Skip to content

Swallowed Star 68

ตอนที่ 68 กัวไห่

บรรยากาศอันโศกเศร้าครอบคลุมไปทั่วทั้งโถงวีรบุรุษ จากเจ้าหน้าที่รัฐบาลจนถึงนายพลแห่งกองทัพและนักสู้ระดับเทพสงคราม คนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ทำความเคารพ กระทั่งสำนักข่าวที่มาถ่ายทอดสดก็ยังต้องถ่ายทำอย่างระมัดระวังขณะที่นักข่าวบรรยายถึงบรรยากาศภายในงาน ซักครู่ต่อมา…หลัวเฟิงกับกลุ่มของเขาก็ได้โอกาสวนเข้าไป

ขณะที่ฝูงชนกำลังหลั่งไหล ทั้ง 5 คนก็แทรกตัวเข้าไปในโถงวีรบุรุษอย่างรวดเร็ว

มีเพียงภาพขนาดใหญ่เท่านั้นภายในงานพิธีนี้

“มีแค่ภาพ ไม่มีร่างผู้ล่วงลับ” หลัวเฟิงแอบทอดถอนใจ เผชิญหน้ากับฝูงหนูน้ำจำนวนนับไม่ถ้วน ทันทีที่ตาย กระดูกก็ย่อมไม่มีเหลือแน่นอน! พวกหลัวเฟิงต่างโค้งคำนับ 3 ครั้งท่ามกลางบรรยากาศเสียงโศกเศร้าอยู่รอบข้าง ที่คุกเข่าเงียบๆ อยู่ด้านข้างของพวกเขาเป็นภรรยาและบุตรสาวของเทพสงครามผู้วายชนม์

พวกหลัวเฟิงพากันทยอยออกมาจากพื้นที่อย่างรวดเร็ว

บรรยากาศด้านนอกโถงดูเหมือนจะผ่อนคลายลงนิดหน่อย ไม่อึดอัดเหมือนอยู่ด้านใน

“ผู้อาวุโสลิ่วกังโชคไม่ดีเลย” เกาเฟิงถอนหายใจพลางส่ายหัว “เขาคงจะตกอยู่ในวงล้อมของพวกหนูน้ำ และตัวหัวหน้ามันก็คงรู้ว่าเขาเป็นนักสู้ระดับแถวหน้าของมวลมนุษย์ มันก็เลยพุ่งเป้ามาที่เขาเพียงคนเดียว! และเมื่อฝูงห่าหนูพวกนั้นเข้ามารุมเขาเพียงคนเดียว ไม่ว่าเป็นใครก็คงจะรอดไปได้ยาก”

หลัวเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเบา “ที่ผมเห็นจากภาพถ่ายดาวเทียม ฝูงหนูพวกนั้นตายไปเป็นล้านๆ ตัวเหมือนกันเพราะตึกถล่มจากการดิ้นรนของผู้อาวุโสลิ่วกัง นึกแล้วเห็นภาพเลยล่ะ”

ตอนนั้น หลัวเฟิง ว่านตงและคนอื่นๆ ถูกไล่ล่าจากพวกหนูน้ำตัวเล็กๆ ราวหมื่นตัวเท่านั้น

และไม่มีแม้แต่ระดับบัญชาการด้วยซ้ำ พวกมันเลยไล่ตามว่านตงและพรรคพวกไม่ทัน แต่กระนั้นฝูงพวกมันก็ยังทำให้หลัวเฟิงรู้สึกกดดันได้เหมือนกัน เมื่อเขานึกถึงสภาพที่มีพวกหนูน้ำกำลังรายล้อมอยู่นับพันล้านตัว ก็ทำให้อดสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้! ความจริงที่ว่าเทพสงครามสามารถฆ่าพวกหนูน้ำได้นับล้านๆ ตัวในเวลาอันสั้นแสดงให้เห็นว่าเขาทรงพลังมากแค่ไหน

“ถ้าผู้อาวุโสลิ่วกังระวังซักหน่อยและพยายามหนีออกมาจากวงล้อมของพวกมันตั้งแต่แรก เขาก็อาจจะไม่ตาย” เกาเฟิงถอนหายใจ

ความเย็นยะเยือกด้านนอกโถงวีรบุรุษนั้นหนักหน่วง และตามถนนก็เต็มไปด้วยบรรดานักสู้ เจ้าหน้าที่รัฐ กองทัพและกลุ่มคนจากตระกูลใหญ่ๆ

“หลัวเฟิง”

มีเสียงเรียกดังขึ้น หลัวเฟิงหันไปก็เห็นสวีซินในชุดสีดำยืนอยู่ไม่ไกลนัก ชุดนั้นทำให้สวีซินดูเยือกเย็นน้อยๆ

“สวีซิน ไม่มีเรียนเหรอวันนี้?” หลัวเฟิงเอ่ยถาม

“วันนี้วันเสาร์ไง ฉันมากับครอบครัวน่ะ” สวีซินอดเอ่ยยิ้มๆ ไม่ได้

หลัวเฟิงชะงักแล้วก็หัวเราะออกมา “วันเสาร์ โอ้…ฉันจำวันจำเดือนไม่ได้เลยตั้งแต่ไม่ได้ไปโรงเรียน”

หลังจากที่เป็นนักสู้แล้ว วันและเดือนนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไป ตอนที่เขายังต้องไปโรงเรียน เขาจำวันจำเดือนได้ดีอยู่แล้วเป็นธรรมดา

“ตอนนี้หลัวเฟิงเป็นนักสู้ ก็คงแตกต่างจากเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ อยู่แล้วล่ะ” สวีซินกล่าว

หลัวเฟิงกับสวีซินสนทนากันอยู่ตรงข้างทาง

ส่วนสวีกังตอนนี้กำลังคุยกับหญิงวัยกลางคนๆ หนึ่งอยู่ เขาเหลือบมองมาทางหลัวเฟิงกับสวีซินที่กำลังคุยกัน ขมวดคิ้วแล้วก็ขอตัวจากหญิงวัยกลางคนผู้นั้น “ประธานจาง ผมขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวค่อยว่ากันเรื่องนั้นะครับ”

หญิงวัยกลางคนผู้นั้นพยักหน้าแล้วยิ้มให้

สวีกัลป์เดินเข้ามาใกล้แล้วคอยเงี่ยหูฟังหลัวเฟิงกับสวีซินพลางมองด้วยหางตา ด้วยมุมจากทางด้านสวีกัง เขาสามารถเห็นสีหน้าท่าทางของหลัวเฟิงและสวีซินได้อย่างชัดเจน พวกเขากำลังมีความสุข ทำให้สวีกังหงุดหงิดมาก “ยายหนูเป็นคนชั้นสูง ทำไมไม่ชอบคุญกับคนระดับเดียวกัน ทำไมต้องคุยกับเจ้าหลัวเฟิงด้วย…”

สวีซินอายุถึงเกณฑ์แต่งงานได้แล้ว ดังนั้น สวีกังจึงเข้มงวดเรื่องความรักของเธอเป็นพิเศษ

ไม่ว่าอย่างไร…เขาไม่ชอบหลัวเฟิงมากจริงๆ

“นักสู้ที่จะตายวันไหนก็ไม่รู้ ยังคิดมายุ่งกับน้องสาวฉันอีกเหรอ! ถ้าปล่อยให้ถลำลึกในอนาคตน้องสาวของฉันจะต้องลำบากแน่!” สวีกังเคือง “เจ้าหลัวเฟิงนั่น ฉันบอกแกไปชัดเจนแล้ว ถ้าแกฟังรู้เรื่องก็น่าจะอยู่ห่างๆ จากน้องสาวฉัน ฉันจะถือว่าฉันบอกแกแล้วนะ!”

สวีกังหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าเขาจะทำอะไรได้ล่ะ?

เขาคงไม่ทำอะไรโง่ๆ หรอก

“หือ?” สวีกังเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลโดยบังเอิญแล้วเขาก็ต้องใจเต้น “ฉันจะต้องให้หลัวเฟิงมันได้รับบทเรียน มันจะได้รู้สถานะของตัวเองบ้าง!”

ขณะที่เขาคิดอยู่ในใจ สวีกังก็เดินตรงไปทางซ้ายนั้น

“คุณชายสวี” หนุ่มหน้าตาดูดีผมทรงสกินเฮดยิ้มให้ขณะที่กล่าวทักทาย

“กัวไห่” สวีกังก็ยิ้มเช่นกัน “ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะพบน้องกัวไห่ที่นี่ คิดว่านายยังอยู่ในแดนเถื่อนซะอีก”

“งานผู้อาวุโสลิ่วกังเป็นเรื่องใหญ่ ผมก็ต้องมาอยู่แล้ว” หนุ่มหน้าตาดีหันไปมองที่โถงวีรบุรุษแล้วก็ส่ายหัวพลางถอนหายใจ “ตอนนั้น ผมได้รับคำชี้แนะบางอย่างจากผู้อาวุโสลิ่วกัง คิดไม่ถึงเลยว่านักสู้ผู้ทรงพลังอย่างผู้อาวุโสลิ่วกังจะ…”

สวีกังรู้สึกว่ากัวไห่ค่อนข้างเศร้าจริงๆ เขาจึงแอบส่ายหัวนิดๆ “กัวไห่คนนี้ไม่ได้ใกล้ชิดกับเทพสงครามลิ่วกังเลย ทำไมต้องแสดงออกมากขนาดนี้นะ”

ในฐานะนักธุรกิจ เขาไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของนักสู้ด้วยกันได้อยู่แล้ว

นักสู้ที่ก้าวเดินอยู่บนเส้นแบ่งความเป็นความตายจะไม่ลืมพระคุณกัน และโดยธรรมชาติวิสัย พวกเขาจะไม่ลืมคำแนะนำของผู้อาวุโสไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว

“กัวไห่ วันนี้น้องสาวฉันมาด้วย” สวีกังหัวเราะ

“สวีซิน?” กัวไห่ใจเต้นตูมตาม “อยู่ไหนครับ?”

สวีกังหัวเราะขมขื่น แล้วก็เบนสายตาให้เห็น “โอ้ นั่นไง กำลังคุยกับหนุ่มนักสู้อยู่”

กัวไห่เห็นหลัวเฟิงและสวีซินซึ่งอยู่ห่างออกไปก็ขมวดคิ้ว เขาเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “เท่าที่ผมรู้ สวีซินไม่ค่อยจะคุยกับนักสู้เท่าไหร่ ความสัมพันธ์กับหนุ่มนักสู้นั่นน่าจะไม่ธรรมดาใช่ไหมครับ?”

ถึงแม้ว่าเขาจะชอบสวีซิน แต่กัวไห่ยังไม่ถึงขั้นคิดว่าเขาชอบสวีซินก็ต้องทำให้อีกฝ่ายชอบเขากลับ

“ไม่ธรรมดาแหละ” สวีกังส่ายหัว “พวกเขาเคยเรียนห้องเดียวกัน น้องสาวฉันเลยค่อนข้างจะสนใจหมอนั่น ไม่งั้นเธอคงไม่พูดถึงมันอยู่บ่อยๆ!”

กัวไห่พยักหน้า อันที่จริง สวีซินไม่ค่อยคุยกับหนุ่มๆ อยู่แล้ว

ถึงแม้ว่าเขาจะค่อนข้างควบคุมตัวเองได้ แต่กัวไห่ก็ยังอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้อยู่ดี

“ไอ้หนุ่มนั่น ฉันเตือนมันแล้วว่าให้อยู่ห่างๆ น้องสาวฉัน แต่ดูเหมือนมันจะไม่ยอมรามือจากน้องสาวฉันแน่” สวีกังมองกัวไห่ “ไอ้หนุ่มนั่นมันไม่ดูสถานะตัวเอง นักสู้ระดับนักรบซึ่งไม่รู้จะตายวันไหน ยังกล้ามาตามจีบน้องสาวฉันอีก! หมาวัดบังอาจคิดจะเด็ดดอกฟ้าจริงๆ!”

กัวไห่ขมวดคิ้ว แต่ก็อดนึกภูมิใจอยู่ลึกๆ เสียไม่ได้

คนหนุ่มมักจะอดนึกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นไม่ได้ ณ ตอนนี้ เขาเป็นถึงแม่ทัพขั้นกลางแล้ว! ทั้งๆ ที่อายุแค่ 21 ปีเท่านั้น

“คุณสวีกังพูดถูกแล้ว นักสู้ระดับนักรบจะต้องพบความลำบากในแดนเถื่อน ไม่รู้ว่าจะตายวันไหน” กัวไห่พยักหน้า “ถ้าหนุ่มนั้นแคร์สวีซินจริง เขาก็ไม่ควรยุ่งกับเธอ”

“ฉันก็ว่างั้น!” สวีกังสำทับ

กัวไห่มองดูหลัวเฟิงแล้วเอ่ยถามขึ้น “ว่าแต่ เขาชื่ออะไรครับ?”

“มันชื่อหลัวเฟิง และเพิ่งจะได้เป็นนักสู้เมื่อไม่นานมานี้” สวีกังกล่าว

“หลัวเฟิง?” กัวไห่ขมวดคิ้ว “เจ้าบ้าน่ะเหรอ?”

สวีกังชะงักกึกและมองมาที่กัวไห่อย่างประหลาดใจ “เจ้าบ้าอะไร?”

“เจ้าบ้าเป็นฉายา มีเพียงคนไม่กี่คนที่จะได้รับฉายาจากคนอื่นๆ คนทั่วไปอยากมีฉายาใช่ว่าจะมีได้” กัวไห่มองดูสวีกังแล้วขมวดคิ้วพลางกล่าว “เจ้าหลัวเฟิงนั่นค่อนข้างมีชื่อเสียงในวงการนักสู้ คุณชายดูแคลนเขาเหรอครับ? ถึงเขาจะเพิ่งได้เป็นนักสู้ไม่นานมานี้ แต่เขาฆ่าสัตวต์ประหลาดถึงกว่า 10,000 ตัวภายในเวลาไม่ถึง 2 เดือนด้วยซ้ำ แล้วผมก็ได้ยินว่าพวกมันเป็นระดับไพร่พลขั้นสูงทั้งนั้น ผมประเมินได้เลยว่า…ศักยภาพของเขาน่าจะอยู่ในระดับแม่ทัพขั้นต้นแล้วด้วย!”

“ฆ่าสัตว์ประหลาดกว่า 10,000 ตัว? ภายใน 2 เดือน?” สวีกังกะพริบตาปริบๆ

“และนายก็บอกว่า เขาน่าจะอยู่ในระดับแม่ทัพขั้นต้นแล้ว? อายุ 18 ปีเป็นแม่ทัพขั้นต้น?” สวีกังอดพึมพำออกมาไม่ได้

กัวไห่พยักหน้า

สวีกังเบิกตากว้างขณะที่หันกลับไปมองยังหลัวเฟิงที่กำลังคุยกับสวีซินอย่างออกรส แล้วก็อดสาปแช่งออกมาไม่ได้ “เวรจริงๆ ไอ้หนุ่มนั่นแสร้างทำเป็นอ่อนเพื่อหลอกเรา! ใครจะไปรู้ว่ามันเก่งขนาดนั้น!”

อายุ 18 ปีเป็นแม่ทัพขั้นต้นเมื่อเปรียบเทียบกับอายุ 21 ปีเป็นแม่ทัพขั้นกลางแล้ว เป็นไปได้เลยว่า หลัวเฟิงน่าจะเหนือกว่ากัวไห่

สวีกังเริ่มเปลี่ยนความคิด

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าบ้าจะชอบสวีซิน” กัวไห่ยิ้มออกมา “น่าสนใจๆ”

“หลัวเฟิง กลับถูกเรียกว่าเจ้าบ้า…ฉายานี้มัน…”

สวีกังอึ้งทึ่ง “แต่ฆ่าสัตว์ประหลาด 10,000 ตัวภายใน 2 เดือน! มันก็บ้าจริงๆ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!