Skip to content

Sword of Coming 213

บทที่ 213 ตั้งตารอคอย

เมื่อเฉินผิงอันเดินลงจากหอเรือนสูงกลับมานั่งที่ เขาก็พลาดศึกใหญ่ทั้งสองครั้งไปแล้ว

จางซานนักพรตที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างกันมองเห็นเฉินผิงอันก็รีบลุกขึ้นกุมมือคารวะ เฉินผิงอันจึงได้แต่คารวะกลับคืน ก่อนจะรับแผ่นหยกมา

เพื่อความยุติธรรม ศึกตัดสินเป็นตายอย่างเป็นทางการครั้งนี้ไม่ได้จัดขึ้นที่สวนลมฟ้าหรือภูเขาตะวันเที่ยง แต่เป็นที่หอเทพเซียนหนึ่งในหกสายของศาลลมหิมะ ในฐานะที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของสำนักการทหาร เมื่อเทียบกับภูเขาเจินอู่แล้ว ศาลลมหิมะมีสหายกว้างขวางยิ่งกว่า บวกกับที่เวลากระทำการใดๆ ก็มักจะถ่อมตนสำรวมกว่าภูเขาเจินอู่ ลูกศิษย์ในสำนักที่ลงจากภูเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นจอมยุทธพเนจร ไม่ใช่ไปเป็นนักรบในสนามรบ ดังนั้นความสัมพันธ์ที่มีต่อสองสำนักนี้จึงนับว่าไม่เลว ไม่มีทางเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดศาลลมหิมะถึงได้เลือกหอเทพเซียน หนึ่งเพราะหอเทพเซียนตั้งอยู่บนยอดภูเขาสูง การมองเห็นเปิดกว้าง ทัศนียภาพงดงาม หากมองแค่ด้านความงดงามอย่างเดียวก็ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่มีปราณเซียนเข้มข้นที่สุดของศาลลมหิมะ สองเพราะลูกศิษย์ของหอเทพเซียนมีน้อย ควันธูปกระจัดกระจาย ดูเหมือนว่าอาศัยแค่เว่ยจิ้นให้เป็นผู้ประคับประคองเพียงคนเดียวเท่านั้น และเนื่องด้วยความสัมพันธ์กับอาจารย์ผู้มีพระคุณ เว่ยจิ้นจึงไม่ได้สนิทสนมกับสำนักมากนัก คิดดูแล้วศาลลมหิมะก็คงคิดจะอาศัยโอกาสครั้งนี้มาเพิ่มควันธูปให้แก่หอเทพเซียน

เฉินผิงอันรู้ผลลัพธ์จากปากของชิวสือก็ตกตะลึงอย่างหนัก สองศึกใหญ่ก่อนหน้านี้สวนลมฟ้าล้วนแพ้ทั้งหมด หนึ่งบุรพาจารย์กับหนึ่งผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงช่วงวัยกลางคนต่างก็ตายอยู่ภายใต้คมกระบี่ของคู่ต่อสู้อย่างเขาตะวันเที่ยง ศึกใหญ่ครั้งที่สองที่เป็นของบุรพาจารย์ อันที่จริงต่างก็พินาศกันทั้งสองฝ่าย แต่เป็นเพราะบุรพาจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงกลืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายไปทีหลังผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้า ศาลลมหิมะจึงตัดสินตามกฎว่าภูเขาตะวันเที่ยงเป็นฝ่ายชนะ

บนหอเทพเซียนที่พื้นที่กว้างขวางไม่มีภาพที่ผู้คนเบียดเสียดกันแน่นขนัด สิ่งปลูกสร้างจำนวนน้อยนิดรวมตัวกันอยู่ตรงมุมตะวันออกเฉียงเหนือ มีเพียงผู้ฝึกลมปราณของแจกันสมบัติทวีปที่มีทั้งฐานะและศักยภาพควบคู่กันมาเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติขึ้นหอเรือนมาชมศึก นักพรตคนอื่นๆ ได้แต่ชมศึกจากยอดเขาลูกอื่นของศาลลมหิมะอยู่ไกลๆ

หอเทพเซียนขนาดใหญ่มหึมาเหมือนเป็นพื้นที่ที่มีไว้ให้สองฝ่ายประมือกันเท่านั้น

หลังจากได้พูดคุยกัน เฉินผิงอันถึงเพิ่งค้นพบว่าก่อนหน้านี้นักพรตจางซานไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อของเขาตะวันเที่ยงกับสวนลมฟ้าเลยด้วยซ้ำ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ไหนแต่ไรมาผู้ฝึกลมปราณของกุรุทวีปก็มีหัวสูงอยู่แล้ว และดูถูกแจกันสมบัติทวีปที่มีขนาดเล็กที่สุดในเก้าทวีปมาโดยตลอด บางทีอาจมีแค่ไม่กี่ชื่ออย่างสำนักศึกษาซานหยา สำนักศึกษากวานหู ชุยฉานแห่งต้าหลี ซ่งจ่างจิ้งผู้ฝึกยุทธ์และเว่ยจิ้นเซียนกระบี่เท่านั้นที่จะเข้าตาของนักพรตกุรุทวีปได้บ้าง

อีกอย่างหนึ่งก็คือด้วยตบะและวิสัยทัศน์ของนักพรตจางซานเองซึ่งไม่ได้อยู่ที่ทวีปใหญ่ คุ้นเคยกับประเพณีนิยมหรือเรื่องราวในแจกันสมบัติทวีปนั่นแหละที่แปลก

สวนลมฟ้ากับเขาตะวันเที่ยงคือศัตรูคู่แค้นกัน เป็นเรื่องที่คนรู้กันทั้งทวีป เนื่องจากหลังศึกการประลองกระบี่ครั้งหนึ่ง ในจุดที่ลึกที่สุดของสวมลมฟ้ามีศพของบุรพาจารย์หญิงจากเขาตะวันเที่ยงคนหนึ่งที่ถูกทิ้งให้ตากแดดมาจนถึงวันนี้ สวมลมฟ้าไม่เพียงแต่ไม่ยอมคืนศพให้ลูกศิษย์ของขุนเขาตะวันเที่ยงช่วยทำพิธีฝังให้ตั้งแต่แรก แม้แต่กระบี่ยาวของสวมลมฟ้าที่แทงเข้าไปในศีรษะของนางก็ไม่เคยดึงออก ปล่อยให้ลูกศิษย์ฝ่ายในสำนักและแขกที่เข้ามาในสวนชื่นชมกันตามใจชอบมาเป็นเวลาสามร้อยปีแล้ว

อะไรคือความอัปยศอย่างใหญ่หลวง? ก็คือสิ่งนี้แหละ!

ในฐานะผู้ที่ยืนอยู่จุดสูงสุดของวิถีกระบี่ในหนึ่งทวีป ปราณกระบี่ของเขาตะวันเที่ยงเฉียบคมดุดัน ตลอดสามร้อยปีที่ผ่านมาล้วนมีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ลำพังเพียงแค่ระดับความเก่งกาจของลูกศิษย์สามรุ่นที่อายุน้อยที่สุดก็เหนือกว่าสวนลมฟ้าไปแล้ว

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกๆ หกสิบปีก็จะต้องมีคนของเขาตะวันเที่ยงไปท้ารบสวนลมฟ้าเสมอ พยายามที่จะ ‘อัญเชิญ’ ศพของบุรพาจารย์กลับ ให้นางได้ตายตาหลับ แต่เจ้าสวนลมฟ้าผู้ฝึกกระบี่ที่สังหารสตรีของเขาตะวันเที่ยงในตอนนั้นมีชีวิตอยู่ต่อมาได้อีกสามร้อยปี ต่อให้เวลาสามร้อยปีนี้ ภูเขาตะวันเที่ยงจะมีผู้มากพรสวรรค์โดดเด่นมากมาย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ก็ยังคงไม่อาจเอาชนะได้ สำหรับคนที่มาท้ารบในภายหลัง เขาไม่ได้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมอำมหิตเหมือนในอดีตอีกแล้ว แต่ก็ไม่ถือว่ามีเมตตาปราณีสักเท่าไหร่ บ้างก็สะบั้นสะพานแห่งความอมตะ บ้างก็ทำลายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต สำหรับผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว นี่เท่ากับอยู่ไม่สู้ตาย ไม่สู้รบตายอย่างห้าวหาญยังจะดีซะกว่า

นี่ก็คือต้นสายปลายเหตุของการกล่าวอ้างว่า ‘สวนลมฟ้าใช้หนึ่งคนสยบหนึ่งขุนเขา’ ของบุรพแจกันสมบัติทวีป

ตอนนี้ในที่สุดเจ้าสวนลมฟ้าก็ตายไปได้สักที และในช่วงปีใหม่ ข่าวที่บอกว่าเขาตายในสนามรบนี้ก็แพร่ออกไปอย่างเงียบเชียบ พอดีกับที่เป็นช่วงศึกหกสิบปีซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติพอดี แม้สวนลมฟ้าจะปกปิดข่าวนี้อย่างแน่นหนา ไม่ต้องการให้ความลับนี้แพร่ออกไป แต่ไม่รู้ว่าภูเขาตะวันเที่ยงไปได้ข่าวมาจากที่ไหน ภูเขาที่อยู่ในแต่ละยอดเขาล้วนสะท้านสะเทือน ผู้คนตื่นเต้นฮึกเหิมสุดชีวิต มีคนลากเอาคนในครอบครัวไปจุดธูปดื่มเหล้าเคารวะหลุมศพบรรพบุรุษ ผู้เฒ่าแก่โทรมบางคนที่มีชีวิตรอดไปวันๆ ดื่มเหล้าเมามาย ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มของภูเขาตะวันเที่ยงก็ยิ่งปณิธานการต่อสู้ลุกโชน ความเจ็บแค้นและความอัปยศที่ต้องทนรับมาสามร้อยปี ในที่สุดก็มีโอกาสปัดเป่าให้หายเกลี้ยง

ในความเป็นจริงแล้วหลังจากสองศึกใหญ่ผ่านไป ภูเขาตะวันเที่ยงก็ถือว่าคว้าชัยชนะได้อย่างแท้จริงแล้ว อีกทั้งยังชนะได้งดงามมาก ถือว่าช่วงชิงกำไรกลับมาได้เป็นกอบเป็นกำ เป็นเหตุให้การต่อสู้ของคนรุ่นเยาว์ในช่วงสุดท้าย จะสู้หรือไม่ก็ล้วนเกินความจำเป็นแล้ว

สาวใช้ชิวสือรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย นางคิดว่าศึกครั้งสุดท้ายนี้น่าจะไม่เกิดขึ้นแล้ว สำนักที่ชื่อว่าสวนลมฟ้านั่นแพ้ไปสองครั้งแล้ว จะดีจะชั่วบุรพาจารย์ของสวนลมฟ้าที่ลงสนามเป็นคนที่สองก็ต่างกันแค่ลมหายใจเฮือกเดียว ยังพอจะกู้หน้าตากลับมาได้บ้าง หากศึกครั้งที่สามต้องแพ้อีก นั่นก็เท่ากับแพ้สามสนามรวด หากเรื่องนี้แพร่ออกไปชื่อเสียงของสวนลมฟ้าต้องย่อยยับลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว

หากหยุดตั้งแต่ตอนนี้ สวนลมฟ้ายังจะพอปลอบตัวเองได้ว่าอย่างน้อยก็รู้จักยอมรับความพ่ายแพ้

เฉินผิงอันนึกถึงหลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่ที่เคยขึ้นเขาไปหาต้นอบเชยด้วยกัน แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ศึกครั้งที่สาม สวนลมฟ้าต้องสู้แน่”

สำหรับเฉินผิงอันแล้ว หลิวป้าเฉียวไม่ใช่เพื่อนและไม่ใช่ศัตรู นับเป็นคนที่มอบความทรงจำที่ลึกล้ำที่สุดให้แก่เฉินผิงอันในบรรดาเทพเซียนที่มาจากด้านนอก

เฉินผิงอันรู้สึกแค่ว่าสำนักที่สั่งสอนคนอย่างหลิวป้าเฉียวออกมาได้ไม่มีทางถอยหนีเพียงเพราะเรื่องแค่นี้

แล้วก็จริงดังคาด หลังจากสวนลมฟ้า ภูเขาตะวันเที่ยงและศาลลมหิมะสามฝ่ายพูดคุยกันอย่างลับๆ ครั้งหนึ่ง เจ้าสำนักศาลลมหิมะที่ใบหน้าเหมือนเด็ก ร่างเล็กเตี้ยท่านนั้นก็พาหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเดินขึ้นมาตรงใจกลางของหอเทพเซียน ประกาศว่าศึกใหญ่ครั้งที่สามกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

ผู้ที่ลงสนามรบของฝ่ายภูเขาตะวันเที่ยงคือซูเจี้ย หญิงสาวพกกระบี่เล่มยาว ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ท่วงท่าองอาจผ่าเผย หน้าตาเรียกได้ว่างามล่มชาติล่มเมือง

ผู้ที่ลงสนามรบของฝ่ายสวนลมฟ้าคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสวน มีนามว่าหวงเหอ เขาแบกกล่องไม้ขนาดใหญ่ไว้ด้านหลัง ไม่รู้ว่าซุกซ่อนกระบี่เล่มใหญ่ขนาดไหนเอาไว้ หรือว่ามีกระบี่ยาวหลายเล่ม

ในขณะที่แทบทุกคนล้วนจับตามองผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวสองคนนั้น เฉินผิงอันกลับโคจรปราณที่แท้จริงในร่างอย่างเงียบเชียบเพ่งสมาธิมองไป ตามหาเงาร่างของใครบางคนที่อยู่ในหอเรือนทั้งหลาย แม้ว่าม้วนภาพจะใหญ่ถึงเพียงนั้น แต่การที่สิ่งนี้ได้รับความนิยมจากคนทั่วหล้า ก็เพราะสายตาของผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป คนในโลกมองเห็นเม็ดเจี้ยจื่อเป็นเม็ดเจี้ยจื่อ (มัสตาร์ด) แต่มรรคาจารย์เต๋ากลับมองเห็นใต้หล้าทั้งแห่ง คนธรรมดามองเห็นดอกไม้หนึ่งดอกใบไม้หนึ่งใบเป็นเพียงดอกไม้ใบไม้ แต่ศาสดาพุทธกลับมองเห็นโลกธาตุขนาดเล็กหนึ่งใบ

สายตาของเฉินผิงอันพลันหม่นมัว หยิบชาลิ้นนกกระจกสองสามแผ่นยัดใส่ปากแล้วเคี้ยวเบาๆ

กลางระเบียงทางเดินชั้นบนสุดของหอสูงแห่งหนึ่ง ผู้เฒ่าร่างกำยำสวมชุดขาวคนหนึ่งยกสองแขนขึ้นกอดออก กำลังหลุบตามองลงมายังลานกว้างของหอเทพเซียน มีเด็กหญิงหน้าตางามประณีตคนหนึ่งนั่งขี่อยู่บนคอของผู้เฒ่า

ผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงกลางค่อนไปทางขวา บนหอเรือนชั้นนี้มีเหล่าบุรพาจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงรวมตัวกันอยู่ มีทั้งหญิงและชาย แต่ละคนมีบุคลิกลักษณะที่ไม่ธรรมดา ปราณกระบี่มารวมตัวกันเหมือนแม่น้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทร เปี่ยมไปด้วยพลังอันล้นเหลือ

เฉินผิงอันจ้องเขม็งไปที่ผู้เฒ่าชุดขาวคนนั้น ครู่หนึ่งต่อมาก็ย้ายสายตามองไปยังหอสูงอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือหอชมทัศนียภาพที่หอเทียนเซียนเก็บไว้ให้กับคนของสวมลมฟ้า ตั้งแต่ชั้นบนจรดชั้นล่างมีจำนวนของผู้ฝึกกระบี่ยืนอยู่น้อยมาก เมื่อเทียบกับภูเขาตะวันเที่ยงที่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางล้วนถูกเรียกระดมพลให้มาทั้งหมดแล้ว คนของสวมลมฟ้าที่เดินทางมาในครั้งนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ อีกทั้งส่วนใหญ่ล้วนเป็นเด็กรุ่นหลังที่ยังอ่อนเยาว์ ยกตัวอย่างเช่นหลิวป้าเฉียวที่นั่งอย่างเอ้อระเหยลอยชายอยู่บนราวระเบียง ท่านั่งไม่สง่างามนัก แต่หลังจากแพ้ไปแล้วสองศึก สีหน้าของหลิวป้าเฉียวก็เคร่งเครียดอย่างยิ่ง

นักพรตยากจนตั้งใจดูอย่างมาก เขาพึมพำเบาๆ ว่า “เริ่มแล้ว”

ชิวสือเอ่ยยิ้มๆ “ประลองกระบี่สองครั้งก่อนหน้านี้ต่างก็ต้องสู้กับคู่ต่อสู้จนตัวตาย ศึกครั้งนี้ไม่ต้องแบ่งแยกแพ้ชนะ อีกทั้งยังไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวม ข้าคาดว่าคงสู้กันอย่างไม่จริงจังนัก ไม่ได้นองเลือดเหมือนก่อนหน้านี้อีก”

เฉินผิงอันไม่เสนอความเห็น

ความคิดหลักๆ ของเขายังคงอยู่ที่วานรย้ายภูเขาตัวนั้นของภูเขาตะวันเที่ยง

เฉินผิงอันจดจำใบหน้าทั้งหลายที่อยู่ในหอเรือนของภูเขาตะวันเที่ยงเงียบๆ รู้เขารู้เราถึงจะสามารถยิงธนูโดยมีเป้าหมาย เมื่อเทียบกับการพูดถึงอย่างเลี่ยงๆ และข่าวลือที่จะได้ยินในอนาคต ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ถึงจะจริงแท้แน่นอนและตรงไปตรงมามากที่สุด ในอนาคตไม่แน่ว่าคนพวกนี้อาจจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ขัดขวางการเดินขึ้นเขาของตัวเอง แน่นอนว่ายังอยู่ห่างจากวันนั้นอีกไกลมาก ตอนนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสาม ต่อให้จะเป็นขอบเขตสามที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ยังเป็นแค่ขอบเขตสามเท่านั้น

ผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อที่บนศีรษะสวมหมวกขนเตียวจุ๊ปากพูด “เด็กสาวที่ชื่อว่าซูเจี้ยคนนี้ค่อนข้างเสี่ยงนะ”

พูดเข้าเป้าในคำเดียว

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่อยู่ทางฝั่งขวาสุดซึ่งชอบตบฝักกระบี่เบาๆ เป็นความเคยชินเอ่ยว่า “นางแพ้แน่ น่าเสียดายน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นที่เจอกับเจ้านายไม่ดี เกรงว่าต่อให้เป็นกุรุทวีปก็คงหาลูกที่สามไม่เจอแล้ว”

หนึ่งคำเป็นดั่งคำพยากรณ์

เพียงสามกระบวนท่าเท่านั้น ซูเจี้ยก็ชักกระบี่ เรียกใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็แล้ว แต่ก็ยังถูกผู้ฝึกกระบี่หนุ่มฝ่ายตรงข้ามที่ชื่อว่าหวงเหอผู้นั้นซัดจนหมอบกระแต ที่แท้ในกล่องไม้ใบใหญ่ที่อยู่ด้านหลังบุรุษบรรจุกระบี่เล่มเล็กไว้เต็มไปหมด แทบไม่ต่างจากแบกรังผึ้งรังหนึ่ง ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอะไร เพียงแค่เขาเชี่ยวชาญการควบคุมกระบี่บินให้กวนสมาธิคู่ต่อสู้ ทำเอาซูเจี้ยที่เดิมทีก็ไม่มีจังหวะให้เอาคืนถูกกระบี่บินแทงทะลุแขนข้างที่ถือกระบี่ไปครั้งหนึ่ง อีกครั้งหนึ่งเชือกที่ร้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ซึ่งห้อยไว้ตรงเอวถูกตัดขาด ครั้งสุดท้ายถูกกระบี่บินสองเล่มปักตรึงลงไปบนข้อมือซ้ายขวา เทพธิดาแห่งภูเขาตะวันเที่ยงที่ล้มลงอยู่ในกองเลือดจึงหมดสติไปแล้ว

อันที่จริงจำนวนของเทพธิดาในแจกันสมบัติทวีปที่ผู้คนให้การยอมรับนับถืออย่างแท้จริงมีไม่มาก เฮ้อเสี่ยวเหลียงกุมารีหยกของสำนักโองการเทพคือผู้ครองอันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรี หลังจากนั้นก็เป็นซูเจี้ยและคนอีกสามสี่คน พวกนางคือเทพธิดาหญิงที่ผู้ฝึกลมปราณอายุน้อยนับไม่ถ้วนในแจกันสมบัติทวีปเลื่อมใสมานาน ถึงขั้นที่เคยมีคนพูดหยอกล้อว่า หลังจากที่ซูเจี้ยโด่งดังแล้ว จำนวนที่ภูเขาตะวันเที่ยงรับลูกศิษย์ทุกๆ สิบปีก็เพิ่มมากกว่าเดิมถึงสามเท่าตัว

ผู้ฝึกกระบี่หวงเหอยืนอยู่ข้างกายซูเจี้ย ยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบไปบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ระดับยอดเยี่ยม แล้วขยี้ฝ่าเท้าเบาๆ

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มของสวมลมฟ้าผู้นี้ยกมุมปากตวัดขึ้นเป็นรอยโค้ง กวาดตามองรอบด้าน สุดท้ายหันไปมองยังหอเรือนสูงที่เหล่าบุรพาจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงยืนเรียงกันเป็นหน้ากระดาน

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสีดำสนิทราวกับหยกเล่มหนึ่งบินออกมาจากหว่างคิ้วของเขา ส่งเสียงหวึ่งๆ เมื่อกระบี่บินเล่มนี้สั่นสะท้านจนเกิดเป็นเสียงอื้ออึง ลมภูเขาและทะเลเมฆโดยรอบหอเทพเซียนทั้งหมดก็เปลี่ยนจากบรรยากาศผ่อนคลายสบายๆ มาเป็นวุ่นวายปั่นป่วน

หลังจากแสดงอำนาจท้าทายทุกคนอย่างโจ่งแจ้ง ชายหนุ่มก็เก็บกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต หันไปตะโกนใส่ทางหอเรือนสูงเสียงดัง “หกสิบปีให้หลัง ข้าหวงเหอจะขึ้นไปประลองกระบี่บนยอดเขาตะวันเที่ยง ปลิดศีรษะหนึ่งหัวเอามาวางไว้ในสวมลมฟ้า”

บุรพาจารย์ภูเขาตะวันเที่ยงบนยอดหอเรือนท่านหนึ่งที่มีเส้นผมขาวโพลน หนวดยาวปลิวสยายหันมามองด้วยสายตาเดือดดาล อดใจไม่ไหวจึงเตรียมจะลงมาทุบเจ้าตะพาบน้อยพูดจาโอหังคนนี้ให้ตายไปซะเดี๋ยวนั้น

ประตูใหญ่ชั้นบนสุดของหอสูงที่ผู้ฝึกกระบี่ของสวมลมฟ้ารวมตัวกันพลันเปิดอ้า ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มชุดดำหน้าตาหล่อเหลาอย่างยิ่งคนหนึ่งเดินออกมา หันไปมองบุรพาจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงที่ทำท่าจะลงไม้ลงมือคนนั้นยิ้มๆ “โจวเฮ้อ อาศัยที่ตนมีอายุมากและทำเป็นผู้อาวุโสเที่ยวดูถูกคนอื่น แบบนี้ไม่ดีเลยนะ ไม่อย่างนั้นให้ข้าเล่นเป็นเพื่อนเจ้าไหมล่ะ?”

หลังจากผู้ฝึกกระบี่คนนี้เดินออกมาจากประตูใหญ่ ไม่เพียงแต่บุรพาจารย์ผมขาวเท่านั้น แต่คนของภูเขาตะวันเที่ยงทั่วทั้งหอเรือนสูงต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดกันไปหมด นอกเหนือจากความตกใจแล้วยังแฝงเร้นไปด้วยความสิ้นหวังที่ไม่อยากจะยอมรับด้วยเสี้ยวหนึ่ง

คนผู้นี้ก็คือหลี่ถวนจิ่งเจ้าสวนของสวนลมฟ้า พรสวรรค์โดดเด่นน่าครั่นคร้าม ตอนอายุสี่สิบก็เลื่อนสู่ขอบเขตสิบ แต่ระยะเวลาหลายร้อยปีอันยาวนานหลังจากนั้นมาก็ไม่เคยฝ่าทะลุขอบเขตอีกเลย เป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมาก แต่ต่อให้ไม่ได้เลื่อนขึ้นเป็นห้าขอบเขตบน หลี่ถวนจิ่งก็ได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีปว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่มีใครมาเทียบเทียม!

ก่อนหน้าที่เว่ยจิ้นยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตสิบเอ็ดกลายเป็นเซียนกระบี่พสุธาก็เคยยอมรับกับตัวเองว่าไม่อาจต่อกรกับคนผู้นี้ได้

ไหนบอกว่าหลี่ถวนจิ่งตายไปในสนามรบแล้วยังไงล่ะ?

หลี่ถวนจิ่งไม่สนใจบุรพาจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงที่ทั้งตกตะลึงทั้งคลางแคลงใจ เขาเงยหน้าขึ้นคล้ายกำลังส่งยิ้มบางๆ มาให้กับคนเบื้องหลังทุกคนที่กำลังชมศึกครั้งนี้ มือหนึ่งของเขาไพล่หลัง อีกมือหนึ่งประกบสองนิ้วหมุนเบาๆ ระหว่างที่ลมเย็นกลุ่มหนึ่งบินมาล้อมวน เขาก็สะบัดข้อมือ หลี่ถวนจิ่งเอ่ยคำคำหนึ่งออกมาด้วยสีหน้าแต้มยิ้มบางเบา “สะบั้น”

หลังจากลมเย็นขุมนั้นพ้นไปจากมือของผู้ฝึกกระบี่ชุดดำก็พลันกลายมาเป็นปราณกระบี่ขนาดมหึมาที่มีพลังงานเปี่ยมล้น แล้วหมุนวนอยู่เหนืออากาศของหอเทพเซียนรอบหนึ่ง ตัดขาดความเชื่อมโยงระหว่างหอเทพเซียนของศาลลมหิมะกับโลกภายนอก

ทุกคนที่อยู่ในภาพวาดปากอ้าตาค้าง

คนที่อยู่นอกภาพวาดหันมามองหน้ากัน

หอเทพเซียนในภาพวาด บนหอสูง หลี่ถวนจิ่งทั้งไม่ได้หาเรื่องใคร แล้วก็ไม่ได้ทิ้งคำอาฆาตอะไรเอาไว้ เขาเพียงยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น ทอดสายตามองไปยังทะเลเมฆที่คลายตัวกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว

นี่ทำให้ศาลลมหิมะรู้สึกโล่งอก

ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบที่แข็งแกร่งที่สุด พลังการสังหารของหลี่ถวนจิ่งสูงมากจนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้คน

เมื่อผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งถูกขนานนามให้เป็น ‘ที่สุด’ ในด้านใดก็ตาม โดยเฉพาะในขอบเขตของหนึ่งทวีปย่อมต้องเป็นบุคคลที่น่ากลัวอย่างมาก

ยกตัวอย่างเช่นซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลี ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตเก้าที่หนุ่มที่สุด เมื่อตกอยู่ท่ามกลางศึกโอบล้อมเมือง เขาก็ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบในตำนาน

เว่ยจิ้น ผู้ที่ทำลายสถิติของหลี่ถวนจิ่ง กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดที่หนุ่มที่สุด ตอนนี้กลายเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตบนที่สูงส่งเหนือผู้ใดไปแล้ว

หวงเหอแห่งสวนลมฟ้าที่สะพายกล่องกระบี่ไม้เดินช้าๆ กลับขึ้นไปบนหอเรือนสูง

ทางฝ่ายของภูเขาตะวันเที่ยงเริ่มมีคนรีบร้อนลงไปช่วยเหลือซูเจี้ยแล้ว

หลี่ถวนจิ่งยืนสองมือไพล่หลัง ใบหน้าประดับรอยยิ้ม

ต่อให้ข้าเหลือแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็จะต้องบีบคอภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเจ้า แม้ว่าสุดท้ายแล้วศิษย์ลูกศิษย์หลานของเจ้าจะพาศพเจ้าออกไปจากสวนลมฟ้าได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่มีทางหายแค้นได้อยู่ดี

เจ้าเห็นไหมเล่า

เมื่อสามร้อยปีก่อน เจ้าทรยศต่อความจริงใจของข้า ข้าก็ทำให้คนทั้งภูเขาตะวันเที่ยงของเจ้าเงยหัวไม่ขึ้นสามร้อยปีเต็ม

เจ้าทำร้ายให้พวกเด็กรุ่นหลังในขุนเขาที่โชคดีกลายเป็นเซียนกระบี่ไม่มีหน้าจัดพิธีเฉลิมฉลอง ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลเมฆเหนือยอดเขา ทอดถอนใจด้วยความเสียดาย

ต่อให้วันนี้ข้าจะต้องตาย แล้วจะอย่างไร?

คราวนี้เจ้าพอใจแล้วหรือยัง?

หลี่ถวนจิ่งหยุดความคิดทั้งหมดลง หมุนกายเดินลงบันได ฝ่ามือตีไปตามราวบันไดเบาๆ

หลี่ถวนจิ่งเดินลงมาถึงชั้นแรก มาหยุดยืนอยู่ข้างกายคนหนุ่ม

หลิวป้าเฉียวที่อดทนดูจนศึกใหญ่ปิดฉากลงริมฝีปากสั่นระริก

หลี่ถวนจิ่งหันมาเอ่ยยิ้มๆ “ป้าเฉียว เห็นสตรีที่ตนรักได้รับความอัปยศ ต้องทนดูจิตแห่งกระบี่ของนางแหลกสลาย เพราะเป็นศัตรูที่อยู่กันคนละฝั่งจึงไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่กระนั้นก็อดเจ็บปวดแทนนางไม่ได้ เป็นความรู้สึกที่ย่ำแย่มากเลยใช่หรือไม่?

หลิวป้าเฉียวพลันคืนสติ เตรียมจะกระโดดลงจากราวระเบียง แต่กลับถูกหลี่ถวนจิ่งยื่นมือมาห้ามไว้ “นั่งไปนั้นแหละ”

หลิวป้าเฉียวกล่าวอย่างละอายใจ “เจ้าสวน…”

หลี่ถวนจิ่งยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรๆ ก็แค่ชอบผู้หญิงที่ไม่ควรชอบมากที่สุดเท่านั้น ไม่นับเป็นอะไรได้ ฟ้าไม่ได้จะถล่มลงมาสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องละอายใจ”

หลิวป้าเฉียวไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร ทั้งไม่อยากกล่าวคำพูดที่ผิดต่อใจตัวเอง แล้วก็รู้สึกผิดต่อสำนัก รู้สึกละอายใจต่อเจ้าสวน

หลี่ถวนจิ่งเอ่ยถาม “นับจากนี้ไปซูเจี้ยต้องตกต่ำ คาดว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นก็ต้องถูกภูเขาตะวันเที่ยงยึดคืน จิตแห่งกระบี่ถูกทำลาย จิงชี่เสินทั้งร่างของเทพธิดาที่เคยทำให้เด็กรุ่นหลังอย่างพวกเจ้ารู้สึกละอายใจที่เทียบไม่ได้ล้วนพังทลายลง วันหน้าย่อมไม่ใช่เทพธิดาอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจเทียบนักพรตหญิงในนามของภูเขาตะวันเที่ยงไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ป้าเฉียว ข้าแค่อยากรู้ว่า เจ้าจะยังชอบนางอยู่อีกหรือไม่?”

หลิวป้าเฉียวพูดเหมือนสะอื้น “ชอบไปตลอดชีวิต เจ้าสวน ข้าไม่เอาไหนมากเลยใช่หรือไม่?”

หลี่ถวนจิ่งกล่าวอย่างสะท้อนใจ “เด็กโง่ แบบนี้สิถึงจะดี”

“ถ้าอย่างนั้นก็ชอบแบบนี้ต่อไปเถอะ แต่อย่าให้ส่งผลกระทบต่อการฝึกกระบี่ก็แล้วกัน ต้องรู้ว่าเจ้าเป็นคนที่ข้าเห็นดีมาโดยตลอด ไม่ด้อยไปกว่าหวงเหอเลย ก่อนหน้านี้ที่ข้าไม่พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า เพราะรู้ว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้สามารถพูดได้แล้ว เพราะหลังจากนี้จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”

หลิวป้าเฉียวหันหน้ามามอง “เจ้าสวน?”

หลี่ถวนจิ่งพลันถามว่า “ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี วันหน้าพยายามนำศพของข้าไปฝังร่วมกับศพคนผู้นั้น ป้าเฉียว หากกาลเวลาล่วงเลยผ่าน ช่วงเวลานั้นภูเขาตะวันเที่ยงเป็นดั่งดวงตะวันที่อยู่สูงกลางท้องนภา ข่มทับให้คนของสวนลมฟ้าพวกเราต้องเจียมตัวเก็บหัวเก็บหาง เจ้าจะทำอย่างไร?”

หลิวป้าเฉียวไม่เหลือความกล้านั่งอยู่บนราวระเบียงอีกแล้ว เขากระโดลงมายืนกลางระเบียง กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้ฝึกกระบี่ย่อมสามารถใช้กระบี่พูดเหตุผลได้”

หลี่ถวนจิ่งเอ่ยหยอก “โอ้โห เหมือนข้าตอนเป็นหนุ่มมากเลยนะเนี่ย”

จากนั้นหลี่ถวนจิ่งก็ทอดสายตามองไปไกล กล่าวกลั้วหัวเราะ “จำเอาไว้ว่า ระหว่างบุรุษและสตรี หลักการนี้ใช้ไม่ได้ วันหน้าอย่าได้รู้สึกว่าเวทกระบี่ของตนสูงส่งแล้วจะใช้วิธีนี้ได้กับทุกเรื่อง เวลาพูดกับสตรีที่รัก อย่างไรก็ควร…”

“ควรอ่อนโยนสักหน่อย แล้วก็ต้องรู้จักพูดคำหวานด้วย”

หลี่ถวนจิ่งหันหน้ามองไปยังหวงเหอ ลูกศิษย์คนสุดท้ายที่เดินลงมาจากบันไดช้าๆ

มองไปยังคนหนุ่มทั้งสอง ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบที่แข็งแกร่งที่สุดในแจกันสมบัติทวีปผู้นี้ก็คลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “หลังจากข้าตายไป วันหน้าคงต้องมอบบสวมลมฟ้าให้พวกเจ้าสองคนเป็นเสาหลักแล้ว”

หวงเหอสีหน้าเย็นชา “อาจารย์ แค่ข้าคนเดียวก็พอ”

หลิวป้าเฉียวยิ้มหน้าเป็น “แบบนี้สิดี คนเก่งก็เหนื่อยเยอะหน่อย ไม่ต้องให้เป็นภาระของข้า”

หลี่ถวนจิ่งหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี ยื่นนิ้วชี้ไปยังหวงเหอ “ผู้ฝึกกระบี่ที่พลังพิฆาตไร้เทียมทาน ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า ต้องเป็นของเจ้า”

จากนั้นก็ชี้มาที่หลิวป้าเฉียว “ผู้ฝึกกระบี่ที่องอาจสง่างาม ดื่มสุราเคล้านารี ต้องเป็นเจ้า”

สุดท้ายหลี่ถวนจิ่งกล่าวอย่างลำพองใจว่า “สรุปคือ ไม่ว่าอะไรก็ต้องเป็นของสวนลมฟ้าพวกเราทั้งหมด”

……

บนเรือคุนที่มุ่งหน้าไปยังแคว้นหนันเจี้ยน บุรุษร่างกำยำที่นั่งอยู่ข้างกายสตรีแต่งงานแล้วเอ่ยเย้ยหยัน “นอกจากผู้ฝึกกระบี่ชุดดำที่ลงสมรภูมิรบเป็นครั้งสุดท้ายที่ยังถือว่าพอมีความสามารถที่แท้จริงอยู่บ้าง การต่อสู้สามครั้งที่เหลือล้วนฝีมือธรรมดา หากเอาไปไว้ในกุรุทวีปของพวกเรา ไหนเลยจะมีหน้ากล้าจัดงานโอ้อวดใหญ่โตขนาดนี้”

สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นไม่เลวเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสซื้อมาหรือไม่”

หมัวมัวเฒ่าที่ยืนกุมมือคารวะอย่างเคร่งเครียดยิ้มบางๆ “ขอแค่ฮูหยินแจ้งชื่อของท่าน คิดว่าคงจะได้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นมาไม่ยาก”

ทางฝั่งซ้ายมือสุด ผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อที่สวมหมวกขนเตียวทนฟังคำพูดโอหัง รวมไปถึงคำวิจารณ์ที่มีต่อคนอื่นไม่จบไม่สิ้นของพวกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ไหวอีกต่อไป นับตั้งแต่ศึกใหญ่ศึกแรกเริ่มต้นขึ้น พวกคนที่นั่งอยู่ใกล้เขากลุ่มนี้ก็เริ่มคุยโวโอ้อวด ตรงนี้ไม่ดี ตรงนั้นไม่ได้ เขาหนวกหูแทบตายอยู่แล้ว ผู้เฒ่าจึงเอียงศีรษะถ่มเสลดหนาข้นลงบนพื้นอย่างแรง “วิชากระบี่ของคนทั้งสามเทียบกับเซียนกระบี่ของกุรุทวีปเราไม่ได้ก็จริง แต่ศึกใหญ่ทั้งสามครั้งต่างก็สู้กันอย่างเต็มคราบ สมศักดิ์ศรี ยังจะเอายังไงอีก?”

ผู้ชายร่างสูงใหญ่ตวาดเสียงเฉียบ “ตาแก่เจ้าอยากตายรึ?”

ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “อยากตายแล้วอย่างไร? ไม่สู้มาลงนามยอมรับความตายกันเลย ในเมื่อดูเรื่องสนุกระหว่างสวนลมฟ้าและภูเขาตะวันเที่ยงจบแล้ว ก็ให้คนอื่นได้ดูเรื่องสนุกของพวกเรากันบ้างไหมล่ะ? หากแพ้ ข้าผู้อาวุโสก็ยอมรับชะตากรรม หากชนะ ให้ข้าเย่อคู่ชู้ของเจ้าสามวันสามคืน ตกลงไหม?”

ไม่ได้เก่งแต่ปาก พูดว่าจะทำก็ลงมือทำทันที

บุรุษลักษณะสุภาพอ่อนโยนแต่เหมือนคนขี้ขลาดที่อยู่ข้างกายสตรีแต่งงานแล้วทำหน้าที่เป็นทูตสันติ “มีเรื่องอะไรก็พูดกันดีๆ พูดกันดีๆ …ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก อีกทั้งทุกคนยังเป็นคนของกุรุทวีปเหมือนกัน เหตุใดต้องทำลายความปรองดอง…”

สตรีแต่งงานแล้วที่ร่างผอมแห้งสูงโปร่งไม่เพียงแต่ไม่ขุ่นเคือง กลับยังหันหน้ามามองด้วยความสนใจ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “น่าเสียดายที่แก่ไปหน่อย คาดว่าเอวแก่ๆ ของเจ้าคงทนรับแรงโยกของข้าไม่ไหว สู้กันล่างเตียงกับสู้กันบนเตียงไม่เหมือนกันหรอกนะ ใช่ไหมล่ะ ตาแก่หนังเหนียว?”

“ถุย!”

ผู้เฒ่าถ่มน้ำลายอีกรอบ “อย่าว่าแต่ผู้หญิงร่างผอมแห้งเป็นไม้เสียบผีอย่างเจ้าเลย แม้แต่เจ้าผู้ชายหน้าขาวคนนั้นของเจ้า ข้าก็เย่อพร้อมกันได้!”

เฉินผิงอันรับฟังด้วยอาการปากอ้าตาค้าง

ทำไมถึงรู้สึกเหมือนได้กลับไปที่ตรอกหนีผิง ตรอกซิ่งฮวาอีกครั้งล่ะ?

แน่นอนว่าเขาไม่ได้เข้าใจทุกคำที่พวกเขาพูด แต่ท่าทางเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอันเลย

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่อยู่ทางขวาสุดหันหน้ามากล่าวอย่างหงุดหงิด “จะตีกันก็รีบตี เลิกเก่งแต่ปากกันสักที เป็นมลพิษต่อหูข้า!”

ดีนักนะ มีคนนิสัยฉุนเฉียวมาร่วมด้วยอีกคนแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ ยังราดน้ำมันลงบนกองไฟเสียอีก

เฉินผิงอันรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย คงไม่ได้จะตีกันจริงๆ หรอกนะ?

ผู้ฝึกกระบี่หญิงที่ปักปิ่นกระบี่เล่มเล็กไว้ตรงมวยผมไม่ได้ให้ความสนใจเหตุการณ์นี้ นางเอาแต่เงยหน้ามองม้วนภาพวาดคล้ายกำลังย้อนทบทวนพลังที่แฝงอยู่ในศึกเป็นตายทั้งสามศึกนั้น

ยังดีที่เจ้าของเรือซึ่งก่อนหน้านี้เคยพูดคุยกับเว่ยป้อเดินตรงมาด้วยรอยยิ้ม สายตากวาดผ่านทุกคน เริ่มจากผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อก่อนเป็นคนแรก ทุกครั้งที่มองคนหนึ่งก็จะต้องกุมมือพร้อมเอ่ยเรียกชื่อของคนผู้นั้น “ท่านเจี้ยนเวิ่ง ชิงกู่ฮูหยิน คุณชายหูลวี่ ช่วยเห็นแก่หน้าของข้า เรื่องวันนี้ให้แล้วกันไปได้หรือไม่?”

ทั้งสามฝ่ายจะไม่เห็นแก่หน้าของเจ้าของเรือท่านนี้ หรือจะไม่เห็นหน้าของภูเขาต่าเจี้ยวเลยก็ยังได้ แต่หลังจากที่เจ้าของเรือเอ่ยเรียกชื่อคนทั้งสามอย่างเรียบง่าย เรื่องราวก็ง่ายดายขึ้นกว่าเดิม

ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่มีฉายาว่าเจี้ยนเวิ่ง (เหยือกกระบี่) คือผู้ฝึกกระบี่นิสัยประหลาดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งทางทิศใต้ของกุรุทวีป ขอบเขตไม่ถือว่าสูงนัก เป็นแค่ขอบเขตโอสถทอง ไม่มีสำนักไร้พรรค แต่เชี่ยวชาญการเลี้ยงกระบี่ไว้ในเหยือกโบราณ อีกทั้งยังมักจะชอบช่วยเหลือผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางเลี้ยงกระบี่บินโดยไม่คิดค่าตอบแทน เป็นเหตุให้มีสหายอยู่ทั่วหล้า

ชิงกู่ฮูหยิน ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับมีบิดาบุญธรรมเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดคนหนึ่ง ซึ่งปกป้องและเข้าข้างลูกของตัวเองอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังได้ครอบครองอาวุธเทพจอมเผด็จการชิ้นหนึ่ง บวกกับที่เดิมทีตัวของหญิงแต่งงานแล้วเองก็เป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ด เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัว ชื่อเสียงความเหี้ยมโหดจึงเลื่องลือเป็นที่รู้จัก

ส่วนผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่มีสองแซ่ว่าหูลวี่ก็ยิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในกุรุทวีป เพียงหนึ่งไม่มีสอง

ในตระกูลมีบรรพบุรุษขอบเขตหยกดิบที่เป็นเซียนกระบี่พสุธาคนหนึ่ง ซึ่งก็คือหนึ่งในเซียนกระบี่ที่พากองทัพใหญ่มุ่งหน้าไปยังภูเขาห้อยหัว นิสัยตรงไปตรงมา เป็นเพื่อนสนิทกับเซี่ยสือเจ้าลัทธิเต๋าของหนึ่งทวีป ประมุขตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลหูลวี่คือผู้บัญชาการณ์ใหญ่ในราชวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดทางทิศตะวันออกของกุรุทวีป เนื่องจากเกิดมามีร่างกายไม่เหมาะกับการฝึกตน เป็นบัณฑิตอ่อนแอที่ไม่มีแม้แต่แรงฆ่าไก่ แต่สุดท้ายกลับได้กุมอำนาจควบคุมทหารกล้าสามแสนนายไว้ในมือ นอกจากนี้ยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาเกือบพันคน มีชื่อเสียงงดงามว่า ‘แม่ทัพฝ่ายบุ๋นพันกระบี่’

ไม่ใช่ว่าภูเขาต่าเจี้ยวหวาดกลัวทั้งสามฝ่าย แต่กระนั้นศักยภาพก็ไม่มากพอให้งัดข้อกับตระกูลหูลวี่ แม้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกล แส้ยาวแค่ไหนก็เอื้อมมาไม่ถึง (เปรียบเปรยว่าเกินขอบเขตอำนาจตัวเอง) ส่วนชิงกู่ฮูหยินที่ชอบเลี้ยงชายบำเรอกับผู้เฒ่าเจี้ยนเวิ่ง ภูเขาต่าเจี้ยวก็ยิ่งไม่กลัวเข้าไปใหญ่ แต่ทุกคนที่มาเยือนล้วนถือเป็นแขก มีหลักการที่พ่อค้าเปลี่ยนจากการทำการค้ามาเป็นศัตรูกับลูกค้าเสียที่ไหน

ผู้เฒ่าร้องโอ้โหหนึ่งที โน้มตัวมาด้านหน้า หันหน้าไปมองทางผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นแล้วถามเสียงดัง “เจ้าเด็กแซ่หูลวี่ หูลวี่อิ๋นจื่อเป็นอะไรกับเจ้า?”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “คือท่านอาน้อยของข้า ปิดด่านหลายปีแล้ว เจ้ารู้จักรึ?”

ผู้เฒ่าตบเข่าฉาด “ฮ่าๆ ตอนที่หูลวี่อิ๋นจื่อยังเป็นหนุ่ม ทึ่มทื่อเหมือนไม้ท่อนหนึ่ง คราวก่อนไปกินเนื้อสดที่หอนางโลม ข้าผู้อาวุโสก็คือคนพาเขาไป! หลังจากนั้นมา จุ๊ๆๆ เขาจะต้องมาตามก้นข้าผู้เฒ่าทุกสองวันสามวัน แม่งเอ๊ย เคยได้ยินแค่ว่าใต้หล้านี้มีพวกที่ชอบขอกินขอดื่มไม่จ่ายเงิน แต่อาน้อยของเจ้าคนนี้กลับขอเที่ยวนางโลมไม่จ่ายเงิน ข้าผู้อาวุโสอยู่มาจนป่านนี้ เพิ่งจะเคยเห็นคนแบบเขาเป็นคนแรก!”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มหน้าแดงก่ำ รีบชำเลืองมองไปทางผู้ฝึกกระบี่สาวที่อยู่ข้างกายอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่านางไม่มีท่าทีผิดปกติ เขาถึงพอจะคลายใจลงได้บ้าง จึงหันไปพูดกับผู้เฒ่าปากสุนัขผู้นั้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอาน้อยของข้าไม่ใช่คนแบบนั้นแน่!”

ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อเหลือกตามองสูง “ข้าผู้อาวุโสกับท่านอาน้อยของเจ้าคือเพื่อนสนิทที่ช่วยเช็ดก้นให้กัน เด็กน้อยอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร!”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มอึ้งตะลึงเหมือนถูกฟ้าผ่า

ในที่สุดผู้ฝึกกระบี่สาวที่ทนมานานก็รู้สึกเหลือทน ตวาดกร้าวอย่างเดือดดาล “หุบปาก!”

ผู้เฒ่าหัวเราะคิกคัก “ว้าว นังหนูนี่ดุร้ายจริงๆ เสร็จแน่ ไอ้หนูเจ้าลำบากแน่”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มรู้ดีว่ากำลังจะมีเรื่อง เพียงแต่ไม่ทันได้เปิดปากเอ่ยเตือน

ผู้ฝึกกระบี่สาวสีหน้าเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง “ปากเปราะ พูดจาไร้มารยาท ข้าจะตบให้ฟันสุนัขของเจ้าร่วงหมดปาก!”

กระบี่บินเล่มเล็กที่ใช้แทน ‘ปิ่น’ ปักมวยผม ตัวกระบี่ไร้ความคม ขนาดเล็กกระจิ๋วหลิว

แต่พอหลุดออกมาจากเส้นผมสีนิลบนศีรษะ หางกระบี่ก็เปล่งแสงสีขาวหิมะเส้นหนึ่ง กระบี่บินลากเส้นสีขาวแสบตาที่ยาวมากเส้นหนึ่งคงค้างอยู่กลางอากาศตามทิศทางที่มันพุ่งไป

เดิมทีกระบี่บินบนโลกก็มีชื่อเสียงด้านความเร็วและยากจะป้องกันอยู่แล้ว แต่กระบี่บินเล่มเล็กของผู้หญิงคนนี้กลับเร็วจนอยู่เหนือความคาดคิด

เร็วเกินไปแล้ว!

ได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ

เฉินผิงอันใจกระตุกเล็กน้อย

ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊ออุดปาก เลือดสดหลั่งลงมาตามร่องนิ้ว พูดเสียงคลุมเครือฟังไม่ชัดเจน

ที่แท้กระบี่บินก็แทงเข้าไปที่ปากของเขา ทะลวงฟันซี่หนึ่งของผู้เฒ่าจนแตกละเอียด

ผู้เฒ่าไม่โกรธกลับยังหัวเราะขำ เบิกบานใจอย่างถึงที่สุด เขาใช้สองมือตบขา ถ่มเลือดคำหนึ่งออกมา ตะโกนพูดเสียงดัง “ช่างเป็น ‘สายฟ้าแลบ’ ที่ดีจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นหนึ่งในกระบี่บินที่เร็วที่สุดของกุรุทวีปเรา มีชื่อเสียงสมดังคำเล่าลือ มีชื่อเสียงสมดังคำเล่าลือจริงๆ !”

ต่อให้เป็นชิงกู่ฮูหยินก็ยังขนลุกขนพอง

นี่คือลูกหลานของเซียนกระบี่ซึ่งไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็นอีกคนหนึ่งแล้ว

อีกทั้งเมื่อเทียบกับตระกูลหูลวี่ที่มีศักยภาพยิ่งใหญ่แล้ว เจ้าของคนก่อนของ ‘สายฟ้าแลบ’ เล่มนี้ถือเป็นคนที่มีพลังอำนาจไม่ธรรมดา และพลังการต่อสู้ก็แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดด้วย

เขาเคยสะพายกระบี่เดินทางไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางซึ่งเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบเพียงลำพัง กระบี่พกมีนามว่า ‘พยัคฆ์ทมิฬ’ กระบี่บินมีชื่อว่า ‘สายฟ้าแลบ’

แม้เฉินผิงอันจะไม่รู้ความลับขั้นสุดยอดของกุรุทวีป แล้วนับประสาอะไรกับที่พวกเขายังพูดคุยกันด้วยภาษาทางการของกุรุทวีป เฉินผิงอันจึงฟังไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ต้องเป็นมรสุมที่ตั้งเค้าก่อนเทพเซียนจะตีกันอย่างแน่นอน

ดังนั้นเขาจึงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมแต่โดยดี และเตรียมพร้อมเผ่นหนีได้ทุกเมื่อหากท่าไม่ดี

ยังดีที่การคุยเล่นกันในช่วงที่ผ่านมา ได้ฟังชุนสุ่ยและชิวสืออธิบายจึงทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าหากอยู่บนเรือคุนที่ข้ามผ่านสามทวีปลำนี้ การพบเจอเทพเซียนไม่ใช่เรื่องที่ต้องแปลกใจ

ส่วนเบื้องใต้เรือคุน ยุทธภพของแจกันสมบัติทวีป อันที่จริงไม่มีบุคคลน่าครั่นคร้ามอะไรอยู่มากนัก ไม่เพียงแต่บุรพแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้เป็นกุรุทวีปที่แผ่นดินกว้างใหญ่มีมือกระบี่มากมายดุจขนวัวก็เป็นเหมือนัน

หลังจากกระบี่บินกลับเข้าฝักแล้ว ผู้ฝึกกระบี่หญิงก็หันไปยิ้มขออภัยให้กับเจ้าของเรือภูเขาต่าเจี้ยว ในใจฝ่ายหลังจึงโล่งใจมากขึ้น

อันที่จริงมีนางช่วยออกหน้าให้ เหตุการณ์จึงไม่บานปลายซับซ้อน มีแต่จะปิดฉากลงอย่างเรียบง่าย

แล้วก็จริงดังคาด คนของสามฝ่ายต่างก็สงบเสงี่ยมกันมากขึ้น ไม่เหลือบรรยากาศตึงเครียดพร้อมห้ำหั่นกันอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว

ตอนที่อยู่ในเมืองเล็กหรือบนภูเขาลั่วพั่ว อันที่จริงเฉินผิงอันไม่รู้สึกว่ายุทธภพจะอันตรายจนถึงขนาดที่ทำให้คนเกิดความสิ้นหวังด้านชาอย่างที่เด็กชายชุดเขียวรู้สึก

แต่หลังจากได้เห็นศึกของผู้ฝึกกระบี่ในภาพวิหคและบุปผา แล้วก็เห็นการประมือกันของเทพเซียนในระยะประชิด เฉินผิงอันก็บอกกับตัวเองในใจว่า ‘เฉินผิงอัน อย่าเอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว ต้องมานะฝึกหมัดให้มากขึ้น จะได้ฝึกกระบี่ได้เร็วขึ้น’

เฉินผิงอันหันไปมองท้องฟ้านอกเรือคุนโดยไม่รู้ตัว ขี่กระบี่บินทะยาน ลอดผ่านทะเลเมฆ เคียงคู่อยู่กับฝูงสกุณา ภาพเหตุการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาตั้งตารอคอยอย่างยิ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!