Skip to content

Sword of Coming 209

บทที่ 209 กระบี่ไม้เหมือนกัน

คราวนี้อาเหลียงมาอย่างรีบร้อนแล้วก็จากไปอย่างรีบร้อน เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกว่าอาเหลียงที่ถูกคนต่อยด้วยหนึ่งหมัดจนร่วงลงมายังโลกมนุษย์ไม่ใช่คนที่ดุดันห้าวหาญอย่างที่คิดไว้ในใจ กลับกันยังรู้สึกว่าอาเหลียงที่เป็นเช่นนี้เท่ห์มากเป็นพิเศษ

เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันค่อนข้างจะเสียดายที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้เห็นอาเหลียงชักกระบี่กับตาตัวเอง

เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มีชื่อว่าเจียงหูลง ยกขึ้นดื่มเบาๆ หนึ่งอึก แล้วอดทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังไม่ได้ “หลังฝึกหมัดครบหนึ่งล้านครั้งก็น่าจะรีบทำเวลาฝึกกระบี่ได้แล้ว”

หลังเก็บน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงไปดังเดิม เฉินผิงอันก็ไม่ระวังตัวแจอีกต่อไป เขาสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้วเริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอย่างเปิดเผย

เซียนที่เคยขี่กระบี่ผ่านห้วงอากาศของเมืองเล็กไปอย่างยิ่งใหญ่ เหยียบบนกระบี่เดินทางท่องไปไกล คอยดูทิศทางลมที่พัดกระโชกขึ้นลง ผู้อาวุโสแซ่ชุยปล่อยหมัดออกไปหนึ่งหมัดก็เขย่าคลอนแผ่นดินและภูเขา เว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะ ตัวคนยังมาไม่ถึง กระบี่กลับมาถึงก่อนแล้ว ส่องแสงสว่างจ้าไปทั้งฟ้าดิน…

เรื่องราวงดงามบางอย่าง หากปรากฏอยู่บนร่างของคนอื่น หลังอิจฉาแล้วก็จงเรียนรู้ ส่วนข้อที่ว่าเรียนรู้แล้วจะเกิดผลหรือไม่ พยายามให้เต็มที่ก่อนค่อยว่ากัน

เป็นเรื่องง่ายจะตายไป

รออยู่นานไม่เห็นคนกลับมา บวกกับที่แรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนหน้านี้ทำให้คนทั่วทั้งเรือคุนกระวนกระวายไม่เป็นสุข ชุนสุ่ยกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดบนหอชมทัศนียภาพ เป็นอันตรายต่อแขกที่มาเยือน จึงเดินผ่านห้องหนังสือมายังธรณีประตูที่อยู่ใกล้เคียง ค้นพบว่านักพรตที่สนิทกับเทพขุนเขาเหนือของต้าหลีหายตัวไปแล้ว ชุนสุ่ยก็อดบ่นในใจไม่ได้ว่าเจ้าหมอนี่ทำตัวลับๆ ล่อๆ เสียจริง

เห็นว่าเฉินผิงอันคล้ายจะกำลังฝึกตน ชุนสุ่ยก็รีบหมุนตัวกลับไปเงียบๆ ตอนที่เดินไปทางห้องโถงหลักยังจงใจเดินให้เบาลง

รบกวนการฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคือข้อห้ามที่ร้ายแรงของทั้งบนและล่างภูเขา

การปิดด่านของผู้ฝึกลมปราณใหญ่ในทวีปต่างๆ ล้วนเป็นเรื่องใหญ่อันดับต้นของทั้งสำนัก เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ภูเขาต่าเจี้ยวของพวกนางก็เกิดมรสุมที่ใหญ่เทียมฟ้าขึ้นครั้งหนึ่ง ระหว่างที่ผู้อาวุโส ‘หนุ่ม’ ขอบเขตเก้าคนหนึ่งซึ่งปิดด่านพยายามจะฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตสิบ ภูเขาต่าเจี้ยวเกิดประมาทเลินเล่อ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือธรรมะสูงหนึ่งคืบ มารร้ายสูงหนึ่งศอก ศัตรูคู่อาฆาตของเขาแอบแฝงตัวเข้ามาในภูเขา ทำลายรากฐานมหามรรคา ทำให้ชีวิตนี้เขาได้แต่ชะงักค้างอยู่ที่ขอบเขตโอสถทองคำ หลังจากนั้นไม่นานเท่าไหร่จิตใจของเขาก็ทรุดโทรม เป็นเหตุให้พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่เดิมทีมีชื่อเสียงที่ดีมากในสำนัก กลายเป็นฉุนเฉียวดุร้าย ชอบสังหารสาวใช้เป็นว่าเล่น ถึงขั้นทุบตีลูกศิษย์ที่ตัวเองภาคภูมิใจซึ่งอยู่ในขอบเขตชมมหาสมุทรจนกลายเป็นคนพิการ สะพานแห่งความเป็นอมตะเกือบจะหักพัง สุดท้ายบุรพาจารย์ผู้ควบคุมกฎที่แต่ไหนแต่ไรมาโปรดปรานเขามาตลอด มองเขาเป็นดั่งบุตรแท้ๆ ของตัวเองก็จำต้องลงมือจับเขาขังไว้ในคุกบนภูเขา

จากนั้นบุรพาจารย์ผู้ควบคุมกฎที่ไม่เคยลงจากเขาเป็นเวลาร้อยปีก็ตัดสินใจทำสิ่งที่สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้แก่ผู้คน นางไปรับกระบี่ของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกสำนักที่ศาลบรรพชน สะพายกระบี่ลงจากภูเขา บุกเข้าไปในสำนักของศัตรูแล้วเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ หลังปลิดชีพศัตรูได้ด้วยมือของตัวเอง นางก็หัวเราะสาแก่ใจแล้วหวนกลับคืนมายังสำนักพร้อมอาการบาดเจ็บสาหัส ไม่ถึงหนึ่งปีก็จากโลกนี้ไปอย่างเฉียบพลัน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องการแก้แค้นของบุรพาจารย์ผู้ควบคุมกฎนั้น หากจะถามว่าคุ้มค่าหรือไม่ ลูกศิษย์ของภูเขาต่าเจี้ยวแต่ได้กล้าวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นการส่วนตัว ทว่าความองอาจห้าวหาญของบุรพาจารย์ผู้ควบคุมกฎคนนั้น ต่อให้เป็นตระกูลเซียนหรือสำนักนอกภูเขาต่าเจี้ยวก็ยังต้องชื่นชมสรรเสริญนาง รู้สึกว่านางมีมาดของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกสำนักภูเขาต่าเจี้ยว หลังจากนั้นเป็นต้นมาสำนักทั้งหลายก็มีแต่จะปฏิบัติต่อภูเขาต่าเจี้ยวที่ตัดคำว่า ‘สำนัก’ ทิ้งดีมากขึ้น

ผู้ดูแลหม่าที่รับผิดชอบภาระงานทุกอย่างในเรือนอักษรตัวเทียนคือผู้เฒ่าอ้วนท้วนคนหนึ่ง บนมือสวมแหวนหยกหลากหลายสีสัน เขาจำเป็นต้องมาอธิบายให้กับแขกสูงศักดิ์ทุกห้องฟังด้วยตัวเอง บอกกับพวกเขาอย่างน่าเชื่อถือว่าความเคลื่อนไหวผิดปกติที่เกิดขึ้นในเรือคุนไม่ได้เกิดจากการถูกโจมตี เพียงแต่ว่าบางครั้งปลาคุนก็เกเรซุกซน ซึ่งร้อยปีจะพบเจอได้สักครั้ง

ส่วนแขกที่อยู่ในห้องอื่นๆ ภูเขาต่าเจี้ยวไม่จำเป็นต้องให้เขาเปลืองน้ำลายไปอธิบายอะไร

ชิวสือเปิดประตู ได้ยินว่าเฉินผิงอันฝึกตนอยู่บนหอชมทัศนียภาพ ผู้ดูแลหม่าที่ยิ้มตาหยีจึงฝากความไว้ที่เด็กสาว บอกแค่ว่าหลังจากนี้อย่าลืมแจ้งให้อีกฝ่ายทราบก็พอ

ก่อนที่ผู้ดูแลหม่าซึ่งยืนอยู่หน้าประตูจะจากไป เขามองข้ามไหล่บอบบางของเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าไปยังชุนสุ่ยพี่สาวที่มีรูปร่างอวบอิ่มมากกว่า นางยืนตัวตรงอยู่ข้างโต๊ะ ต่อให้หันหน้ามาตรงๆ ก็ยังสามารถเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของเด็กสาวได้ ผู้เฒ่าดึงสายตากลับอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วเอ่ยสัพยอกว่า “ชิวสือ เจ้ากินให้มากๆ หน่อย ผอมเกินไปแล้ว เด็กผู้หญิงผอมมากไปก็ไม่ดี หากเสียดายเงินก็ไม่เป็นไร เงินแค่นี้พี่หม่ายังพอจะมีอยู่บ้าง เจ้ามาหาข้าได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องเกรงใจพี่หม่าของพวกเจ้า เข้าใจไหม?”

ชิวสือยิ้มหวานตอบรับ

รอจนนางปิดประตู เดินกลับไปนั่งข้างกายพี่สาวแล้วก็อดกลอกตามองบนไม่ได้ “ตาแก่ขึ้นคานบ้ากาม ถูกเขามองมาครั้งหนึ่งก็เหมือนโดนทากไต่มือ เหนียวๆ ลื่นๆ ขยะแขยงจริงๆ ! ยังจะเรียกตัวเองว่าพี่หม่าอีก ท่านพี่ ข้าอยากจะต่อยให้ตาสุนัขของเขาบอดจริงๆ เลย”

ชุนสุ่ยเอ่ยเย้าเสียงอ่อนโยน “ตัวเองหน้าตาดีแต่กลับไม่อนุญาตให้คนอื่นมองมากสักหน่อยหรือ เจ้านี่นิสัยคุณหนูใหญ่จริงๆ คิดว่าตัวเองเป็นเทพธิดาของตระกูลเซียนหรือไง? เพียงแต่ไม่ทราบว่าเทพธิดาชิวสือเป็นเพื่อนสนิทกับเทพธิดาหลิวจากหอหวงเหลียงคนนั้นหรือเปล่า? ช่วยแนะนำบ่าวให้รู้จักกับนางหน่อยได้ไหม?”

ชิวสือถลึงตาพูดเสียงขุ่น “ท่านพี่ ทำไมต้องล้อเลียนข้าแบบนี้ด้วย!”

จู่ๆ ชุนสุ่ยก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณชายเฉินจากหลงเฉวียนต้าหลีคนนี้นับว่าเป็นคนพูดง่ายคนหนึ่ง”

ชิวสือกะพริบตาฉ่ำน้ำ “ทำไม ท่านคงไม่ได้อยากจะเสนอตัวร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขาหรอกนะ ยังเด็กอยู่เลย ท่านพี่ชอบเด็กงั้นหรือ?”

ชุนสุ่ยกล่าวอย่างระอาใจ “พูดเหลวไหลอะไรน่ะ”

ชิวสือหัวเราะคิกคัก “ข้ารู้แล้วๆ ท่านชอบหันเซียนซือของภูเขาต่าเจี้ยวพวกเราใช่ไหมล่ะ ก็ถูกนะ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าประมุข พรสวรรค์ดี หน้าตาก็ดี ที่สำคัญคืออ่อนโยนต่อทุกคน สองครั้งที่ลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ก็ล้วนสร้างชื่อเสียงใหญ่โต งานเฉลิมฉลองของภูเขาต่าเจี้ยวที่จัดขึ้นสามปีครั้ง สายตาที่ท่านมองเขาตอนประลองเวทกระบี่กับคนอื่นไกลๆ จุ๊ๆ นั่นต้องเรียกว่าประหนึ่งลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชย ดั่งหิมะที่หลอมละลาย…”

ชุนสุ่ยโน้มตัวมาด้านหน้า หน้าอกที่วางทับอยู่บนขอบโต๊ะก่อให้เกิดเส้นโค้งเว้าน่าตะลึงโดยที่นางไม่ได้ตั้งใจ นางยื่นมือมาตบหน้าผากของน้องสาวเบาๆ หนึ่งที “เจ้าคือขอบเขตสอง ข้าคือขอบเขตสอง พวกเราสองคนรวมกันแล้วขอบเขตยังสูงเท่าเขาไม่ได้เลย เมื่อสามปีก่อนเขาก็เป็นขอบเขตถ้ำสถิตแล้ว ไม่แน่ว่าพวกเรากลับไปคราวนี้ เขาอาจจะเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรแล้วก็ได้”

ชิวสือยิ้มแล้วคว้ามือของพี่สาวเอาไว้ พูดหยอกเย้าโดยเลียนแบบท่าทางและน้ำเสียงของผู้ดูแลหม่า “โอ้โห แม่นางชุนสุ่ย มือเล็กๆ นี่ขาวจริงๆ สวยงามนุ่มนวลมาตั้งแต่เกิด นิ้วทั้งสิบของเทพธิดาคนอื่นที่ไม่เคยแตะงานหนักก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสวยงามเหมือนมือของเจ้า…”

มือข้างหนึ่งของชุนสุ่ยถูกน้องสาวกุมไว้แน่น อีกมือหนึ่งยกขึ้นปิดปากหัวเราะคิกคัก

เส้นทางบนภูเขานั้นเดินได้อย่างยากลำบาก แต่จะอย่างไรก็ยังมีเรื่องที่น่ายินดีเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่นพี่น้องสองคนที่มีชีวิตพึ่งพากันและกัน นับตั้งแต่เด็กก็มีชีวิตที่ค่อนข้างสงบสุขไร้กังวล เวลาพักผ่อนยังสามารถแอบเพ้อฝันถึงเรื่องราวและบุคคลที่สูงส่งเหนือกว่าตัวเองได้

เดิมทีเฉินผิงอันเดินมาถึงธรณีประตูที่เชื่อมต่อห้องหนังสือกับห้องโถงหลักแล้ว พอเห็นภาพนี้ เขาไม่อยากทำลายความอบอุ่นนั้นจึงเดินถอยกลับไปยังหอชมทัศนียภาพอย่างเงียบเชียบ

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ สองพี่น้องที่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสองกลับสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันไปถึงหอชมทัศนียภาพแล้วก็ตัดสินใจฝึกเดินนิ่งต่อ

เป้าหมายที่เขาตั้งไว้ให้กับตัวเองคือฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้ง ไม่ใช่ว่าออกหมัดหนึ่งครั้งแล้วจะนับเป็นหนึ่งครั้ง แต่ต้องเดินนิ่งหกก้าวให้ครบถ้วนหนึ่งครั้งถึงจะนับได้

หากเน้นในด้านความเร็วอย่างเดียว ต่อให้ไม่ถึงขั้นนับวันรอได้ แต่หากการเดินทางลงใต้ในครั้งนี้เขาสามารถใช้เวลาครึ่งวัน ซึ่งก็คือประมาณหกชั่วยามมาฝึกเดินนิ่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บวกกับจำนวนครั้งที่สะสมมาตลอดหนึ่งปีที่เดินทางไปยังต้าสุย คาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกประมาณสองปีครึ่ง

แต่ตอนนี้เฉินผิงอันเปลี่ยนมาเป็นเน้นที่ความเชื่องช้า เพราะการโคจรสิบแปดหยุดที่อาเหลียงถ่ายทอดให้ หลังจากที่ฝ่าทะลุด่านหกหยุดมาได้ สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นก็แตกต่างไปจากหกหยุดแรกอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นเหมือนน้ำในแม่น้ำที่ไหลรินเชื่องช้าแต่มีปริมาณมากมหาศาล เฉินผิงอันจึงไม่อาจทำอะไรลวกๆ ได้ อีกอย่างคำกล่าวที่ว่ายิ่งรีบก็ยิ่งช้า คือหลักการที่ปรากฎในหน้าหนังสือบ่อยครั้ง เฉินผิงอันจึงไม่กล้ามองข้าม

ดังนั้นหากไม่ผิดไปจากที่คาดการณ์ ต่อให้เดินทางไปถึงภูเขาห้อยหัวได้สำเร็จก็คงไม่สามารถทำตามเป้าหมายฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้งได้

นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย

เดิมทียังคิดว่าเมื่อได้พบเจอกันอีกครั้ง จะดีจะชั่วก็มีเรื่องที่ตนทำสำเร็จแล้วหนึ่งเรื่อง

การฝึกเดินนิ่งของเฉินผิงอันในตอนนี้เรียกได้ว่าน้ำมาคลองก็สร้างสำเร็จ ต่อให้เขาจะคิดเรื่องอะไรอยู่ในใจก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการชำระล้างร่างกายและการบำรุงจิตวิญญาณจากการตั้งท่าหมัดของเขา

ฝึกหมัดมวยก็เหมือนการอ่านหนังสือ

อ่านตำราครบหมื่นเล่ม ยามตวัดพู่กันดุจมีเทพช่วย สมแล้วที่หลักการในหน้าหนังสือมาจากคำสอนของอริยะ ไม่ได้โกหกจริงๆ

ขณะที่เฉินผิงอันหยุดพักเล็กน้อย เขาฟุบตัวลงบนราวระเบียง ทอดสายตามองทะเลเมฆ ดวงอาทิตย์ตกลงทางทิศตะวันตก บนทะเลเมฆคล้ายปูเสื้อคลุมสีทองทับไว้หนึ่งชั้น แสงสีทองเปล่งประกายระยิบระยับ งดงามจับตา ทำให้จิตใจของคนผ่อนคลาย ก่อนหน้านี้ตอนที่เด็กสาวสองคนแนะนำมุมต่างๆ ในเรือนพัก เฉินผิงอันรู้สึกว่าทะเลเมฆในเวลานั้นเหมือนปุยฝ้ายสีขาวผืนใหญ่ อีกทั้งยังแบ่งออกเป็นสองชั้นคือสูงกับต่ำ เรือคุนแหวกว่ายไปท่ามกลางทะเลเมฆก็ราวกับว่าฟ้าไม่ได้สูงเท่าไหร่ และแผ่นดินก็อยู่ไม่ห่างนัก เป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก

เฉินผิงอันถอนสายตากลับมาช้าๆ หอเรือนที่เขาอยู่เวลานี้สูงมากที่สุด เรือนอื่นๆ ล้วนเตี้ยกว่ามาก บนหอชมทัศนียภาพของที่พักบ้างส่วนยังพอจะมองเห็นผู้ฝึกลมปราณที่ยืนชมทะเลเมฆยามอาทิตย์อัสดงได้รางๆ วงนอกของหอสูง ด้านในรั้วที่สูงใหญ่แน่นหนายังมีคนจำนวนมากกว่าที่กำลังเดินเล่น เด็กบางคนวิ่งเล่นสนุกสนานพร้อมเสียงหัวเราะเบิกบานภายใต้การดูแลจากผู้ใหญ่ในตระกูล

จากนั้นเฉินผิงอันก็มองเห็นแผ่นหลังหนึ่ง ด้วยความสามารถในการมองเห็นของเขาเวลานี้สามารถเห็นได้ชัดว่าด้านหลังของคนผู้นั้นสะพายห่อสัมภาระไว้เฉียงๆ ด้านล่างห่อผ้าคือกระบี่ไม้เล่มหนึ่ง บนร่างของเขาสวมชุดคลุมเต๋าเก่าแก่ มวยผมปักปิ่นใหม่ บุรุษหนุ่มคนนั้นเดินหันข้างอย่างเชื่องช้า ก้มหน้าลงมองพื้นดิน ยื่นฝ่ามือมาบังไว้ตรงขนคิ้ว สีหน้าค่อนข้างเลื่อนลอย

แม้ว่าบนเขตพื้นที่ของสันหลังปลาคุนจะมีค่ายกลที่มองไม่เห็นให้การปกป้องอยู่ รั้วที่รอบล้อมก็มีริ้วคลื่นอ่อนจางจนแทบสังเกตไม่เห็น แต่ก็ยังมีลมเย็นๆ พัดผ่านเข้ามาได้ ริมฝีปากของนักพรตหนุ่มที่หน้าตาไม่โดดเด่นแห้งผาก สายลมพัดให้เส้นผมตรงจอนหูของเขาปลิวไสวเบาๆ

เขาเองก็สะพายกระบี่ไม้เล่มหนึ่งเหมือนกัน

เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงยืนอยู่บนหอชมทัศนียภาพสูงตระหง่าน สาวใช้ในเรือนตัวอักษรเทียนอาจจะพูดถึงเรื่องราวของเทพเซียนขอบเขตหยกดิบก็จริง แต่ถึงอย่างไรแผ่นดินที่เล็กที่สุดของใต้หล้าไพศาลซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าตอนนี้ก็มีผู้ฝึกลมปราณจากสำนักเล็กๆ อยู่มากกว่า โดยเฉพาะผู้ฝึกตนอิสระที่ตั้งถิ่นฐานอยู่แถวเทือกเขาและทะเลสาบ เป็นเหมือนจอกแหนไร้รากที่ลอยล่องไปตามกระแสคลื่น ตลอดชีวิตก็ไม่มีทางได้รู้เลยว่าห้าขอบเขตบนคือห้าขอบเขตอย่างไรกันแน่

และนักพรตหนุ่มที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนผู้นั้นก็ยืนอยู่ตรงรั้วชั้นที่ต่ำที่สุด กระเพาะอาหารส่งเสียงร้องโครกคราก เขากำลังคำนวณเงินที่เหลืออยู่ในกระเป๋าเงินว่าจะพอให้เขาลงเรือที่แคว้นหนันเจี้ยนหรือไม่

เฉินผิงอันเดินถอยกลับมาสองสามก้าวแล้วฝึกวิชาหมัดต่อ

ท่วงท่าเป็นธรรมชาติ ปณิธานหมัดโบราณเรียบง่าย

เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดเดินนิ่งอยู่บนหอชมทัศนียภาพตลอดเวลา ฝึกจนท้องฟ้าดำมืด จนกระทั่งดวงจันทร์และดวงดาวส่องสว่างกลางนภา

เมื่อเขากลับมาที่ห้องโถงอีกครั้งก็พบว่าสาวใช้ชิวสือฟุบตัวงีบหลับอยู่บนโต๊ะ ชุนสุ่ยนั่งนิ่งๆ รออยู่ด้านข้าง ยิ้มมองมาทางห้องหนังสือ พอประสานสายตากับเฉินผิงอัน นางก็รีบยื่นมือจะไปตีไหล่น้องสาว แต่เฉินผิงอันโบกมือบอกให้รู้ว่าไม่เป็นไร ชุนสุ่ยลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็เลือกปลุกให้ชิวสือตื่น เด็กสาวที่สะดุ้งตื่นรีบหันหน้ามามอง เช็ดมุมปากอย่างรีบร้อนไม่ให้ตัวเองต้องขายหน้าแขกสูงศักดิ์

กฎเกณฑ์ของเรือคุนที่มีต่อสหายเทพขุนเขาเหนือของต้าหลีนั้นยืดหยุ่นอย่างมาก แต่กลับไม่มีความเกรงใจให้กับสาวใช้อย่างพวกนางเลยแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ หยิบผลไม้สดใหม่สีเขียวปลั่งที่ราวกับจะเค้นน้ำออกมาได้ขึ้นมาจากถาดกระเบื้องสีดำ ผลไม้นี้ลักษณะคล้ายคลึงกับส้มเขียวหวานที่ยังไม่สุก แต่พอปอกเปลือกแล้วลองกินกลับมีรสหวานฉ่ำ จากนั้นเขาก็ยื่นส่งให้กับพวกนางคนละลูก ชุนสุ่ยคิดจะปฏิเสธ ไม่ยอมรับเอาไป เมื่อนางทำเช่นนี้ ชิวสือจึงได้แต่ปฏิเสธตามอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก แต่เฉินผิงอันกลับบังคับวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าพวกนาง พวกนางจึงไม่ยืนกรานอีก ถึงอย่างไรพอกินส้มฉางชุนที่มีเฉพาะในอุตรกุรุทวีปผลนี้ลงท้องไปแล้วก็เทียบได้กับปราณวิญญาณที่พวกนางตั้งใจฝึกตนอย่างยากลำบากสิบวันเลยทีเดียว

ที่บอกว่าการฝึกตนไม่มีทางลัดนั้น คือการพูดให้พวกผู้ฝึกลมปราณที่มีพรสวรรค์ฟัง เพื่อตักเตือนไม่ให้พวกเขาโอหังและอวดดีมากเกินไป ต้องการให้พวกเขาก้าวเดินไปบนพื้นอย่างมั่นคง ขยับเข้าใกล้สวรรค์ไปทีละก้าว

แต่ก็เห็นได้ชัดว่าการฝึกตนมีทางลัดให้เดินอยู่เสมอ นี่เป็นความรู้ความเข้าใจที่มีร่วมกันของผู้ฝึกตนอิสระและลูกหลานนอกตระกูลเซียนที่มีพรสวรรค์ธรรมดา ขอแค่มีเงิน แค่กินข้าวก็ถือเป็นการฝึกตน มีตระกูลมีพรสวรรค์ อยู่อาศัยในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นซึ่ง ‘มาเยือนเองโดยไม่ได้รับเชิญ’ แม้แต่นอนหลับก็ยังเป็นการฝึกตนได้

ยกตัวอย่างเช่นชุนสุ่ยและชิวสือ หากพวกนางไม่เอาเงินเดือนซึ่งทำงานอย่างยากลำบากในแต่ละเดือนมาแลกเป็นผลไม้วิเศษลักษณะคล้ายส้มเขียวหวานลูกนี้หรือไม่ก็ยาระดับต่ำ จากนั้นกินเข้าไปด้วยความเสียดายในทุกๆ คำ ก็ต้องมองกาลไกลมากกว่าเดิมอีกหน่อย นอกจากจะต้องตั้งใจฝึกรวบรวมลมปราณอย่างมานะอดทนแล้ว ยังต้องครุ่นคิดหาวิธีการเอาทรัพย์สินในตระกูลมากัดฟันขาย ตัดสินใจซื้ออาวุธเหมาะมือให้ตัวเองหนึ่งชิ้น อีกทั้งยังไม่ใช่สมบัติอาคมที่ช่วยในการเข่นฆ่าสังหารด้วย หนึ่งเพราะไม่มีทางซื้อได้ไหว สองเพราะไม่มีความหมายใดๆ ต้องเป็นอาวุธวิเศษที่สามารถชำระล้างลมปราณขุ่นมัวไปทีละนิด ผู้ฝึกลมปราณที่มีพรสวรรค์บินทะยานขึ้นสู่ยอดเขาได้ในรวดเดียว ห่างแค่สามวันห้าวันก็ฝ่าทะลุขอบเขต ทำให้คนอิจฉาอย่างยิ่ง แต่พวกนางกลับต้องค่อยๆ ปีนขึ้นไปทีละก้าว ถือเป็นบุคคลที่ได้แต่อิจฉาผู้อื่น ถอนหายใจแค่ไม่กี่ครั้งก็ต้องก้มหน้าก้มตาฝึกตนอย่างยากลำบากต่อไป

แต่เมื่อได้เห็นทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่ด้านบนอย่างแท้จริงแล้ว ใครเล่าจะเต็มใจลงไปเป็นเศรษฐีหรือประมุขหญิงที่จัดการดูแลบ้านเรือนได้อย่างมีระเบียบด้านล่างภูเขาอีก?

แน่นอนว่าผู้ฝึกลมปราณบางส่วนที่หมดอาลัยตายอยากอย่างแท้จริงก็อาจจะลงไปอยู่ข้างล่างภูเขาจริงๆ และบางคนก็ใช้ชีวิตได้ค่อนข้างมีรสมีชาติ เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน นี่ก็เหมือนกับการนำพวกจวี่เหรินหรือจิ้นซื่อที่สอบเป็นขุนนางในราชสำนักโลกมนุษย์มาเปรียบเทียบกับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่สูงไปก็เอื้อมไม่ถึง ต่ำไปก็รับไม่ได้ ซึ่งฝ่ายแรกมีแต่จะมีผ่อนคลายไร้แรงกดดัน มีชีวิตที่สบายมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นหากลงมาจากภูเขา ถูกราชสำนักเรียกตัวเข้าทำหน้าที่ หาสถานที่ที่มีภูเขาเขียวแม่น้ำใสสักแห่ง ยึดครองภูเขาตั้งตนเป็นราชา หรือไม่ก็ช่วยพิทักษ์ปกป้องตระกูลให้กับคนในเมืองใหญ่ ทำหน้าที่เป็นเค่อชิงก็ไม่เลวเลยทีเดียว

ทว่าผู้ฝึกลมปราณที่มองดูเหมือนมีอำนาจบารมี จะอย่างไรแล้วก็ยังเป็นพวกที่ผิดหวังในชีวิต เมื่อเทียบกับบัณฑิตที่สอบเคอจวี่ไม่ติดจึงไปซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาแล้วก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่

ชุนสุ่ยเคี้ยวส้มฉางชุนเบาๆ ด้วยอาการเหม่อลอยเล็กน้อย ลักษณะท่าทางของนางไม่เป็นรองคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้ได้รับการอบรมปลูกฝังมาอย่างดี ไม่เหมือนชิวสือน้องสาวของนางที่อารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ รู้สึกเพียงว่าหากไม่กินก็เสียของเปล่า มีผลประโยชน์มาวางตรงหน้าไม่คว้าไว้ก็คือคนโง่

เฉินผิงอันกินหมดก่อนเป็นคนแรก เขาค้นพบว่าชิวสือจ้องมองเปลือกส้มบนโต๊ะเขม็งจึงถามว่า “เปลือกส้มก็มีประโยชน์ด้วยหรือ?”

ชิวสือตอบอย่างตรงไปตรงมา “คุณชายเฉิน เวลาทำอาหาร ใส่เปลือกส้มเข้าไปสองสามชิ้น ช่วยเพิ่มรสชาติให้อร่อยนักล่ะ!”

ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกาย คิดในใจว่าแบบนี้ข้าชอบ ฝีมือทำอาหารของข้าไม่เลวจริงๆ ตอนนั้นที่เดินทางไปต้าสุยก็แค่เพราะไม่มีวัตถุดิบที่มากพอ หาไม่แล้วมีหรือที่พวกหลี่เป่าผิงจะเอาแต่คิดคำนึงถึงมื้ออาหารที่บ้านของซื่อหลางเฒ่า ถึงขนาดที่ว่าแม้เขาจะทำน้ำแกงปลาให้กินก็ยังไร้ชีวิตชีวา

เฉินผิงอันยิ้มแล้วหยิบส้มอีกสองลูกส่งให้กับชุนสุ่ยกับชิวสืออีกครั้ง “พวกเจ้ากินส้มแล้วอย่าลืมเก็บเปลือกไว้ให้ข้าด้วย”

ชุนสุ่ยกับชิวสือหันมามองหน้ากัน ไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ หรือว่าเด็กหนุ่มที่ได้ครอบครองป้ายหยกตัวอักษรเทียนของเรือคุนลำนี้ไม่มีการงานจริงจังให้ทำจนถึงขั้นชอบเข้าครัวด้วยตัวเอง? ไม่คิดจะสนใจคำสอนของเหล่าอริยะแห่งลัทธิขงจื๊อที่บอกว่าสุภาพชนต้องอยู่ห่างจากห้องครัวบ้างเลยหรือ? เฉินผิงอันไม่สนใจสายตาของคนอื่น เขาเก็บเปลือกส้มสามลูกเข้าไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่กล้าเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่นอย่างสืออู่ จากนั้นก็เร่งให้สองพี่น้องรีบกิน

ในเมื่อแขกสูงศักดิ์ ‘ไม่พิถีพิถัน’ ถึงขนาดนี้แล้ว ขนาดชุนสุ่ยยังกินส้มฉางชุนได้อย่างสบายใจ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ชิวสือน้องสาวที่ไม่เคยยี่หระสิ่งใดเลย

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ

ชุนสุ่ยพลันรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง

ที่แท้ก็เป็นเด็กหนุ่มที่อ่อนโยนต่อใจคนดุจสายลมฤดูใบไม้ผลินี่เอง

……

สุดท้ายเฉินผิงอันก็ไปนอนโดยที่ชายแขนเสื้อเต็มไปด้วยเปลือกส้ม ส่วนสาวใช้สองคนพักผ่อนอยู่ที่ห้องด้านข้าง ขอแค่เฉินผิงอันสั่นกระดิ่งเงินตรงหัวเตียง พวกนางก็จะมาหาทันที อีกทั้งกระดิ่งพวงนั้นยังไม่ใช่วัตถุธรรมดา หากมีสิ่งสกปรกชั่วร้ายเล็ดรอดเข้ามาในห้อง กระดิ่งก็จะดังขึ้นเอง

เฉินผิงอันเพิ่งจะปลดฝักกระบี่ที่ข้างในมีกระบี่กำจัดปีศาจปราบมารวางลงบนเตียงติดกับผนังด้านใน เอนตัวลงนอนบนเตียงที่สบายจนเขาไม่คุ้นเคย แต่มือข้างหนึ่งกลับยังวางไว้บนฝักกระบี่ จากนั้นก็เริ่มทอดลมหายใจให้เชื่องช้า ใช้วิธีการหายใจที่หยางเหล่าโถวถ่ายทอดให้ตามจิตใต้สำนึก

อันที่จริงกระบี่บินสองเล่มในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างชูอีและสืออู่ต่างก็มีสติปัญญาแล้ว ต่อให้เฉินผิงอันจะหลับลึกแค่ไหน แต่หากพบเจออันตราย พวกมันที่ไม่จำเป็นต้องนอนหลับก็สามารถต่อต้านศัตรูได้ด้วยตัวเอง แต่เฉินผิงอันก็ยังไม่กล้าหลับลึกเกินไปนัก เขาจึงหลับแบบผิวเผินไปจนถึงฟ้าสาง เมื่อชุนสุ่ยขยับตัวลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าบนเตียงและเปิดประตูห้องของนางออกมาเบาๆ เฉินผิงอันก็ลืมตาทันที

ที่รู้ได้ว่าเป็นชุนสุ่ย เพราะเฉินผิงอันค้นพบมาตั้งแต่แรกแล้วว่าฝีเท้าของชุนสุ่ยกับชิวสือมีความแตกต่างกันเล็กน้อย

ออกมานอกบ้าน จะอย่างไรก็ควรระวังตัวไว้เป็นการดี

สาวใช้ชุนสุ่ยไม่ได้เคาะประตูปลุกเฉินผิงอัน แต่ทำความสะอาดห้องอยู่ข้างนอกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

จนกระทั่งชิวสือตื่น เสียงฝีเท้าดังขึ้น เฉินผิงอันถึงได้หยุดฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลู สวมรองเท้าสาน เพิ่งจะเดินออกจากเตียงไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถอยกลับมาที่ริมขอบเตียงเงียบๆ อีกครั้ง ก่อนจะเพิ่มน้ำหนักฝีเท้าเดินไปทางประตูห้อง พอเปิดประตูแล้วก็เห็นว่าชุนสุ่ยที่วันนี้เปลี่ยนชุดใหม่เบี่ยงตัวมายอบกายคารวะ และอาภรณ์ชุดนี้ก็ยิ่งแนบสนิทไปกับเรือนกายที่อวบอิ่มของนาง ทำเอาเฉินผิงอันที่มองอยู่อึ้งตะลึง หน้าแดงก่ำในทันที ยังดีที่ผิวของเขาดำเกรียมจึงเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ไม่ใช่ว่าเขามีความคิดอกุศลอะไร เพียงแค่รู้สึกว่าชุดนี้ของแม่นางชุนสุ่ยสวยงามน่ามองก็จริง เหมือนว่าจะทำมาจากผ้าแพรทอกระมัง แต่ออกจะรัดรูปเกินไปหน่อย…

เฉินผิงอันแอบตัดสินใจกับตัวเองแล้วว่า วันหน้าหากข้ามีภรรยา เวลาออกนอกบ้านจะให้สวมเสื้อผ้าแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด เสียเปรียบเกินไปแล้ว

ชุนสุ่ยให้ชิวสือไปยกกล่องอาหารที่ห้องครัวมา ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว นางสอบถามเฉินผิงอันว่าวันนี้จะออกไปที่ไหนหรือไม่ และนางก็ถือโอกาสแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งบนเรือให้เขาฟัง นางพูดถึงสถานเริงรมย์ที่เรือข้ามทวีปทุกลำต้องมีเหมือนตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา นอกจากนี้ยังมีร้านค้าอีกสารพัดรูปแบบ มีหอสุรา มีบ่อนการพนัน มีร้านขายอาวุธ มีจุดพักม้าที่มีกระบี่บินให้ส่งจดหมาย มากมายหลายหลาก แม้จะไม่ยิ่งใหญ่อลังการ แต่นกกระจอกก็มีอวัยวะครบถ้วน เฉินผิงอันที่ฟังอยู่ถึงกับเดาะลิ้น บนสันหลังปลาคุนตัวนี้ไม่ได้แย่ไปกว่าเมืองเล็กบ้านเกิดของเขาเลย

คนทั้งสามกินอาหารเช้าที่อุดมสมบูรณ์พร้อมกัน เฉินผิงอันไม่คิดจะออกไปเดินเล่น รู้สึกว่านอกจากฝึกวิชาหมัดแล้วยังสามารถอ่านหนังสือในห้องหนังสือได้

สำหรับเรื่องนี้แน่นอนว่าชุนสุ่ยและชิวสือไม่มีความเห็นต่าง แต่ชิวสือก็ยังรู้สึกเสียดายเล็กน้อย อันที่จริงหากแขกในเรือนพักซื้อของบนเรือคุน พวกนางจะได้เงินเป็นรางวัล ในประวัติศาสตร์การทำการค้าของภูเขาต่าเจี้ยวเคยมีวีรกรรมน่าตะลึงครั้งหนึ่งที่ทำให้คนอ้าปากค้าง มีสาวใช้คนหนึ่งเคยร่ำรวยเพียงชั่วข้ามคืนเพราะเหตุนี้ ตอนนั้นแขกที่นางให้การดูแลเป็นแค่แขกที่มาพักห้องระดับล่างเท่านั้น แต่นางก็ยังคงให้การดูแลอย่างรอบคอบละเอียดถี่ถ้วน ไม่เพิกเฉยละเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายคาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มหน้าตาไม่สะดุดตาคนนั้นจะเป็นถึงต้นกล้าที่โดดเด่นของตระกูลเซียนลำดับต้น หนึ่งวันก่อนจะลงจากเรือ เขาพาสาวใช้เดินถามไปตามร้านต่างๆ โดยที่ไม่เข้าไปในร้าน แต่กลับซื้อของทุกชิ้นในทุกร้านลำดับต้นๆ ของเรือคุนมารวดเดียวโดยไม่กะพริบตา ลำพังแค่กำไรไม่รวมต้นทุนของสินค้าก็เป็นจำนวนมหาศาลแล้ว

นี่น่าจะเป็นดั่งคำที่ว่าชีวิตคนนั้นไม่เที่ยง ทุกที่ล้วนมีภูเขาเขียวให้ฝังศพ

เฉินผิงอันใช้ชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ ชุนสุ่ยยังคงวางตัวได้เหมือนเดิม แต่ชิวสือกลับรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย คุณชายคนนี้น่าเบื่อจริงๆ ทุกวันหากไม่ฝึกท่าหมัดประหลาดบนหอชมทัศนียภาพ เดินไปเดินมา ล่องลอยเชื่องช้า ไม่มีพลังเลยแม้แต่นิดเดียว ทำเอานางที่มองดูอยู่ง่วงไปด้วย หรือไม่ก็ต้องยืนหันหน้าไปทางทะเลเมฆ มองพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกดินอยู่นิ่งๆ สามารถยืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับเป็นชั่วยาม

อย่างมากสุดก็แค่ไปอ่านหนังสือ คัดตัวอักษรอยู่ในห้องหนังสือ ตอนแรกชิวสือยังช่วยฝนหมึก เพียงแต่ว่ามองตัวอักษรที่เป็นระบบระเบียบของเฉินผิงอันก็กระตุ้นความสนใจของนางไม่ไหวจริงๆ กลับเป็นชุนสุ่ยพี่สาวที่ยืนอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มตลอดเวลา บางครั้งที่ยืนจนปวดขาก็จะไปนั่งห่างจากโต๊ะหนังสือไม่ไกล ชิวสือยังเอาเรื่องนี้มาล้อกับพี่สาวเป็นการส่วนตัวว่า นี่เรียกว่าสาวงามเคียงข้างยามอ่านตำรา หากเป็นในนิยายของนักกวีที่มีชื่อเสียง ไปๆ มาๆ สองฝ่ายก็น่าจะตกหลุมรักกันแล้วพากันไปพลิกผ้าห่มแล้ว ทำเอาชุนสุ่ยพี่สาวของนางโมโหจนกลายเป็นขำ บิดเนื้อนางแรงๆ หนึ่งที

ทุกวันเวลาที่เฉินผิงอันกินข้าวจะต้องถามว่าวันนี้เรือคุนอยู่เหนือน่านฟ้าของพื้นที่ราชวงศ์ใดแล้ว อีกทั้งยังขอให้ชุนสุ่ยกับชิวสือช่วยแนะนำประเพณีของราชวงศ์ต่างๆ หลังได้ฟังพวกนางอธิบายอย่างละเอียดถึงได้รู้ว่าที่แท้แจกันสมบัติทวีปก็เป็นทวีปที่เล็กที่สุดของเก้าทวีปในใต้หล้าไพศาล แต่กระนั้นก็ยังทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่ามีแคว้นและรัฐเล็กๆ อยู่อีกมากมาย ลำพังเพียงแค่แซ่สกุลของฮ่องเต้ก็เหมาเอาแซ่สกุลในตำราร้อยแซ่ไปหมดแล้ว

ส่วนแคว้นหนันเจี้ยนนั้นตั้งอยู่ใจกลางของแจกันสมบัติทวีป ห่างจากสำนักศึกษากวานหูซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อไม่ไกลเท่าไหร่

พูดถึงสถานศึกษาและสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ เฉินผิงอันก็ถามอย่างใคร่รู้ว่าทำไมเมื่อรวมสำนักศึกษาซานหยาเข้าไปแล้ว แจกันสมบัติทวีปถึงมีสำนักศึกษาอยู่แค่สองแห่งเท่านั้น

ชิวสือเอามือหนึ่งกุมท้องหัวเราะก๊ากอย่างขำขัน อีกมือหนึ่งชี้ไปยังเด็กหนุ่มที่มีท่าทางมึนงง แล้วเปิดเผยความลับด้วยประโยคเดียว “ก็เพราะแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้าเล็กเกินไปไงล่ะ อุตรกุรุทวีปของพวกเรามีมากถึงหกแห่ง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแผ่นดินกลางที่กว้างใหญ่ไพศาลเลย”

ชุนสุ่ยถลึงตาใส่น้องสาวของตัวเองเงียบๆ ชิวสือยังกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ก็คำถามนี้ของคุณชายเฉินน่าขำจริงๆ นี่นา”

เฉินผิงอันที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยกมือเกาหัว

ที่แท้ใต้หล้าไพศาลก็ใหญ่ถึงเพียงนี้

วันนี้หลังจากเฉินผิงอันเดินนิ่งบนหอชมทัศนียภาพเสร็จ เขาก็ทอดสายตามองไปยังกลุ่มเมฆที่คลี่ตัวทอดขยายไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วจู่ๆ ก็มองเห็นนักพรตหนุ่มที่ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้คนนั้นอีกครั้ง

ชุนสุ่ยมายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน มองตามสายตาของเขาไปแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ดูจากชุดคลุมเต๋าที่เขาสวมน่าจะเป็นนักพรตตระกูลจางจากภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ปฐมสำนักตั้งอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แต่นักพรตที่อยู่ตรงรั้วคนนั้นต้องเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่แต่งกายเช่นนี้”

เดิมทีชุนสุ่ยอยากพูดว่า ‘ไม่อย่างนั้นคงไม่ยากจนข้นแค้นเช่นนี้’ เพียงแต่ว่าพอคำพูดมาจ่อรอตรงปากเข้าจริงๆ นางกลับไม่ได้พูดมันออกมา

ตลอดเวลาสิบวันที่ได้อยู่ร่วมกันมา ชุนสุ่ยแน่ใจว่าคุณชายเฉินแขกสูงศักดิ์ของห้องตัวอักษรเทียนผู้นี้ แท้จริงแล้วก็มีชีวิตยากลำบากเหมือนกัน เด็กหนุ่มมีชาติกำเนิดยากจนอย่างจริงแท้แน่นอน ไม่ใช่ลูกหลานตระกูลคนรวยที่ ‘ปลอมตัวออกจากบ้านมาเดินทางท่องเที่ยว’ เพราะรัศมีความร่ำรวยนี้จำเป็นต้องได้รับการกล่อมเกลามาตั้งแต่เล็กแต่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่เด็กหนุ่มไม่เคยเสแสร้งว่าตัวเองเป็นคนรวย สำหรับเรื่องนี้ถึงแม้สาวใช้ที่ความคิดเป็นผู้ใหญ่เกินวัยจะไม่แสดงออกมา แต่ส่วนลึกในใจกลับรู้สึกผิดหวังอย่างที่นางก็ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้

นางพูดยิ้มๆ ต่อไปว่า “มีสุภาษิตประโยคหนึ่งที่ผู้คนนิยมกล่าวขานกัน เป็นประโยคที่ใช้กันทั่วใต้หล้าไพศาล ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นั่นคือ ‘ที่ใดที่มีภูตผีปีศาจก่อความวุ่นวาย ต้องมีเทพาจารย์จางไม้ท้อ’”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที

ประหนึ่งผีดลใจ นักพรตยากจนที่ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้ท้อคนนั้นถึงหันหน้ากลับมา

มองไปยังทัศนียภาพบนจุดสูง นักพรตหนุ่มที่ตบะเบาบางพอจะมองเห็นเด็กหนุ่มกระบี่ไม้ รวมไปถึงสาวใช้หน้าตางดงามข้างกายเขาได้อย่างเลือนราง เขารู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย

ทั้งยากจน ทั้งหิวโหย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!