแสงพุ่งเข้าสู่ท้องฟ้า พลังรุนแรงสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา ขณะที่ลำแสงกำลังจะหายไป เซียนขั้นรูปธรรมหยางที่เปลี่ยนร่างเป็นลำแสงสีเงินนั้นพลันตะโกนออกมา “ผู้อาวุโสโปรดเอ่ยนามของท่าน! นี้ครั้งนี้จะไม่มีวันลืมเลือน!”
“ซิ่วมู่…” หวังหลินหายไปพร้อมกับลำแสง ดวงตาซื่อจื่อเฟิงพลันส่องสว่างและคิดในใจนาง ‘ซิ่วมู่…’
ขณะที่ลำแสงหายไป เซียนเกือบทั้งหมดข้างในกระซิบอย่างแผ่วเบา “หนี้ใหญ่ครั้งนี้จะไม่มีวันลืมเลือน!”
ทั้งหมดทุกคนจดจำชื่อซิ่วมู่! เป็นชื่อที่พวกเขาจะไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิต…