Skip to content

Sword of Coming 13

บทที่ 13 พบเจอ

เด็กสาวสวมหมวกไม่ได้สนใจเด็กหนุ่มชุดแพรที่เดินเข้ามาหาตน สายตาของนางมองข้ามไหล่เด็กหนุ่มไปยังผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่เดินตามหลังมาอย่างเอาใจเจ้านาย นางกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เมื่อครู่นี้แค่พูดไม่ถูกหู เจ้าก็จะฆ่าคน แม้ว่าเจ้าจะมีเหตุผลเป็นของตัวเอง แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง”

เด็กหนุ่มชุดแพรหยุดห่างจากเด็กสาวผู้เย่อหยิ่งไปประมาณเจ็ดแปดก้าว เขากล่าวด้วยแววตาจริงใจ “ข้าชื่อเกาเจิ่น เป็นคนของเมืองอี้หยาง ต้าสุย หาก ท่านปู่อู๋ทำอะไรผิดไป ข้าก็ยินดีที่จะขอโทษและชดใช้ให้แม่นาง”

ผู้เฒ่าสูงใหญ่หยุดยืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มด้วยอารมณ์ซับซ้อน คำกล่าวว่า สกุลเกาจากเมืองอี้หยาง ต้าสุย อันที่จริงคือการบอกเป็นนัยเท่านั้น แคว้นต้าสุยสถานปนามาได้หนึ่งพันสองร้อยปี คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรล้วนแซ่เกาทั้งนั้น และจักรพรรดิผู้ก่อตั้งแว่นแคว้นก็เลือกตั้งเมืองที่อี้หยาง

เด็กสาวไม่สนใจเรื่องพวกนี้ นางยกมือทั้งคู่ขึ้นแล้วรัดผ้าพันแผลให้แน่นกระชับ ยังคงพูดกับผู้เฒ่าว่า “หากอยู่ข้างนอกแล้วเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ด้านการฝึกยุทธ์ที่อาจจะ ‘บังคับลมได้ตามใจปรารถนา’ ข้าย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้อยู่แล้ว แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ ขอแค่ข้าอาศัยกระบี่บินเล่มนั้น เจ้าก็ต้องตายสถานเดียว”

ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่หัวเราะหยัน “ขอแค่นักฆ่าคนนั้นรู้ท่าไม้ตายของเจ้าล่วงหน้า ด้วยร่างกายและพละกำลังที่เป็นดั่งปรมาจารย์น้อยของเขา แค่ป้องกันจุดสำคัญเอา ไว้ได้ ต่อให้เจ้าจะแทงเขาสักสิบทีแล้วจะอย่างไร? ขนาดเขายังเป็นแบบนี้ นั่นก็ยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงข้าที่เหนือกว่าเขาสองระดับ ทั้งข้ายังถูกมองว่าเป็นปราการกั้นวิถีการ ฝึกยุทธ์สำหรับผู้อื่น แม่นางน้อย ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงได้กล้าพูดคำว่า ‘ต้องตายสถานเดียว’ ออกมา”

เด็กสาวขมวดคิ้ว มือข้างหนึ่งเอื้อมไปคว้าด้ามดาบไว้อย่างเงียบเชียบ “ข้าเป็นคนที่ไม่ชอบความวุ่นวายมากที่สุด แล้วก็ยิ่งเกลียดการทะเลาะกับคนอื่น ไม่งั้นพวกเรามาลองดูกันหน่อยเป็นไงว่าใครพูดจริงพูดเท็จ? ใครชนะ คนนั้นก็คือฝ่ายถูก ดีไหมล่ะ?”

ผู้เฒ่าที่น้อยครั้งจะถูกคนคุกคามเริ่มเดือดดาลขึ้นมาบ้างแล้ว หากไม่เป็นเพราะต้องมาอยู่ในสถานที่ประหลาดที่เทพรังเกียจภูตเดียดฉันท์แห่งนี้ สาวน้อยที่มีตบะเพียงเท่านี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีพรสวรรค์สูงส่งแค่ไหน ผู้เฒ่าใช้มือเดียวก็สามารถบดขยี้คร่าชีวิตนางได้เป็นสิบๆ คน

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ หากไม่เป็นเพราะมีภารกิจสำคัญติดตัว จำเป็นต้องดูแลองค์ชายหนุ่มผู้เป็นความหวังของแคว้นต้าสุย ต่อให้จะต้องถูกมหามรรคาซึ่งสามารถโคจรได้ด้วยตัวเองของที่แห่งนี้กำราบจนบาดเจ็บสาหัส ผู้เฒ่าก็จะต้องสั่งสอนเด็กสาวที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นี้สักครั้งให้จงได้

ลูกวัวเพิ่งเกิดไม่กลัวเสือก็มีแค่ความกล้าหาญที่น่านับถือเท่านั้น เพราะนี่ไม่ได้หมายความว่าเสือร้ายจะไม่เขมือบกินลูกวัวจนไม่เหลือซาก

เด็กหนุ่มชุดแพรที่ชื่อเกาเจิ่นรีบไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “หากแม่นางจะเอาเรื่องให้ได้ ข้าก็ยินดีมอบของสิ่งนี้ให้เป็นการชดเชย”

เกาเจิ่นก้มหน้าคลายเชือกถุงผ้าที่ผูกไว้ตรงเอวแล้วหยิบตราประทับหยกชิ้นนั้นออกมาประคองด้วยมือเดียว ยื่นมันไปทางเด็กสาวสวมหมวกที่ยืนห่างออกไป

“เพื่อแสดงความจริงใจ ขอเพียงแม่นางไม่เอาผิดที่ก่อนหน้านี้ท่านปู่อู๋ได้ล่วงเกินเจ้าโดยไม่ตั้งใจ จะอย่างไรซะเขาก็ทำไปด้วยความจงรักภักดี หาใช่มีใจอยากทำร้ายเจ้าไม่”

ขันทีเฒ่าร่างสูงใหญ่ที่แม้แต่ขนคิ้วก็ยังขาวโพลนพลันเกิดความหวาดกลัว รีบคุกเข่าลงไปข้างหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างกระวนกระวายว่า

“ไม่ได้เด็ดขาดนะพะยะค่ะองค์ชาย! บ่าวเฒ่าอย่างข้าเป็นเพียงสิ่งสกปรกด้อยค่า แต่ตราประทับหยกชิ้นนี้องค์ชายได้มาเพราะโชควาสนา คือสมบัติบริสุทธิ์ที่หาได้ ยากยิ่ง ทั้งยังสามารถรับควันธูปบูชาจากชาวบ้าน ระหว่างข้ากับมันจะนำมาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร องค์ชายทำเช่นนี้เท่ากับบีบให้บ่าวเฒ่าตายทั้งเป็น นะพะยะค่ะ!”

สีหน้าของเด็กหนุ่มแซ่เกาผู้มีสถานะเป็นเชื้อพระวงศ์แข็งทื่อ

ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะเริ่มไม่สบอารมณ์ นางกล่าวหยันกลั้วเสียงหัวเราะ “กบในกะลาของถิ่นกันดารมักจะชอบคิดว่ากรวดในมือตัวเองล้ำค่าเสมอ เก็บตราประทับหยกนั่นกลับไปเถอะ ข้าชื่นชอบประโยคหนึ่งมาโดยตลอด นั่นคือ วิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของผู้อื่น”

กล่าวจบเด็กสาวก็หมุนกายจากไปอย่างไม่ใยดี

เด็กหนุ่มชุดแพรรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

“ลุกขึ้นเถอะ ท่านปู่อู๋ นั่งคุกเข่าอยู่อย่างนี้ไม่น่ามองเลย แต่ไหนแต่ไรมาสิบสองขันทีใหญ่ของต้าสุยก็คุกเข่าให้แค่องค์จักรพรรดิเท่านั้น หากเรื่องนี้ขุนนางแหยนกวาน[1] ของหกฝ่ายรู้เข้า หรือคนของกรมพิธีการมาเห็นแล้วเอาไปพูด พวกเราสองคน ก็ซวยแน่

การเดินทางมาเมืองเล็กครั้งนี้ ข้าได้รับการปกป้องจากบรรพชนเป็นอย่างดี จึงทำภารกิจสำเร็จเป็นที่น่าพึงพอใจ พวกเราอย่าสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็นจะดีกว่า รีบออกไปจากที่นี่เถอะ และเมื่อเจอกับคนของเราที่รอรับอยู่ข้างนอกแล้วก็ยังประมาทไม่ได้

ต้องรู้ว่าในบรรดาหกแคว้นหลักของราชวงศ์ต้าหลี แม้ตระกูลหยวนและเฉาจะเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ทว่าที่ไม่บังเอิญเลยก็คือ เสาหลักสำคัญของต้าหลีสองต้นนี้ดันเป็นศัตรูคู่แค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับสกุลเกาของต้าสุยเรา หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับท่านปู่อู๋ที่นี่จนพลังการต่อสู้ของท่านถดถอย ก็ยากที่ข้าจะกลับไปถึงต้าสุยได้อย่างปลอดภัย”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ “บ่าวเฒ่ารู้หนักเบา รู้ว่าอะไรควรช้าควรรีบ”

ตอนที่ผู้เฒ่าพูดคำว่า ‘รีบ’ เด็กสาวสวมหมวกก็เดินห่างไปได้ยี่สิบกว่าก้าวแล้ว

ทันใดนั้นข้างกายของเด็กหนุ่มก็มีลมเย็นวูบหนึ่งพัดผ่านไป ทำเอาเส้นผม ตรงจอนหูและชายอาภรณ์ของเขาปลิวสะบัดตามไปด้วย

ที่แท้ผู้เฒ่าที่มีอำนาจเลื่องลือของต้าสุยซึ่งอยู่ข้างกายเขาไม่เคยมีความคิดที่จะปล่อยเด็กสาวไป และเวลานี้เขาก็ได้กระโจนออกไปแล้ว เมื่อสามก้าวแรกของเขาเหยียบกระแทกลงบนพื้นดินของตรอกเล็ก เสียงทุ้มหนักก็ดังอึงอลแทรกซอนเข้าไปลึกใต้ดินถึงหนึ่งจั้งกว่า พอก้าวที่สี่ ผู้เฒ่าก็กระโดดผลุงขึ้นสูงแล้วปล่อยหมัดกระแทกเข้าไปที่หัวใจด้านหลังของเด็กสาวแล้ว

เด็กสาวสวมหมวกพลันบิดเอว ใช้ปลายเท้าข้างซ้ายพยุงตัว มือขวาชักดาบออกจากฝัก แสงสีขาวยวงที่เจิดจ้ายิ่งกว่าแสงแดดพลันสาดส่องไปทั่วตรอกเล็ก

ผู้เฒ่าสูงใหญ่กระโจนเข้ามาสังหารจากมุมสูง หมัดของเขากระแทกลงบนคมดาบโดยตรง ทว่าคมดาบที่ส่องแสงแวววับกลับแค่เฉือนรอยเลือดเส้นหนึ่งไว้บนหลังมือของเขาเท่านั้น

หลังจากที่เท้าทั้งคู่ของขันทีเฒ่ากระแทกลงบนพื้น เขาก็กระโจนไปข้างหน้าต่อ ผลักให้เด็กสาวที่ถือดาบกระเด็นถอยร่นไปด้านหลัง จากนั้นผู้เฒ่าก็ซัดฝ่ามือออกมาด้วยท่าทางที่มองดูเหมือนเชื่องช้าเรียบง่าย แต่อันที่จริงฝ่ามือนี้กลับตบตรงเข้าไปยังหน้าผากของเด็กสาวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ

ผู้เฒ่าเตรียมจะเพิ่มพลังลงไปเพื่อตบศีรษะที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกผ้าคลุมให้ แตกละเอียดในทีเดียว แต่แล้วเขากลับต้องรีบเคลื่อนฝ่าเท้า ขยับร่างเบี่ยงข้างออกไปหนึ่งฉื่อ เสียงสวบดังหนึ่งครั้ง ก้มหน้าลงมองจึงเห็นว่ามีอาวุธแหลมคมชิ้นหนึ่งแทงทะลุจากด้านหลังมายังหน้าอกฝั่งขวาของตน อาวุธที่ว่านั้นก็คือปลายกระบี่

ผู้เฒ่าหน้าไม่เปลี่ยนสี ใช้ปลายนิ้วทั้งคู่รวบปลายกระบี่แล้วผลักไปด้านหลัง

ผลักกระบี่บินแหลมคมที่เด็กสาวควบคุมได้ตามใจปรารถนาให้พ้นออกไปจากหน้าอกตัวเองทั้งอย่างนั้น

เพราะถูกกระบี่บินขัดจังหวะ ขันทีเฒ่าไม่เพียงแต่ไม่สามารถตบศีรษะของ เด็กสาวให้แหลกได้ด้วยฝ่ามือเดียว เด็กสาวที่ร่างปลิวกระเด็นไปตกกระแทกลงกลางตรอกยังฉวยจังหวะนี้ลุกขึ้นแล้วผลุบหายเข้าไปทางซอยเล็กที่แยกออกไปอย่างรวดเร็วราวแมวป่า

สีหน้าของเด็กหนุ่มมืดทะมึนจนน่ากลัว มือทั้งคู่กำหมัดแน่น เขาแผดเสียงคำรามเดือดดาลด้วยพลังอำนาจที่น่าครั่นคร้าม “ขันทีควบคุมกองม้า ขันทีอู๋ อู๋เยว่! เหตุใดเจ้าถึงยังดื้อดึงถือทิฐิ ไม่ยอมฟังคำบอกเป็นนัยจากข้า เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเมื่ออยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้ขันทีอู๋อย่างเจ้าจะเก่งกาจไร้เทียมทานที่สุด? ทั้งๆ ที่พวกเราเป็นฝ่าย ทำผิดก่อน หลังจบเรื่องนางเองก็ไม่ได้ทำให้เราต้องลำบากใจ เห็นได้ชัดว่าอยากให้เรื่องจบลงแต่โดยดี แล้วเหตุใดเจ้าถึงยังเหี้ยมโหดถึงเพียงนี้ เจ้ารังแกคนอื่นมาก เกินไปแล้ว!”

ขันทีเฒ่าถอนสายตากลับมาจากทิศทางของซอยเล็กที่เด็กสาวหนีไป แล้วจึงหมุนตัวเดินกลับมาหลังตรงแน่ว พลังอำนาจและบารมียิ่งดูน่าเกรงขาม ฝีเท้าของผู้เฒ่าที่เดินกลับมาทีละก้าวอย่างเชื่องช้าประหนึ่งเหยียบหนักๆ ลงบนส่วนลึกของหัวใจ

เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่ทำให้คนหายใจไม่ออกของอีกฝ่าย การถูกขี้ข้า คนหนึ่งบีบคั้นทำให้ไฟโทสะยิ่งอัดแน่นสุมเต็มอก เขาถลึงตาดุดัน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว “ขันทีอู๋ควบคุมกองม้า สิ่งที่เจ้าทำลงไปมีโทษถึงตาย!”

ขันทีเฒ่าตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “องค์ชาย จะโทษตายหรือโทษเป็นล้วนต้องให้ฝ่าบาทตัดสินด้วยตัวเอง ในสายตาของกระหม่อม ความปลอดภัยขององค์ชาย มีน้ำหนักยิ่งกว่าขุนเขา คือสิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรก และตามความเห็นของกระหม่อม เด็กสาวที่อยู่ในเมืองนี้คือตัวอันตรายดุจไฟไหม้ขนคิ้ว ดังนั้นหากจะให้ ทุกเรื่องสมดังใจปรารถนาจริงๆ ก็มีแต่ต้องลงมือสังหารนางเท่านั้น เมื่อนางตายไป กระหม่อมถึงจะวางใจได้”

มองเห็นไฟโทสะเดือดพล่านที่แทบจะพ่นปะทุออกมาจากดวงตาของเด็กหนุ่ม ขันทีเฒ่าก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “เป็นข้ารับใช้ในวังหลวงมา หกสิบกว่าปี กระหม่อมได้เห็นกลอุบาย เห็นการแก่งแย่งชิงดี เห็นคาวเลือดมามากมายจนนับครั้งไม่ถ้วน สำหรับใจคน กระหม่อมไม่มีความเชื่อใจเลยแม้แต่นิดเดียว ลำพังเพียงแค่การลอบฆ่าที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางครั้งนี้ จะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ กระหม่อมก็ต้องลงมือจัดการเองไปไม่ต่ำกว่าสามสิบครั้งแล้ว องค์ชาย ความอำมหิตปลิ้นปล้อนของนักฆ่าพวกนั้นอยู่เหนือการคาดคิดของท่านไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะพวกเดนตายเสียสติไร้เหตุผลอย่างนักฆ่าปิดใบหน้าและเด็กสาวที่สวมหมวกเมื่อครู่นี้…”

เด็กหนุ่มชุดแพรยกนิ้วชี้หน้า เอ่ยตำหนิขันทีเฒ่าที่สีหน้าเย็นชาอย่างเกรี้ยวกราด

“หุบปาก! เจ้าเฒ่าถูกตอน! ข้าไม่อยากฟังเจ้าพูดเหลวไหลอีก! ข้าแค่แน่ใจว่า เจ้าทำลายโอกาสที่ข้าจะดึงคนมาเป็นพวก เจ้ามันมีตาแต่ไม่มีแวว ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่า เด็กสาวที่สามารถควบคุมกระบี่บินได้คนนั้นมีพรสวรรค์และความสามารถน่าตะลึงมากแค่ไหน! ต่อให้เอาไปเทียบกับบรรดาผู้ฝึกตนบนภูเขา นางก็ยังเป็นอัจฉริยะที่ โดดเด่นที่สุด!

คนแบบนี้อย่าว่าแต่ต้าสุยหรือต้าหลีเลย ต่อให้เป็นตลอดทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีป นางก็ยังถือเป็นบุคคลที่หาได้ยากพอๆ กับขนหงส์เขากิเลน!

ข้าแค่ต้องฝึกฝนนางสิบปี มากสุดยี่สิบปี นางก็สามารถกลายเป็นเงาของข้า กลายมาเป็นนักฆ่าที่ร้ายกาจที่สุดได้! ต่อให้เทพเซียนพสุธาอย่างเจ้าจะเป็นปรมาจารย์ด้านวรยุทธ์ ก็ไม่มีทางเทียบนางได้! แต่ผลกลับเป็นยังไง? ข้าคือเกาเจิ่น องค์รัชทายาทในอนาคตของราชวงศ์ต้าสุย! คือเจ้านายของขันทีเฒ่าที่ถูกตอนอย่างเจ้า!”

แปลกมากที่ขุนนางชราผู้ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนไม่เพียงแต่ไม่โมโหเพราะคำว่า ‘ขันทีถูกตอน’ ที่อีกฝ่ายย้ำคำแล้วคำเล่า สีหน้าของเขากลับฉายแวว ชื่นชมด้วยซ้ำ

รอจนเด็กหนุ่มระบายอารมณ์จบและหยุดแผดเสียงด่าแล้ว ผู้เฒ่ามองเด็กหนุ่มที่กำลังหอบหายใจแรงก็ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “องค์ชาย แม้ว่าท่านจะไม่รู้ความเจ้าเล่ห์และอันตรายของใจคนเพราะไม่เคยมีประสบการณ์กับตัวเองมาก่อน แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่องค์ชายทำได้ดีมาก มีลักษณะเช่นเดียวกับที่ฝ่าบาทเคยมีในอดีต”

บรรยากาศเปลี่ยนมาเป็นกระอักกระอ่วน

หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้ เกาเจิ่นคงจะรู้ว่าตัวเองทำผิดมหันต์ ในขณะที่ยังไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทอย่างแท้จริง การที่ไม่ให้ความเคารพต่อผู้เฒ่าซึ่งเป็นขันทีผู้ครอบครองตราประทับควบคุมกองม้า ควบตำแหน่งหนึ่งในสามคนเฝ้าหน้าประตูของวังหลวง

อีกทั้งประเด็นสำคัญก็คือคนผู้นี้ยังได้รับความไว้วางใจจากเสด็จพ่อเสด็จแม่อย่างยิ่ง องค์ชายเกาเจิ่นจึงเผยอปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับเห็นว่าขันทีผู้มีอำนาจที่ถูกตนด่าว่าเฒ่าถูกตอนกำลังส่งยิ้มมาให้

“องค์ชาย โปรดจำข้อหนึ่งเอาไว้ อย่าขอโทษข้ารับใช้ง่ายๆ ไม่มีความจำเป็น ซ้ำยังจะเป็นการเหยียบย่ำตัวตนของตัวเองเปล่าๆ และก็ใช่ว่าข้ารับใช้จะรับน้ำใจ ต่อให้รู้สึกผิดหรือละอายก็ควรฝังกลบไว้ในส่วนลึกของหัวใจ ควรต้องรู้ไว้ว่า องค์จักรพรรดิที่จะถูกคนเรียกขานว่ามังกรบนโลกมนุษย์ได้นั้น ต้องเป็นโอรสสวรรค์ ผู้มีปากประกาศิต…”

เกาเจิ่นกล่าว “ท่านปู่อู๋ ด้วยสถานะของข้าในตอนนี้ พูดเรื่องนี้ยังถือว่าเร็วเกินไป”

ร่างของขันทีเฒ่าพลันเครียดเกร็งเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ รีบดึงเด็กหนุ่ม ชุดแพรไปอยู่ข้างหลังตน ผู้เฒ่ามองไปยังจุดที่ศพของนักฆ่าปิดบังใบหน้านอนอยู่

ปัญญาชนขงจื๊อวัยกลางคนเรือนกายเพรียวบางมาโผล่อยู่ตรงสุดปลายทางของตรอกเล็กแห่งนี้และกำลังก้าวเดินมาใกล้ศพของนักฆ่าคนนั้นช้าๆ พอนั่งยองลงไปก็ปลดผ้าคลุมหน้าอีกฝ่ายออก เห็นเพียงใบหน้าประหลาดที่ไม่มีขนคิ้ว จมูกถูกตัด บนใบหน้าสักตัวอักษรเอาไว้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ คนผู้นี้ต้องเคยเป็นนักโทษประหารมาก่อน

ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อเงียบงัน นี่คือแผนการที่วางไว้ล่วงหน้าจริงดังคาด และเกรงว่าแผนการนี้คงเริ่มต้นตั้งแต่ที่ศาลเจ้าบุ๋นแล้ว

ดวงตาของเกาเจิ่นฉายประกายร้อนแรง เขาเดินออกมาจากด้านหลังขันทีเฒ่า กุมมือคารวะโค้งตัวลงต่ำ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องทำความเคารพอีกฝ่ายก่อนค่อยว่ากัน แล้วเสร็จถึงได้เงยหน้าขึ้น ถามอย่างนอบน้อมว่า “ไม่ทราบว่าคืออาจารย์ฉีของ สำนักศึกษาซานหยาใช่หรือไม่?”

ปัญญาชนสำนักขงจื้อลุกขึ้นยืน พูดกับเกาเจิ่นว่า “หากไม่เป็นเพราะก่อนหน้านี้เจ้าได้ครอบครองโชควาสนาครั้งใหญ่ไปแล้ว วันนี้พวกเจ้าสองคนไม่มีทางไปจากที่นี่ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้แน่”

คนต่างถิ่นเข้ามาเข่นฆ่ากันเองในเมือง ตามกฎแรกเริ่มสุดที่อริยะสี่ท่านตั้งไว้ การลงโทษไม่รุนแรงนัก แต่ก็ไม่ถือว่าเบาเช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบกับการเข่นฆ่ากันเองของคนธรรมดาทั่วไปที่ต้องถูกเนรเทศแล้ว การต่อสู้ระหว่างคนนอกนั้นมี ‘ช่องโหว่’ ที่เห็นได้ชัดอยู่อย่างหนึ่งซึ่งทำให้คนสามารถล้อมคอกเมื่อวัวหาย

สาเหตุที่คนสามกลุ่มซึ่งมีกลุ่มของเกาเจิ่นเป็นหนึ่งในนั้นสามารถพา ‘ข้ารับใช้’ ติดตามมาด้วยคนหนึ่ง ก็คือการเตรียมความพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เพื่อให้มีแพะรับบาปในช่วงเวลาที่สำคัญ

แต่เพียงแค่เพิ่มรายชื่อหนึ่งกลับต้องเผาผลาญทรัพย์สินถึงครึ่งของท้องพระคลังเชื้อพระวงศ์สกุลเกาแห่งต้าสุย ถึงจะกล่าวว่าเป็นเงินส่วนพระองค์ของจักรพรรดิแห่งแคว้นที่ยิ่งใหญ่ พอจะจินตนาการได้ว่าจำนวนทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลย่อม มากมหาศาล แต่ใครเล่าจะยอมเสียเงินเปล่าโดยใช่เหตุ?

อันที่จริงหากจะพูดภาษาบ้านๆ หน่อย นี่ก็คือการเสียเงินฟาดเคราะห์นั่นเอง

เพียงแต่ว่าการใช้จ่ายของที่นี่ ใช้คำว่ายกภูเขาเงินภูเขาทองทั้งลูกมาบรรยายก็ไม่เกินจริงไปแม้แต่น้อย เมื่อเอาคำว่าวางเดิมพันทีเดียวเป็นเงินพันตำลึงที่ชาวบ้าน ร้านตลาดชอบพูดกันมาเปรียบเทียบด้วย ก็เป็นแค่เรื่องเด็กเล่นเท่านั้น

เกาเจิ่นที่ถูกไล่ยังคงพูดต่อไปว่า “อาจารย์ฉี วันหน้าหากมีโอกาสช่วยไปสอนที่โรงเรียนของต้าสุยได้หรือไม่? ต้าสุยของข้ายินดีมอบตำแหน่ง ‘ราชครู’ ให้แก่ท่าน!”

ขันทีเฒ่าครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามการกระทำที่เกินสถานะของเด็กหนุ่ม

หากสามารถโน้มน้าวใจปัญญาชนคนนี้ได้จริง วันหน้าเมื่อมีเขาช่วยวางแผนให้แก่สกุลเกาของต้าสุย จักรพรรดิต้าสุยต้องปิติยินดีเป็นแน่แท้

ปัญญาชนสำนักขงจื้อเพียงคลี่ยิ้ม แต่ไม่ตอบรับ

เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กสาวสวมหมวกซึ่งพบกันโดยบังเอิญ ขันทีเฒ่าเต็มไปด้วยใจสังหารอันเฉียบขาด ลงมือเหี้ยมอำมหิต ทว่าบัดนี้เมื่อเผชิญหน้ากับอาจารย์ฉีแห่งสำนักศึกษาซานหยาผู้เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ดุจเสาค้ำทะเลตงไห่ ขันทีเฒ่ากลับมีท่าทีที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

เขาก้มหน้ากุมมือคารวะ “อาจารย์ฉี รบกวนมามาก หวังว่าท่านจะให้อภัย เมื่อครู่ที่ลงมือกับเด็กคนนั้น เป็นการกระทำด้วยความจนใจ หวังว่าท่านจะเห็นใจในความลำบากใจของข้าผู้เป็นข้ารับใช้ตระกูลเกา”

ฉีจิ้งชุนสะบัดปลายแขนเสื้อ “รีบไปซะ”

เกาเจิ่นและขันทีเฒ่าจึงได้แต่บอกลาจากไป และทางที่คนทั้งสองเลือกใช้ก็เป็นเส้นทางเดียวกับที่เด็กสาวสวมหมวกคลุมหน้าหลบหนีไปพอดี

เด็กหนุ่มเอ่ยถามเบาๆ ว่า “นางตายแล้วเหรอ?”

ขันทีเฒ่าส่ายหน้า “คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแน่ กระบี่บินก็ได้แค่ช่วยให้นางมีชีวิตอยู่ต่ออีกครู่เดียวเท่านั้น ไม่อาจแก้ไขอะไรได้”

เด็กหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถามด้วยความใคร่รู้ “ท่านปู่อู๋มองออกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่า แท้จริงแล้วการควบคุมกระบี่บินของนางไม่ได้ผ่อนคลายดั่งใจปรารถนาอย่างเช่นที่นางแสดงออก?”

ผู้เฒ่าตอบ “ทุกเรื่องมีขอบเขต หากทำเลยเถิดย่อมไปไม่ถึงไหน ความฉลาดเกินวัยเผยพิรุธของตัวนางเอง”

เด็กหนุ่มอึ้งไปด้วยความไม่เข้าใจ

ขันทีเฒ่าพาเด็กหนุ่มเดินเลี้ยวออกจากตรอกเดิมพลางเอ่ยเบาๆ ว่า “กระหม่อมขอถามองค์ชายหนึ่งคำถาม เมื่อองค์ชายได้เห็นสมบัติที่ราคาแพงและหรูหราที่สุดในโลกมาแล้ว ยังจะยังสนใจเครื่องปั้นดินเผาธรรมดาของเมืองเล็กอยู่อีกไหม?”

เด็กหนุ่มตบถุงที่อยู่ตรงเอวตัวเอง เอ่ยกลั้วยิ้มว่า “แน่นอนว่าไม่ มีเพียง ตราประทับหยกชิ้นนี้หรือของเล่นที่มีมาตรฐานพอๆ กับมันเท่านั้นถึงจะทำให้ข้า ชื่นชอบได้”

ขันทีเฒ่าพยักหน้ารับ “หลักการเดียวกันนี่แหละ ตอนที่เด็กสาวบังคับกระบี่ให้ฆ่าคน หัวใจนางดุจน้ำนิ่งที่สงบและมั่นคงอย่างถึงที่สุด การคุมกระบี่ของนางเหมือนกับ… การกินดื่มขับถ่ายของมนุษย์ทั่วไป อีกทั้งหลังเกิดเรื่อง เมื่อนางรู้ตบะและวรยุทธ์ที่แท้จริงของกระหม่อมก็ได้ล้มเลิกความคิดที่จะต่อสู้อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางกลัวว่ากระหม่อมจะมองออกว่านางแข็งนอกอ่อนในจึงจงใจเป็นฝ่ายท้าทาย พวกเราก่อน

จุดประสงค์ที่แท้จริงของนางก็เพื่อหาทางลงให้กับทั้งสองฝ่าย ด้วยกลัวว่ากระหม่อมจะมีใจสังหาร ยอมฆ่าผิดตัวดีกว่าปล่อยผิดตัว คิดจะกำจัดนางแบบ ถอนรากถอนโคน ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องเป็นฝ่ายทำลายสถานการณ์เสียเอง แน่นอนว่าเรื่องจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านางทำได้ไม่ดีนัก

แต่จะว่าไปแล้ว อายุเพียงเท่านี้กลับมีอุบายถึงขนาดนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาแล้ว และยิ่งนางเป็นเช่นนี้ หากปล่อยเสือกลับภู ปล่อยให้ต้นกล้าเติบโต วันหน้านางย่อมเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงสำหรับองค์ชาย”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างทอดอาลัย

“เด็กหนุ่มเด็กสาวกำลังเป็นวัยที่มีจิตใจเร่าร้อนฮึกเหิม หากเลือดร้อนฆ่าคน หรือพาตัวเองกระโจนเข้าสู่ความตาย อันที่จริงกระหม่อมก็ไม่แปลกใจ แต่พอมาลองใคร่ครวญดูแล้ว การที่ใครสักคนจะยอมตายง่ายๆ หรือฆ่าคนได้โดยไม่รู้สึกรู้สา กลับเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมาก ถึงขั้นพูดได้ว่า นี่ต้องเป็นนิสัยที่ถูกขัดเกลา มาเท่านั้น ซึ่งมันไม่เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์ว่าสูงหรือต่ำ ไม่เกี่ยวข้องว่ามีแก่นแท้ ดีหรือเลว

ไม่ว่าจะเป็นนักพรตหรือผู้ฝึกยุทธ์ หรือแม้แต่ผู้มากพรสวรรค์ที่มักจะตายไปก่อนวัยอันควร ส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนเป็นเพราะมีข้อเสียที่เด่นชัดมากเกินไป พอเจอกับอุปสรรคก็ง่ายที่จะทำพัง”

เกาเจิ่นทอดถอนใจ “ไม่ว่าอย่างไร ก็น่าเสียดายจริงๆ”

ขันทีเฒ่ากล่าวทีเล่นทีจริงกลั้วเสียงหัวเราะ “องค์ชาย หากจะต้องถอนหายใจให้กับการตายของคนแบบนี้ไปเสียทุกครั้ง ถ้าเช่นนั้นรอให้วันหน้าองค์ชายขึ้นไปยืนบนยอดเขาสูงสุดจริงๆ คงจะยุ่งวุ่นวายน่าดู”

เด็กหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เชื่อหรอก”

จู่ๆ ขันทีเฒ่าก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ กระหม่อมรู้สึกว่าตบะของท่านฉีผู้นั้นเหมือนจะเกิดปัญหาไม่ใช่น้อยๆ”

องค์ชายต้าสุยกล่าวด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจ “จะอย่างไรซะขอแค่ได้ตราประทับ ‘ประตูมังกร’ ชิ้นนี้มาก็ถือว่าสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่แล้ว คิดไม่ถึงว่าตราประทับวิเศษที่มีค่าควรเมืองชิ้นนี้จะ ‘กลาย’ มาเป็นเพียงของแถมสำหรับการซื้อขายครั้งใหญ่เท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อได้ดีแล้วเราก็ควรหยุด พอพูดถึงปลาหลีสีทองตัวนั้น ข้าก็อดนึกถึงเจ้าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะคนนั้นไม่ได้…”

ขันทีเฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “องค์ชายอยากจะหาโอกาสตอบแทนเด็กหนุ่มคนนั้นหรือ?”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า “ใครบอกล่ะ ข้าเสียดายเหรียญทองแดงในถุงนั้นต่างหาก”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด

ไม่แน่ว่าในอนาคตต้าสุยอาจจะมีจักรพรรดิที่ประหยัดมัธยัสถ์คนหนึ่งกระมัง?

ตรอกเล็กเงียบสงบที่ทอดยาวจากทิศใต้ไปยังทิศเหนือมีเพียงเสียงล้อบดกับพื้นถนน

นักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัวที่วันนี้เลิกงานตั้งแต่หัววันกำลังผลักรถเข็นให้เคลื่อนไปข้างหน้า คิดอยู่ว่าเมื่อกลับไปถึงที่พักแล้วจะรีบเก็บข้าวของหวนกลับไปยังที่ที่จากมา สถานที่เละเทะแห่งนี้ ใครเข้ามามีเอี่ยวด้วยต้องซวยทุกรายไป

มีคนชุดดำเรือนกายสะโอดสะองค์คนหนึ่งพลันเดินโซซัดโซเซออกมาจากทางแยกของตรอกเล็กที่ทอดยาวจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก สุดท้ายเอาหลัง พิงกำแพง ค่อยๆ ขยับเคลื่อนหน้ามาช้าๆ มือหนึ่งลอดผ้าคลุมหน้าบางๆ เข้าไป อุดปากตัวเองเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งชี้ไปที่นักพรตหนุ่ม

นักพรตหนุ่มรีบก้มหน้าลงต่ำพลางพึมพำกับตัวเองว่า “มองไม่เห็นข้า…มองไม่เห็นข้า…ขออัญเชิญไท่ซ่างเหล่าจวิน…ไม่เอาดีกว่า ขอพระพุทธองค์ทรงคุ้มครอง พระโพธิสัตว์โปรดสำแดงอิทธิฤทธิ์…”

เป็นนักพรตลัทธิเต๋าคนหนึ่ง พอเจอเหตุคับขันเข้าจริงๆ ดันไม่ขอความช่วยเหลือจากเทพตรีวิสุทธิ์ แต่กลับมาขอให้พระโพธิสัตว์ช่วยเหลือ ช่างไม่เข้าท่าเอาซะเลย

แล้วก็จริงดังคาด ดูเหมือนว่าพระโพธิสัตว์เองก็ไม่อยากจะสนใจลูกศิษย์ของสำนักอื่น เด็กสาวสวมหมวกคนนั้นที่ไม่รู้ว่าเอาพละกำลังเฮือกสุดท้ายมาจากไหนถึงได้เดินตัวเอียงดิ่งเข้าหานักพรตเต๋า แล้วจู่ๆ ร่างของนางก็ร่วงผล็อยลงกระแทกกับพื้นอย่างแรง ทว่ามือข้างหนึ่งของนางกลับกุมข้อเท้าของนักพรตเต๋าไว้แน่น

นักพรตหนุ่มยกมือทั้งคู่ขึ้นกุมศีรษะ สีหน้าสังเวชใจเกินจะพรรณนา เงยหน้าขึ้นเหมือนต้องการถามสวรรค์ว่า “ผลกรรมครั้งใหญ่ขนาดนี้กระแทกเข้าหา ก็ไม่เท่ากับสลักคำว่า ‘ใจหวังความตาย’ ลงบนหน้าผากของข้าหรอกหรือ? ตลอดหลายปีที่ผ่านมานักพรตผู้ต่ำต้อยอย่างข้าร่อนเร่พเนจรไปทั่วทิศ นอนกลางดินกินกลางทราย ขึ้นภูเขาข้ามลำธาร ยามเดินบนถนนก็มักถูกหมากัดบ่อยๆ…แค่นี้ก็ลำบากมากพอแล้วรู้ไหม! ไอ้บัดซบสกุลเกาต้าสุย แล้วก็เจ้าหมาแก่แซ่อู๋ผู้นั้น ฝากไว้ก่อนเถอะ หากไม่ถึงห้าร้อยปี บัญชีครั้งนี้ก็ไม่มีทางชำระได้เสร็จสิ้น…ตบะของนักพรตอย่างข้าตื้นเขินแค่นี้ ไม่อาจแบกรับภาระหนักอึ้งได้ไหวจริงๆ นะ…”

นักพรตหนุ่มที่เริ่มพูดจาสะเปะสะปะก้มหน้าลงมอง น้ำตาก็แทบจะไหลพรากนองหน้า “แม่นางน้อย เจ้าช่วยมีใจเมตตาปล่อยนักพรตผู้ต่ำต้อยอย่างข้าไปเถอะนะ เดี๋ยวพอกลับไปข้าจะช่วยเจ้าหาสถานที่ที่มีธรรมชาติบริสุทธิ์รายล้อม ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมให้กับเจ้า รับรองว่าดีพอจะให้โชคลาภกับรุ่นลูกรุ่นหลานของเจ้าได้เลย…อ้อ ไม่สิ แม่นางยังเป็นสาวเป็นแส้ ถ้าอย่างนั้นก็…”

เด็กสาวหมดสติไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

นักพรตหนุ่มเห็นว่ารอบกายไม่มีใครก็นั่งยองลงไป แล้วเริ่มแงะนิ้วทั้งห้าของ เด็กสาวออกอย่างเงียบเชียบ

เสียงสวบดังขึ้นหนึ่งที

กระบี่บินคมกริบลอยตัวอยู่กลางอากาศ ปลายกระบี่ห่างจากหว่างคิ้วของนักพรตหนุ่มไม่ถึงสามชุ่น

นักพรตหนุ่มปล่อยมือออกฉับพลัน รีบทำสีหน้าเวทนาสงสาร กล่าวด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยคุณธรรมยิ่งใหญ่ “คนหาใช่ต้นไม้ใบหญ้า มีหรือจะใจดำไม่รู้จักเห็นใจผู้อื่น? นักพรตผู้ต่ำต้อยเป็นคนยึดมั่นในความถูกต้องเสมอมา เห็นคนจะตายอยู่ตรงหน้า จะไม่ยื่นมือเข้าช่วยได้อย่างไร?!”

นักพรตหนุ่มนั่งขัดสมาธิ ใบหน้าหล่อเหลาแทบจะขมวดเป็นก้อนเดียวกัน “จะเอานางไปส่งที่ไหนนี่สิที่เป็นปัญหา”

กระบี่บินที่ตอนแรกอยู่ห่างจากหว่างคิ้วนักพรตเต๋าสามชุ่นพลันพุ่งมาข้างหน้า อีกหนึ่งชุ่น

นักพรตเต๋าอธิบายอย่างใจเย็นว่า “คิดจะให้เจ้านายของเจ้ารอดชีวิต นักพรตผู้ต่ำต้อยอย่างข้าต้องมีผู้ช่วย ใช่แล้ว เจ้าไปปลิดใบไหวใบหนึ่งที่ต้นไหวโบราณนั่นมาหน่อย ข้าจะช่วยนางหยุดพลังชีวิตเฮือกสุดท้ายนี่ไว้ก่อน

เจ้านายของเจ้าค่อนข้างจะพิเศษ ข้าไม่อยากช่วยคนมั่วซั่วเพียงแค่หวังจะให้นางรอด ถึงเวลาหากไม่ระวังแล้วไปถ่วงรั้งการฝึกตนของนางในอนาคตเข้า ผลกรรมครั้งใหม่นี้…เดี๋ยวแม่งก็ทำให้นักพรตอย่างข้าอยากตายอีกเป็นร้อยๆ ปี…”

ดูเหมือนว่ากระบี่บินจะเกิดความลังเล ปลายกระบี่จึงสั่นไหวเบาๆ

นักพรตเต๋ากล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “ไปเร็วหนึ่งก้าว เจ้านายของเจ้าก็เดินกลับออกมาจากประตูผีเร็วหนึ่งก้าว ไปสาย ทุกคนก็จบเห่กันหมด!”

พริบตาเดียวกระบี่บินก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

นักพรตเต๋าสบถเกรี้ยวกราดเสียงเบา “ชายมีใจหญิงยินยอมถึงจะเรียกว่าคู่สร้างคู่สม อาจารย์ฉี ฉีจิ้งชุนเจ้ากลับดีนัก เล่นจับคู่มั่วซั่วแบบนี้ จะต่างอะไรจากขี้แล้ว ไม่เช็ดก้น!”

นักพรตหนุ่มเอามือข้างหนึ่งเท้าแก้ม อีกมือหนึ่งนับนิ้วคำนวณ “ขอนักพรตผู้ต่ำต้อยลองคำนวณดูก่อนว่าจะส่งเจ้าไปที่ตระกูลไหนของเมืองเล็กแห่งนี้ดี ในเมื่อเจ้ารอดมาได้ อีกฝ่ายก็ต้องไม่ควรบ้านแตกสาแหรกขาด เอาตระกูลหลูก่อนแล้วกัน…ตระกูลหลูไม่ได้ เพราะมีโชควาสนาอยู่กับตัวพอๆ กับตระกูลจ้าวแล้ว งั้นก็ตระกูลซ่ง?”

เสียงของนักพรตเต๋าที่อยู่ในตรอกเล็กแห่งนี้ยังไม่ทันขาดคำ

รูปเทพทวารบาลทั้งหมดที่แปะอยู่ทั่วประตูบานใหญ่บานน้อยของบ้านตระกูลซ่งบนถนนฝูลวี่ก็พากันหม่นแสงลงในเสี้ยววินาที ทั้งยังมีควันสีเขียวเป็นเส้นๆ ที่คนธรรมดามองไม่เห็นผุดลอยขึ้นมาด้วย

จุดลึกของตัวบ้านมีผู้เฒ่าเปลือยเท้าคนหนึ่งผลักประตูเดินออกมายืนอยู่ในลานกว้าง เขายกเท้าหราสบถด่าอย่างเดือดดาล “ไอ้สารเลวคนไหนคิดจะทำลายรากฐานสกุลซ่งของข้า?! ออกมาสู้กันเลย!”

นักพรตหนุ่มกระแอมเบาๆ หนึ่งที พูดพึมพำกับตัวเอง “ตระกูลหลิวบนถนนฝูลวี่ ดูจากกระถางธูปที่มีควันธูปโขมงตลอดเวลา เหมือนจะเป็นคนมีความรับผิดชอบ ลองดูหน่อยดีไหม?”

ป้ายในห้องบรรพชนที่สืบทอดกันมานับพันปีของตระกูลหลิวส่งเสียงระเบิดดังปัง ก่อนจะมีรอยร้าวน่าตกใจหลายเส้นปรากฏขึ้น

ตามมาด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวของหญิงชราคนหนึ่งที่ใช้ไม้เท้าหัวมังกรเคาะลงพื้นหนักๆ “เทพเจ้าของที่ใด ช่วยออกมาพบกันหน่อยได้หรือไม่?!”

นักพรตหนุ่มแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ตระกูลเว่ย ตรอกเถาเย่? แค่มองก็รู้ว่าตระกูลพวกเจ้าสั่งสมบุญบารมีไว้มาก ต้องแบกรับผลกรรมครั้งนี้ได้ไหวแน่นอน”

ไม่นานก็มีผู้เฒ่าคนหนึ่งใช้เวทลับส่งเสียงแผดเสียงคำรามไปทางโรงเรียน “ฉีจิ้งชุน! ทำไมเจ้าไม่จัดการบ้าง?! หากเจ้าจัดการไม่ได้ หรือไม่กล้าจัดการก็รีบไสหัวออกไปซะ แล้วยกตำแหน่งให้กับหร่วนฉง! ให้เขามาจัดการกับเจ้าคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ผู้นี้! หรือจะบอกว่าทุกอย่างนี้ก็คือวิธีการระบายแค้นส่วนตัวของเจ้าฉีจิ้งชุน?”

ชายคนหนึ่งที่กำลังนำพาคนขุดบ่ออยู่ตรงลำธารเล็กทางทิศใต้ของสะพานแบบคาน ยืดตัวขึ้นตรง หันหน้ามาทางทิศเหนือ ขยับริมฝีปากขมุบขมิบ

แล้วเสียงที่เป็นดั่งเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิก็ดังครืนครั่นอยู่กลางอากาศเหนือถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ “พอได้แล้ว! ห้ามใครไม่ให้ความเคารพอาจารย์ฉี อีกอย่างข้าผู้แซ่หร่วนก็ไม่มีทางเข้าไปก้าวก่ายกิจธุระของเมืองก่อนจะถึงวันเริ่มต้นเข้าสู่ ฤดูใบไม้ผลิเด็ดขาด!”

ทันใดนั้นบรรยากาศรอบด้านก็ตกอยู่ในความสงัดเงียบวังเวง

ส่วนตัวการของเรื่องวุ่นวายที่นั่งอยู่ข้างรถเข็นในตรอกเล็กก็กำลังจับมือข้างหนึ่งของเด็กสาวชุดดำขึ้นมา จากนั้นโยนใบไหวสีเขียวขจีที่กระบี่บินนำมาให้เข้าไป กลางฝ่ามือของนางที่เปรอะเลอะไปด้วยเลือด

พอใบไหวสัมผัสโดนบาดแผลกลางฝ่ามือของนางก็เหมือนหิมะที่ละลาย พริบตาเดียวก็หายวับไปไม่เหลือร่องรอย

นักพรตหนุ่มกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ทุกครั้งที่เจอกับเหตุการณ์ที่ได้สร้าง คุณความดีเช่นนี้ก็มักจะต้องรู้สึก…”

หยุดคิดไปนาน แต่นักพรตเต๋าก็ยังไม่อาจนึกถ้อยคำเหมาะๆ ที่ทำให้ตัวเอง พึงพอใจได้

สุดท้ายนักพรตหนุ่มจึงก้มหน้าลงมองเด็กสาวที่หายใจรวยรินด้วยความรู้สึกลำบากใจ “ในเมื่อชะตาที่เจ้าเข้าไปเกี่ยวพันยิ่งใหญ่กว่าที่นักพรตผู้ต่ำต้อยอย่าง ข้าคิดไว้ ถ้าอย่างนั้นก็คงได้แต่ใช้วิธีการที่ตรงกันข้ามแล้ว ในเมืองเล็กแห่งนี้มี ตระกูลหกร้อยตระกูล พัวพันกันจนแยกไม่ออก และต่างก็สัมผัสโดนปราณของพื้นที่ลึกลับแห่งนี้มาทุกยุคทุกสมัย หากเจ้าอยากจะให้นักพรตผู้ต่ำต้อยอย่างข้าช่วยหาคน ที่มีไอแห่งโชคชะตาล้อมวนก็ง่ายดายยิ่งนัก แต่จะให้หาคนที่ยากจนข้นแค้นกลับ ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ นี่ก็เหมือนอยู่ในท้องพระโรง การจะหาขุนนางใหญ่สักคนนั้นง่ายมาก แต่จะให้ไปหาขอทานจากในนั้น เจ้าจะให้ข้าไปหามาจากที่ไหน?”

นักพรตหนุ่มร้องเอ๊ะเบาๆ หนึ่งที เขาเจอเจ้าคนน่าสงสารผู้นั้นแล้วจริงๆ ด้วย แต่เขาไม่มีความดีใจ กลับยังรู้สึกหวาดผวาถึงขั้นที่ต้องหลับตาถามใจตัวเอง

นักพรตหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ “ไม่ว่าอย่างไร ลองดูก่อนแล้วกันว่าเจ้าจะเลือกแบบไหน นักพรตผู้ต่ำต้อยอย่างข้าจะไม่บังคับฝืนใจเด็ดขาด หากเจ้าไม่ต้องการ ข้าก็จะเอาตัวเองมารับผลกรรมนี้แทนแล้วกัน”

สุดท้ายเขาเอานิ้วทั้งสิบประกบเข้าหากันเลียนแบบท่าทางของหลวงจีน “คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครอง พระโพธิสัตว์โปรดสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้ข้าผ่านเคราะห์ภัยครั้งนี้ไปได้ด้วยเถิด”

กลางตรอกหนีผิง

นักพรตหนุ่มก้มตัวดันรถเข็นสองล้อมาหยุดอยู่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง พอเคาะประตูเสร็จก็ถามว่า “เฉินผิงอันอยู่ไหม?”

ในร่องมุมหนึ่งของรถเข็นวางกระบี่เล่มยาวฝักสีขาวดั่งหิมะเอาไว้ กระบี่บินที่อยู่ในฝักทำท่ากะปลกกะเปลี้ย ราวกับรังเกียจที่นักพรตหนุ่มพามาบ้านเก่าทรุดโทรมหลังนี้

……………….

[1] ขุนนางแหยนกวานคือส่วนหนึ่งของโครงสร้างที่ค่อนข้างสำคัญของระบบ ขุนนางศักดินาในสมัยโบราณ พวกเขารับผิดชอบตรวจสอบดูแลและถวายคำทัดทานต่อกษัตริย์ อำนาจของขุนนางแหยนกวานจะค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในยุค ราชวงศ์หมิงที่แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังทำอะไรขุนนางแหยนกวานไม่ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!