Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 913

Cover Renegade Immortal 1

913. อัญเชิญสายฝน

ชายชราเปลี่ยนสีหน้ามืดมัวและร้องตะโกน “สังหารยู่เฟยอะไร? ซิ่วมู่ เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบอย่างนั้นหรือ? อย่าหาชื่อมาอ้าง ยิ่งดินแดนสังหารด้วยแล้ว!”

หวังหลินสีหน้าสงบนิ่ง กระทั่งไม่มองชายชรา สายตาตกลงบนปรมาจารย์จงเฉินแทน

ขณะปรมาจารย์จงเฉินจ้องหวังหลิน ใบหน้าเย็นเยียบถูกลบออกไปและกล่าวขึ้นมา “พันธมิตรเซียนมีดินแดนสังหารและมีคู่หูล่าวิญญาณอยู่จริงๆ แต่เจ้าจะพิสูจน์ว่าเจ้าฆ่าเขาได้อย่างไร?”

เมื่อปรมาจารย์จงเฉินเอ่ยขึ้น ชายชราด้านข้างหยุดกล่าวต่อทันที

หวังหลินตบกระเป๋านำกิ่งไม้ครึ่งนึงออกมาไว้ในมือ มันยังมีสายฟ้าเคลื่อนไหวรอบกิ่งไม้ หวังหลินโยนมันให้ปรมาจารย์จงเฉินตรงๆ

กิ่งไม้ครึ่งนึงลอยเข้าหาปรมาจารย์จงเฉินและเขาคว้าเอาไว้ มองดูอย่างละเอียดและตระหนักได้ทันทีว่ามันคือหนึ่งสมบัติล้ำค่าของดินแดนสังหาร ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาจึงสัมผัสสองพลังงานภายในกิ่งไม้ได้ หนึ่งคือของหวังหลินและอีกหนึ่งคือกลิ่นอายชั่วร้ายแข็งแกร่ง!

“ไม่เลว มันคือปราณกระบี่ของเซียนระดับรองผู้ช่วยของดินแดนสังหารจริงๆ!” ปรมาจารย์จงเฉินมองหวังหลินด้วยสายตาชื่นชม

จากนั้นส่งกิ่งไม้กลับคืนให้หวังหลินด้วยรอยยิ้ม “เยี่ยมมากซิ่วมู่ เจ้าสามารถพักอยู่ที่นี่ได้ อีกหนึ่งเดือนนับจากนี้กองหนุนจะมาถึงและเจ้าจะต้องตามกองทัพเข้าไปบุกรุกดินแดนฝั่งเหนือ!”

หวังหลินคำนับฝ่ามือรับทราบด้วยท่าทีเคารพ

ปรมาจารย์จงเฉินหัวเราะ มองเด็กหัวโตท่าทีสื่อความหมายก่อนจะจากไป ชายชราด้านข้างเขาติดตามไปอย่างรวดเร็วด้วย

ทั้งสองคนหายวับออกไปไกล

หวังหลินท่าทางปกติแต่ก็ผ่อนคลายลง ตอนที่เขาเข้ามาในระยะขอบเขตที่ทุกชั้นฟ้าครอบครองเอาไว้ หวังหลินวางแผนในใจไว้แล้ว แผนนี้คือเหตุผลที่เขาเสี่ยงหยิบกิ่งไม้โลกอัสนีออกมาในการต่อสู้ครั้งล่าสุดเพื่อใช้ในการได้รับความไว้วางใจ

ท่ามกลางหมู่ดวงดาว ใบหน้าพอใจของปรมาจารย์จงเฉินหายไปและไร้สีหน้าท่าทีจนไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ชายชราด้านข้างมีความคิดหนึ่งและพูดออกมา “จ้าวอาราม จากมุมมองของข้า ซิ่วมู่คนนี้กำลังโกหกอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเด็กหัวโตซึ่งเป็นหนึ่งในเทพสวรรค์ก็ยังถูกซิ่วมู่ควบคุม! ในความเห็นของข้า…”

ปรมาจารย์จงเฉินหันกลับมามองชายชราด้วยความเยือกเย็น เมื่อเห็นสายตานั้น ร่างชายชราสั่นเทาและกลืนคำพูดครึ่งประโยคท้ายลงคอ

หลังจากถอนสายตาออกมา ปรมาจารย์จงเฉินเดินเข้าหาความว่างเปล่า

“ซิ่วมู่คนนี้…ไม่ใช่คนธรรมดา! มีพลังสี่สายปะปนตรงระหว่างคิ้วเขา แม้ด้วยระดับบ่มเพาะของข้าก็ยังมองเห็นได้แค่หนึ่งสายพลังเท่านั้น ที่ข้าเห็นยังเป็นพลังที่อ่อนแอที่สุดอีกด้วย!” ปรมาจารย์จงเฉินขบคิดพลางเดินทางระหว่างดวงดาว

พลังที่เขามองออกทำให้ความคิดดั้งเดิมในใจปรมาจารย์จงเฉินหายไป และถอนหายใจออกมา เขาคุ้นเคยกับพลังสายนี้ พูดให้ถูกมันคือรอยวิหคศักดิ์สิทธิ์

หลังจากบรรลุระดับบ่มเพาะเช่นเขาตอนนี้เท่านั้นถึงจะสามารถเห็นรอยระหว่างคิ้วหวังหลินได้

“ซิ่วมู่ไม่ได้ประหลาดเช่นนี้ก่อนจะเข้ามาในดาราจักรพันธมิตรเซียน แต่หลังจากหายตัวไปไม่กี่วัน สิ่งประหลาดพวกนั้นก็ปรากฏขึ้น…รอยวิหคศักดิ์สิทธิ์…ชายคนนั้นที่เคยช่วยข้าไว้…ช่างมันเถอะ!” ปรมาจารย์จงเฉินส่ายศีรษะพลางหายตัวไปพร้อมกับชายชรา

ข่าวคราวเรื่องการกลับมาของซิ่วมู่พลันแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น อีกทั้งซิ่วมู่ก็มีชื่อเสียงอยู่แล้วในดาราจักรทุกชั้นฟ้า ดังนั้นเซียนเกือบทุกคนจึงรู้เรื่อง

คนที่ผิดหวังมากที่สุดคือซิ่วถิง หลังได้รับข้อความ เขาขบคิดชั่วครู่ก่อนจะพุ่งออกไปพร้อมกับกลุ่มเซียน เขาต้องการหาดาวเคราะห์เซียนสักดวงเพื่อระบายคามโกรธ

ส่วนหวังหลินนั้น ดาวเคราะห์ร้างที่เขาอยู่คล้ายจะเป็นฤดูฝน สายฝนมากมายปกคลุมจุดเล็กๆบนดาวเคราะห์จนทำให้พื้นที่ปกคลุมไปด้วยหมอกไอน้ำ ไอน้ำหนาแน่นจนวิวทิวทัศน์บิดเบี้ยว แสงจากท้องฟ้าไม่สามารถส่องทะลุลงมาได้

ฝุ่นผงทั้งหมดถูกสายฝนชำระล้างออกไป สายน้ำไหลก่อเป็นร่องบนพื้นดิน ฝุ่นผงบางส่วนกำลังถูกสายฝนกระหน่ำซัด

เสียงเม็ดฝนปะทะกับกิ่งไม้และใบไม้ดังไปทั่ว น้ำฝนไหลลงปลายใบไม้ ควบแน่นตรงส่วนล่าง

สัตว์หลายตัวหาสถานที่หลบฝนครั้งนี้ มีอสูรน้ำอยู่น้อยตัวเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนตัวผ่านสายฝนไปได้

ภูเขาที่หวังหลินอยู่ตั้งตระหง่านภายใต้สายฝน เด็กหัวโตจ้องสายฝนและขบคิดเงียบๆ

กฏเกณฑ์บนภูเขาไม่ได้จงใจปิดบังสายฝน ดังนั้นภูเขาจึงถูกสายฝนล้อมรอบไปด้วยเช่นกัน เด็กหัวโตนึกถึงวัยเด็กยามที่มองสายฝน ตอนนั้นเขาก็มองสายฝนด้วยความงุนงง

เขายังจำได้ดีตอนที่ถูกตระกูลขับไล่ วันนั้นเป็นคืนฝนตก เขาถูกตระกูลขับไล่ไสส่งจากบ้านและตกลงไปในโคลน ตอนนั้นเขายังต้องยิ้มโง่ๆกับเรื่องที่เกิดขึ้น

ตกลงไปในน้ำโคลน เสื้อผ้าเปียกฝน พอมองสายฝนและสายฟ้าวูบวาบนั้น จิตใจเด็กหัวโตรู้สึกเจ็บปวด

เขารู้ตัวเองว่าน่าเกลียด และเพื่อไม่ให้คนอื่นเบื่อหน่ายจึงปั้นรอยยิ้มมาตลอด กระทั่งตอนที่แม่ตีเขา ยังคงยิ้มบิดเบี้ยวมาเสมอ แม้แต่ตอนที่ทุกคนแกล้งเขา ก็ยังยิ้ม

กระนั้นตอนจบก็ยังเหมือนเดิม ในคืนสายฝนวันนั้น รอยยิ้มเขาค่อยๆหายไปและเดินออกไปท่ามกลางสายฝนด้วยความสับสน

เขาเป็นคนร่างเล็ก ท่ามกลางสายฟ้าเสียงดังกระหึ่มครั้งนี้ ราวกับเขาจะฟุบลงไปได้ทุกเวลา

เด็กหัวโตแตะหน้าอกตัวเอง มองต้าซานและเล่ยจีก่อนจะมองหวังหลิน เขารู้สึกอบอุ่นในใจด้วยเหตุผลไม่ทราบบางอย่าง

ในใจยังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อน ตอนที่กำลังจะทำลายตัวเองด้วยความสิ้นหวัง มีมือคู่หนึ่งดึงเขาออกมาจากช่วงวิกฤตความเป็นความตาย ร่างนั้นครอบคลุมวิสัยทัศน์เขานับตั้งแต่นั้นมา

เล่ยจีมองสายฝนเช่นกันและทำความเข้าใจความสามารถทางสายเลือด ในสภาพแวดล้อมค่อนข้างเงียบสงบนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงอดีต

เขาถูกบังคับให้ออกจากดาวมารยักษ์และเต็มไปด้วยความเกลียดชัง พรรคพวกเขาหลบหนีมาและเร่ร่อนไปในอวกาศ

ตอนนั้นเขาสับสน จิตใจกระหายโลหิตแต่ก็ไร้พลังอำนาจ

หากช้าไปก้าวเดียว เขาอาจจะไม่มีโอกาสออกมาจากดาวมารยักษ์เลย

ช่วงระหว่างความสับสน เขาพาสมาชิกเผ่ามาที่ดาวซูซาคุ ระหว่างนั้นตำแหน่งซูซาคุมีชื่อว่าเย่หวู่โยว ใต้การชี้ทางของเย่หวู่โยว เซียนหลายคนรวมตัวกันและเริ่มสงครามกับชนเผ่าดั้งเดิมบนดาวเคราะห์ พวกเขาคือเผ่าละทิ้งอมตะที่เชี่ยวชาญในการใช้อักขระรูน

ดาวเคราะห์ที่เดิมทีเต็มไปด้วยพลังปราณพลันเปลี่ยนกลายเป็นกึ่งดาวไร้ค่าด้วยสงครามครั้งนี้ มีอีกคนถัดจากเย่หวู่โยวที่เล่ยจีไม่ชอบเป็นอย่างมาก ดูเหมือนคนผู้นี้จะถูกเรียกว่าซือถูหนาน

เขาเป็นคนโอหังและหยิ่งยโสมาก การกระทำของเขาส่วนใหญ่ไปในทางชั่วร้าย เล่ยจีเป็นที่ชื่นชอบของเย่หวู่โยว จึงต้อนรับขับสู้ช่วยกันรักษาเผ่ามารยักษ์ เย่หวู่โยวยกดินแดนขนาดใหญ่ให้พวกเขาเพื่อก่อตั้งแคว้นของตนเอง

ดินแดนแห่งนี้อยู่ห่างไกลกับเผ่าละทิ้งอมตะ ดังนั้นมันจึงปลอดภัยมาก

เขาไม่รู้จะหาทางตอบแทนความเมตตานี้ได้อย่างไรจึงได้ยกขวานรบของตัวเองและอาสาเข่นฆ่าเผ่าละทิ้งอมตะให้ด้วยตัวเอง เขาได้ศีรษะของชนเผ่าละทิ้งอมตะมาจำนวนมากเพื่อตอบแทนเย่หวู่โยว!

เมื่อมองอดีตที่ผ่านมา เล่ยจีรู้สึกเศร้าใจ เขาไม่ได้โง่ตามที่แสดงออกทางผิวหน้า ความจริงแล้วเขาเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ใช้ชีวิตมานับหมื่นปีจึงผ่านอะไรมานักต่อนัก เพียงแต่การถูกสำนักซากศพคุมขังไว้นานเกินไป ความคิดจึงอื้ออึง

ซึ่งเพราะเขาเป็นจอมวางแผน เล่ยจีจึงยอมกลายเป็นพาหนะให้หวังหลินโดยไม่ลังเล หลังจากสังเกตหวังหลินแล้วเขารู้สึกว่าหากติดตามหวังหลินไป อาจจะได้กลับดาวมารยักษ์เพื่อแก้แค้น!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ตอนที่หวังหลินร้องคำรามออกมาจนความคิดเขาสั่นเทา วินาทีนั้นแผนการทั้งหมดของเขาแตกสลาย ความต้องการที่บรรพชนของเขาได้ทิ้งไว้จากส่วนลึกของวิญญาณได้ทำให้เขายอมจำนนต่อเสียงคำรามนั้น

อีกทั้งในจังหวะนั้นพลันเกิดความคิดที่จะติดตามหวังหลินขึ้นมาในใจ

‘ข้าจะไม่ให้เป็นได้แค่พาหนะ ทุกสิ่งจะขึ้นอยู่กับสายเลือดโลหิตของเผ่ามารยักษ์ของข้า!’ ขณะคิดเช่นนี้ เล่ยจีหลับตาลง ทำความเข้าใจสายโลหิตต่อไป

ขณะหวังหลินนั่งอยู่ที่นี่ สายฝนเทลงมาจากฟากฟ้าและตกลงบนร่างเขา ความเย็นค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในร่างหวังหลิน เขาค่อยๆฝึกฝนและแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมา ภูเขาอยู่ตรงกลาง สัมผัสวิญญาณปกคลุมไปรอบๆพื้นที่

ณ ขณะนั้นสัมผัสวิญญาณของเขาแบ่งตัวกลายเป็นเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วนและพยายามผสานเข้ากับสายฝน ทว่าในจังหวะที่เขาผสานเข้ากับสายฝน เม็ดฝนพลันแตกกระจายเข้าไปในพื้นดิน สัมผัสวิญญาณจึงถูกปลดปล่อย

วงโคจรนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า สายฝนไม่ได้ต่อต้านสัมผัสวิญญาณของหวังหลิน แต่เป็นเพราะพลังดั้งเดิมของโลกในสายฝนแตกสลายในจังหวะที่กระทบกับผืนดิน ซิ่งเป็นสิ่งที่หวังหลินไม่สามารถหยุดได้

หวังหลินผสานเข้ากับสายฝนต่อไปและค่อยๆจมดิ่งความคิด ทันใดนั้นเขาคล้ายจะได้ยินความเข้าใจที่ใฝ่หามานาน

“สายฝนเกิดขึ้นจากท้องฟ้าและตายบนผืนดิน กระบวนการนี้คือชีวิต เหตุผลที่ข้ามองสายฝน ไม่ใช่ฟ้าดิน นั่นก็เพราะข้ากำลังมองชีวิตของสายฝน…มันคือชีวิตและความตาย!”

ร่างหวังหลินสั่นสะท้าน พลันลืมตาขึ้นมาจ้องสายฝนและพึมพำ “ข้ารู้แจ้งชีวิตและความตายแล้ว ทั้งหมดนั้นคือต้นตอของสายฝน…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!