บทที่ 12 ตรอกเล็ก
เด็กสาวชุดดำเดินลึกเข้าไปในตรอกเล็ก บางครั้งก็เห็นโคมไฟสีแดงสดที่ชาวบ้านนำมาแขวนไว้หน้าบ้านเพื่อแสดงถึงการเฉลิมฉลอง เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว เด็กสาว ผู้สวมหมวกปิดบังใบหน้าเรียกได้ว่าไม่ได้รับการปูพื้นฐานด้านความประณีตพิถีพิถันมาจากตระกูลเลย ยิ่งไม่ทิ้งร่องรอยหรือเบาะแสใดๆ ให้ใครตามหา นางบุกเข้ามาในเมืองเล็กเพียงลำพังเช่นนี้
ห่างออกไปไม่ไกลในตรอกมีเด็กหนุ่มสวมชุดแพรยืนอยู่ มือทั้งคู่ของเขาชู ตราประทับหยกสีเขียวขนาดเท่าฝ่ามือเด็กขึ้นสูง บนตราประทับสลักภาพมังกรและพยัคฆ์ เมื่ออยู่ภายใต้แสงแดดที่สาดส่องก็เป็นประกายราวกับมีชีวิต ด้านใน ตราประทับหยกยังจะพอมองเห็นเส้นแสงเปล่งประกายวูบวาบได้รำไร เด็กหนุ่ม ชุดแพรเงยหน้าขึ้นหรี่ตามองสมบัติล้ำค่าชิ้นที่อยู่ในมือด้วยสีหน้าหลงใหล
ข้างกายเขามีผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่กำลังนั่งคุกเข่าข้างเดียว ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดดินที่เปื้อนรองเท้าหุ้มข้อของเด็กหนุ่มอย่างตั้งใจ
อันที่จริงหางตาของเด็กหนุ่มชุดแพรเหลือบเห็นเด็กสาวท่าทางประหลาดที่สวมหมวกซึ่งมีผ้าบางๆ ปกคลุมใบหน้า ตรงเอวห้อยดาบยาวฝักสีเขียว ก้าวเดินด้วยฝีเท้า หนักแน่นมั่นคง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนของที่นี่นานแล้ว
เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มชุดแพรไม่สนใจแม้แต่น้อย เขายังคงพินิจตราประทับหยกเก่าแก่ที่ถูกเก็บรักษามานานนับพันปีชิ้นนั้นอย่างละเอียด ลึกๆ ในใจเขายังหวังให้ เด็กสาวคนนี้เกิดใจคิดอยากช่วงชิงมันไปจากมือเขาด้วยซ้ำ เพราะไม่อย่างนั้นก็คง น่าเบื่อเกินไปหน่อย
จะอย่างไรซะในมือเขาก็ได้ของสองอย่างมาครองแล้ว ผลเก็บเกี่ยวที่ได้มาเกินกว่าที่จินตนาการไว้ไปไกลโข หากยังไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ เขาก็คงได้แต่พาข้ารับใช้ชราไปจากที่นี่ สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว นี่ทำให้เขารู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง
ก็เหมือนกับตอนที่เขาสวมชุดคลุมงูใหญ่เก้าตัวสีทองอยู่ในบ้านที่ห่างจากเมืองเล็กแห่งนี้ไปหมื่นลี้ น่าเสียดายก็แต่เล็บของมันยังคงขาดไปหนึ่งเล็บ[1]
การมาเยือนเมืองเล็กแห่งนี้ ทุกคนที่ได้รับคัดเลือกสามารถพกของมาได้สามชิ้น
แบ่งออกเป็นถุงปักดิ้นเงินดิ้นทองหนึ่งถุงที่ก่อนหน้านี้มอบให้คนเฝ้าประตู ถือเป็นค่าผ่านทางที่จำเป็นต้องควักกระเป๋าจ่าย ไม่ว่าสถานะของคนเฝ้าประตูจะสูงหรือต่ำ ไม่ว่าประตูเมืองจะมีสภาพผุพังทุเรศลูกตาแค่ไหน ต่อให้เป็นจักรพรรดิผู้ครองแคว้น หรือบุรพาจารย์ของสำนักหนึ่งมาเองก็ยังจำเป็นต้องทำตามกฎนี้แต่โดยดี
ส่วนถุงปักดิ้นอีกสองถุงที่เหลือ ความหมายก็คือว่าสามารถนำสมบัติออกไปจากเมืองแห่งนี้ได้มากสุดแค่สองชิ้นเท่านั้น หาไม่แล้วไม่ว่าเจ้าจะรีดจะไถสมบัติได้สัก กี่สิบชิ้น กี่ร้อยชิ้น ก็ต้องเอากลับคืนไปทั้งหมดอยู่ดี
สิ่งของที่อยู่ในถุงคือเหรียญทองแดงสามชนิดที่มีรูปร่างเป็นเอกลักษณ์ แบ่งออกเป็นเงินยาเซิ่ง[2] ซึ่งพวกชาวบ้านมักจะนำมาใช้ในการเฉลิมฉลองหรือใน การลงเสาเอกบ้านใหม่ เงินอิ๋งชุน[3] ที่ทุกปีวังหลวงจะต้องนำมาแขวนไว้บน ยันต์ไม้ท้อ รวมไปถึงเงินก้งหย่างสำหรับเซ่นไหว้ ซึ่งใช้นำไปวางไว้บนฝ่ามือของ เทพเจ้าอภิบาลเมือง
แม้จะบอกว่าเป็นเหรียญทองแดง แต่แท้จริงแล้วกลับทำมาจากแก่นทองคำที่หายากมากเป็นพิเศษ สำหรับมนุษย์คนธรรมดาส่วนใหญ่ที่อยู่ ‘ล่างเขา’ แล้ว ขนาดเหรียญเงินของทางการก็ยังแทบจะไม่ค่อยได้เห็น แล้วนับประสาอะไรกับ ‘ทองคำ’ หนักอึ้งทั้งถุง แน่นอนว่ามากพอที่จะให้คนนำสมบัติสืบทอดของตระกูลออกมาขายด้วยความยินยอมพร้อมใจ
เด็กหนุ่มชุดแพรศึกษาเหรียญทองแดงสามชนิดที่ไม่เคยมีบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์มาตลอดทาง แต่ก็ยังไม่อาจพบคำตอบใดๆ
เบื้องหน้า เด็กสาวที่ทั่วร่างแผ่ปราณเยียบเย็นเดินตรงดิ่งเข้ามาราวกับไม่เห็น นายบ่าวสองคนในตรอกเล็กแห่งนี้อยู่ในสายตา
เด็กหนุ่มชุดแพรพลันเปลี่ยนใจ เก็บตราประทับหยกชิ้นนั้นลงไปในถุงผ้าใบหนึ่งที่เตรียมไว้นานแล้ว ก่อนจะผูกมันติดกับเอว แต่กลับยังยืนขวางอยู่กลางซอย ไม่มีทีท่าว่าจะหลีกทางให้อีกฝ่าย
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ผิวขาวนวลผู้นั้นก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน เขากระซิบให้เด็กหนุ่มฟังด้วยเสียงแหลมเล็กแผ่วเบา
“องค์ชาย คนผู้นี้คือผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าขั้นชำนาญแล้ว จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด หากอยู่นอกเมืองแห่งนี้ย่อมไม่ต้องสนใจ แต่เมื่ออยู่ที่นี่ ต่อให้เป็นกระหม่อมที่เดินอยู่บนเส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์เต็มตัว ก็ยังต้องคอยแบกรับกับการกดกำราบของโลก แห่งนี้อย่างยากลำบากอยู่ตลอดเวลา
หากโคจรลมปราณเต็มกำลัง ทวารทั้งหมดจะเปิดอ้า ดั่งกระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากเอ่อล้นเส้นชีพจรและทวาร เมื่อปล่อยไปแล้วก็ยากจะเก็บกลับคืนมาได้ ถึงเวลานั้นกระหม่อมตายยังเป็นเรื่องเล็ก แต่หากเกิดอันตรายกับองค์ชายย่อมเป็นเรื่องใหญ่
ถ้าการฝึกตนอันเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตขององค์ชายต้องเกิดข้อผิดพลาดเพราะกระหม่อมดูแลได้ไม่ดีพอ กลับไปแล้วกระหม่อมจะอธิบายให้ฝ่าบาทและเหนียงเนียง (娘娘เหนียงเนียงเป็นคำเรียกแทนราชินีหรือพระสนม) ฟังอย่างไร?”
เด็กหนุ่มเอ่ยเย้าอีกฝ่ายว่า “ท่านปู่อู๋ พอออกจากวังมา ท่านก็พูดเก่งขึ้นเยอะเลยนะ เมื่อก่อนตอนอยู่ในวัง ปีๆ หนึ่งท่านพูดซ้ำๆ อยู่แค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น ยังพูดไม่มากเท่าเจ้านกแก้วโง่ตัวนั้นที่พี่หญิงของข้าเลี้ยงไว้เลยด้วยซ้ำ”
ผู้เฒ่าที่เรียกแทนตัวเองว่า ‘กระหม่อม’ แผ่กลิ่นอายของความอ่อนน้อมจนแทบไม่เหลือศักดิ์ศรีของตัวเอง ซ้ำในใจยังภาคภูมิใจกับสิ่งนี้ แน่นอนว่าเขาคือขันทีของ วังหลวงผู้ซื่อสัตย์ภักดีเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าเจ้านายน้อยเหมือนจะฟังความนัยจากตนไม่เข้าใจ เขาจึงได้แต่พูดให้ตรงยิ่งกว่าเดิม “องค์ชาย คนที่อยู่ในตรอกผู้นี้อาจเป็นภัยคุกคามต่อท่านได้”
เด็กหนุ่มชุดแพรกล่าวด้วยรอยยิ้มเกียจคร้าน “แม้ข้าจะได้ยินมานานแล้วว่า บนเส้นทางของการฝึกตน สามลัทธิเก้าสำนักมีทั้งปลาและมังกรปะปนกัน ลัทธิมาร ชั่วร้ายมีมากมาย พวกนอกรีตก็ยิ่งมีมากกว่า แต่ข้ากับนางก็แค่คนไม่รู้จักที่พบกันโดยบังเอิญเท่านั้น นางแค่เห็นของมีค่าก็จะเกิดใจสังหารเพื่อหวังชิงสมบัติเลยหรือ? เป็นไปไม่ได้กระมัง? หากคน ‘บนเขา’ ทุกคนต่างก็เป็นเช่นนี้ ใต้หล้าไม่เกิดกลียุคไปนานแล้วหรือ?”
ผู้เฒ่าถอนหายใจ ราชวงศ์ล่างเขากับตระกูลเซียนบนเขา ภายนอกทั้งสองฝ่ายอาจดูเหมือนสนิทสนมกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วต่างฝ่ายต่างเกลียดขี้หน้ากัน และกัน
เด็กหนุ่มชุดแพรกล่าวอย่างหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย “ช่างเถอะๆ จะเอาบัญชีเก่าค้างปีมาคิดกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ออกจะใจแคบเกินไป ไม่ใช่สิ่งที่บุรุษ พึงกระทำ”
เด็กสาวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา มือซ้ายของนางกำที่ด้ามดาบ
เด็กหนุมชุดแพรคลี่ยิ้ม เบี่ยงตัวหลบ บอกเป็นนัยให้เด็กสาวเดินไปก่อน
เด็กสาวชุดดำเองก็ชะลอฝีเท้า เบี่ยงตัวเล็กน้อย สายตาเบื้องหลังผ้าคลุมหน้าเต็มไปด้วยแววระแวดระวัง
พอขันทีเฒ่าเห็นว่าเด็กสาวใช้ผ้าฝ้ายพันมือทั้งคู่ที่ได้รับบาดเจ็บก็อดขมวดคิ้วเป็นปมไม่ได้
“บังอาจ!”
ทันใดนั้นผู้เฒ่าก็ตวาดเดือดดาลเสียงดังดุจฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ เท้าทั้งคู่ของเขาไถลพรืดทีเดียวเรือนกายสูงใหญ่ก็มาบังอยู่เบื้องหน้าเด็กหนุ่มชุดแพร ผู้เฒ่าเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อยเป็นการผลักให้เด็กหนุ่มขยับเข้าไปติดผนังของตรอกเล็กอย่าง พอดิบพอดี ขณะเดียวกันก็กางนิ้วทั้งห้าของมือซ้ายออก
แล้วเสียงกระแทกหนักๆ ก็ดังมาจากฝ่ามือของเขา
ที่แท้ก็มีคนใช้ก้อนหินเป็นอาวุธลับขว้างมาใส่ด้านข้างศีรษะของเด็กหนุ่มชุดแพรนั่นเอง
พลังอำนาจนั้นน่าครั่นคร้าม และแรงที่ขว้างก็แทบจะพาให้ก้อนหินทะลุกำแพงไปได้
ผู้เฒ่าบีบก้อนหินในฝ่ามือแหลกละเอียด แต่กลับไม่ได้พุ่งไปฆ่ามือสังหารคนนั้น กลับกันคือกำหมัดขวาต่อยใส่เด็กสาวชุดดำแทน
เด็กสาวพกดาบลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะข่มกลั้นสัญชาตญาณที่เตรียมจะชักดาบออกจากฝักลงไป รีบเอียงศีรษะหลบหมัดที่ชกเข้าใส่ด้วยพละกำลังมหาศาล
ลมจากการเหวี่ยงหมัดรุนแรงพัดให้ผ้าคลุมบางๆ ที่เชื่อมติดกับหมวกของเด็กสาวปลิวกระจัดกระจาย
ผู้เฒ่าสูงใหญ่ตวัดข้อมือเปลี่ยนจากหมัดตรงเป็นแนวขวาง หมัดจึงกระแทกใส่ด้านข้างศีรษะของเด็กสาวพอดี
ท่าหมัดพลิกเปลี่ยนได้ตามใจต้องการ ไม่มีติดขัด
เด็กสาวทำได้เพียงยกแขนทั้งคู่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังมือของมือทั้งสองวางทับซ้อนกันเป็นรูปตัวอักษรสือ (十) เพื่อป้องกันใบหูและสกัดหมัดที่พุ่งมาด้านข้าง
นาทีถัดมาร่างทั้งร่างของเด็กสาวก็ไถลลื่นไปด้านข้างสิบกว่าก้าว
นางพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ ใช้มือข้างที่ฝ่ามือหงายอยู่ด้านนอกซึ่งมีเลือดสดซึมออกจากผ้าฝ้ายมากกว่าเดิมมาจัดหมวกบนศีรษะที่เอียงกะเท่เร่
นางเริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว
เด็กสาวหมุนตัวกลับมามองผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่กำลังกวาดตามองไปทั่วด้าน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “หากไม่ใช่ข้า คงมีคนตายกันไปบ้างแล้ว”
ผู้เฒ่าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ขันทีเฒ่าที่มีประสบการณ์พบเจอการลอบฆ่ามาอย่างโชกโชนได้ลดระดับความอันตรายของ เด็กสาวลงมาอยู่เป็นอันดับสองแล้ว ส่วนอันดับหนึ่งนั้นมอบให้กับคนที่ลงมือจาก อีกฝั่งของตรอกเมื่อครู่นี้
แน่นอนว่าในตรอกเล็กแห่งนี้ นอกจากนายบ่าวสองคนแล้ว ผู้ที่เป็นคนนอกจริงๆ ก็มีอยู่แค่สองคนเท่านั้น
อีกฝั่งหนึ่งของตรอกเล็กมีชายเรือนกายผอมสูงปิดบังใบหน้าผู้หนึ่งยืนอยู่ แม้ร่างจะผอมบาง แต่ท่อนแขนของเขากลับหนากำยำ กล้ามเนื้อที่ปูดนูนขึ้นมาราวกับ ลูกเหล็ก ตรงเอวของเขาแขวนถุงไว้สองใบ ในถุงบรรจุสิ่งของลักษณะกลมๆ ไว้ เต็มแน่น
เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมราวกับกำลังบอกว่า การลอบโจมตีก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่คำเตือนเท่านั้น
ตอนที่สายตาเย็นชาอำมหิตกวาดผ่านร่างของเด็กสาว ชายผู้นั้นก็แสยะมุมปาก แลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองด้วยสายตาหื่นกระหาย
เด็กสาวหัวเราะหึหึ เปล่งคำสองคำ “กลับมา!”
เพียงขาดคำ กระบี่ก็ตวัดผ่านลำคอคนผู้นั้นไป
กระบี่บินพุ่งมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กสาวแล้วล้อมวนไปรอบกายนางอย่างร่าเริงราวเด็กน้อยที่กำลังออดอ้อน
นางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ไสหัวไป!” กระบี่บินจึงบินวูบหายไป
สองนายบ่าวยืนอึ้งเป็นไก่ไม้
ขันทีเฒ่าไม่ได้ตกตะลึงกับเวทกระบี่บิน แต่บังเกิดความหวาดกลัวต่อการที่ เด็กสาวสามารถควบคุมกระบี่บินได้ดั่งใจปรารถนาทั้งๆ ที่อยู่ที่นี่
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกเหมือนกลับไปเมื่อตอนยังเป็นหนุ่ม ครั้งแรกที่เพิ่งเข้าวังด้วยความกล้าๆ กลัวๆ แล้วได้เห็นท่านผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่สวมชุดคลุมงูใหญ่ สีแดงผู้สูงส่งเกินเอื้อมเดินอยู่ใต้กำแพงวัง
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ยำเกรงในตัวของขันทีที่แม้แต่ชื่อเขาก็ยังไม่รู้ผู้นั้น แต่หวาดกลัวในสีแดงที่แสบจ้าบาดตาบนชุดของอีกฝ่าย
หลังจากที่สติกลับคืนมา เด็กหนุ่มชุดแพรก็คลี่ยิ้มที่เต็มไปด้วยความดูแคลนตัวเอง ก่อนจะเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เอ่ยถามด้วยความห่วงใย “ท่านปู่อู๋ ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ขันทีเฒ่าที่ผมทั้งศีรษะขาวโพลนสีหน้าหนักอึ้ง ส่ายหน้าตอบกลับว่า “ระวังไว้เป็นการดี หากไม่ไหวจริงๆ กระหม่อมก็จะ…”
เด็กหนุ่มรีบโบกมือปฏิเสธ ถามว่า “พวกเราควรเอ่ยขอโทษสักหน่อยดีไหม?”
ผู้เฒ่าเริ่มทำตัวไม่ถูก ทั้งเจ็บใจและรู้สึกผิด
นายอัปยศ บ่าวสมควรตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวของเชื้อพระวงศ์!
แต่เด็กหนุ่มชุดแพรเพียงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านปู่อู๋ ทำผิดแล้ว แค่พูดว่าขอโทษมันยากตรงไหน”
ผู้เฒ่ายังคงรู้สึกว่าการทำเช่นนั้นไม่เหมาะสม ทว่าเด็กหนุ่มชุดแพรกลับเดินไปหาเด็กสาวแล้ว
พริบตานั้นความรู้สึกมากมายของผู้เฒ่าก็ประเดประดังเข้ามาพร้อมกันหมด ที่แท้ด้านหลังของเด็กหนุ่มกลับไม่มีคราบเปื้อนแม้แต่นิดเดียว
………………..
[1] ชุดคลุมงูใหญ่คือชุดหม่างเพ่า 蟒袍 คำว่า หม่าง แปลว่า งูใหญ่ หรือ มังกรสี่เล็บ ผู้ที่สวมได้จะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์หรือข้าราชบริพารยศสูง ซึ่งต่างจาก ชุดคลุมมังกรของฮ่องเต้ที่เป็นมังกรห้าเล็บ
[2] 压胜钱 เงินยาเซิ่ง ความหมายคือเงินที่สยบความชั่วร้าย คว้าชัยชนะ คือเหรียญกษาปณ์ชนิดหนึ่ง บนเหรียญจะพิมพ์ถ้อยคำที่เป็นมงคลเอาไว้ ใช้พกติดตัว
[3] 迎春钱 อิ๋งชุนหมายถึงการต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ