ตอนที่ 664 รูปปั้น
ตาของ หลัวเฟิงเป็นประกายขึ้นมาเหมือนกับสายฟ้า เขาเงยหน้าขึ้นไปมองรูปปั้นที่อยู่ตรงหน้าเขา ในขณะที่ทำการศึกษามันอยู่ ร่างของอสูรเขาทองที่อยู่ในโลกภายในก็ศึกษารูปปั้นที่ได้มาก่อนหน้านี้เพื่อเป็นการเปรียบเทียบกัน
“หืม?” หลัวเฟิงเดินเข้าไปหารูปปั้นนั้นเร็วจนเกิดภาพเบอล แต่ละก้าวนั้นยาวกว่าพันกิโล
“ฝ่าบาท?” ดิลลัน ถามออกมาด้วยความสงสัย
“ดิลลัน ฝ่าบาทกำลังทำอะไรกัน?” ผู้อาวุโสชิฟานจี ถามออกมาด้วย
ความสงสัยด้วย “เขาอยากจะตรวจดูทุกมุมเลยรึ? แต่มีคนนับไม่ถ้วน
ที่เคยทำแบบนั้นและไม่เคยมีใครเห็นสิ่งใดพิเศษเลย”
“ผมก็ไม่รู้เช่นกัน” ดิลลัน ส่ายหน้า
ในตอนที่ทั้งสองคุยกันอยู่นั้น หลัวเฟิงก็ได้บินขึ้นไปบนฟ้าและมองลงมา สูงจากพื้นไปหลายพันกิโลเมตร เขามองไปที่ส่วนหลัง คอและหัวของมัน
หลังจากนั้นสักพัก
หลัวเฟิงก็มองไปทั่วตัวของรูปปั้นนี้
“ฮู่”
ในที่สุดเขาก็ละสายตาจากรูปปั้นและร่อนลงไปที่ด้านล่างหุบเขา แค่
ชำเลืองมองเพียงครั้งเดีวก็ครอบคลุมพื้นที่กว้างหลายหมื่นกิโลและยาวล้านกิโล นอกจากปราสาทแล้วเขายังเห็นว่ามีเผ่าเขาทองจำนวนมากที่ฝึกฝนอยูที่นี่
ที่นี่มีคนมากกว่า 100 ล้านคน เกือบทุกคนต่างก็นั่งขัดสมาธิแล้วแผ่พลังออกมา…พลังนั่นไม่ได้อ่อนแอกว่าของรูปปั้นเลย
“กว่า 100 ล้านคน มีนักรบหลายรุ่นได้เข้ามาศึกษารูปปั้นนี่เพื่อที่
อยากจะยิ่งใหญ่ได้ได้เหมือน ฉิงหลูเต๋า” หลัวเฟิงส่ายหน้า หลังจากร่อนลงไปอย่างกับดาวตก เขาก็ค่อยๆ ลดความเร็วในตอนที่เกือบถึงพื้นและรองเท้าเหล็กสีเงินของเขาก็แตะเข้าไปที่พื้นเบาๆ
“ฝ่าบาท” ดิลลัน และ ผู้อาวุโสชิฟานจี เข้ามาหา
“ผมต้องการคิดเรื่องนี้” หลัวเฟิงพูดขึ้นและนั่งขัดสมาธิที่หิน เกราะของเขาเองก็ยังเปล่งแสงออกมาด้วย
ดิลลัน และ ผู้อาวุโสชิฟานจี ยืนอยู่ข้างๆ ตรงนั้นเพื่อทำการคุ้มกันให้เขา
“ดูเหมือนว่ารูปปั้นนี้จะต่างจากรูปปั้นที่ฉันมีอยู่จริงๆ” หลัวเฟิง ตกใจกับการเปรียบเทียบของเขา “พวกมันมีลักษณะที่คล้ายกัน แน่นอนว่ามันต้องเป็นเทพอสูรตัวเดียวกันแน่ จำนวนเกล็ดของมันนั้นเท่านั้นมี
ทั้งหมด 90,729 เกล็ด”
“เกล็ดนั้นมีโครงสร้างที่ต่างกัน อีกทั้งรูปปั้นตัวใหญ่นี้ไม่ได้มีพลังของ
เทพเจ้าเหมือนกับตัวเล็ก ทั้งๆ ที่มีภาพลักษณ์เหมือนกัน”
หลัวเฟิงคิ้วขมวดพร้อมกับครุ่นคิด
รูปปั้นสองอันนี้ต่างกันที่ขนาด อันหนึ่งยาวกว่า 10,000 กม. อีกอันสูงแค่ 30 ซม.และยาว 1 ม. แต่ไม่ว่ามันจะมีขนาดและท่าทางต่างกันแต่จำนวนของเกล็ดมันเท่ากัน
แม้ว่าเกล็ดของรูปปั้นที่หลับใหลส่วนที่อยู่ตรงอก กรงเล็บของมันจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ หลัวเฟิงได้ใช้พลังวิญญาณในการตรวจสอบและตระหนักได้ว่าพื้นที่เหล่านั้นเองก็มีเกล็ดจำนวนเท่ากันด้วย มันเหมือนราวกับว่าอยู่ๆ เทพอสูรก็โดนสาปให้เป็นรูปปั้น
“แปลกจริงๆ”
“จำนวนเกล็ดนั้นเท่ากันแต่โครงสร้างของเกล็ดนั้นต่างกัน ความรู้สึกที่ผมรู้สึกนั้นก็….มันเหมือนกับว่ารูปปั้นเล็กนั้นจะมีพลังมากกว่า แต่ไม่มีพลังใดๆ เกี่ยวกับรูปปั้นใหญ่นี้เลย แต่มันก็ยังคงให้ความรู้สึกกดดันอยู่ดี”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลัวเฟิงขบคิดอย่างหนัก
…
ตั้งแต่ที่ ฉิงหลูเต๋า ได้ทิ้งรูปปั้นไว้ที่นี่ มันก็มีนักรบจำนวนนับไม่ถ้วนที่เข้ามาศึกษา แม้แต่มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้มาที่นี่แต่ก็ยังไม่มีใครเข้าใจมันได้
บางทีอาจมีคนเข้าใจแต่เลือกที่จะเก็บมันไว้เป็นความลับ
แต่ไม่มีใครเลยสักคนที่ประกาศถึงความเข้าใจรูปปั้นนี้ออกมา
แม้แต่คนที่ยิ่งใหญ่ยังไม่ได้อะไรจากมัน สำหรับตัวตนเล็กๆ อย่าง หลัวเฟิงที่ซึ่งเพิ่งเข้ามาอยู่ในระดับห้วงมิติแล้ว การเข้าใจเรื่องนี้ได้นั้น…มันคงเป็นได้แค่ความฝัน
…
หลัวเฟิงขบคิดและทันใดนั้นเวลาก็ผ่านไปกว่า 3 เดือน
ดิลลัน ผู้อาวุโสชิฟานจี, คาสน่า และผู้คุ้มกันระดับห้วงมิติอีก 5 คนได้ยืนรอคอยอยู่ที่นั่น ผู้อาวุโส คาบู นั้นได้จากไปทันทีที่มาถึงที่นี่โดยบอกว่าเขาต้องไปพบเพื่อนในหุบเขา
ดิลลัน และผู้คุ้มกันระดับห้วงมิติ เองก็ไม่ได้เบื่อ นี่เป็นครั้งแรกที่
พวกเขาได้พบกับรูปปั้นยักษ์ พวกเขาเองก็ลองศึกษามันดูเช่นกัน
พวกเขาเองต่างก็มีความฝัน…ว่าพวกเขาจะทำความเข้าใจมันและพัฒนาตัวเองได้อย่างก้าวกระโดด
ผู้อาวุโสชิฟานจี และ คาสน่า นั้นเบื่อแทบตาย พวกเขาเคยทำเรื่องแบบนี้มานานแล้ว
“ฮู่” หลัวเฟิงหายใจยาวๆ ออกมา
“ฝ่าบาท?” ดิลลัน และ ผู้อาวุโสชิฟานจี รีบมองกลับไปทันที
“ไม่มีอะไร” หลัวเฟิง ยิ้มและส่ายหน้าให้ หลังจากนั้นเขาก็ได้ปิดตาอีกครั้งและได้ส่งสติตัวเองเข้าไปในโลกภายในของเขา
ในโลกนี้นั้นกว้างใหญ่และไม่มีจุดสิ้นสุด
ยานยุนโม นั้นได้ไปจอดที่ทุ่งหญ้า ในโลกภายในของเขาตอนนี้แล้ว
ยานนั้นไม่จำเป็นต้องไปเก็บไว้ในช่องเก็บของของ บาบาต้า อีกต่อไป
แล้ว
“บาบาต้า รวมภาพที่ฉันบันทึกไว้ก่อน กับรูปปั้นนี่ และฉายมันออกมา” หลัวเฟิงที่ใส่ชุดดำ ยืนอยู่ข้างๆ ยานและสั่ง
“เข้าใจแล้ว”
ยานยุนโม นั้นยิงลำแสงออกมาก่อตัวเป็นรูปปั้นสัตว์อสูรที่หลับใหล นี่
เหมือนกับของจริง แม้ว่ามันจะเป็นภาพฉายแบบง่ายๆ แต่มันก็ยังคงแผ่ออร่าอันน่ากลัวออกมา
มันไม่ได้ต่างกับของจริงเลย
“ฉันกล้าบอกได้เลย” หลัวเฟิงมองไปที่ภาพฉายด้วยตาที่เป็นประกาย “ปัญหานั้นอยู่ที่เกล็ดของมัน!”
“รูปปั้นใหญ่นั้นมีเกล็ด 90,729 เกล็ด ตัวใหญ่นั้นยาวกว่า 10,000 ตัว
เล็กกลับยาวแค่ 1 ม. แต่พวกมันมีเกล็ดเท่ากัน ฉันคิดว่าถ้าจำนวนมันต่างกัน มันจะไม่ได้มีออร่าใดๆ” หลัวเฟิง คิดหลายแง่มุมในหัว เขาสั่งออกมาทันที “บาบาต้า เปลี่ยนบางอย่างกับภาพฉายนี่ แยกเกล็ดของตัวใหญ่ให้เป็นสองส่วน”
“ได้” บาบาต้า ตอบกลับ
เกล็ดของรูปปั้นตัวใหญ่ที่เป็นภาพฉายอยู่บนท้องฟ้านั้นได้ถูกแบ่ง
ออกเป็นสองส่วน
ครืน!
ความกดดันอันน่ากลัวได้หายไปและกลายเป็นภาพธรรมดาที่ไม่มีออร่าใดๆ
“จริงด้วย!” ตาของ หลัวเฟิงเป็นประกาย
“เปลี่ยนกลับดังเดิม เปลี่ยนหลอดเลือดบนเกล็ดเหล่านั้นด้วย” หลัวเฟิงสั่งออกมา
หลังจากเปลี่ยนกลับไปดังเดิมแล้วความกดดันนั้นก็ได้กลับมา
ด้วยการปรับเปลี่ยนหลอดเลือด ความกดดันนั้นก็ได้หายไปอีกครั้ง
…
หลัวเฟิงยืนยันได้เลยว่าปัญหานั้นอยู่ที่เกล็ดของมัน
หลัวเฟิงโบกมือและรูปปั้นตัวเล็กก็ได้ปรากฏขึ้นมา รูปปั้นนี่ยืน 4 ขา เขาของมันเงยขึ้นและแผ่ออร่าอันทรงพลังออกมา มันมีเสน่ห์ที่เป็น
เอกลักษณ์…เหมือนกับจ้องตรงไปยังเทพอสูรที่ยังคงมีชีวิตอยู่
“บาบาต้า ขยายภาพของรูปปั้นเล็กนี่ให้ยาว 10,000 กม.” หลัวเฟิง สั่ง
“ได้”
ทันใดนั้นภาพฉายของสัตว์อสูรยักษ์สองตัวก็ปรากฏออกมาข้างๆ
กัน ตัวหนึ่งอยู่ในท่าหลับใหล อีกตัวนั้นกำลังคำรามออกมาด้วยความ
หงุดหงิด
“ทั้งคู่นั้นมีความกดดันที่แผ่ออกมา”
หลัวเฟิง เอามือถูคางแล้วพึมพำ “ความกดดันของตัวที่หลับอยู่นั้น
แข็งแกร่งกว่า ไม่สิ…ไม่ถูกต้อง ฉันควรบอกว่าตัวที่ยืนอยู่นั้นมีเสน่ห์
และมีเอกลักษณ์ของตัวเองและมันสามารถควบคุมออร่ามันได้ ส่วนที่
ใหญ่นั้นไม่ได้มีภาพลักษณ์ที่มีเสน่ห์เลย เมื่อมองไปที่รูปปั้นที่หลับอยู่
แล้ว ฉันไม่อาจคิดภาพของเทพอสูรที่มีชีวิต อีกอย่างออร่าของมันก็
ปล่อยออมาแบบลวกๆ ดังนั้นมันถึงรู้สึกได้แค่ความกดดัน”
ตราบใดที่ไม่ได้โง่ คนๆ นั้นจะรู้สึกได้ว่าสัตว์อสูรที่ยืนอยู่นั้นดูมีชีวิต
มากกว่า เหมือนกับเทพอสูรจริงๆ ส่วนอีกตัวนั้นราวกับว่ามันได้ตายไปแล้ว
“เส้นเลือดบนเกล็ดของมันก็ต่างกัน” หลัวเฟิง คิด “ฉันจะลองดู”
ครืน…มีเงาหนึ่งพุ่งเข้ามาที่ทุ่งหญ้า มันเป็นเหมือนภูเขายักษ์รูปร่าง
อสูร อสูรเขาทอง
“อสูรเขาทองนั้นได้เปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อศึกษารูปปั้นนี้” หลัวเฟิงพึมพำออกมา “ฉันจะให้มันลองดู และแกะสลักรูปปั้นขึ้นมา”
ถูกต้อง แกะสลักขึ้นมา!
การแกะสลักนี้จะทำให้รู้ถึงความต่างของเส้นลือด นี่คือวิธีที่ หลัวเฟิงคิดขึ้นมา
“ฉันจะแกะสลักตัวที่หลับขึ้นมาก่อน” หลัวเฟิง คิด ทันใดนั้นก็ได้มี
พลังงานโลกจำนวนมากได้ไปรวมตัวกัน และภูเขาที่ยาวกว่า 10,000
กม.ก็ถูกใช้ไปสำหรับการแกะสลัก อีกอย่างพลังงานโลกเองก็ได้ก่อตัวเป็นใบมีดแกะสลักกว่าหมื่นแบบ อันที่ใหญ่ที่สุดนั้นยาวกว่า 100 กม.
ส่วนอันที่เล็กที่สุดนั้นเล็กยิ่งกว่ามด
…
อสูรเขาทองนั้นยืนอยู่ที่ทุ่งหญ้าและสะบัดเกล็ดของมันบินไปรอบๆ
ภูเขานั้น มันได้ใช้พลังวิญญาณออกมาเพื่อควบคุมใบมีดทั้งหมื่นแล้ว
เริ่มลงมือแกะสลักภูเขานั้น
ในตอนที่ความแข็งแกร่งของคนอยู่ในระดับห้วงมิติแล้ว ในตอนที่
ควบคุมพลังวิญญาณ ความผิดพลาดแค่เพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจให้มัน
เกิดขึ้นได้!
“สำเร็จ”
หลังจากนั้นสักพักรูปปั้นสัตว์อสูรที่หลับใหลก็ถูกแกะสลักขึ้นมาราว
กับว่ามีชีวิต
“แน่นอนว่ามันยาก เส้นเลือดบนเกล็ดทุกอันนั้นซับซ้อนอย่างมากแต่
มันแปลกที่ไม่ได้มีออร่าใดๆเลย?” อสูรเขาทองบินอยู่กลางอากาศ
มันมองมาด้วยความสงสัย “ไม่สำคัญหรอก ฉันจะลองแกะสลักรูป
ปั้นของตัวเล็กดู”
…
ภูเขายาวกว่าหมื่นกิโลได้โผล่มาอีกครั้งและอสูรเขาทองก็ได้เข้าควบคุมมีดอีกกว่าหมื่นเล่มเพื่อทำการแกะสลัก
รูปร่างของสัตว์อสูรนั้นง่ายที่จะแกะสลักขึ้นมา สิ่งหลักที่ซับซ้อนคือ
เกล็ดของมัน
กรรร!
ในตอนที่แกะสลักเกล็ดที่ 12 อสูรเขาทองได้คำรามออกมาด้วยความ
เจ็บปวด หัวขนาดใหญ่ขอมันได้ส่ายไปมาในตอนที่มันพยายามที่จะ
แกะสลักเส้นเลือดของเกล็ดนั้นออกมา ยิ่งมันแกะสลักมากเท่าไหร่ยิ่ง
ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดราวกับว่ามีความกดดันมากดทับตัวมันและความกดดันนั้นได้เล่นงานวิญญาณของมันโดยตรง
กรร….สัตว์อสูรได้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
จมูก ตาและเกล็ดบนปีก กรงเล็บและหางเริ่มมีเลือดไหลออกมา
มันคำรามอยู่นานก่อนในที่สุดจะร่วงลงมาจากฟ้าหล่นปะทะเข้ากับพื้นหญ้า