Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 876

Cover Renegade Immortal 1

876. เส้นทางสู่สวรรค์

สีหน้าหวังหลินสงบนิ่งเป็นปกติแต่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จากสิ่งที่เขาเห็นในภาพมายา มันมีม้วนคัมภีร์อยู่หกเล่มแน่นอน หวังหลินคำนับฝ่ามืออย่างนอบน้อม “ขอบคุณมาก ผู้อาวุโสลี่หยุนจื่อ”

ลี่หยุนจื่อหัวเราะและมองหวังหลินอย่างละเอียด พลันโบกแขนเสื้อและดึงคนอื่นให้เข้าบททดสอบต่อไป

หวังหลินหันตัวและเดินออกจากสนาม พอเจอพื้นที่โล่งหนึ่งจึงนั่งลง เมินเฉยสายตาเซียนทั้งหมดและบ่มเพาะอย่างเงียบๆ

ขณะบ่มเพาะ หวังหลินสัมผัสคลื่นความเจ็บปวดจากระหว่างคิ้วตนเองได้อย่างชัดเจน เกิดความรู้สึกเหมือนกำลังจะเสียการควบคุมขึ้นในใจ หวังหลินเข้าใจว่าตาที่สามดูดซับต้นตอพลังดั้งเดิมและเกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ แม้แต่เขาก็เดาไม่ได้ว่ามันจะดีหรือแย่

แต่อย่างไรมีสิ่งหนึ่งที่มั่นใจ ถ้าเขายอมให้ความเจ็บปวดดำเนินต่อไป เมื่อมันเกินกว่าเขาจะควบคุมและหลุดออกไป หวังหลินโดนพลังตีกลับอย่างแน่นอน

เพียงแค่คิดก็สูดหายใจลึก ควบแน่นกฏเกณฑ์ทำลายล้าง ขณะที่บ่มเพาะต่อไป ผนึกสามชิ้นค่อยๆเกิดขึ้นมาผนึกตาที่สาม

ทว่าพลังจากดวงตาที่สามแข็งแกร่งเกินไป ผนึกชิ้นนี้สามารถบรรเทาปัญหาได้ชั่วคราวเท่านั้น หากเวลาผ่านเลยไปเขาจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งมันอีกครั้ง

แม้จะเป็นเช่นนี้หวังหลินก็ไม่คิดว่ามันจะก่อความลำบากอะไรอีก

‘ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น วิชาในดวงตาที่สามจะกลายเป็นไพ่ตายช่วยชีวิตของข้า!’

เหล่าเซียนที่เหลือทำการทดสอบต่อจากหวังหลินไปเรื่อยๆ ผ่านไปสามสิบนาทีก็เสร็จสิ้นบททดสอบที่สาม

ลี่หยุนจื่อยื่นแขนขวาออกมา คัมภีร์รบกลับเข้าไปในมือ สายลมกรรโชกกวาดผ่านออกมาจากร่างกายเขา คนที่ไม่มีคุณสมบัติจะถูกส่งกลับไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย

จาก 147 คนเหลือตอนนี้เพียง 112 คนเท่านั้น

ขณะลี่หยุนจื่อกลับไปนั่งเสื่อสมาธิของตนเอง ปรมาจารย์จงเฉินกวาดสายตาผ่านคนที่เหลือ 112 คน ดวงตาส่องสว่างดุจคบเพลิงและเอ่ยขึ้น “สามบททดสอบจบลงแล้วและทุกคนที่เหลืออยู่คือหัวกะทิของรุ่นนี้ เดิมทีแล้วต่อไปจะเป็นหกเส้นทางลี้ลับเพื่อทดสอบเต๋า แต่เมื่อจำนวนตัวเลขใกล้เคียงกับ 108 คน เราจะข้ามไปที่เส้นทางสู่สวรรค์เลยก็แล้วกัน!”

“เส้นทางสู่สวรรค์เป็นลำดับสุดท้ายของการแข่งขันตำแหน่งเทพ ในร้อยแปดคนจะได้รับตำแหน่งเทพ มีสามสิบหกคนจะได้รับตำแหน่ง ‘เทพสวรรค์’!”

“ในบททดสอบเส้นทางสู่สวรรค์นั้น ตัวตนของทุกคนคือภาพมายา แม้จะตาย ร่างกายเพียงได้รับความเสียหายเล็กน้อยเท่านั้น มันจึงจะไม่ส่งผลกระทบต่อพวกเจ้ามากเกินไป!”

หลังปรมาจารย์จงเฉินกล่าวจบ เขาตบกระเป๋านำไม้แปดเหลี่ยมออกมาไว้ในมือ โยนขึ้นกลางอากาศและขยายตัวออก พริบตาเดียวมันก็กว้างมากกว่าร้อยฟุต แสงหลากสีระเบิดออกมาหมุนวนเป็นวงกลมกลางอากาศ

“เข้าไปในสนาม!” สิ้นเสียงตะโกนของปรมาจารย์จงเฉิน เซียนจำนวน 112 คนเดินเข้าสู่สนามและนั่งสมาธิลงข้างใน

หลังจากนั้นไม่นาน ปรมาจารย์จงเฉินก็ส่งผนึกออกไป ลำแสงหลายเส้นโผล่ออกมาจากไม้ แต่ละเส้นส่องประกายลงบนเซียนแต่ละคนในสนาม

วินาทีที่แสงห้าสีส่องประกายลงไป เซียนทั้งหมดรวมทั้งหวังหลินก็สิ้นสติ

พื้นที่แห่งนี้เป็นป่าหนาทึบ ต้นไม้สูงพร้อมด้วยกิ่งก้านสาขาเบียดเสียดกันนับไม่ถ้วน แต่ละใบคล้ายก่อตัวเป็นตาข่ายปกคลุมท้องฟ้า มีเพียงช่องว่างเล็กๆภายในที่ยอมให้แสงลอดผ่าน ลำแสงตกลงมาจากฟากฟ้าดูลึกลับยิ่งนัก

พื้นดินปกคลุมอยู่ในใบไม้แห้ง แมลงมีพิษเดินขวั่กไขว่หลีกเลี่ยงลำแสงที่ลอดผ่านเข้ามา

ขณะนั้นต้นไม้สูงแห่งหนึ่งกระพริบลำแสงห้าสีและหวังหลินเดินออกมา เขากระโดดและร่อนลงบนกิ่งไม้หนึ่งทันที พลางใช้หัวใจกฏเกณฑ์และซ่อนกลิ่นอายของตน

หวังหลินผ่านสถานการณ์ความเป็นความตายมาหลายครั้ง และบททดสอบเส้นทางสู่สวรรค์นี้ไม่ได้อันตรายเท่าดินแดนวิญญาณปิศาจเลย! หวังหลินแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาโดยไม่ให้เกิดความผิดพลาด

ในจังหวะนั้น สัมผัสวิญญาณหนึ่งกวาดผ่านมาและมันไม่ได้หยุดที่หวังหลิน มันแผ่กระจายออกไปอย่างต่อเนื่อง ทว่าหลังจากนั้นสัมผัสวิญญาณก็ตื่นตระหนกและแผ่กระจายอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่สัมผัสวิญญาณก็แตกสลาย ส่งเสียงกรีดร้องออกมาไกล

ดวงตาหวังหลินส่องสว่างขึ้น

‘ข้าไม่สามารถแพร่สัมผัสวิญญาณที่นี่ได้ ไม่เช่นนั้นคงรู้ตำแหน่งและเป็นเป้าหมาย!’

หวังหลินขบคิดเล็กน้อย โคจรพลังดั้งเดิมและสังเกตร่างกายตนเองจึงพอจะพบเบาะแสบางอย่าง เป็นจริงตามที่ปรมาจารย์จงเฉินได้กล่าวไว้ ร่างกายเขาที่นี่เหมือนกับร่างกายเดิมไม่มีผิดเพี้ยน แต่หลังจากตายไปมันจะไม่กระทบต่อร่างกายจริงๆนัก

‘เส้นทางสู่สวรรค์ที่ไม่ได้ตายจริงคงเป็นการทำให้เซียนจำนวนมากทดสอบความเป็นความตายโดยไม่ได้รับรู้ความตายอย่างแท้จริง ข้ากลัวว่านี่คือจุดประสงค์จริงๆของอารามเทพอัสนี จุดประสงค์เพื่อยกระดับเหล่าเซียน!’ หวังหลินขมวดคิ้วและพยายามผสานตัวเข้ากับโลก ทว่าเมื่อนี่มันไม่ได้เป็นโลกจริงๆมันจึงไม่มีผลกระทบอะไร หลังขบคิดอยู่เล็กน้อยพลันเกิดควันกระพริบและเขาก็หายตัวไป

‘บททดสอบมนุษย์ ปฐพีและสวรรค์เป็นแค่การทดสอบเท่านั้น เส้นทางสู่สวรรค์นี้คือการต่อสู้เพื่อตำแหน่งเทพจริงๆ ไม่มีดีหรือแย่ หากข้าต้องการเป็นที่หนึ่ง ข้าจำเป็นต้องฆ่าให้มากที่สุด!’ ขณะเคลื่อนไหว แววตากระพริบเย็นเยียบไปด้วย

ขณะนั้นมีสัมผัสวิญญาณหนึ่งสายแผ่กระจายออกมาตรวจสอบพื้นที่ ดวงตาหวังหลินส่องสว่างวาบ เคลื่อนไหวรวดเร็ว พริบตานั้นเขาก็เห็นเซียนที่กำลังแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมา

เขาคือจ้าวยี่ต้าว เป็นคนที่โดนหวังหลินขัดจังหวะถึงสองครั้งในระหว่างทดสอบ ตอนที่ปรากฏตัวเขาเกิดความงุนงงรอบด้าน ตามที่อาจารย์ของตระกูลสั่งสอน เขาจึงแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาตามสัญชาตญาณเพื่อสังเกตการณ์รอบด้าน ทว่าวินาทีที่แพร่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมา สัมผัสวิกฤตรุนแรงห่อหุ้มรอบตัวเขา พลันตื่นตระหนกและตระหนักได้ว่าทำผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่!

เขาต้องการหนีไปทันทีแต่วินาทีนั้น หมอกสีดำก็ลอยมาจากด้านหลัง จิตสังหารรุงแรงปรากฏขึ้นมาเข้ากลืนกินจ้าวยี่ต้าวที่กำลังหลบหนี

เสียงกรีดร้องโหยหวนสะท้อนผ่านต้นไม้ หวังหลินยืนห่างไปพันฟุต จ้องมองหมอกสีดำด้วยความเย็นชา

หมอกเคลื่อนไหวราวกับดูดซับเซียนคนนั้นไปพร้อมกับหนังและกระดูก วินาทีหลังจากนั้น คนที่เดินออกมาคือซิ่วถิง!

เขาเลียริมฝีปากและจ้องหวังหลิน สองสายตาแลกเปลี่ยนกันในระยะพันฟุต เกิดเสียงปะทุดังขึ้นได้ยิน

ซิ่วถิงหวาดกลัวหวังหลินมาก เขาไม่ต้องการเริ่มต้นไปล่วงเกินหวังหลินเว้นแต่จะเป็นทางเลือกสุดท้าย ดังนั้นจึงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ปล่อยการต่อสู้ของเราไปก่อนจนกว่าจะจบการแข่งขันนี้จะว่าอย่างไร?”

หวังหลินมองซิ่วถิงอย่างเย็นชาก่อนจะหันตัวกลับและหายวับไป การฆ่าให้มากที่สุดสำคัญกว่าการฆ่าซิ่วถิง

ซิ่วถิงถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก้าวถอยเข้าไปในหมอกและรีบไปทิศทางอื่น ราวกับทั้งสองจัดวางที่แห่งนี้ไว้เป็นขอบเขตและแบ่งพื้นที่ออกครึ่งส่วน ไม่เข้าสู่ดินแดนของอีกฝ่าย!

หวังหลินไม่ต้องการเสียเวลาค้นหาทีละคน เขาค้นพบต้นไม้ใหญ่และนั่งลงแทน จากนั้นส่งสัมผัสวิญญาณออกมากวาดไปทั่วบริเวณ

วินาทีที่เขาแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกไป สัมผัสวิญญาณของเซียนมากกว่าสิบคนก็ระเบิดตัวเองและพุ่งเข้าหาหวังหลิน

ตอนนี้แม้เจ้าไม่ไปฆ่าคนอื่น คนอื่นก็จะเข้ามาฆ่าเจ้า!

หวังหลินพ่นประทับตราผนึกเทพออกมา! มันลอยอยู่เบื้องหน้าหวังหลินและระเบิดแสงสีทอง

ผนึกทองจำนวนสองชิ้นจากนับแสนมีวิญญาณดั้งเดิมของเซียนผนึกไว้ข้างใน เห็นได้ชัดว่าพลังของผนึกนี้แตกต่างจากชิ้นอื่นๆ หวังหลินไม่มั่นใจว่าวิญญาณมายาของคนอื่นๆเหล่านี้สามารถผนึกไว้ได้หรือไม่ เขาสงบนิ่งรอคอยให้คนรนหาที่ตายคนแรกมาถึง

ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ ร่างหนึ่งพุ่งออกมาดุจสายฟ้าไปทางขวา ทว่าพอเขาเข้ามาภายในระยะพันฟุตของหวังหลิน พลันตกตะลึงเมื่อเห็นว่าเป้าหมายคือหวังหลิน ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เลือกหลบหนีโดยไม่ลังเล

หวังหลินสงบนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ วินาทีที่เซียนคนนั้นปรากฏตัว ตราประทับผนึกเทพก็พุ่งออกไป ไล่ล่าเซียนที่กำลังหลบหนีด้วยความรวดเร็วยิ่ง

ขณะที่เซียนคนนั้นตื่นตระหนก ฝ่ามือสร้างผนึกร่ายวิชาเซียนขึ้นมา อย่างไรก็ตามวิชาพวกนั้นไม่มีผลกระทบต่อตราประทับผนึกเทพ ตราประทับเข้าใกล้อย่างรวดเร็ซและขยายตัวเข้ากดทบลงทันที อักขระรูนจำนวนมากผนึกการหลบหนีของเขาเอาไว้

สายตาเซียนเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง พลางตบกระเป๋านำกระบี่เหินนับร้อยเล่มออกมา เขาต้องการต่อต้านแต่พลันเกิดเสียงสะท้อนดังสนั่น กระบี่เหินทั้งหมดแตกสลาย ตราประทับผนึกเทพกระแทกลงมาและเขากรีดร้องโหยหวน วินาทีที่เซียนคนนั้นแตกสลายไป อักขระรูนชิ้นหนึ่งกระพริบลอยออกมา อักขระรูนนั้นเต็มไปด้วยสติปัญญา

หวังหลินขมวดสายตา ถอนออกมาจากตราประทับผนึกเทพ สังเกตมันอย่างละเอียด จากนั้นค่อยๆเงยศีรษะขึ้นมองออกไปในป่าไกล “พวกเจ้าจะรอไปอีกนานแค่ไหนก่อนที่จะโจมตี!?”

ป่าเบื้องหน้าเงียบสงัด หลังจากนั้นมีอยู่สี่คนเดินออกมาจากในป่า ทั้งสี่คนเป็นเซียนขั้นรูปธรรมหยาง กลิ่นอายแต่ละคนผสานเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งจนเทียบได้กับกลิ่นอายหวังหลินอย่างเลือนลาง

ทั้งสี่คนมองหน้ากันเอง หนึ่งในนั้นดวงตาเคร่งขรึม ตบกระเป๋าโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ น้ำเต้าลอยออกมา ฝ่ามือขวาสร้างผนึก เปลวเพลิงสีแดงโผล่ออกมาจากน้ำเต้าเข้าหาหวังหลิน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version