813. ประทับตราผนึกเทพถือกำเนิด!
เมื่อกรงทองแตกสลาย แสงสีทองพลันแตกกระจายกลายเป็นชิ้นส่วนเล็กๆนับไม่ถ้วนบนพื้นและมีเพียงหยดของเหลวสีทองหนึ่งหยดลงเหลืออยู่ในมือหวังหลิน
หวังหลินควบคุมการบีบสลายด้วยกรรมวิธีที่แยบยล เขาทำลายสมบัติโดยไม่ได้ทำความเสียหายต่อของเหลวสีทองข้างในเลย ถ้าเจ้าของคนเดิมก่อนหน้านี้มาเห็นคงสูดลมหายใจหนาวเหน็บและเจ็บปวดหัวใจ
แม้ผู้ส่งสาส์นคนนั้นไม่ให้ความสำคัญมากต่อสมบัติชิ้นนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาใช้มันบ่อยๆคงไม่ทำการบีบสลายมัน
แม้ผู้ส่งสาส์นคนนั้นจะรู้ว่ามีบางอย่างในสมบัติที่ปลดปล่อยความสามารถออกมา เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงทำลายสมบัติเพื่อเก็บเอาไว้
ความจริงแล้วไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้น แม้จะเป็นเซียนขั้นมายาหยินหรือรูปธรรมหยางที่เห็นหวังหลินทำแบบนี้ จิตใจแต่ละคนคงปวดร้าว
เพราะถ้าพวกเขาทำลายสมบัติของตัวเองและสิ่งที่ได้กลับมามีค่าน้อยหรือน้อยกว่าสมบัติชิ้นเดิม การกระทำแบบนั้นถือได้ว่าโง่เขลา
ถ้าเป็นเซียนระดับแรกมาเห็นหวังหลิน พวกเขาคงไม่รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ แต่กลับรู้สึกตกตะลึงมหาศาลแทน!
กล่าวได้ว่าถ้าสมบัติเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาบนดาวซูซาคุเมื่อแปดร้อยปีก่อน มันคงเกิดพายุครั้งใหญ่ แม้แต่จูเซว่จื่อยังเข้าร่วมด้วย
หารู้ไม่ว่าหลังจากหวังหลินบ่มเพาะเซียนผ่านไปพันปี เขาก็เข้าสู่สภาวะในตอนนี้ ต้องการสลายสมบัติเพื่อต้องการดูวิชาที่ผนึกไว้ข้างใน
พันปีแห่งการฝึกเซียน ไม่ใช่เพียงแค่เขาที่มีระดับบ่มเพาะสูงขึ้นแต่ขอบเขตความรู้ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นด้วย มีสมบัติไม่มากนักที่ทำให้เขาสนใจ แม้จะมีสมบัติอ่อนแอมากมายอยู่ในกระเป๋า เขาก็เพียงเก็บมันเอาไว้เนื่องจากผลลัพธ์พิเศษหรือไม่ก็เพราะเขาเก็บมันไว้มานานเป็นพันปี
ไม่ว่าสมบัติชิ้นนั้นจะอ่อนแอเพียงใด อย่างน้อยมันก็เป็นสมบัติสวรรค์ที่ผู้ส่งสาส์นแห่งอารามเทพอัสนีต้องตา แต่หวังหลินก็ยังบีบสลายมันอย่างไม่ใส่ใจ แม้จะถูกทำลาย หัวใจก็ไม่เจ็บปวด
ขณะกำลังจ้องของเหลวสีทองระหว่างนิ้วมือ ดวงตาหวังหลินส่องประกายเจิดจ้า ระหว่างคิ้วเกิดรอยร้าวและปรากฏดวงตาที่สาม ลำแสงสีแดงแผ่ออกมาล้อมรอบของเหลวสีทอง
ภายใต้สายตาที่สาม ของเหลวสีทองค่อยๆแตกสลายและกลับคืนสู่ต้นตอของมัน แต่มันไม่ได้เร็วนัก หลังผ่านไปชั่วครู่ ดวงตาที่สามก็สลัวลง แต่ของเหลวสีทองสลายไปได้ครึ่งส่วน
‘น่าประหลาดนัก แม้จะเจอตาที่สามไปมันกลับคงอยู่มาได้นานขนาดนี้!’ ดวงตาส่องสว่างขึ้น พลังดั้งเดิมในร่างกายไหลเข้าสู่ตาที่สามเพื่อใช้พลังงานมากขึ้น แสงจากดวงตาที่สามพลันเข้มข้นทันที
ของเหลวสีทองเริ่มแตกสลายเร็วขึ้น ครู่ต่อมาของเหลวก็สลายไปกลายเป็นด้ายทองนับไม่ถ้วน แต่ละเส้นเชื่อมต่อกันและกันก่อเกิดเป็นอักขระรูนอันซับซ้อนยิ่ง
อักขระรูนนี้คงอยู่เพียงแค่สามลมหายใจก่อนที่มันจะแตกสลายไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เหลืออะไรทิ้งไว้ในมือหวังหลิน
“อักขระรูน…” หวังหลินเริ่มขบคิดพลางตบกระเป๋านำพู่กันสวรรค์ออกมา ฝ่ามือเร่ิมขยับและเริ่มวาดออกไป
ครู่ต่อมาอักขระรูนปรากฏเบื้องหน้าหวังหลิน อักขระรูนชิ้นนี้เหมือนกันกับที่ด้ายทองสร้างขึ้นเมื่อครุ่ หวังหลินมองมันด้วยแววตาส่องสว่าง อักขระรูนไม่มีกลิ่นอายอะไรโผล่ออกมาและไม่มีอะไรพิเศษ
หวังหลินขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่หันไปจ้องอักขระรูนด้วยสีหน้าเปลี่ยนไป จากนั้นหลับตาลงและพลันลืมตาขึ้นทันทีแฝงอาการตกใจ
‘สัมผัสวิญญาณข้าไม่อาจตรวจสอบมันได้!’ สายตามุ่งมั่นพลางยกแขนซ้ายชี้ไปที่อักขระรูน มันลอยขึ้นสู่กลางอากาศภายใต้การควบคุมของหวังหลินและลอยเข้าหาอสูรยุงที่กำลังบินอยู่
อสูรยุงกำลังบินอยู่อย่างมีความสุข ทว่าตอนนั้นเส้นขนทั้งหมดตั้งขึ้นและกำลังจะหลบ ทว่ามันกลับลังเลเพื่อพบว่ามีสัมผัสวิญญาณหวังหลินด้วยและไม่ได้เคลื่อนไหว พลางจ้องอักขระรูนที่กำลังเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
อักขระรูนกระพริบวูบวาบประทับลงบนอสูรยุง แตกสลายกลายเป็นของเหลวทองและล้อมรอบอสูรยุงไว้ทันที เจ้ายุงดิ้นรนและหนีออกมาในไม่กี่วินาที จากนั้นลอยออกไปไกลพร้อมกับมองหวังหลินเหมือนโดนทำร้ายและร้องไห้
หวังหลินดวงตาสว่างขึ้น ตอนที่เขาใช้พู่กันสวรรค์ เขาใส่พลังดั้งเดิมไปแค่หนึ่งในสิบส่วนเท่านั้นและอักขระรูนยังไม่ได้ทรงพลัง ดังนั้นเมื่อเขาใช้พลังทั้งหมดสร้างอักขระรูน มันจะทรงพลังเพิ่มขึ้นแน่นอน
หวังหลินเก็บพู่กันสวรรค์กลับไป ขบคิดเล็กน้อยพร้อมกับค้นหาความจริง ‘ความสามารถที่แท้จริงของสมบัติชิ้นนี้คืออักขระรูนนี่ เมื่อมันอยู่ในสมบัติจึงไม่สามารถแสดงพลังเต็มที่ออกมาได้ แต่ด้วยพู่กันนี้ ข้าจึงสามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาได้’
หากเป็นคนอื่น แม้จะแยกของเหลวทองออกมาได้ก็ไม่สามารถทำอะไรต่อได้ เว้นแต่จะมีวิชาทรงพลังเช่นตาที่สามเพื่อเห็นจุดกำเนิด
‘เป็นครั้งแรกที่ข้าได้รับบางอย่างจากสมบัติวิเศษเช่นนี้ เมื่อหน้าที่ของมันเหมือนการผนึก ข้าจะเรียกมันว่าอักขระผนึก!’ หวังหลินยกแขนขึ้นมาวาดอีกหลายครั้งและแกะสลักมันไว้ในใจก่อนจะวางแขนลง พลันคิดขึ้นมาว่า
‘เมื่ออักขระรูนถูกแยกออกมาจากสมบัติ เช่นนั้นข้าน่าจะสามารถวางมันในสมบัติเพื่อเพิ่มพลังได้…’ แววตาเปล่งประกายลึกลับ หัวใจเต้นถี่รัว
‘สมบัติส่วนใหญ่ทีข้าได้มามักจะมีต้นกำเนิดจากข้างนอก หายากนักที่ข้าจะหลอมมันให้เป็นของตัวเอง…’ หวังหลินอ้าปากพ่นเมล็ดทรายออกมา เมล็ดเติบโตกลายเป็นตราประทับชิ้นส่วนแดนสวรรค์ขนาดใหญ่
ขณะจ้องมัน แสงในแววตาหวังหลินก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
‘เดิมทีมันเป็นชิ้นส่วนแดนสวรรค์และถูกหลอมด้วยทัณฑ์สวรรค์อีดทอดหนึ่ง ตอนที่ถูกขุนนางเทพฉิงชุ่ยมันกลับไม่ได้รับความเสียหายเลย ดังนั้นความทนทานของมันจึงมีมากที่สุด ทว่าสมบัติชิ้นนี้ไม่สมบูรณ์ ตอนที่ใช้โจมตีมันแค่ใช้ปราณสวรรค์คลุมเอาไว้เพื่อกักขังคนอื่น ตามจริงมันไม่ได้แข็งแกร่งนัก เทียบไม่ได้กับพลังชุดเต๋าร่วงโรยและยิ่งเทียบไม่ได้ไปใหญ่กับราชรถสังหารเทพ’
หวังหลินนำพู่กันสวรรค์ออกมาอีกครั้งและเริ่มวาด อักขระผนึกปรากฏขึ้นในชั่วจังหวะ
‘ข้าจะใส่วิชาเข้าไปให้มัน! วิชาผนึก!’ แขนขวาพลันเคลื่อนไหว จากนั้นอักขระรูนลอยเข้าใส่บนชิ้นส่วนสวรรค์และผสานเข้าด้วยกัน
หวังหลินไม่หยุดแค่นั้น เขาลอยตัวขึ้นกลางอากาศและวาดอย่างต่อเนื่อง อักขระผนึกปรากฏขึ้นมาทีละชิ้นและร่อนลงบนชิ้นส่วนสวรรค์
หวังหลินค่อยๆเร็วขึ้นและเร็วขึ้น ร่างกายหมุนวนเป็นวงกลมรอบชิ้นส่วนจนเกิดภาพติดตา ท้ายที่สุดเขาเหมือนเส้นสายฟ้าสร้างเสียงดังคะนองไปทั่วพื้นที่
ยิ่งสร้างอักขระผนึกก็ยิ่งเชี่ยวชาญมากขึ้น จากการวาดหนึ่งเส้นเกิดหนึ่งอักขระรูนกลายเป็นวาดหนึ่งเส้นก่อเกิดหลายสิบอักขระ และพวกมันทั้งหมดก็ร่อนลงใส่ชิ้นส่วนสวรรค์
ตลอดกระบวนการนี้หวังหลินไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและไม่หยุดชะงักแม้เพียงเล็กน้อย ชิ้นส่วนแดนสวรรค์เป็นสิ่งของเพียงสิ่งเดียวที่สำคัญพร้อมกับวาดอักขระผนึกเพื่อผสานเข้าใส่ไปด้วย
หวังหลินใส่อักขระผนึกไปมากมายจนชิ้นส่วนนั้นเรืองแสงสีทองจางๆ ทว่าหวังหลินยังไม่หยุด ทำการใส่อักขระผนึกต่อทีละชิ้น
สามวันถัดมาหวังหลินร่อนลงพื้นและเริ่มบ่มเพาะทันที ใบหน้าซีดเล็กน้อยเนื่องจากสามวันนี้เขาใช้พลังดั้งเดิมอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีระดับบ่มเพาะสูงส่งเขาก็ยังมีขีดจำกัด
ชิ้นส่วนขนาดหนึ่งพันฟุตหดลงเหลือแปดร้อยฟุต มันยังเรืองแสงสีทองจางๆแต่ตอนนี้เข้มขึ้นเล็กน้อย
หลังจากพักผ่อนไปไม่กี่ชั่วยาม หวังหลินลืมตาขึ้น ร่างกายเคลื่อนไหวและเริ่มวาดอักขระผนึกอีกครั้ง
เวลาผ่านไปหวังหลินพักถึงเจ็ดครั้ง ชิ้นส่วนแดนสวรรค์หดลงเหลือห้าร้อยฟุต สี่ร้อยฟุต สามร้อยฟุต จนกระทั่งเหลือเพียงความกว้างหนึ่งร้อยฟุต
แสงสีทองที่ปลดปล่อยออกมายิ่งเข้มขึ้น มองไกลๆเหมือนดวงอาทิตย์ที่กำลังเรืองแสงสลัวๆ
เมื่อเขามองสมบัติ ความเหนื่อยล้าก็พลันหายไปทันที หวังหลินสูดหายใจลึก ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พักผ่อนเพียงเล็กน้อยพลางเหาะขึ้นไปอีกครั้ง คราวนี้เขาหลอมมันถึงห้าวัน!
ห้าวันถัดมาหวังหลินร่อนลงบนพื้น ใบหน้าซีดขาวอย่างสิ้นเชิง ก้าวเดินไม่มั่นคง ทว่าดวงตาตื่นเต้นถึงขีดสุด!
“ตั้งแต่วันนี้ต่อไป นี่คือสมบัติที่ข้าหล่อหลอมขึ้นมา ข้าจะให้ชื่อว่า ‘ประทับตราผนึกเทพ!’” หวังหลินส่งเสียงกึกก้องสนั่นท้องฟ้า เบื้องหน้าคือประทับตราขนาดสามนิ้วที่ปลดปล่อยแสงแพรวราว ถ้าคนธรรมดามาเห็นแสงนี้จะเจาะทะลวงดวงตาและทำลายความคิด
แม้แต่เซียนระดับต่ำยังรู้สึกความคิดสั่นเทาและเกิดความเจ็บปวดเต็มไปทั่วร่างราวกับกำลังถูกกระบี่นับไม่ถ้วนทิ่มแทง แม้กระทั่งเซียนระดับสูงยังรู้สึกว่าวิญญาณดั้งเดิมถูกผนึกเอาไว้ตอนที่มองมัน
ประทับตราขนาดสามนิ้วเปล่งประกายเจิดจ้าและเต็มไปด้วยปราณสวรรค์มากมาย ทั้งยังมีกลิ่นอายผนึกอันแข็งแกร่งล้อมรอบเอาไว้ด้วย
นี่คือตราประทับที่ถูกหวังหลินสร้างขึ้นมาโดยใช้เวลาหนึ่งเดือน หวังหลินคาดคำนวณหยาบๆว่ามีอักขระรูนใส่เอาไว้ไม่น้อยกว่าหกแสนชิ้น!
อักขระผนึกมากกว่าหกแสนชิ้นได้ถูกผสานเข้าไปในชิ้นส่วนแดนสวรรค์หนึ่งพันฟุตและเขาควบแน่นมันจนเหลือขนาดเพียงสามนิ้ว หวังหลินมั่นใจอย่างยิ่งเกี่ยวกับพลังอำนาจที่อยู่ในตราประทับชิ้นนี้
ขณะมองประทับตราผนึกเทพ ดวงตาส่องสว่างและเริ่มขยับฝ่ามือวางกฏเกณฑ์ใส่เอาไว้ ปราณสวรรค์จากตราประทับค่อยๆถูกปกคลุมและกลิ่นอายผนึกส่วนใหญ่ได้ถูกซ่อนเอาไว้
ครู่ต่อมาพลังของมันก็ถูกซ่อนไว้อย่างสิ้นเชิง สมบัติที่ทำให้โลกเซียนสั่นสะเทือน ประทับตราผนึกเทพ ได้ถือกำเนิด!
‘รูปลักษณ์ของมันเหมาะสมกับภาพจินตนาการสมบัติที่มีอยู่ในใจข้า!’ หวังหลินมองตราประทับที่ดูไม่แตกต่างจากสมบัติต้นกำเนิดและดวงตาส่องสว่างขึ้นมา