บทที่ 100 ภูเขาและแม่น้ำใต้ฝ่าเท้า
หลังจากที่ชายฉกรรจ์สวมงอบปล่อยมือออกจากด้ามจับของดาบไม้ไผ่แล้วเปลี่ยนมาเป็นตบไหล่หนึ่งที บุรุษหล่อเหลาที่เพิ่งไปเดินวนหน้าประตูผีมารอบหนึ่งไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกโล่ง กลับยังยิ่งหวาดผวา บนใบหน้าของเขาไม่เหลือรอยยิ้มแช่มชื้นขณะที่วิจารณ์เรื่องสำคัญของแผ่นดินอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว ร่างของเขาแข็งทื่อไม่ขยับ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งขมฝาด “ผู้อาวุโส วันนี้เกิดความเข้าใจผิด เป็นข้าที่บุ่มบ่ามเกินไป”
ในความเป็นจริงแล้ว ในเมื่อชายฉกรรจ์ผู้มีภูมิหลังไม่ชัดเจนผู้นี้สามารถมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายตนโดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น และยังสามารถใช้ดาบไม้ไผ่ธรรมดาแทงทะลุหัวใจของเขาได้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็มั่นใจว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นี้แน่นอน บางทีมีเพียงรอให้ตนกลายเป็นเทพภูเขาของภูเขาฉีตุนได้อย่างแท้จริงแล้วเท่านั้น ถึงจะพอมีความมั่นใจในการงัดข้อกับอีกฝ่ายอยู่บ้าง ตอนนี้ปัญหายุ่งยากข้อหนึ่งจึงวางรออยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ควรจะยืนนิ่งยอมให้อีกฝ่ายทุบตี หรือจะแข็งใจลองเดิมพันดูสักตั้ง?
อันที่จริงวินาทีที่ฝ่ามือของคนผู้นั้นพ้นจากด้ามดาบ ดาบไม้ไผ่ที่ทำจากวัสดุธรรมดาก็สูญเสียพลังสะเทือนขวัญไปแล้ว ในฐานะที่เป็นองค์เทพ ต่อให้เป็นเพียงแค่เทพเจ้าที่ที่ยังไม่เข้าขั้น หากเอาไปเทียบกับวงการขุนนางของราชสำนักในโลกมนุษย์ เขาก็เป็นแค่ขุนนางผู้น้อยที่ยังไม่มีตำแหน่งหน้าที่อะไรเลย ทว่าจะอย่างไรแล้วเทพก็ยังคงเป็นเทพ ยกตัวอย่างเช่นร่างทองคำของเขาในเวลานี้ที่ได้รับควันธูปจากการกราบไหว้บูชามานานหลายปีจนนับไม่ถ้วน มากพอที่จะเทียบเคียงได้กับร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังไม่มีจุดตาย ดังนั้นต่อให้ถูกดาบไม้ไผ่แทงทะลุหัวใจก็ยังไม่เป็นอะไรมากอยู่ดี แต่ชายฉกรรจ์สวมงอบที่ชื่ออาเหลียงกลับไม่อนาทรร้อนใจถึงเพียงนี้ เขาจึงยิ่งกระวนกระวายไม่เป็นสุข
ยังจำได้ดีว่าเมื่อครั้งที่เซียนพสุธาทั้งสองท่านจับมือกันเยื้องกรายมาที่นี่ ได้ใช้วิชาอภินิหารไร้ทัดเทียมทำลายร่างทองคำของเทพอย่างเขา ตอนนั้นท่วงท่าของคนทั้งสองก็ผ่อนคลายสบายอารมณ์เช่นนี้ ถึงขั้นเทียบไม่ได้กับการวางเม็ดหมากตามใจชอบของพวกเขาในแต่ละครั้งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่อาเหลียงออกดาบ เวลานี้ก็กลับคืนมามีท่าทางไม่แยแสโลกเหมือนเดิมอีกครั้ง เขาปลดน้ำเต้าลูกเล็กออกมาจากเอวแล้วแกว่งมันเบาๆ กลิ่นเหล้าอบอวลไปทั่ว อาเหลียงกรอกเหล้าร้อนแรงเข้าปากหนึ่งอก เดินวนรอบร่างเทพเจ้าที่หนุ่มหล่อเหลา จุ๊ปากพูด “ความสามารถในการเล่นงิ้วครั้งนี้ของเจ้าดีมาก แน่นอนว่างูขาวตัวนั้นก็ฝีมือไม่เลว บวกกับงูดำหัวรุนแรงที่ให้ความร่วมมืออย่างดีเยี่ยมจนอย่างเรียกได้ว่าช่องโหว่ แต่ตอนที่เจ้าเปิดเผยความจริงหลังจากนึกว่างานใหญ่สำเร็จแล้วกลับถูกจริตข้ายิ่งกว่า เสียงหัวเราะสามครั้ง ยอดเยี่ยมมาก ข้าชอบ”
งูดำและงูขาวคู่นั้นมีสติปัญญาและเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์มานานแล้ว ในขณะเดียวกันกับที่ชายฉกรรจ์สวมงอบยิ้มตาหยีทักทายกับบุรุษเทพเจ้าที่ พวกมันก็รีบถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว งูดำสลายกำแพงยาวที่สร้างจากร่างของตัวเองอย่างว่องไว ถอยกลับไปอยู่ตรงริมขอบฝั่งหนึ่งของยอดเขาหินเรียบ ส่วนงูขาวที่ปีกหายไปข้างหนึ่งก็เลื้อยถอยไปด้านหลัง ขดตัวอยู่ริมหน้าผาแต่โดยดี ทั้งสองตัวต่างก็ก้มหน้าลงต่ำ หลุบตาลงมองเบื้องล่าง ดูว่าง่ายผิดปกติ
คราวนี้ไม่ใช่การเสแสร้งอย่างแน่นอน เกล็ดบนเรือนกายที่ใหญ่โตของงูทั้งสองตัวต่างก็สั่นไหวน้อยๆ เป็นความหวาดกลัวที่มาจากใจอย่างแท้จริง
พวกมันถึงขั้นไม่กล้ามองประเมินชายฉกรรจ์สวมงอบตรงๆ ด้วยซ้ำ
พอได้ยินคำหยอกล้อจากชายฉกรรจ์สวมงอบ สีหน้าของเทพเจ้าที่หนุ่มก็เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน “ผู้อาวุโสอาเหลียงล้อข้าเล่นแล้ว”
อาเหลียงหุบยิ้ม “ล้อเล่น?”
ดูเหมือนเทพเจ้าที่หนุ่มผู้หล่อเหลาจะสัมผัสไม่ได้ถึงความผิดปกติ คงนึกไปว่าชายฉกรรจ์สวมงอบตรงหน้าผู้นี้มีนิสัยอำมหิตไร้เมตตา กำลังจะลงมือสังหารตน ด้วยความร้อนใจจึงใช้เวทคาถาของเทพภูเขาและน้ำ ร่างจึงกลายมาเป็นเหมือนดินโคลนอ่อนเหลวที่ไหลหายไป ดินบนพื้นดินที่ยืนอยู่กระเพื่อมปั่นป่วน เวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา เทพเจ้าที่คนนี้ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย บนพื้นที่เป็นเหมือนบ่อโคลนก็กลับคืนมาเป็นปกติในเสี้ยววินาที
ย่อพื้นดินให้เป็นชุ่น อันที่จริงนี่คือเวทคาถาที่คล้ายคลึงกับของสำนักการทหาร
ไม่มีเรือนกายค้ำประคอง ดาบไม้ไผ่สีขาวจึงร่วงลงพื้น
อาเหลียงยื่นมือไปกุมด้ามดาบ ค้นพบว่าพวกแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสามคนกำลังถลึงตาจ้องมองมายังตน
อาเหลียงรีบเชิดหน้ายืดอกตั้ง ไม่ได้เก็บดาบไม้ไผ่เข้าไปในฟัก แต่ใช้ปลายดาบปักลงบนพื้น เชิดหน้ามองฟ้าวางท่าสง่างาม
ชายฉกรรจ์สวมงอบแอบพึมพำกับตัวเอง “ชมข้า ชมข้าให้เยอะๆ ข้อดีสองข้อที่ใหญ่ที่สุดของข้าอาเหลียงก็คือชอบรับคำวิพากษ์วิจารณ์ เจ้าวิจารณ์ข้า ข้าก็จะตีเจ้าให้ตาย อีกอย่างก็คือสามารถแบกรับคำสรรเสริญเยินยอจากคนอื่นได้ดีที่สุด ต่อให้จะไม่น่าเชื่อ น่าขนลุกแค่ไหนก็ล้วนรับได้”
หลี่ไหวเปิดปากก่อนเป็นคนแรก เด็กน้อยวิ่งเหยาะๆ มาหยุดอยู่ข้างกายอาเหลียง มองประเมินเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอ่ยว่า “อาเหลียง เจ้ามาช้าขนาดนี้ เป็นเพราะไปอึมาใช่ไหม? คนขี้เกียจมักขี้เยี่ยวเยอะ[1] เจ้ารู้หรือไม่ว่าถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิด วันหน้าก็จะไม่มีใครคอยพูดจ้อเป็นเพื่อนเจ้า คอยไปฉี่เป็นเพื่อนเจ้าอีกแล้ว? ถึงเวลานั้นเจ้าจะคิดถึงข้าหรือไม่?”
อาเหลียงที่กำลังแสร้งวางท่าเป็นผู้สูงส่งอย่างยากลำบากพลันมาดหลุด อับอายจนพานมาเป็นความโกรธ “ข้าคิดถึงแม่เจ้า คิดถึงพี่สาวเจ้า แต่ไม่คิดถึงลูกหมาไร้น้ำใจอย่างเจ้า”
หาได้ยากที่หลี่ไหวไม่ด่ากลับ อีกทั้งยังก้มหน้าลง สีหน้าหม่นหมอง
อาเหลียงถอนหายใจ ลูบศีรษะของเด็กน้อย “แต่เจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ดีไม่ใช่หรือ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ทำไม เอาน่าๆ…”
หลี่ไหวรีบเงยหน้าหัวเราะร่าทันที “อาเหลียง เจ้าช่วยสอนสุดยอดวรยุทธ์ให้ข้าได้ไหม?”
อาเหลียงถามยิ้มๆ “เจ้าทนลำบากได้รึ?”
เด็กชายส่ายหน้าอย่างจริงจัง “แน่นอนว่าทนลำบากไม่ได้ เจ้าไม่มีวิธีที่ข้าไม่ต้องลำบาก แต่ก็ยังฝึกวิชาร้ายกาจใต้หล้าไร้คู่ต่อกรหรือ?”
มุมปากอาเหลียงกระตุก “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
หลี่ไหวเบ้ปาก ปรายตามองชายฉกรรจ์สวมงอบ “อาเหลียง เจ้าทำให้ข้าผิดหวังมาก”
หลี่เป่าผิงสะพายหีบหนังสือใบเล็ก ส่งยิ้มให้อาเหลียง จากนั้นก็วิ่งไปหาเฉินผิงอัน
พอหลินโส่วอีมาหยุดอยู่เบื้องหน้าอาหลีก็ทำท่าสงสัยเล็กน้อย แต่กลับไม่เอ่ยปากถามอะไร อาเหลียงหันไปพยักหน้าให้เด็กหนุ่ม บอกให้รู้ว่ามีเรื่องคุยเป็นการส่วนตัว
จูเหอที่ร่างโชกไปด้วยเลือดนั่งขัดสมาธิ มองภายนอกดูเหมือนบาดแผลเขาน่ากลัว แต่ความเสียหายไม่ได้ลามไปถึงจิตวิญญาณและรากฐานของพลังต้นกำเนิด ชายฉกรรจ์เช็ดคราบเลือดบนใบหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รู้สึกถึงเพียงความสาแก่ใจ ชีวิตนี้ไม่เคยประลองฝีมือกับใครอย่างเต็มคราบอย่างนี้มาก่อน ราวกับว่าความอัดอั้นทั้งหมดที่สั่งสมอยู่ในใจล้วนถูกปัดเป่าให้หายไปสิ้นเพราะศึกใหญ่ครั้งนี้ หัวสมองโล่งสว่าง เส้นเอ็นและกระดูกคลายตัว
จูลู่วิ่งห้อมาหยุดอยู่ข้างกายจูเหอแล้วย่อตัวนั่งยอง ใบหน้าของนางยังเต็มไปด้วยคราบน้ำตา จูเหอโบกมือหัวเราะร่า “ลูกสาว รอดตายมาได้จากหายนะใหญ่ย่อมต้องพบโชค เป็นเรื่องดี เรื่องดีใหญ่เทียมฟ้า! พอ่รู้สึกเหมือนคว้าโอกาสในการฝ่าขอบเขตไว้ได้เสี้ยวหนึ่ง ช่องโพรงที่สำคัญหลายช่องในร่างกายที่เดิมทีเต็มไปด้วยปราณแห่งความตายก็มีวี่แววว่าปราณใหม่จะแตกหน่อขึ้นมา อย่าดูถูกจุดเริ่มต้นเล็กๆ นี้ เพราะสำหรับคนที่เดิมทีเส้นทางแห่งการฝึกวรยุทธ์ถูกตัดขาดอย่างพ่อแล้ว นี่คือความโชคดีครั้งใหญ่!”
จูลู่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ยังคงกล่าวอย่างเป็นกังวล “ท่านพ่อ ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อนพูดอะไร ระวังจะกระทบบาดแผล”
รอยยิ้มของจูเหอยิ่งกดลึก วางมือสองข้างบนหัวเข่า สีหน้าสดใส เห็นได้ชัดว่าร่างทั้งร่างเปี่ยมล้นไปด้วยชีวิตชีวา “บาดแผลเล็กน้อยแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้ หากเวลายืดออกไปอีกหนึ่งเค่อ อีกหนึ่งก้านธูป ไม่แน่ว่าพออาจจะก้าวเข้าธรณีประตูของขอบเขตที่หกได้ทันที แน่นอนว่าพ่อต้องไม่ตายคาปากของเจ้าสัตว์เดรัจฉานนั่นเสียก่อน”
จูเหอพูดมาถึงตรงนี้ก็มองไปทางชายฉกรรจ์สวมงอบ ชูนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย “ผู้อาวุโสอาเหลียง เมื่อไปถึงเมืองหงจู่แล้ว ข้าจะเลี้ยงสุราดอกซิ่งวสันต์หมักใหม่ท่านเอง!”
อาเหลียงที่หันหลังให้กับจูเหอยกมือขึ้นโบก เอ่ยด้วยประโยคหนึ่งที่ทำลายบรรยากาศดีๆ เสียสิ้น “เหล่าจูเอ๋ย พระคุณยิ่งใหญ่ไม่ต้องเอ่ยขอบคุณ แค่จดจำไว้ในใจก็พอ พูดออกมาแล้วจะดูไม่จริงใจ”
เฉินผิงอันรับขวดกระเบื้องเล็กที่หลี่เป่าผิงยื่นให้ ซึ่งก็คือตำรับยาลับเฉพาะที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของร้านยาตระกูลหยาง ประสิทธิผลเรียบง่ายมาก ก็คือระงับความเจ็บปวด ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในสุสานองค์เทพของเมืองเล็ก หลังจากที่ประมืออย่างดุเดือดกับหม่าขู่เสวียนจนเกือบจะมีคนตาย เด็กหนุ่มก็เคยใช้มันหนึ่งครั้ง หากอาเหลียงปรากฎตัวช้ากว่านี้อีกสักนิด ถ้าเช่นนั้นขวดกระเบื้องใบเล็กนี้คงต้องถูกนำมาใช้อีกครั้ง ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว แม้ว่าเฉินผิงอันจะรู้สึกปวดระบมไปทั้งร่าง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องเอามันมาใช้ หยางเหล่าโถวเคยบอกไว้อย่างชัดเจนว่า ยามีพิษอยู่สามส่วน หากไม่ต้องใช้ได้เป็นดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เรียนวรยุทธ์ หากใช้ยาวิเศษมากเกินความจำเป็น ในระยะยาวจะกลายเป็นว่าขุดมุมกำแพงของตัวเอง
หลี่เป่าผิงมองอาจารย์อาน้อยที่สีหน้าซีดขาว แม่นางน้อยที่ละเอียดอย่างเอาใจใส่ค้นพบอย่างเฉียบไวว่ามือซ้ายที่ถือมีดผ่าฝืนของอาจารย์อาน้อยสั่นสะท้านอย่างที่ไม่อาจควบคุมอยู่ตลอดเวลา
เฉินผิงอันจึงพูดปลอบใจนางเสียงเบา “ไม่เป็นอะไรมาก เพียงแต่ว่าร่างกายหวนกลับคืนสู่สภาพเดิมชั่วคราวเท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเสียเลย หากข้าเข้าใจไม่ผิด วันหน้าจะยิ่งต้องมีข้อดีมากกว่านี้”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับอย่างแรง ไม่รู้สึกคลางแคลงใจแม้แต่น้อย เพราะอาจารย์อาน้อยบอกว่าจะไม่โกหกนาง
อาเหลียงมองไปรอบด้าน แล้วก็มองไปยังงูดำและงูขาว ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเพิ่มน้ำหนักเล็กน้อย ปลายดาบที่ปักตรึงอยู่บนพื้นดินปักลึกลงไปในพื้นดินอีกหนึ่งชุ่นอย่างที่สังเกตเห็นได้ยาก
เทพเจ้าที่ที่เพิ่งหนีกระเจิงกลับมายังถ้ำของตัวเองด้วยความอกสั่นขวัญหายรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าลงมาเหนือศีรษะของตน เลือดสดระเบิดกระจาย เขาตกใจจนขี้หดตดหาย ถอยห่างออกไปหลายก้าวถึงเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่ากลางอากาศมีแค่ปลายดาบสีเขียวโผล่มาคืบเล็กๆ เท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นอีกแล้ว ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาท่วงท่าองอาจสง่างามดุจคุณชายในตระกูลสูงศักดิ์ก็พลันกัดฟันกระทืบเท้า
นาทีถัดมาร่างของเขาก็เหมือนหน่อไม้หลังฝนที่ผุดพ้นดินบนพื้นหินเรียบของเขาฉีตุนขึ้นมา มือข้างหนึ่งของเขากดบาดแผล มองไปยังชายฉกรรจ์สวมหงอบที่ลึกล้ำเกินจะหยั่งด้วยสีหน้าสลดห่อเหี่ยว แทบจะลงไปคุกเข่ากับพื้นแล้วร้องวิงวอน “ท่านเซียนใหญ่โปรดอย่าได้แกล้งข้าน้อยอีกเลย”
หลังจากที่เทพเจ้าที่หนุ่มซึ่งจากไปก่อนหน้านี้ย้อนกลับมาอีกครั้ง เด็กสาวจูลู่ถึงกับสะดุ้งโหยงตกใจโดยไม่รู้ตัว แล้วพริบตานั้นนางก็ไม่รู้ว่าทำไมอารมณ์ของตัวเองถึงระเบิดทลาย จึงลุกขึ้นยืนตะโกนใส่อาเหลียง “ฆ่าพวกเขาซะ!”
อาเหลียงคลี่ยิ้มหันหน้ากลับมามองเด็กสาวสีหน้าดุดัน เอ่ยถาม “ทำไมถึงต้องฆ่าพวกเขา? ไร้เหตุผลไร้สาเหตุ แล้วพวกเขาก็ไม่มีความแค้นอะไรกับข้าสักหน่อย”
ใบหน้างามพิสุทธิ์น่ามองของเด็กสาวยิ่งบิดเบี้ยว ยื่นนิ้วชี้ไกลๆ ไปที่ชายฉกรรจ์สวมงอบ “ไม่เกี่ยวข้อง?! เมื่อครู่นี้เจ้าเดรัจฉานสองตัวนั่นกำลังจะกินพวกเรา! เทพเจ้าที่เขาฉีตุนแห่งนี้ก็ยิ่งเป็นตัวการร้ายที่อยู่เบื้องหลัง!”
อาเหลียงพลันกระจ่างแจ้ง มองเทพเจ้าที่หนุ่มซึ่งสีหน้าเต็มไปด้วยความร้อนรน จากนั้นก็หันไปมองงูขาวและงูดำ “เจ้าจะกินข้า? เจ้า? หรือว่าเจ้า?”
เทพเจ้าที่ภูเขาฉีตุนและงูสองตัวที่ยังไม่จำแลงร่างพร้อมใจส่ายหน้าสุดชีวิต
เด็กสาวโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง พูดเสียงสะอื้น “ท่านพ่อเกือบจะตาย พวกเราก็เกือบจะตายกันหมดแล้ว!”
นางน้ำตาคลอเบ้า มองชายฉกรรจ์สวมงอบด้วยสายตาเหมือนมองคนแปลกหน้า “ทั้งๆ ที่เจ้ามีความสามารถกำจัดภัยให้แก่ราษฎร เหตุใดเจ้าถึงไม่ทำ? สัตว์เดรัจฉานสองตัว กับเทพที่อาศัยตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวอีกคนหนึ่ง ไม่ปกป้องนักเดินทาง กลับยังรวมหัวกันทำร้ายผู้คน เหตุใดเจ้าอาเหลียงถึงจะข้าพวกเขาไม่ได้?”
อาเหลียงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจู่ๆ ก็พลันหัวเราะร่า “ฮ่าๆ น้ำเสียงนี้ของเจ้าเหมือนภรรยาที่ยังไม่แต่งเข้าบ้านของข้าเลย ไม่ได้ๆ อันที่จริงข้าชอบผู้หญิงที่อายุมากสักหน่อย และรูปร่างก็เติบโตอย่างสมบูรณ์แล้ว…”
กล่าวมาถึงตรงนี้อาเหลียงก็ชักดาบไม้ไผ่ออกมาจากพื้นดิน ใส่กลับเข้าไปในฝักดาบ มือทั้งคู่ทำท่าขยุมขย้ำวาดส่วนเว้าส่วนโค้ง กล่าวด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “ข้าชอบแบบนี้”
เด็กสาวอึ้งค้าง แล้วตามมาด้วยเสียงร้องกรีดแหลม “เจ้ามันคนไร้ยางอาย!”
จูเหอกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน ตบไหล่บุตรสาวตัวเอง กล่าวเสียงทุ้มหนัก “อย่าไร้มารยาท แล้วยิ่งไม่ควรทำอะไรใช้อารมณ์นำ ทุกอย่างให้ผู้อาวุโสอาเหลียงจัดการเองเถอะ”
จูลู่สะบัดหน้ามองไปทางอื่น สีหน้าเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและหงุดหงิด
อาเหลียงมองเฉินผิงอัน เด็กหนุ่มพยักหน้าให้ “อาเหลียงท่านตัดสินใจเถอะ”
อาเหลียงกล่าวอย่างเกียจคร้าน “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าตัดสินใจเอง คำโบราณว่าไว้ดี เป็นคนควรมีความพอดี วันหน้าย่อมมีโอกาสได้พบเจอ ในฐานะบุตรแห่งยุทธภพ พวกเราควรจะใจกว้างสักหน่อย…”
เทพเจ้าที่หนุ่มอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
เซียนใหญ่อาเหลียง คนที่เกือบจะตกใจตายอย่างแท้จริง ตอนนี้ก็ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้วไง
อาเหลียงขบคิดแล้วก็โอบไหล่เทพเจ้าที่แห่งภูเขาฉีตุนเข้าหาตัว ที่น่ากระอักกระอ่วนก็คือคนหนึ่งตัวไม่สูง ส่วนอีกคนกลับสูงโปร่งสะโอดสะอง ยังดีที่ฝ่ายหลังรู้อะไรควรไม่ควร รีบค้อมเอวก้มหน้าลงต่ำ อาเหลียงถึงได้ไม่ต้องเขย่งปลายเท้าเพื่อที่จะโอบไหล่เขา อาเหลียงลากเขามากระซิบกระซาบที่ข้างหู เขาพยักหน้ารับรัวๆ เหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก ไม่กล้าพูดคำว่าไม่ออกมาแม้แต่น้อย
มาถึงท้ายที่สุดก็ดูเหมือนว่าจะอึ้งตะลึงไปกับข้อเสนออันเรียบง่ายของอาเหลียง เทพเจ้าที่หนุ่มที่ก่อนหน้านี้หวาดกลัวว่าจะต้องถูกถลกหนังออกหนึ่งชั้นทั้งยินดีและทั้งคลางแคลงใจ
อาเหลียงโบกมืออย่างหงุดหงิด “ฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังไม่เปลี่ยนใจ รีบไปให้พ้นๆ หน้าข้าซะ”
หลังจากนั้นเทพเจ้าที่หนุ่มและงูทั้งสองก็เหมือนจะสื่อสารกันด้วยเวทอ่านปาก เพียงไม่นานเขาก็ดำดินหายไป ส่วนงูขาวค่อยๆ เลื้อยอย่างระมัดระวัง ใช้ปากคาบปีกหักซึ่งตกอยู่บนพื้นหินเรียบ พยายามอ้อมออกห่างจากทุกคนให้ได้มากที่สุด แล้วไปจากยอดเขาพร้อมกับงูดำตัวนั้น ก่อนจะจากไป เมื่อเผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์สวมงอบที่นาทีใดก็ตามอาจทำให้ความกล้าหาญของพวกมันระเบิดแตก ศีรษะขนาดใหญ่ทั้งสองก็ค่อยๆ ลดลงอย่างเชื่องช้า สุดท้ายจึงสัมผัสลงกับพื้นเพื่อแสดงการศิโรราบยอมอ่อนข้อให้แก่อาเหลียง
ท่ามกลางแสงสายัณห์ หลังจากผ่านศึกใหญ่เสี่ยงอันตรายที่เกิดขึ้นในฉับพลันไปแล้ว จูเหอก็เรียกหาเฉินผิงอันให้เดินไปที่ลำธารแห่งหนึ่งใกล้กับพื้นหินเรียบเพื่อล้างบาดแผลด้วยกัน เด็กสาวจูลู่ก็ตามไปเงียบๆ ด้วย
หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่นั่งยองอยู่ริมน้ำ ต่างคนต่างล้างคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนใบหน้าและเสื้อผ้าของตัวเอง จูเหอขยับปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูด เฉินผิงอันเห็นว่าเด็กสาวนั่งอยู่บนก้อนหินริมลำธารห่างออกไปไกลเพียงลำพังจึงบอกว่าจะกลับไปก่อน จูเหอพยักหน้ารับ ไม่ได้รั้งอีกฝ่ายเอาไว้ พอเฉินผิงอันจากไปแล้ว จูเหอก็ลุกขึ้นยืน เดินมานั่งข้างกายบุตรสาว เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ทำไมไม่พูดสักคำว่าขอโทษ?”
เด็กสาวถอดถุงเท้ายาวหุ้มข้อเผยให้เห็นเท้าขาวนวล พอได้ยินประโยคที่คล้ายจะตำหนิจากบิดา เด็กสาวก็พลันเบิกตากว้าง พูดน้อยใจ “ท่านพ่อ ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
จูเหอมองดวงตาของบุตรสาว นั่นคือดวงตางดงามคู่หนึ่งที่เหมือนกับมารดาของนางมาก เป็นเหตุให้คำพูดแข็งกระด้างซึ่งจ่ออยู่ที่ริมฝีปากของชายฉกรรจ์ผู้ซื่อสัตย์ถูกปรับเปลี่ยนเสียใหม่ เขาถอนหายใจ ก่อนพูดน้ำเสียงเรียบเฉย “ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันห้ามไม่ให้เจ้าลบตัวอักษรเยว่ และหลังจากจบเรื่องก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นฝ่ายถูก”
จูลู่ยกมือสองข้างกอดเข่า มองกระแสน้ำที่ไหลรินอยู่ในลำธาร แค่นเสียงเย็น “ท่านไม่ใช่พ่อของเขาสักหน่อย เขาเฉินผิงอันก็ย่อมไม่ห่วงอยู่แล้ว ตอนนั้นข้าจะมัวมาสนเรื่องพวกนี้อยู่ได้อย่างไร หากเขาคิดผิดล่ะ หรือข้าควรจะมองท่านตายอยู่ข้างในนั้น?”
จูเหอไม่ตอบ
นางหันหน้ากลับมา ดวงตาแดงก่ำ “ท่านพ่อ หากตอนนั้นข้าไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง ข้ายังจะใช่บุตรสาวของท่านอีกหรือ?”
จูเหอสะกดคำพูดทำร้ายจิตใจเอาไป ฝืนกลืนพวกมันกลับลงท้องไปทีละคำ
เดิมทีชายฉกรรจ์อยากจะพูดว่าในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองขั้นสองสุด ไม่ควรจะสูญเสียสติสัมปชัญญะง่ายๆ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูผู้แข็งแกร่ง
เพียงแต่ว่าคำพูดเหล่านี้ หากเป็นคนบนเส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ด้วยกัน จูเหอคงจะพูดได้
แต่เขายังเป็นบิดาของนาง จึงไม่อาจพูดมันออกมา อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่ในเวลานี้ ทำได้เพียงรอหาโอกาสเหมาะๆ คราวหน้าเท่านั้น
แต่ลึกๆ ในใจจูเหอกลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร ชายฉกรรจ์กลับบอกไม่ถูก
ชายฉกรรจ์ที่เมื่อครู่นี้เพิ่งเห็นแสงสว่างบนเส้นทางแห่งวิถีการต่อสู้ใหม่อีกครั้งกลับรึ้กผิดและเสียใจอย่างไร้สาเหตุ ในใจคิดว่าหากมารดาของนางยังมีชีวิตอยู่ก็คงดี
บนเส้นทางที่ทอดยาวไปยังพื้นหินเรียบ เด็กหนุ่มก้าวเดินอย่างเชื่องช้าอยู่เพียงลำพัง แสงสนธยาดึงให้เงาของเด็กหนุ่มผอมบางทอดยาวออกไป
บนยอดเขา หลี่เป่าผิงกำลังจัดระเบียบสมบัติในหีบหนังสือใบเล็กของตัวเองหลี่ไหวขยับเข้ามานั่งยองอยู่ด้านข้าง แล้วจู่ๆ ก็โพล่งว่า “หลี่เป่าผิง ข้าเองก็ใกล้จะมีหีบหนังสือล่ะนะ”
หลี่เป่าผิงถลึงตาใส่เขาอย่างดุดัน “มีก็มีสิ แต่เจ้าห้ามเรียกอาจารย์อาน้อยของข้าว่าอาจารย์อาน้อย!”
หลี่ไหวถาม “อาศัยอะไร?”
หลี่เป่าผิงชูหมัดสูงอย่างดุร้าย หรี่ตาถาม “แค่นี้พอไหม?”
หลี่ไหวกลืนน้ำลาย พูดพึมพำ “อาจารย์อาน้อยนับเป็นอะไรได้ ข้าไม่เห็นจะเสียดาย ต้องลดลำดับศักดิ์ให้เสียเปล่าไปตั้งหนึ่งขั้น”
หลี่ไหวตบก้นลุกขึ้นยืน พอเดินจากไปไกลแล้วถึงได้หันหน้ากลับมายิ้ม “หลี่เป่าผิง หากวันหน้าข้าเรียกพี่เรียกน้องกับเฉินผิงอัน เจ้าจะทำอย่างไร? ควรจะเรียกข้าว่าอะไร?”
หลี่เป่าผิงหัวเราะเฮอๆ พอลุกขึ้นยืนได้ก็บิดข้อมือทันที
หลี่ไหวพูดลนลาน “หลี่เป่าผิง เจ้าเลิกใช้หมัดตัดสินปัญหาสักทีได้ไหม พวกเราพูดคุยกันดีๆ ไม่ได้หรือไงพวกเราคือคนเรียนหนังสือ คนเรียนหนังสือต้อง…”
ไม่รอให้หลี่ไหวกล่าวจบ หลี่เป่าผิงก็สาวเท้าเดินเร็วๆ ไปเบื้องหน้า เตรียมจะต่อยหลี่ไหวผู้นี้สักที
หลี่ไหวพลันเกิดปฏิภาณในยามล่อแหลม แข็งใจไม่ถอยหนี กล่าวด้วยความหวังดีว่า “หลี่เป่าผิง เจ้าไม่กลัวว่าอาจารย์อาน้อยของเจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าเป็นเด็กป่าเถื่อนไร้เหตุผลหรือ? ถึงเวลานั้นถ้าเขาไม่ชอบเจ้าแล้ว เจ้าจะไปร้องไห้กับใคร?จะมาโทษว่าข้าไม่เคยเตือนเจ้าไม่ได้ นี่เรียกว่าอย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
หลี่เป่าผิงหยุดชะงัก ขมวดคิ้วแน่น
หลี่ไหวตบอกพูด “วางใจเถอะ วางใจ ในบรรดาพวกเราทั้งสามคน เฉินผิงอันชอบเจ้าที่สุดแล้ว ขอแค่วันหน้าเจ้าอย่าเป็นเหมือนจูลู่ผู้นั้นก็พอ”
หลี่เป่าผิงคลี่ยิ้มกลับมานั่งยองตรงตำแหน่งเดิมแล้วจัดเก็บหีบหนังสือใบเล็กของตัวเองต่อไป
หลี่ไหวจึงก้าวอาดๆ เดินจากไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพอง “ตัวข้าก็มีกลอุบายปกครองบ้านเมือง รักษาความสงบใต้หล้าเป็นของตัวเอง วันหน้าไม่ต้องกลัวหลี่เป่าผิงอีกต่อไปแล้ว”
หลี่ไหวอารมณ์ดีมาก อดไม่ไหวจึงอยากจะแบ่งปันความสุขกับสหายอาเหลียงของเขาสักหน่อยจึงคำรามดังลั่น “อาเหลียง? อาเหลียง ไสหัวออกมา!”
เด็กชายทอดสายตามองไป ผลกลับเห็นว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อาเหลียงไปรวมหัวอยู่กับหลินโส่วอี หลี่ไหวเตรียมจะวิ่งไปหา แต่กลับหยุดเท้าในฉับพลัน เพราะริมหน้าผาพื้นหินเรียบตรงจุดนั้นก็คือตำแหน่งที่งูขาวปรากฏตัวก่อนหน้านี้พอดี หลี่ไหวยังหวาดหวั่นไม่คลาย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เลือกจะหมุนตัววิ่งกลับไปนั่งยองอยู่ข้างกายหลี่เป่าผิง ก่อนจะมองหาเงาร่างของเฉินผิงอัน
พอนึกถึงภาพที่เจ้าหมอนั่นกระโจนเข้าใส่งูขาวอย่างกล้าหาญ หลี่ไหวก็ถึงกับเหม่อลอย จิตใต้สำนึกของเด็กชายจอมเกเรแต่เฉียวฉลาดผู้นี้รู้สึกว่าอาจารย์อาน้อยของหลี่เป่าผิงผู้นั้นพึ่งพาได้อย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ดีกว่าจูลู่ผู้นั้นมากนัก
ริมหน้าผา อาเหลียงกับเด็กชายหลินโส่วอีนั่งมองทัศนียภาพที่ห่างออกไปไกลด้วยกัน หลังจากแหงนหน้ากระดกเหล้ารสร้อนแรงเข้าปากหนึ่งอึก หลินโส่วอีก็ยื่นน้ำเต้าคืนให้แก่อาเหลียง
หลินโส่วอีนั่งตัวตรง เมื่อเทียบกับท่านั่งเอียงกะเท่เร่ของอาเหลียงแล้วจึงดูแตกต่างกันอย่างมาก เด็กชายถามเสียงเบา “อาเหลียง เหล้าที่อยู่ในน้ำเต้าลูกนี้ไม่ธรรมดามากเลยใช่ไหม?”
อาเหลียงอืมหนึ่งที
หลินโส่วอีถามอย่างใคร่รู้ “ไม่ธรรมดาอย่างไร? ข้ารู้แค่ว่าพอดื่มเหล้าเข้าไปแล้ว ร่างกายของข้าก็ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก”
อาเหลียงแกว่งกาเหล้าใบเล็ก เพียงเปิดปากก็เปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ “เพียงแค่จงใจแกว่งให้ปราณเหล้าโชยออกมาเล็กน้อยก็สามารถทำให้ปีศาจที่จำแลงร่างคนบนแม่น้ำเถี่ยฝู่พวกนั้นตกใจจนถอยหนี เจ้าว่าร้ายกาจไหมล่ะ? แน่นอนว่าในเวลาปกติหากแค่เปิดฝาจุกออกเช่นนี้ ต่อให้จมูกดีแค่ไหนก็ยังได้แค่กลิ่นหอมของเหล้าเท่านั้น”
หลินโส่วอียิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีก “งั้นทำไมท่านถึงปล่อยเทพเจ้าที่กับงูสองตัวนั้นไป?”
อาเหลียงประคองงอบ เอ่ยยิ้มๆ “เทพเจ้าที่ของพื้นที่แห่งหนึ่ง คือบุคคลที่มียันต์คุ้มกันกายติดตัว ฆ่าเขาไม่ใช่เรื่องยาก แต่หลังจากนั้นจะมีปัญหามาก และตอนนี้ข้าก็กลัวปัญหามากที่สุด อีกอย่างพวกเขามีแค้นใหญ่ถึงเป็นถึงตายกับพวกเจ้า แต่ไม่มีแค้นกับข้าอาเหลียง และตอนนี้พวกเจ้าเองก็ไม่ได้มีอะไรขาดหายไป จูเหอยังได้ผลประโยชน์ใหญ่เทียมฟ้า แล้วทำไมยังจะต้องกำจัดให้สิ้นซากด้วย?”
อาเหลียงหยุดไปครู่หนึ่ง “แต่ก็มีคนที่สูญเสียสิ่งของบางอย่างไป แต่ข้าคิดว่าเขาคงไม่ค่อยสนใจใยดีมันนัก ช่วยไม่ได้ วิธีการคิดคำนวณผลได้ผลเสียของคนผู้นั้นไม่ค่อยเหมือนคนอื่นสักเท่าไหร่”
หลินโส่วอีกล่าว “หมายถึงเฉินผิงอันใช่ไหม? เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บหนักกว่าจูเหอเล็กน้อย แต่เขาปิดบังได้ค่อนข้างดี”
อาเหลียงไม่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้
หลินโส่วอียังคงพูดกับตัวเองต่อไป “จูลู่ผู้นั้นเป็นห่วงบิดาจึงอยากช่วยเหลือ แน่นอนว่าไม่ผิด แต่นางก็ผิดที่…”
อาเหลียงโบกมือตัดบทคำพูดตัดสินผู้อื่นของเด็กชาย กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ควรนินทาผู้อื่นลับหลัง คุณธรรมอยู่ที่ใจตนเอง”
หลินโส่วอีอืมรับหนึ่งที แล้วก็ไม่พูดต่อจริงๆ
ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า อาเหลียงกระดกเหล้าดื่มเชื่องช้า ทอดเสียงเนิบนาบเอ่ยว่า “หลินโส่วอี เจ้าฉลาดมาก เจ้าเป็นคนฉลาดคนแรกที่ตระหนักได้ว่าข้าควรค่าให้ผูกมิตร ไม่ต้องร้อนใจไป ข้าไม่ได้จะดูถูกเจ้า ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ บนเส้นทางของการฝึกตน บางคนก็มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ยกตัวอย่างเช่นหลี่เป่าผิง บางคนก็มีโชควาสนา ยกตัวอย่างเช่นหลี่ไหว และบางคนก็มีความตื่นรู้ คล้ายกับเจ้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องดี สายตาของฉีจิ้งชุนดีเยี่ยมมาโดยตลอด หาไม่แล้ว…”
หลินโส่วอีตั้งหูรอฟัง
อาเหลียงยิ้มกว้าง “เขาจะได้รู้จักเพื่อนแบบข้าหรือ?”
หลินโส่วอียิ้มอย่างเข้าใจ ผู้ชายคนนี้ไม่เคยละทิ้งโอกาสที่จะยกยอตัวเอง เขาชินมานานแล้ว
ทว่าเด็กหนุ่มที่สติปัญญาเติบโตเป็นผู้ใหญ่กลับยิ่งมั่นใจในเรื่องหนึ่ง
นั่นก็คือการคุยโวของอาเหลียง ฟังดูแล้วเหมือนจะไม่น่าเชื่อถือนัก แต่นั่นเป็นเพราะทุกคนรวมถึงตัวเขาเองไม่เคยมีใครรู้ถึงความร้ายกาจของชายคนนี้อย่างแท้จริงมาก่อน
“ร่ำสุราขับขานเพลงประพันธ์ ชีวิตคนแสนสั้นดั่งโบยบิน น้ำค้างรินสลายชั่วพริบตา วันเวลาสูญผ่านมากเกินพอ”
อาเหลียงกรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยม่านราตรี พึมพำอยู่กับตัวเอง “แล้วก็ยังมีประโยคว่าบัณฑิตสวมอาภรณ์ย้อมผ้าเขียว ให้ใจข้าหวนคำนึงด้วยความเลื่อมใส…เหตุใดบนโลกถึงมีถ้อยคำสะเทือนใจคนขนาดนี้ได้?”
อาเหลียงโคลงศีรษะ สลัดอารมณ์ทุกข์ระทมนั้นทิ้งไป หัวเราะหยันตัวเอง แล้วชี้นิ้วไปยังเทือกเขาที่ทอดยาว “ในสายตาของคนบางคน โลกมนุษย์ก็เหมือนทางช้างเผือกสายหนึ่งที่ห้อยกลับหัว”
หลินโส่วอีถามคำถามหนึ่งที่มีความหมายลึกล้ำอย่างถึงที่สุด “อาเหลียง ในบรรดา ‘คนบางคน’ นั้น มีท่านอยู่ด้วยหรือไม่?”
อาเหลียงส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่ ข้าไม่ค่อยชอบเป็นคนแบบนั้น”
อาเหลียงพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งที ไม่ดื่มเหล้าอีก ใช้มือข้างหนึ่งเท้าแก้ม เอียงศีรษะมองไปยังทิศไกล “ในอดีตมีอาจารย์เฒ่านิสัยดื้อรั้นอยู่คนหนึ่งมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วหล้า ในบรรดาลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจ ลายมือของฉีจิ้งชุนดีที่สุด ฝีมือเล่นหมากล้อมของชุยฉานสูงที่สุด และยังมีอีกคนหนึ่งที่เวทกระบี่แข็งแกร่งมากที่สุด”
หลินโส่วอีกลั้นยิ้ม หันไปมองใบหน้าด้านข้างของชายสวมงอบ “ลูกศิษย์ที่เวทกระบี่แข็งแกร่งที่สุดชื่ออาเหลียงใช่ไหม?”
อาเหลียงหัวเราะร่า “คนผู้นั้นย่อมไม่ใช่ข้าอยู่แล้ว จะเป็นข้าไปได้อย่างไร”
หลินโส่วอีที่เดาผิดงงงันไปชั่วขณะ
ยังคงได้ยินเจ้าหมอนั่นหัวเราะต่อไปว่า “แต่ว่าเวทกระบี่ของคนผู้นั้น ข้าเป็นคนสอนเอง”
แม้เด็กหนุ่มจะตกตะลึงจนอึ้งไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว แต่ก็ยังเชื่อมั่นในประโยคนี้อย่างไม่มีความกังขาเลยแม้แต่น้อย
อาเหลียงหันหน้ากลับมาถาม “หากข้าบอกว่าลายมือของฉีจิ้งชุนก็เป็นข้าที่สอนให้ เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
เด็กหนุ่มที่นั่งตัวตรงอย่างสำรวมตอบกลับอย่างเด็ดเดี่ยวไร้ความลังเล “ตีให้ตายข้าก็ไม่เชื่อ!”
อาเหลียงตบไหล่เด็กหนุ่ม เอ่ยด้วยประโยคที่เต็มไปด้วยความหวังดี “หลินโส่วอี เจ้าฉลาดมากจริงๆ ดังนั้นพรุ่งนี้ไม่มีเหล้าให้เจ้าดื่มแล้ว”
เด็กหนุ่มที่มีบุคลิกเคร่งขรึมเย็นชามาโดยตลอดพลันยิ้มกว้าง แต่ก็ยังคงเงียบงันไม่ต่อปากต่อคำ
อาเหลียงทอดถอนใจ “ฟ้าดินคือที่พักพิงของสรรพสิ่ง คำพูดของบัณฑิตมีเหตุผลจริงๆ”
จู่ๆ หลินโส่วอีก็ถามคำถามประหลาด “อาเหลียง เฉินผิงอันทำให้เจ้าผิดหวังหรือ?”
สีหน้าของชายฉกรรจ์สวมงอบเป็นปกติ “รอดูกันต่อไปเถอะ”
ม่านรัตติกาลเข้มข้น ด้านข้างกองไฟในค่ำคืนช่วงหลัง เฉินผิงอันยังคงสลับกับจูเหออยู่ยามเหมือนอย่างที่เคยทำมา ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มก็นั่งถักรองเท้าแตะไปด้วย
ไม่รู้ว่าจูเหอลุกมาอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ เฉินผิงอันแปลกใจเล็กน้อย จูเหอยื่นมือไปอังไฟ แสงไฟสาดสะท้อนใบหน้าที่หยาบกระด้างของชายวัยกลางคน บุรุษหันหน้ามาถามยิ้มๆ “เจ้าคงหาปราณขุมนั้นเจอแล้วกระมัง? ปราณดุจมังกรว่ายวน อีทั้งมันยังลดตัวลงต่ำว่ายวนไปทั่วสี่ทิศอย่างต่อเนื่อง ใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ขยับนั่งตัวตรง นี่ก็คือจุดที่เขากำลังสงสัยมากที่สุดพอดี
จูเหอไม่ได้มัวเล่นตัวปกปิดข้อมูล เขาอธิบายอย่างเชื่องช้าว่า “นี่เท่ากับว่าเจ้าเลื่อนสู่ขอบเขตตัวอ่อนโคลนแล้ว อย่าได้ดูถูกอุปสรรคขั้นแรกนี้เด็ดขาด จะสามารถฝึกวรยุทธ์ได้หรือไม่ก็ต้องดูว่าเจ้าจะมีลมปราณขุมนี้บังเกิดขึ้น หรือหามันเจอ ควบคุมมันอยู่หรือไม่ คำพังเพยบอกไว้ว่าคนช่วงชิงลมหายใจหนึ่งเฮือก พระพุทธรูปช่วงชิงธูปหนึ่งก้าน ความหมายก็คือประมาณนี้แหละ ร่างกายยังคงเป็นรูปปั้นพระโพธิสัตว์ดินเหนียวที่ยังก่อรูปไม่สำเร็จ แต่ขอแค่มีลมปราณขุมนี้ก็ถือว่าก้าวเท้าเหยียบเข้าไปในห้องแล้ว ทุกอย่างหลังจากนี้ล้วนมีความหวัง ต่อให้ทัศนียภาพบนยอดสูงสุดของวิถีแห่งวรยุทธ์จะงดงามมากแค่ไหน แต่หากไม่มีก้าวเล็กๆ ที่สำคัญนี้ ทุกอย่างก็ล้วนเป็นเพียงความว่างเปล่า”
จูเหอมองประเมินเด็กหนุ่มแล้วเอ่ยชม “ร่างกายของเจ้าผ่านการขัดเกลามาได้ไม่เลว อืม ต้องพูดว่าดีมากถึงจะถูก ไม่แพ้พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่เติบโตมาด้วยการอาบแช่อยู่ในถังยา ข้าไม่รู้ว่าเจ้าผ่านอะไรมาบ้าง แต่ก็พอจะมั่นใจได้ว่า ตอนนี้เจ้าอยู่ในขอบเขตครรภ์ไม้ขอบเขตที่สองของผู้ฝึกยุทธ์หลังจากขอบเขตตัวอ่อนโคลนแล้ว แม้จะอธิบายได้ไม่ชัดเจนนักว่าทำไมเจ้าถึงไม่สามารถทำให้ปราณขุมนั้นหาโพรงลมปราณเพื่อไว้พักพิงและบำรุงตัวเองได้เจอ แต่เส้นชีพจรในร่างเจ้าถือว่าอยู่ในขอบเขตที่สองอย่างแท้จริงแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่สำเร็จดีก็เท่านั้น”
เฉินผิงอันกลั้นลมหายใจทำสมาธิตั้งใจรับฟังความรู้ด้านการฝึกวรยุทธ์ที่ต่อให้มีเงินพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้เหล่านี้
ชายที่ถูกบรรพบุรุษตระกูลหลี่ขนานนามให้เป็น “พระวิสุทธิ์อาจารย์” พูดต่อไปว่า “ขอบเขตครรภ์ไม้นี้น่าสนใจอย่างมาก ความสำเร็จสูงหรือต่ำ ไม่ได้อาศัยพรสวรรค์ ไม่สนฐานกระดูก แค่สองคำเท่านั้น ทนลำบาก ก่อนหน้านี้อาเหลียงอธิบายเรื่องทางเดินม้าต้าหลีกับพวกเจ้าแล้ว ถูกไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วถาม “นี่ก็เกี่ยวกับการฝึกวรยุทธ์ด้วยหรือ?”
จูเหอเติมฟืนเพิ่มลงในกองไฟ พยายามอธิบายจุดสำคัญเกี่ยวกับการฝึกวรยุทธ์ที่เดิมทีคลุมเครือยากเข้าใจคล้ายมีเมฆบดบังหมอกล้อมพันด้วยใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด “อันที่จริงเส้นชีพจรในร่างกายมนุษย์เราก็คล้ายกับทางเดินม้า คิดจะให้รถม้าขับผ่านไปได้ก็จำเป็นต้องค่อยเปิดเส้นทางบนภูเขาไปทีละนิด เจอน้ำก็สร้างสะพาน บางคนเกียจคร้าน ทนความลำบากไม่ได้จึงสร้างทางสายเล็กเท่าใส้แกะ สร้างสะพานไม้พาดผ่านไป อันที่จริงก็เดินได้ มุ่งหน้าไปยังจุดสูงของวิถีแห่งการฝึกยุทธ์ต่อไป แต่ยิ่งเป็นช่วงหลัง ขีดจำกัดก็ยิ่งมาก เป็นหลักการที่ง่ายมาก วิธีแก้ปัญหาของยอดฝีมือก็เหมือนสงครามระหว่างสองประเทศ ต้องดูที่ว่ากองทัพและกองหนุนของใครที่เร็วยิ่งกว่า ต่อให้เจ้ามีกำลังคนและม้านับพันนับหมื่น แต่หนทางคับแคบยากจะเดินทางผ่าน เจ้าจะระดมกำลังมาช่วยอย่างราบรื่นได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง “คือเหตุผลนี้นี่เอง!”
“ดังนั้นขอบเขตนี้จึงเรียกอีกอย่างว่าขอบเขตเปิดภูเขา ทดสอบเรื่องการฝึกในและขัดเกลามากที่สุด การฝึกวรยุทธ์จำเป็นต้องลงแรงลงกำลัง ขยันบากบั่น เป็นเหตุให้ถูกพวกผู้ฝึกลมปราณที่หยิ่งยโสมองเป็นคนชั้นต่ำที่อยู่ปลายแถว เพราะว่าเมื่อคนฝึกยุทธ์อยู่ในขอบเขตนี้จะไม่อาจเกียจคร้านเพิกเฉยได้เลย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับชาวไร่ชาวนา คิดอยากจะได้ผลเก็บเกี่ยวก็มีแต่ต้องก้มหน้าก้มตาทำงานหนักไปเท่านั้น”
เฉินผิงอันยิ้ม “ข้าพอจะทนความลำบากได้ ข้อนี้ข้าไม่แย่กว่าคนอื่นสักเท่าไหร่”
จูเหอพูดไม่ออก ในใจคิดว่าหากเจ้าเฉินผิงอันยังแค่ “พอจะ” แล้วข้าจูเหอควรจะอยู่ในระดับไหน?
สีหน้าของจูเหอเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม “แต่จงจำเอาไว้ว่า ขอบเขตในชั้นนี้ การขยันหมั่นเพียรตนั้นเป็นเรื่องดีก็จริง แต่ก็ไม่ควรหยุดค้างอยู่นานเกินไป เหตุใดลัทธิเต๋าถึงได้เลื่อมใสในสี่คำว่าหวนคืนสู่สัจธรรมนัก? นั่นก็เป็นเพราะปราณแท้ (บ้างก็เรียกเจินชี่/ชี่แท้) เฮือกหนึ่งที่มีมาตั้งแต่เกิดที่ค่อยๆ ไหลหายไปเมื่ออายุเพ่มิมากขึ้น บ้างก็ถูกปราณสกปรก ปราณชั่วร้ายหรือปราณอื่นๆ ในฟ้าดินปะปนจนขุ่นมัวไม่เหลือสภาพเดิม ก็เหมือนกับคนฝ่ายบุ๋นที่ชอบดื่มช้า สิ่งที่พวกเขากลัวมากที่สุดเวลาปลูกต้นชาก็คือวัชพืชที่จะขึ้นแทรก ซึ่งก็คือเหตุผลนี้นี่เอง”
“โดยทั่วไปแล้ว ก่อนจะอายุสิบหก อย่างมากสุดคืออายุสิบแปดต้องทดลองฝ่าทะลุสู่ขอบเขตที่สามอย่าง ขอบเขตกระจกปรอทได้แล้ว เพื่อให้เลือดลมของตัวเองยิ่งแข็งแกร่ง เหมือนปรอทที่รวมตัวกันเหนียวข้น ขณะเดียวกันร่างกายของเจ้าก็จะยิ่งเบามากขึ้น ขณะเดียวกันกระดูกกลับยิ่งทนทาน เลือดลมของคนเหมือนพลทหารใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพในสมรภูมิรบ จำเป็นต้องเป็นคนที่ดุดันกร้าวแกร่ง ไม่ใช่พวกนักแสดงงิ้วบนเวที หมอกปักลายดอกไม้ พูดแบบนี้เจ้าเข้าใจได้หรือไม่?”
เด็กหนุ่มที่สวมรองเท้าแตะก้มหน้าลงมองรองเท้าแตะที่กำลังถักอยู่ในมือตัวเองอีกครั้ง พลางกล่าวอย่างขัดเขิน “เข้าใจได้”
จูเหออดไม่ไหวจึงหัวเราะออกมาเบาๆ “เมื่อฝึกขอบเขตที่สองได้สำเร็จก็จะสามารถทำให้ลวดลายกล้ามเนื้อของเจ้าเรียงตัวกันแน่นหา เหมือนกกับสมบัติอาคมของผู้ฝึกลมปราณที่สลักอักขระยันต์ลงไป บวกกับที่เมื่อเส้นชีพจรถูกบุกเบิก เส้นทางแห่งวิถีการฝึกยุทธ์จึงยิ่งขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนยอดเขาของขอบเขตกระจกปรอทขอบเขตที่สาม ข้าไม่สะดวกให้พูดมาก แต่ละคนต่างก็มีโชควาสนาเป็นของตัวเอง ไม่แน่ว่าการพูดถึงประสบการณ์ของข้าอาจกลับชักนำเจ้าสู่ทางผิด เป็นการทำร้ายเจ้าแทนก็ได้”
เฉินผิงอันจดจำทุกคำไว้ในใจเงียบๆ
จูเหอกล่าวเสียงทุ้ม “สามขอบเขตแรกคือการหล่อหลอมเรือนกาย ถือว่าเป็นในทางปฏิบัติ ส่วนสามขอบเขตหลังจากนั้นถือว่าเป็นในทางทฤษฎี จิต วิญญาณและความกล้าสามเรื่องที่ต้องค่อยๆ ดำเนินการไปทีละลำดับ”
จากนั้นจูเหอก็จมจ่อมสู่ภวังค์ของการครุ่นคิด การต่อสู้ได้วันนี้ เขาได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย จูเหอจำเป็นต้องให้ความคิดที่ผุดวาบขึ้นมานั้นตกตะกอน
เฉินผิงอันไม่กล้ารบกวนเขา จึงเริ่มย่อยถ้อยคำล้ำค่าจากหลักการลึกล้ำที่จูเหอให้ถ้อยคำเรียบง่ายอธิบายให้ฟัง
จูเหอเงียบไปนานกว่าจะคืนสติ จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “สามขอบเขตของการหล่อหลอมลมปราณเน้นย้ำในเรื่องเงื่อนไขที่พรักพร้อม ขอแค่เจ้าเดินไปถึงด่านนั้นก็จะเข้าใจได้ด้วยตัวเอง คำแนะนำจากคนนอกยากที่จะก่อเกิดผลประโยชน์ อีกทั้งการชี้นำที่แท้จริงล้วนไม่อยู่บนหลักการที่ยิ่งใหญ่ มีเพียงเจ้าเดินไปถึงหน้าประตูด้วยตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว คนนอกที่อยู่ห่างไปไกลถึงจะสามารถออกเสียงอธิบายต้นสายปลายเหตุให้เจ้าฟังได้ เส้นทางของชาวยุทธ์ฝึกลมปราณกับผู้ฝึกลมปราณที่ทั้งหล่อเลี้ยงและหล่อหลอมลมปราณไปพร้อมกันแทบจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง วันหน้าเจ้าก็จะเข้าใจเอง”
สุดท้ายจูเหอกล่าวด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา “แม้ว่าอาจจะดูเหมือนดึงต้นกล้าให้โต[2] แต่ข้าก็ยังอดไม่ไหว อยากจะเล่าถึงทัศนียภาพบนยอดเขาของสามขอบเขตสุดท้ายในตำนานชาวยุทธ์ให้เจ้าฟังสักหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าเจอพวกผู้ฝึกลมปราณพูดจาส่งเดชใส่แล้วก็ยังไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้อย่างไร ขอบเขตที่เจ็ดแห่งการหล่อหลอมจิต ขอบเขตร่างทองคำ ก็คือยอดฝีมือปรมาจารย์น้อยสมชื่อ ผู้ที่โดดเด่นในขอบเขตนี้อาจถึงสามารถหล่อหลอมร่างวัชระไร้พ่ายของพุทธะ หรือเรือนกายแก้วผ่องแผ่ว ร่างเซียนทองคำของลัทธิเต๋า และยังมีวิธีอีกบ้างส่วนที่สามารถทำให้ผู้ฝึกยุทธ์สามารถใช้สามวิธีอย่างควบคุม อัญเชิญ อธิษฐานปลุกเสกร่างกายและจิตวิญญาณของตัวเองให้แข็งแกร่ง ทนทานไม่ดับสลาย”
“ขอบเขตที่แปด ขอบเขตจำแลงขนนก! ผู้ฝึกยุทธ์จะสามารถลอยตัวอยู่กลางอากาศ บังคับลมพาตนบินทะยาน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ขอบเขตเดินทางไกล’ เดินทางไกล ขอบเขตเดินทางไกล ใครบอกว่าชาวบู๊อย่างพวกเราหยาบกระด้าง ข้ารู้สึกว่าคำเรียกว่าเดินทางไกลนี้น่าสนใจอย่างถึงที่สุด!”
“ขอบเขตสุดท้ายก็คือขอบเขตที่เก้า ขอบเขตยอดเขา เหมือนเจ้ากับข้าที่อยู่บนจุดที่สูงที่สุดของภูเขาฉีตุนในเวลานี้ อยู่บนยอดภู ขุนเขามองดูเล็ก ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในขอบเขตนี้จะถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ปรมาจารย์ขอบเขตปลายทาง’ ซึ่งใช้บรรยายว่าวิถีแห่งวรยุทธ์ใต้ฝ่าเท้าได้เดินมาจนถึงจุดสิ้นสุดแล้ว!”
จูเหอกล่าวมาถึงตรงนี้ก็พลันลุกขึ้นยืน เดินวนรอบกองไฟช้าๆ สีหน้าตื่นเต้น มือทั้งคู่กำเป็นหมัด เอ่ยเสียงกังวาน “แม้จะไม่เกินจริงถึงขั้นสามารถย้ายภูเขาคว่ำมหาสมุทรได้ แต่กลับสามารถใช้หมัดต่อยกำแพงให้ปริแตก ฝ่ามือตบแม่น้ำใหญ่ให้แตกกระจาย ทั้งร่างเต็มไปด้วยความทรงพลังและมีชีวิตชีวา ร้อยสิ่งชั่วร้ายไม่อาจรุกราน พันทหารถอยฉากหลบหนี กล้ามเนื้อเรือนกายแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด เหนือกว่าร่างอรหันต์ของศาสนาพุทธ หากเข้าประชิดร่างของผู้ฝึกลมปราณภายในระยะสิบจั้ง เว้นเสียแต่ว่าเป็นพวกที่มีสมบัติอาคมคุ้มกันกายชั้นสูงหรืออะไรที่ระดับสูงกว่านั้น นอกนั้นก็ย่อมต้องตายทั้งหมด!”
สายตาจูเหอร้อนแรง เลือดร้อนๆ เดือดพล่าน ก้มหน้าจ้องนิ่งไปยังเด็กหนุ่ม “ลองคิดดูสิ หากเลื่อนสู่ขอบเขตปลายทาง เพียงทอดสายตามองไป แม่น้ำและภูเขาหมื่นลี้ล้วนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเจ้า เหยียดตามองเซียนดูหมิ่นอ๋องและโหว ชายชาตรีควรจะเป็นเช่นนี้!”
เฉินผิงอันรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย พลันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร เพราะในสมองของเด็กหนุ่มในเวลานี้ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องที่ว่าวันหน้าจะต้องฝึกเดินนิ่งเยอะๆ ฝึกท่าเตี้ยนหลูบ่อยๆ ไม่แน่ว่าในชีวิตนี้อาจจะเลื่อนไปสู่ขอบเขตที่สาม ไหนเลยจะคิดไปไกลขนาดนั้น เพราะอย่างไรซะแค่ที่รับปากแม่นางหนิงไปว่าจะฝึกออกหมัดให้ครบหนึ่งล้านครั้งก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่ายากลำบากมากอยู่แล้ว
ตอนที่จูเหอจากไป อารมณ์ของเขายังฮึกเหิมไม่คลาย
ทิ้งเด็กหนุ่มให้นั่งถักรองเท้าแตะต่อไปอยู่เพียงลำพัง
ยามฟ้าสาง เมื่ออาเหลียงอ้าปากหาวแล้วตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าเด็กหนุ่มอยู่ตรงริมหน้าผา ยังคงฝึกท่าเดินหกก้าวอันน่าเบื่อไร้รสชาติรับลมภูเขาที่พัดโชย เหงื่อออกเต็มตัวเหมือนตากฝน
เงาร่างหนึ่งวิ่งปรู๊ดผ่านร่างของอาเหลียงไป และไม่นานก็ไปหยุดอยู่ข้างกายเด็กหนุ่ม ก่อนจะเริ่มออกหมัดไปพร้อมกับอาจารย์อาน้อยของนาง
อาเหลียงดื่มเหล้าหนึ่งอึก หลังจากวางน้ำเต้าใบเล็กลงแล้วก็วิ่งไปร่วมวงอย่างสนุกสนาน
ไม่นานข้างกายก็มีเสียงสั่งสอนของแม่นางน้อยดังขึ้น “อาเหลียง ท่าของเจ้าไม่ถูกนะ หมัดนี้แขนเจ้าเอียงแล้ว”
“อาเหลียง ก้าวนี้ของเจ้าใหญ่เกินไปแล้ว หุบเข้ามาหน่อย จริงๆ นะ ข้าไม่โกหกเจ้าหรอก ไม่เชื่อเจ้าก็ดูอาจารย์อาน้อยของข้าสิ ดูสิว่าเขายืนมั่นคงแค่ไหน”
“อาเหลียง ถ้าเจ้ายังใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้ ข้าจะโกรธเจ้าจริงๆ แล้วนะ!”
ชายฉกรรจ์สวมงอบอดทนมานาน ในที่สุดก็อดบ่นออกมาไม่ได้ “เป่าผิง จากศึกอันสะท้านใจบนยอดเขาเมื่อวานนี้ เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าข้าต่างหากที่เป็นมือกระบี่ฝีมือล้ำเลิศอย่างแท้จริง?”
แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงฝึกเดินนิ่งหกก้าวอย่างตั้งใจพลางพยักหน้าตอบไปด้วย “รู้สิ แต่เจ้าฝึกหมัดไม่ได้เรื่องจริงๆ นี่นา อาจารย์ฉีบอกว่าแต่ละคนมีด้านที่เก่งไม่เหมือนกัน อาเหลียง เจ้าไม่ต้องรู้สึกว่าขายหน้าหรอก ค่อยๆ ฝึกไป ข้ารับปากว่าจะไม่ตำหนิเจ้าแล้ว”
อาเหลียงก้าวยาวๆ จากไป ปากก็ยังโวยวายเสียงดัง “ไม่ฝึกแล้วไอ้วิชาหมัดเนี่ย”
อาเหลียงพลันหมุนตัวกลับมา แล้วก็เห็นสายตาเจ้าเล่ห์น่ารักจากแม่นางน้อยเข้าพอดี
อาเหลียงเลยทำหน้าผีใส่นาง
แม่นางน้อยไม่สนใจเขา
มุมปากของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะตวัดโค้งขึ้น
อาเหลียงมองเด็กหนุ่มกับแม่นางน้อยฝึกออกหมัดกันอยู่ไกลๆ ก็รู้สึกอารมณ์ดี จึงคลี่ยิ้มเช่นกัน
ลมภูเขาพัดโชยอบอุ่น ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นทางทิศตะวันออก
—-
[1] คนขี้เกียจมักขี้เยี่ยวเยอะ คือ คนขี้เกียจไม่ชอบขยับตัว เหงื่อจึงไม่ออก เลยระบายออกมาทางอุจจาระและปัสสาวะแทน
[2] ดึงต้นกล้าให้โต เป็นการเปรียบเทียบกับการพยายามฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติ หรือการรีบร้อนเร่งให้งานใดๆ สำเร็จโดยใช้วิธีที่ผิดจนก่อให้เกิดผลเสียหายตามมา