บทที่ 214 เดินทางยามราตรีท่ามกลางลมฝน
ดูเหมือนภูเขาต่าเจี้ยวจะใช้วิธีการคล้ายการคัดลอกลาย จึงสามารถเก็บภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในม้วนภาพบุปผาและวิหคไว้ได้ทั้งหมด เมื่อฉีกผ้าบางๆ คล้ายกระดาษขาวออกมาชั้นแล้วชั้นเล่า รวมทั้งหมดสิบครั้ง ก็วางขายอย่างเปิดเผย
เจ้าของเรือเรียกให้ชุนสุ่ยกับชิวสือเป็นผู้ช่วยตะโกนบอกราคาให้แก่ภูเขาต่าเจี้ยว
เดิมทีเฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอหันไปเห็นโดยบังเอิญว่าชิวสุ่ยยืนถือแผ่นภาพคนละฝั่งกับพี่สาว ชุนสุ่ยยืนอยู่ด้วยท่วงท่าเรียบร้อยสง่างาม แต่เวลาประกาศราคากลับคล่องแคล่วไร้ข้อบกพร่อง ส่วนชิวสุ่ยกลับจ้องเป๋งมาที่เฉินผิงอันโดยไม่ได้ยี่หระกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ พอเห็นสายตาของเขา นางถึงได้เชิดคางขึ้นน้อยๆ เผยสีหน้าเย่อหยิ่งอย่างพึงพอใจ
ราวกับว่าจนกระทั่งบัดนี้ ชิวสุ่ยถึงได้รู้สึกว่าตัวเองทัดเทียมกับเฉินผิงอันแล้ว?
เฉินผิงอันไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเด็กสาวเท่าไหร่นัก จึงวางความสนใจไว้ที่กระดาษขาวลอกลายเหล่านั้น การลอกลายสิบครั้ง ยิ่งเป็นช่วงหลัง ปราณวิญญาณก็ยิ่งบางเบา ภาพเหตุการณ์ก็ยิ่งพร่าเลือน แผ่นสุดท้ายชมได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าราคาต้องต่ำมาก แค่ต้องจ่ายด้วยหยกเกล็ดหิมะสามสิบอีแปะเท่านั้น
หยกโบราณที่นำมาทำเป็นเหรียญเงิน มีชื่อว่าหยกเกล็ดหิมะ เป็นหยกที่มีเฉพาะในธวัลทวีปของทางทิศเหนือ หลักๆ แล้วกระจายอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลสองแห่ง เมื่อนำ ‘เหรียญทองแดง’ ที่เป็นที่นิยมบนภูเขาชนิดนี้มาวางไว้ใต้แสงแดดจะสามารถสะท้อนให้เห็นประกายแสงแวววาวเหมือนเกล็ดหิมะที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศ นอกจากนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่าเงินหิมะน้อย ด้านบนสลักสี่ตัวอักษรว่า ‘นิมิตแห่งพืชผลอุดมสมบูรณ์’ ด้านหลังสลักอีกสี่คำว่า ‘ที่ดินศักดินาหิมะน้อย’
เพราะปริมาณการผลิตของหยกเกล็ดหิมะมีจำนวนมหาศาล อีกทั้งจำนวนลมปราณที่แฝงเร้นอยู่ด้านในก็ไม่ธรรมดา ท่ามกลางการเวลาอันยาวนาน เงินเกล็ดหิมะนี้จึงค่อยๆ กลายมาเป็นเหรียญเงินที่ใช้ร่วมกันบนภูเขาของเก้าทวีป เป็นที่นิยมแพร่หลาย เป็นวัตถุที่ผู้ฝึกลมปราณระดับล่างหรือระดับกึ่งกลางภูเขาต้องเตรียมไว้เวลาออกนอกบ้าน แน่นอนว่าเงินเกล็ดหิมะสามารถนำมาแลกเป็นเงินหรือทองที่พวกชาวบ้านใช้กันได้ แต่เงินหรือทองนั้นกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะนำมาแลกเป็นเงินเกล็ดหิมะได้
หลักการนั้นง่ายมาก ขุนนางชนชั้นสูงหรือกองกำลังตามพื้นที่ต่างๆ ที่อยู่ด้านล่างภูเขาย่อมไม่สามารถส่งเงินเป็นรถม้าคันแล้วคันเล่าให้กับเทพเซียนบนภูเขา ทั้งไม่สะดวกและสะดุดตาเกินไป หากคิดจะมอบเงินเกล็ดหิมะหนึ่งกล่อง จำเป็นต้องพิถีพิถันอย่างมาก หากกล่องที่ใช้บรรจุเงินสามารถพิถีพิถันได้ยิ่งกว่า เลือกใช้วัตถุดิบไม้งดงามแปลกตาก็จะยิ่งดูสง่างามมากขึ้น
เฉินผิงอันกัดฟันซื้อม้วนภาพกระดาษขาวแผ่นสุดท้ายมาด้วยเงินหิมะน้อยสามสิบอีแปะ เพราะเป็นภาพสุดท้าย เจ้าของเรือภูเขาต่าเจี้ยวจึงนำมามอบให้เฉินผิงอันด้วยตัวเอง ชิวสือไม่หนักแน่นสำรวมเหมือนชุนสุ่ยผู้เป็นพี่สาว สำหรับเจ้าของเรือผู้นี้นางเองก็ไม่ได้ให้ความเคารพนับถือสักเท่าไหร่ นางจึงคอยพูดจ้อล้อมหน้าล้อมหลังเขาเหมือนนกขมิ้นตัวหนึ่ง
ยังดีที่เจ้าของเรือเห็นพี่น้องฝาแฝดคู่นี้เติบโตมาตั้งแต่เด็ก บวกกับที่พรสวรรค์ของชิวสือดีกว่าชุนสุ่ย ใช่ว่าจะไม่มีหวังเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ดังนั้นเจ้าของเรือภูเขาต่าเจี้ยวจึงค่อนข้างมีความอดทนกับชิวสืออย่างมาก นี่เรียกว่าปล่อยสายเบ็ดยาวหวังตกปลาตัวใหญ่ มีชีวิตหากินอยู่บนภูเขา สายตาจึงมองได้ยาวไกล ไม่เพียงแต่เห็นแค่สิ่งที่อยู่บนโต๊ะ ในกระทะ แต่อาจจะเห็นไปถึงในที่นาเลยก็เป็นได้
หลังจากมือหนึ่งรับเงินมือหนึ่งส่งสินค้าแล้ว เจ้าของเรือก็หยอกเย้าชิวสือโดยการหยิบหลีไฟลูกหนึ่งที่อยู่ในถาดผลไม้บนโต๊ะข้างเก้าอี้จื่อถานส่งให้กับสาวใช้ผู้นี้แล้วจึงจากไป เฉินผิงอันไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ ทว่าชิวสือถลึงตาใส่แรงๆ ใส่เขาหนึ่งครั้ง ที่แท้หลีไฟลูกนั้นก็คือส่วนแบ่งที่ชิวสือได้มาจากการช่วยขายภาพวาดหนึ่งภาพ เพียงแต่ว่าหลังจากถลึงตาเสร็จแล้ว ชิวสือก็หัวเราะคิกคักอยู่กับตัวเอง ชูหลีไฟในมือขึ้นแกว่งให้พี่สาวดูด้วยท่าทางลำพองใจ
ชีวิตคนไม่มีอะไรที่แน่นอน มีพบแล้วก็ต้องมีจาก
หลังศึกใหญ่ระหว่างสวมลมฟ้ากับภูเขาตะวันเที่ยงปิดฉากลง เฉินผิงอันก็แยกกับนักพรตฝ่ายนอกของภูเขามังกรพยัคฆ์ กลับไปที่ห้องอักษรตัวเทียนพร้อมกับชุนสุ่ยและชิวสือ ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอีกครั้ง แต่เมื่อเรือคุนลำนี้ค่อยๆ ลงจอดเหนือน่านฟ้าในอาณาเขตของแคว้นหนันเจี้ยนก็กลายเป็นว่าเฉินผิงอันกับนักพรตจางซานได้พบกันโดยบังเอิญอีกครั้ง พวกเขาเลือกลงเรือที่นี่ คู่สาวใช้ชุนสุ่ยชิวสือโบกมืออำลา นับแต่นี้แยกจากกันอยู่คนละฟ้าดิน
ท่าเรือของแคว้นหนันเจี้ยนสร้างอยู่บนเขตชายแดนที่เชื่อมติดระหว่างสองแคว้น คือแคว้นหนันเจี้ยนกับแคว้นกู่อวี๋ ตั้งอยู่เหนือทะเลสาบใหญ่แห่งหนึ่ง
เมื่อเทียบกับภูเขาอู๋ถงในหลงเฉวียนต้าหลีที่เพิ่งถูกบุกเบิกแล้ว ท่าเรือแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่ามาก สามารถจอดเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวได้พร้อมกันถึงห้าลำ
แยกจากกับชุนสุ่ยและชิวสือ ไม่ถึงขั้นรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ช่วงเวลาที่ผ่านมา เฉินผิงอันทำหน้าหนาไปขอผลไม้จำนวนมากมาจากภูเขาต่าเจี้ยว ด้วยเหตุนี้เด็กสาวสองคนจึงได้พึ่งใบบุญของเขาไปด้วย ตอนหลังภูเขาต่าเจี้ยวเริ่มนินทาเด็กหนุ่มจากต้าหลีผู้นี้ บ้างก็ว่าเขาสายตาตื้นเขิน ไม่เคยเห็นโลกกว้าง เป็นคนที่ชอบฉกฉวยเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ต่อให้เฉินผิงอันรู้ก็ไม่มีทางสนใจ กลับเป็นชิวสือเสียอีกที่ได้ยินคำพูดมีนัยซ่อนแฝงเหล่านั้นแล้วไม่สบอารมณ์ สุดท้ายจึงกลายเป็นชุนสุ่ยที่ไปขอผลไม้จากห้องครัวของเรือคุนมาแทน
ตอนที่เฉินผิงอันลงจากเรือได้เอาแกนผลไม้และเปลือกผลไม้ไปด้วยเป็นจำนวนมาก
เพราะคนที่ลงเรือที่แคว้นหนันเจี้ยนมีไม่มาก ดังนั้นเพียงไม่นานเฉินผิงอันจึงได้เจอกับนักพรตกระบี่ไม้ท้อแล้วเลือกจับคู่เดินทางไปด้วยกัน
รั้วตรงหัวเรือ ชิวสือแค่นเสียงเย็น “พี่สาว ท่านดูเจ้าหมอนั่นสิ ลงเรือไปแล้วก็ไม่มีความรู้สึกเสียใจที่ต้องจากลาเลย ไม่แน่ว่าอาจจะกำลังคิดถึงโลกคาวโลกีย์ด้านล่างภูเขาอยู่ก็ได้”
ชุนสุ่ยกล่าวอย่างจนใจ “ขนาดหอซิ่งฮวาคุณชายเฉินยังไม่สนใจ จะไปมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นั้นได้อย่างไร ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้สักหน่อยว่า เหล่าขุนนางระดับสูง คุณชายสูงศักดิ์ทั้งหลายที่เห็นเรื่องราวในโลกมาจนเคยชิน พอมาถึงเรือคุณ เข้าไปในหอซิ่งฮวาก็ล้วนเพลิดเพลินจนลืมทางกลับบ้าน เพราะอย่างไรซะผู้หญิงในหอที่ช่างเอาอกเอาใจพวกเขาเก่งก็ถือเป็นเทพธิดาในสายตาของมนุษย์โลก พอดื่มเหล้าเมามายแล้ว บุรุษพวกนั้นต่างก็เปิดเผยด้านที่อัปลักษณ์ของตนออกมาจนหมดสิ้น เฮ้อ หากผู้ชายล่างภูเขาเป็นเหมือนคุณชายเฉินทั้งหมดก็คงดีน่ะสิ”
ชิวสือกลับไม่เห็นด้วยนัก “นั่นเป็นเพราะเฉินผิงอันอายุยังน้อย วันหน้าก็อาจกลายเป็นคนเลวร้ายที่แปดเปื้อนสิ่งสกปรกโสมม ไม่แน่ว่าคราวหน้าที่ขึ้นเรือมา เฉินผิงอันอาจจะกลายเป็นคนปลิ้นปล้อนกลับกลอก ลงไม้ลงมือกับพวกเราก็ได้”
ชุนสุ่ยหรี่ตาชำเลืองมองถุงปักลายงดงามตรงเอวของน้องสาว “เจ้าคิดแบบนี้จริงหรือ?”
ชิวสือพลันหันขวับกลับมา แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นภาพที่เกิดขึ้นบนทะเลสาบ
ชุนสุ่ยมองไปถึงได้พบว่าเฉินผิงอันกำลังกุมมือคารวะบอกลาพวกนางสองพี่น้อง ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชาวยุทธ์ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวซึ่งมุมานะในการฝึกวิชาหมัด
ชุนสุ่ยรีบยกมือขึ้นโบกลา
รอจนเฉินผิงอันหมุนกายจากไปแล้ว ชิวสือถึงได้หันกลับมาด้วยท่าทางแง่งอน ชุนสุ่ยจึงเอ่ยเย้าว่า “เจ้าจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร อยู่ห่างจากเขาตั้งไกลขนาดนี้ บอกลาอย่างมีมารยาทไม่ทำให้เจ้าเสียเนื้อไปสักหน่อย”
ชิวสือปรายตามองหน้าอกของพี่สาวแวบหนึ่ง กลั้นยิ้มพูดว่า “พี่สาว หากท่านเสียเนื้อไปสักสองสามจินคงไม่ต้องกลัว เพราะอย่างไรก็มีพื้นฐานแน่นหนา แต่ข้าไม่ได้หรอกนะ”
พี่น้องสองคนจึงหยอกเย้ากันอีกครั้ง
ตอนยังป็นหนุ่มเป็นสาว มักจะคิดว่าการจากลาคือการเริ่มต้นของการพบกันใหม่ในครั้งหน้า
เฉินผิงอันกับนักพรตจางซานพูดคุยกันพักหนึ่งถึงได้รู้ว่าทั้งคู่ต่างก็ต้องเดินทางลงใต้ ฝ่ายเฉินผิงอันนั้นเป็นเพราะเหตุผลประหลาด ลู่เฉินและหยางเหล่าโถวต่างก็ต้องการให้เขาลงเรือที่แคว้นหนันเจี้ยน เขาไม่กล้าละโมบคิดถึงแต่ความสนุกส่วนตัว เลยไปลงที่ท่าเรือถัดไปซึ่งอยู่ในนครมังกรเฒ่า ส่วนนักพรตกระบี่ไม้ท้อนั้นมีสาเหตุเพราะความยากจนหิวโหย อยู่บนเรือลำนี้ต่อไปไม่ไหวจริงๆ หากยังไม่ลงเรือ เกรงว่าคงต้องขายแรงงานบนเรือคุนถึงจะมีข้าวให้กินอิ่มท้อง
คนทั้งสองนิสัยเข้ากันได้ดี จึงตกลงกันว่าจะเดินทางลงใต้ด้วยกัน ส่วนเรื่องที่ว่าจะแยกทางกันไปตอนไหน พวกเขายังไม่ให้ความสนใจชั่วคราว
ท่าเรือที่คนทั้งสองลงจากเรือตั้งอยู่ทางชายแดนทิศใต้ของแคว้นหนันเจี้ยนกับชายแดนทิศเหนือของแคว้นกู่อวี๋ นักพรตจางซานพอจะรู้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปอยู่บ้างจึงอธิบายประเพณีพื้นบ้านของแคว้นกู่อวี๋ให้เฉินผิงอันฟัง เดิมทีฮ่องเต้แคว้นกู่อวี๋คือคนสกุลฉู่ นับตั้งแต่ประเทศก่อตั้งและมีประวัติศาสตร์มาก็เล่าลือกันว่ายุคบรรพกาลมีเทพหญิงองค์หนึ่งที่รับผิดชอบทำหน้าที่ป่าวประกาศเมื่อถึงฤดูกาลใบไม้ผลิ ขณะเดียวกันก็ควบคุมการก่อเกิดและการแห้งเหี่ยวของต้นไม้ใบหญ้าใต้หล้าด้วย มีเพียงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งในอาณาเขตของแคว้นกู่อวี๋ที่ใบเป็นสีเขียวยามฤดูใบไม้ร่วง และแห้งเหลืองยามฤดูใบไม้ผลิ มักจะเติบโตช้ากว่าต้นไม้อื่นๆ นี่ทำให้เทพธิดาหงุดหงิดเป็นกำลัง จึงออกคำสั่งไม่ให้ต้นไม้ต้นนี้มีสติปัญญา ยากที่จะกลายมาเป็นภูตต้นไม้ได้ นี่ก็คือต้นกำเนิดของประโยคที่ว่า ‘ไม้อวี๋เป็นปมตะปุ่มตะป่ำ’ (กล่าวถึงรากของต้นเอล์มที่แข็งแกร่ง เปรียบเปรยถึงความคิดที่ดึงดัน)
นักพรตจางซานคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม ขอบเขตยังไม่มั่นคงนัก แต่เรื่องการข้ามเขาลงห้วยนี้ ในฐานะนักพรตของระบบเต๋าภูเขามังกรพยัคฆ์ ไม่ว่าจะเป็นนักพรตที่ได้รับการบันทึกชื่อหรือไม่ พวกเขาก็ล้วนคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี
ก่อนจะเดินขึ้นเขา นักพรตหนุ่มที่ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้ท้อยังหยิบกระดิ่งทองแดงชิ้นหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระ เอาแขวนไว้ตรงปลายกระบี่ไม้ท้อ อธิบายกับเฉินผิงอันว่า “นี่คือกระดิ่งสดับปีศาจ เป็นที่นิยมมากที่สุดในลัทธิเต๋า คล้ายคลึงกับภาพไป๋เจ๋อที่ผู้ฝึกลมปราณต้องมี กระดิ่งชิ้นนี้ของข้าผู้เป็นนักพรตมีระดับต่ำที่สุด ได้แค่ถือว่าเป็นวัตถุกำจัดปีศาจขั้นพื้นฐาน หลังกรอกปราณวิญญาณเข้าไป ในระยะเวลาหลายชั่วยามจะสามารถสัมผัสได้ถึงภูตผีปีศาจที่ระดับสูงกว่าข้าผู้เป็นนักพรตหนึ่งขอบเขต ตอนนี้ข้าผู้เป็นนักพรตเพิ่งจะขอบเขตสาม นี่หมายความว่าถ้าเจอกับปีศาจใหญ่ขอบเขตห้า จะไม่สามารถสัมผัสได้ถึง”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
มีใครเขาบอกตื้นลึกหนาบางของตบะตัวเองให้คนที่เพิ่งพบหน้ากันไม่นานอย่างเจ้าบ้าง?
อีกอย่าง อะไรคือ ‘ปีศาจใหญ่ขอบเขตห้า’?
เฉินผิงอันเริ่มไม่แน่ใจ หรือว่าตนกับลูกศิษย์ฝ่ายนอกของภูเขามังกรพยัคฆ์ผู้นี้อยู่กันคนละใต้หล้า อยู่กันคนละยุทธภพ? เด็กน้อยสองคนที่อยู่กับเขา เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลาง แต่พอไปอยู่ที่บ้านเกิดเขา เด็กชายชุดเขียวก็ไม่ได้โวยวายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหรอกหรือว่า จะมุมานะฝึกตนเพื่อไม่ให้โดนคนอื่นต่อยตายด้วยหมัดเดียว?
แม้เฉินผิงอันจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่กลับรู้สึกดีต่อนักพรตหนุ่มคนนี้อยู่หลายส่วน
นักพรตหนุ่มไม่ทันสังเกตเห็นถึงท่าทางกังขาของเฉินผิงอัน ยังคงเอ่ยปลอบใจ ‘คุณชายเฉิน’ ที่อยู่ข้างกายของตนต่อว่า “แต่คุณชายเฉินวางใจได้เลย บนภูเขาของพวกเรามีคำกล่าวบอกว่า ในรัศมีพันลี้ของตระกูลเซียนใดก็ตามที่มีอักษรคำว่าสำนักย่อมไม่มีทางมีปีศาจใหญ่มาก่อความวุ่นวายเด็ดขาด เหตุผลนั้นง่ายมาก ปีศาจใหญ่ไม่มีความกล้ามากพอจะมาก่อเรื่องในโลกมนุษย์ เพราะหากเซียนซือห้าขอบเขตกลางรู้เข้า ไม่แน่ว่าอาจจะต้องถูกสังหาร ถูกไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับพลางเอ่ยว่าถูก
บัณฑิตขึ้นเขาเลียนแบบเซียนถือเป็นละครฉากสำคัญในวรรณกรรมมาทุกยุคทุกสมัย เทพเซียนปลอมตัวลงมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ ปั่นหัวมนุษย์ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือนอกภูเขา ทั้งสองฝ่ายนี้ก็คล้ายมีสายใยบางๆ เชื่อมอยู่
เฉินผิงอันเองก็เพิ่งรู้หลังจากขึ้นเรือมาแล้วว่า อาณาเขตของสามทวีปซึ่งรวมแจกันสมบัติทวีปไว้ด้วยนั้น สถานที่อย่างหลงเฉวียนมีน้อยยิ่งกว่าน้อย ชาวบ้านส่วนใหญ่มักจะก้มหน้าก้มตาทำงานกันทั้งชีวิต ไม่เคยได้เห็นเทพเซียนบนภูเขาเลยสักครั้ง
นักพรตจางซานคือคนมีน้ำใจที่เป็นมิตรกับคนอื่นอย่างแท้จริง หลังจากพูดคุยกันแล้วรู้ว่าเฉินผิงอันออกมานอกบ้าน แต่กลับไม่มีภาพไป๋เจ๋อแม้แต่แผ่นเดียว ก็ยืนกรานจะมอบภาพไป๋เจ๋อของตนให้เฉินผิงอันให้ได้ บอกว่าม้วนภาพนี้มีราคาแค่สองสามเหรียญเงินหิมะน้อยเท่านั้น อีกอย่างก็เป็นของถูกขั้นพื้นฐานที่สุดเหมือนกับกระดิ่งสดับปีศาจ เป็นของทำมือที่คนทำขึ้นเอง จึงค่อนข้างจะหยาบ ภาพที่พิมพ์ก็คุณภาพแย่ ต่อให้มอบเป็นของขวัญยังน่าอาย ในเมื่อเจ้าเฉินผิงอันรีบใช้ เตรียมไว้เผื่อเวลาฉุกเฉิน ก็ควรจะเอาไปใช้ก่อน ถึงอย่างไรเขาจางซานก็ท่องจำได้ขึ้นใจมานานแล้ว
นี่คงต้องพูดว่ากุมารเจ้าทรัพย์มาเจอกับกุมารเจ้าแจกทรัพย์กระมัง?
เฉินผิงอันไม่กล้ารับมาเปล่าๆ ตอนที่สอดเข้าไปในชายแขนเสื้อจึงแอบควบคุมวัตถุฟางชุ่นสืออู่หยิบเงินหิมะน้อยออกมาสองเหรียญ แล้วมอบให้จางซาน ฝ่ายหลังลังเลเล็กน้อย ก่อนจะรับไปหนึ่งเหรียญเงินหิมะน้อย ยังพูดด้วยว่าของเก่าแก่ขนาดนี้แล้ว ขายหนึ่งเหรียญยังแพงไปด้วยซ้ำ อันที่จริงตอนนั้นที่เจอกับผีสวมชุดเจ้าสาว นักพรตตาบอดก็เคยมอบ ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่สืบทอดมาจากอาจารย์ให้กับเฉินผิงอัน เมื่อเทียบกับภาพไป๋เจ๋อนี้แล้วดีกว่าไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า แต่เฉินผิงอันก็มอบ ‘ภาพค้นภูเขา’ ให้แก่หลินโส่วอี อีกทั้งขณะที่เฉินผิงอันเดินพลางดูภาพไป๋เจ๋อไปพลาง เขายังเปี่ยมไปด้วยความสนอกสนใจ โดยเฉพาะภาพเหมือนของภูตผีปีศาจต่างๆ ที่ไม่ได้วาดไว้ใน ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่ยิ่งทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าได้รับผลเก็บเกี่ยวมหาศาล
เรื่องการขึ้นเขานี้ เกรงว่าต่อให้นักพรตจางซานขึ้นเขาลงห้วยอีกสิบปีก็คงสู้เด็กบ้านนอกอย่างเฉินผิงอันไม่ได้
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเดินอย่างผ่อนคลาย นักพรตกระบี่ไม้ท้อที่แม้จะไม่ถึงขั้นหอบหายใจฮักๆ แต่ก็ไม่สบายสักเท่าไหร่
เฉินผิงอันไม่ได้ระแวดระวังเหมือนตอนอยู่บนเรือคุน เขายังจงใจเพิ่มน้ำหนักฝีเท้าเวลาเดินอยู่เป็นระยะ หนึ่งเพราะหลังจากที่เฉินผิงอันฝึกหมัดบนเรือนไม้ไผ่ก็ได้เข้าใจหลักการข้อหนึ่ง นั่นคือเส้นเอ็นขึงใจ (อาจเปรียบได้ถึงความตึงเครียด) จำเป็นต้องมีการผ่อนคลายบ้าง สองเพราะการเดินทางด้วยเรือคุนที่ทะยานอยู่กลางทะเลเมฆกับเดินอยู่บนภูเขาของแผ่นดินเบื้องล่างเรือคุนนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว เฉินผิงอันไม่จำเป็นต้องระวังตัวมากเกินไป เพราะต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามทั่วไป หากคิดจะเดินทางท่องเที่ยวไปตามแคว้นต่างๆ เพียงลำพังก็ยังไม่มีภัยคุกคามมากเท่าไหร่นัก ข้อสุดท้ายคือเหตุผลที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือเฉินผิงอันวางใจในตัวนักพรตจางซานอย่างมาก ความรู้สึกที่เพิ่งพบหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานานนี้ ทำให้เฉินผิงอันเชื่อใจเขาอย่างถึงที่สุด ก็เหมือนกับในอดีตตอนที่เห็นอาจารย์ฉียืนอยู่นอกโรงเรียน เห็นหลี่ซีเซิ่งยืนอยู่หน้าประตูตระกูลหลี่
เฉินผิงอันเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเอง
เมื่อคนทั้งสองเจอภูเขาข้ามภูเขา เจอน้ำข้ามน้ำไปด้วยกัน เพียงไม่นานเวลาก็ผ่านไปได้ยี่สิบวันแล้ว ตลอดทางที่ผ่านมาล้วนราบรื่นไร้อุปสรรค ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินผิงอันกับนักพรตหนุ่มยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น เฉินผิงอันไม่คิดจะปิดบังท่าเดินนิ่งหกก้าวของตัวเอง ช่วงเวลาว่างระหว่างหยุดพักก็จะฝึกท่ากระบี่เจี้ยนหลู ส่วนสิ่งที่นักพรตจางซานฝึกนั้นกลับเป็นวิชาห้าอสนี เพราะเคยเห็นจากหลินโส่วอีและนักพรตเต๋าตาบอดมาก่อน นี่จึงไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน จางซานมักจะตั้งท่าประหลาดบ่อยๆ เขาจะยืนขาเดียว กำมือทุบลงไปบนช่องโพรงบางแห่งตรงหน้าท้องอย่างแรงจนกระทั่งเกิดเสียงคำรามอย่างเป็นขั้นเป็นตอน บ้างก็งอข้อมือ ใช้นิ้วมือยันไว้ตรงเส้นชีพจรบนลำคอ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งประกบสองนิ้วเป็นกระบี่ หุบปากแน่นสนิท ตรงหน้าท้องมีเสียงดุจฟ้าร้องกระหึ่มดังเป็นจังหวะจะโคน
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้เห็นคนที่ฝึกตนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เทียบกับการฝึกหมัดของตนแล้วก็ไม่เป็นรองเลยแม้แต่น้อย
เกรงว่านี่คงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้คนทั้งสองจับคู่เดินทางลงใต้ไปพร้อมกันได้
ต่างก็ทนความลำบากได้ดี อีกทั้งยังสามารถหาความสุขจากมันได้ด้วย
บางครั้งที่ม่านรัตติกาลเยื้องกรายมาเยือน คนทั้งสองจะหาสถานที่หลบลมฝน ก่อกองไฟ บ้างก็เป็นวัดโบราณ บ้างก็เป็นถ้ำในภูเขา นักพรตหนุ่มจะเล่าถึงความร้ายกาจของผู้ฝึกกระบี่ในกุรุทวีปให้เฉินผิงอันฟัง บอกว่าเมื่ออยู่ที่นั่น นักพรตจะถูกคนดูแคลน อาวุธวิเศษชิ้นเดียวกัน หากผู้ฝึกกระบี่เป็นคนซื้อ จ่ายแค่เงินหิมะน้อยสิบอีแปะก็ได้แล้ว แต่หากนักพรตเต๋าเป็นคนไปซื้อ ราคาอาจจะเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่าตัว ตอนที่พูดถึงเรื่องนี้ นักพรตหนุ่มที่นิสัยอ่อนโยนเผยสีหน้าขุ่นเคืองเพราะได้รับความอยุติธรรมออกมาเป็นครั้งแรก บอกว่าหากวันหน้าเป็นไปได้ เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงกฎพวกนี้สักหน่อย
ก่อนหน้านี้หลังจากที่นักพรตเต๋าหนุ่มแน่ใจแล้วว่าเฉินผิงอันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อันที่จริงเขาคิดอยู่หลายตลบก็ยังไม่เข้าใจ หากจะบอกว่าผู้ที่ฝึกหล่อหลอมลมปราณให้กลายเป็นเซียนคือถ้ำผลาญทองที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกยุทธ์ก็คืออันดับสองอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาเองก็ต้องเผาผลาญเงินทองไปมากมายนับไม่ถ้วน นับตั้งแต่ที่เขาจางซานลงมาจากภูเขาก็ไม่เคยมีวันไหนที่ได้ใช้ชีวิตสุขสบาย บางครั้งที่ได้เงินมาก็ต้องชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียนับร้อยรอบแล้วค่อยเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นยันต์ที่สามารถช่วยรักษาชีวิต หรือไม่ก็อาวุธกำจัดปีศาจปราบมารที่เหมาะสมที่สุดชิ้นสองชิ้น ยกตัวอย่างเช่นหากพบเจอกับปีศาจใหญ่ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงและสถานการณ์อันตราย ยันต์เทพเดินทางแผ่นหนึ่งก็สามารถช่วยให้นักพรตหนุ่มหนีไปไกลจากจุดเดิมได้หลายลี้อย่างรวดเร็ว ซึ่งยันต์ชนิดนี้จางซานต้องจ่ายด้วยเงินเกล็ดหิมะสามสิบปีแปะ และเงินเกล็ดหิมะหนึ่งอีแปะ อย่างน้อยก็มีมูลค่าเท่ากับเงินที่ชาวบ้านใช้กันหนึ่งร้อยตำลึง นี่หมายความว่าหากจางซานอยู่ในหมู่ชาวบ้านก็ต้องอาศัยความสามารถของตัวเองหาเงินมาให้ได้อย่างน้อยสามพันตำลึง ถึงจะสามารถซื้อยันต์เทพเดินทางแผ่นหนึ่งได้
ทว่าในกุรุทวีปที่บนภูเขามีผู้ฝึกกระบี่ ล่างภูเขามีมือกระบี่มากมายดุจขนวัว ตลอดระยะทางมุ่งหน้าลงใต้ที่ยากลำบาก นักพรตหนุ่มซึ่งมีตบะขอบเขตสามต้องอาศัยการกำจัดปีศาจปราบมารที่ชั่วร้าย และในความเป็นจริงแล้วปีศาจที่กำจัดส่วนใหญ่จะเป็นพวกภูตที่ดื้อรั้นเกเร มารที่ปราบก็ยิ่งเป็นผีตามสุสานรกร้างที่ไม่มีสติปัญญาเท่านั้น นับว่าหาเงินมาได้อย่างยากลำบาก บางครั้งหากเจอกับปีศาจระดับสองที่มีฝีมือแข็งแกร่ง ไม่แน่ว่านักพรตหนุ่มยังต้องเสียทรัพย์สินของตัวเองไปด้วย เงินที่ได้มาเยอะจริงๆ ยังคงมาจากการเข้าร่วมขมากรรมพิธีหรือไม่ก็เวลามีงานมงคล โดยเฉพาะพิธีกรรมทางลัทธิเต๋าที่ต้องการให้นักพรตเต๋าเข้าร่วมเป็นจำนวนมากที่ได้เงินมาง่ายและเร็วที่สุด น่าเสียดายก็แต่เรื่องดีๆ แบบนี้ได้แต่ปรารถนา มิอาจครอบครอง
ดังนั้นหลังจากที่จางซานได้ยินว่าแจกันสมบัติทวีปเลื่อมใสนักพรตเต๋ามาก ไม่เหมือนกุรุทวีปที่ดูถูกนักพรตเต๋า เขาจึงอยากเดินทางลงใต้มาดูว่าจะมีโชควาสนากับที่แห่งนี้หรือไม่ ผลกลับกลายเป็นว่าขึ้นเรือมาได้ไม่นานก็เกือบจะต้องหิวตาย นี่ทำให้นักพรตหนุ่มเกิดเงาดำมืดในใจต่อการเดินทางมาเยือนแจกันสมบัติทวีป
อาณาบริเวณของแคว้นกู่อวี๋ไม่ใหญ่มาก เพียงไม่นานคนที่สองก็ข้ามเส้นชายแดนเข้ามาถึงอาณาเขตของแคว้นไฉ่อี ขณะที่เร่งเดินทางยามค่ำคืน จู่ๆ ก็เจอกับพายุฝนที่เทกระหน่ำ น่าแปลกมากก็คือพอคนทั้งสองเข้ามาในเทือกเขาเส้นหนึ่งที่ไร้เงาผู้คน เดินมาได้ประมาณสิบกว่าลี้ รอบด้านกลับไม่มีสถานที่เหมาะๆ ให้หลบฝนเลยแม้แต่แห่งเดียว มีแต่หินประหลาดบนเส้นทางคดเคี้ยว ส่วนใหญ่จะเป็นหินหน้าผาที่เปิดโล่ง อีกทั้งต้นไม้ใหญ่ที่งอกบนภูเขาบางต้น ส่วนใหญ่ยังแห้งเหี่ยวเฉาตาย ต้นไม้ที่พอจะมีสีเขียวให้เห็นอยู่บ้างก็อยู่ไกลเกินกว่าจะใช้คำว่าร่มใบรกครึ้มได้ ดังนั้นฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองที่ตกกระทบลงบนร่างของคนทั้งสองจึงต่อเนื่องไม่ขาดสาย แรงกระแทกมากพอจะทำให้ศีรษะของคนมึนงง ตอนที่อยู่ในเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันได้ขัดเกลาฝึกฝนขอบเขตที่สามของผู้ฝึกยุทธ์จนกลายมาเป็นเหมือนตัวประหลาดคนหนึ่ง แน่นอนว่านี่ไม่ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีและใจไม่เต้นแรงด้วยความแตกตื่น ทว่านักพรตจางซานเพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตสามได้ไม่นาน เดิมทีระดับความแข็งแกร่งของเรือนกายและจิตใจของผู้ฝึกลมปราณก็เทียบเคียงกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวในระดับเดียวกันไม่ได้อยู่แล้ว อีกอย่างรากฐานขอบเขตสามของเขาก็ถูกปูมาอย่างธรรมดา ดังนั้นสีหน้าของนักพรตหนุ่มจึงซีดขาว ริมฝีปากเขียวคล้ำ เฉินผิงอันรู้ว่าอีกฝ่ายทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ต่อให้จางซานผ่านพ้นค่ำคืนแห่งพายุคืนนี้ไปได้ เกรงว่าพรุ่งนี้ก็ต้องล้มป่วยแน่นอน
เฉินผิงอันจึงหยุดเดิน ตบไหล่จางซาน พูดกับเขาเสียงดังว่าอย่าเดินไปไหน พยายามรักษาลมหายใจให้ราบเรียบมั่นคงให้ได้มากที่สุด เขาจะออกไปสำรวจหาหนทางเพียงลำพังก่อน ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ภายในหนึ่งก้านธูปจะต้องกลับมา จางซานอึ้งตะลึง นักพรตหนุ่มที่ถูกห่าฝนสาดกระหน่ำลงบนร่างจนสมองเริ่มมึนงงขยับริมฝีปากเบาๆ พูดเสียงแผ่วเหมือนเสียงยุง เพราะฝนตกหนัก ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังฟังไม่รู้เรื่องว่าเขาเอ่ยว่าอะไร เห็นเพียงว่าร่างกายของจางซานยิ่งอ่อนแอลงไปอีก ไม่อาจทนรับการตากฝนแบบนี้ได้อีกแล้ว เฉินผิงอันจึงไม่ลังเล หันมาส่งยิ้มให้เขา จากนั้นก็หมุนตัวก้าวเดินเร็วๆ จากไป
นักพรตหนุ่มนั่งลงขัดสมาธิ พยายามต้านทานความหนาวเย็นที่เสียดลึกถึงกระดูกอย่างเต็มกำลัง
ห้าขอบเขตล่างของผู้ฝึกลมปราณถูกเรียกขานว่าห้าขอบเขตขึ้นภูเขา ต้องชักนำพลังแห่งฟ้าดินภายนอกเข้ามาราดรดร่างกาย หล่อหลอมเนื้อหนัง เอ็น กระดูกและเลือดของตัวเอง ขอบเขตที่หนึ่งและขอบเขตที่สองคือขอบเขตหนังทองแดงกับขอบเขตรากหญ้า ซึ่งสามารถทำให้ผิวหนังกล้ามเนื้อของผู้ฝึกลมปราณแข็งแกร่งทนทาน เลือดลมพลุ่งพล่านอุดมสมบูรณ์ ตามหลักแล้วแค่พายุฝนเท่านั้น ต่อให้จะเป็นพายุฝนที่ตกแรงแค่ไหน นักพรตหนุ่มที่อยู่ในขอบเขตสามเส้นเอ็นหลิวก็สามารถชักนำลมปราณมาหล่อหลอมเส้นเอ็นและกระดูกได้แล้ว ทว่าลูกศิษย์ฝ่ายนอกของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่สะพายกระบี่ไม้ท้อไว้ข้างหลังผู้นี้กลับเดินไปบนเส้นทางของพรรคมหายันต์ของลัทธิเต๋าที่ให้ความสำคัญกับวัตถุนอกกายมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นสมบัติอาคมอย่างยันต์เทพเดินทาง กระบี่ไม้ท้อ ฯลฯ ความสำเร็จในด้านการหล่อหลอมเลือดเนื้อจึงไม่โดดเด่นนัก อีกอย่างก็คือฝนฤดูใบไม้ผลินี้ตกลงมาอย่างฉับพลัน อีกทั้งยัง ‘หนาหนัก’ เกินไป เป็นเหตุให้ลมปราณแท้จริงในร่างของนักพรตหนุ่มถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็วโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว
การมองเห็นของนักพรตหนุ่มที่สีหน้าซีดขาวพร่าเลือน กำลังคิดไม่ตกว่าควรจะปลดห่อสัมภาระหยิบเอายาชดเชยลมปราณเม็ดหนึ่งออกมาจากขวดกระเบื้องหรือไม่ แต่ต่อให้ยาที่มีชื่อว่า ‘หยางกลับคืน’ นี้ระดับจะย่ำแย่แค่ไหน ก็ต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะถึงหนึ่งอีแปะ ไหนเลยที่นักพรตหนุ่มจะตัดใจเอามาใช้ได้ เขาจึงกัดฟันอดทนกับความยากลำบากต่อไป หวังว่าเด็กหนุ่มผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นจะรีบไปรีบกลับ อีกทั้งยังหาสถานที่หลบฝนแห่งหนึ่งเจอ
เมื่อมาอยู่บนภูเขา บางครั้งก็ต้องทนรับความยากลำบากจากบนภูเขา
ข้อนี้ปีศาจของเมืองเล็กหลงเฉวียนก็คือตัวอย่าง เสียงการหลอมกระบี่ของหร่วนฉง ชาวบ้านร้านตลาดสัมผัสไม่ได้แต่กลับทำให้พวกปีศาจแทบเป็นแทบตาย
เฉินผิงอันเดินออกไปได้ครึ่งลี้ในเวลาอันรวดเร็ว จากนั้นเขาก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าโดยไม่หลบซ่อนตบะขอบเขตสามเอาไว้อีก
เมื่อเขามองเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่เหลือเพียงกิ่งก้านแห้งเหี่ยวอยู่ด้านหน้าก็วิ่งเหยาะๆ สองสามก้าว แล้วกระโดดขึ้นเหยียบตามกิ่งต่างๆ จากต่ำขึ้นสู่จุดสูง คว้าก้านผุเปื่อยก้านหนึ่งเอาไว้ได้ก็เหวี่ยงกายเบาๆ ร่างลอยลิ่วขึ้นสูง กิ่งนั้นหักเปาะลงสู่พื้น เฉินผิงอันกลับไต่ขึ้นไปได้อีกหนึ่งระดับ มายืนอยู่บนจุดสูงของต้นไม้ใหญ่ ยื่นมือมาบังไว้ตรงหน้าผาก ทอดสายตามองไปไกล ไม่เห็นแสงไฟ แต่ห่างออกไปสุดปลายสายตากลับมีภูเขาลูกเล็กไม่สูงลูกหนึ่ง เฉินผิงอันกระโดดตัวขึ้น เท้าสองข้างกระทืบลงบนกิ่งไม้แห้งอย่างแรง อาศัยแรงดีดบินโฉบออกไปพร้อมกับที่ต้นไม้ใหญ่ด้านหลังของเขาล้มครืน
ร่างของเขาพุ่งหลาวลงด้านล่างประหนึ่งลูกธนูที่ตีวงโค้งออกไป หลังจากร่างล่วงลงสู่พื้นดินแล้ว เฉินผิงอันก็ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งค้ำยันพื้นดินที่เฉะไปด้วยโคลน ร่างทั้งร่างตีหลังกากลับอยู่กลางอากาศ เท้าสองข้างเหยียบพื้น เป็นเวลาเดียวกับที่แตะปลายเท้า งอตัวพุ่งไปด้านหน้าอย่างคล่องแคล่วว่องไว เพียงไม่นานก็มาถึงภูเขาลูกเล็กลูกนั้น พอขึ้นมายืนบนยอดเขา การมองเห็นก็เปิดกว้าง ยังคงมองไม่เห็นแสงไฟแม้แต่นิด นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกยุ่งยากใจเล็กน้อย หากไม่ได้จริงๆ ระหว่างทางที่กลับไปก็คงต้องตัดกิ่งไม้เอาไปสร้างเพิงพักอย่างหยาบๆ เท่านั้น แต่ดูจากสีหน้าของจางซานแล้ว ต่อให้หลบอยู่ในเพิงพัก หากก่อกองไฟไม่ได้ ก็ยังต้องถูกลมหนาวรุกรานร่างกายจนล้มป่วยอยู่ดี
อันที่จริงลึกๆ ในใจเฉินผิงอันก็กลัดกลุ้ม เทือกเขาเล็กเตี้ยแถบนี้ประหลาดมากจริงๆ เขาเองก็เดินทางผ่านภูเขาและแม่น้ำมาไม่น้อยแล้ว แต่ยังไม่เคยเจอสถานที่ที่แห้งเหี่ยวชวนหดหู่ได้มากขนาดนี้มาก่อน หากเป็นสุสานร้างที่มีกลิ่นอายอึมครึมแบบนี้ก็ยังพอทำเนา แต่นี่ทำไมพอฝนตกลงมา สถานที่แห่งนี้ถึงได้หนาวเย็นผิดไปจากที่อื่นขนาดนี้?
และในขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะหมุนตัวเดินกลับไปหานักพรตหนุ่มก็พลันค้นพบว่าตรงจุดสิ้นสุดการมองเห็นของสายตามีแสงสว่างจุดหนึ่งโผล่ให้เห็นอย่างเลือนราง กำลังขยับเคลื่อนไปทางทิศเหนืออย่างเชื่องช้า แสงไฟนั้นส่ายไหวอยู่ท่ามกลางม่านฝนเหมือนเรือลำน้อยที่ลอยขึ้นๆ ลงๆ กลางคลื่นยักษ์ อาจจะมอดดับได้ทุกเมื่อ เฉินผิงอันครุ่นคิดแล้วจดจำทิศทางที่แสงไฟนั้นมุ่งหน้าไป แล้วจึงหมุนตัวย้อนกลับไปทางเดิมอย่างรวดเร็ว พอเจอกับนักพรตหนุ่มที่ร่างโอนเอนจะล้มมิล้มเหล่ก็ประคองเขาขึ้นมา บอกว่าด้านหน้ามีคนกำลังเดินทางอยู่เหมือนกัน ลองดูว่าจะไปรวมตัวกับพวกเขาได้หรือไม่ หากเป็นคนในพื้นที่ ไม่แน่ว่าอาจรู้ที่หลบฝน
สีหน้าของนักพรตหนุ่มสดชื่นขึ้นทันที เฉินผิงอันไม่พูดพร่ำทำเพลงก็แบกเขาขึ้นหลังแล้ววิ่งห้อไปเบื้องหน้า
เฉินผิงอันสะพายกรอบกระบี่ไม้ไหวแบกนักพรตหนุ่มที่สะพายกระบี่ไม้ท้อออกวิ่งตะบึงอยู่ท่ามกลางสายฝน ข้ามภูเขาวิ่งผ่านเนินเหมือนเดินอยู่บนพื้นราบ
ขณะที่นักพรตหนุ่มเริ่มสติพร่าเลือนใกล้จะหลับ แสงไฟเล็กๆ จุดนั้นก็เริ่มสว่างไสวมากขึ้นเรื่อยๆ
เฉินผิงอันชะลอความเร็วเล็กน้อย เงยหน้ามองไปก็เห็นภาพที่คนสองคนเดินทางร่วมกันอยู่กลางสายฝนเทกระหน่ำ สองคนนั้นคือคนหนุ่มที่ลักษณะเหมือนบัณฑิต พวกเขาแบกหีบหนังสือไว้ด้านหลัง คนหนึ่งกางร่ม อีกคนถือคบเพลิง แม้ว่าพวกเขาจะมีสภาพเหน็ดเหนื่อยไม่ต่างจากเฉินผิงอัน แต่เมื่อเทียบกับสภาพอเนจอนาถของนักพรตหนุ่มแล้ว บัณฑิตสวมชุดขงจื๊อสองคนกลับยังมีรอยยิ้มบนใบหน้า กำลังพูดอะไรกันบางอย่าง ราวกับไม่รู้สึกว่าลมฝนเป็นอุปสรรค ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องยากลำบากอะไร กลับกันยังเห็นเป็นความโชคดีที่มีค่ามากพอให้อารมณ์ดีอีกด้วย
ดูเหมือนคนทั้งสองจะสัมผัสไม่ได้ว่าเฉินผิงอันขยับเข้ามาใกล้อย่างเงียบเชียบ
นี่ทำให้เฉินผิงอันพอจะวางใจลงได้บ้าง ในป่าร้างของค่ำคืนที่มีพายุฝน หากสถานการณ์ผิดปกติแสดงว่าย่อมต้องมีปีศาจแน่นอน และหากพบเจอกับสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ อีกทั้งเขายังไม่สามารถทอดทิ้งนักพรตเต๋าที่อยู่บนหลัง นั่นคงต้องเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากสำหรับเขาแน่นอน
ขณะที่ยังอยู่ห่างอีกช่วงระยะหนึ่ง เฉินผิงอันก็ตะโกนเสียงดังด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป
บัณฑิตสองคนไม่มีใครได้ยิน พวกเขายังคงเดินหน้าต่อ
เฉินผิงอันโล่งอกได้อีกครั้ง ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณหรือปีศาจบนภูเขาก็ล้วนมีตบะไม่สูงนัก แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ได้จงใจปิดบังด้วย
จนกระทั่งเดินไปได้อีกสิบกว่าก้าว คนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อสองคนถึงสังเกตเห็นเฉินผิงอัน
พวกเขารีบหยุดเดิน หันมากวักมือให้เฉินผิงอัน หลังจากพูดคุยกันได้พักหนึ่ง เห็นสีหน้าซีดขาวของนักพรตหนุ่ม บัณฑิตคนหนึ่งของแคว้นไฉ่อีก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งพลางกล่าวปลอบใจว่า “ข้าชื่นชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว มักจะแบกหีบหนังสือเดินทางไกลเพียงลำพังอยู่เป็นประจำ จำได้ว่าสถานที่แห่งนี้เงียบสงัดไร้ผู้คน แต่ห่างออกไปประมาณสามสี่ลี้มีจวนแห่งหนึ่งที่ใครบางคนซึ่งเร้นกายมาอยู่ในภูเขาสร้างเอาไว้ ข้ากับพี่หลิวก็กำลังจะเดินทางไปที่นั่นอยู่พอดี ไม่สู้พวกเจ้าเดินทางไปพร้อมกับพวกเราเลย”
บัณฑิตอีกคนหนึ่งที่ถือร่มยิ้มจืดเจื่อน “เดิมทีพวกเรานอนตากน้ำค้างอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่งห่างออกไปหนึ่งลี้ ไหนเลยจะคิดว่าจู่ๆ ฝนจะตกหนักขนาดนี้ หากไม่เป็นเพราะพี่ฉู่รู้เส้นทางคงลำบากกันจริงๆ”
เฉินผิงอันรีบกล่าวขอบคุณ
บัณฑิตสองคนที่ได้มาพบกันโดยบังเอิญ คนหนึ่งถือร่มมาบังไว้เหนือศีรษะของนักพรตเต๋า ปล่อยตัวเองให้ตากฝน หนาวสะท้านจนตัวสั่น
บัณฑิตที่เดิมทีถือคบเพลิงไว้ในมือสีหน้าหม่นหมอง เพราะพอไม่มีร่มช่วยบังให้ ต่อให้น้ำมันที่ใช้ราดคบเพลิงไม่ใช่วัตถุธรรมดา แต่เจอฝนที่ตกหนักสาดมาโดนแบบนี้ก็ย่อมต้องมอดดับ เขาตัดใจทิ้งไม่ลงจึงกอดไว้ในอ้อมอกของตัวเอง
บัณฑิตได้แต่อาศัยแสงสว่างจากการที่ฟ้าแลบครั้งแล้วครั้งเล่าคลำทางไปด้านหน้าตามความทรงจำของตัวเองอย่างยากลำบาก
แล้วพวกเขาก็เจอบ้านหลังหนึ่งจริงๆ
เหมือนบ้านของตระกูลคนรวยในเมืองใหญ่ แม้ว่าสิงโตหินที่เฝ้าอยู่หน้าประตูจะมีขนาดเล็กไม่ยิ่งใหญ่นัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่มีทั้งกลอนคู่วันปีใหม่ แล้วก็ไร้ภาพเทพทวารบาล
ในที่สุดก็มีชายคาให้หลบฝน มีโอกาสให้ได้พักผ่อนหายใจหายคอกันเสียที
บัณฑิตที่เก็บร่มเรียบร้อยรีบเดินไปเคาะประตูโดยไม่สนใจมารยาทอะไรทั้งสิ้น
ผลกลับกลายเป็นว่าต้องรออยู่นาน ประตูใหญ่ถึงได้เปิดออกดังครืดๆ บนท้องฟ้ามีสายฟ้าเส้นหนึ่งผ่าเปรี้ยงลงมาพอดี เผยให้เห็นใบหน้าแก่ชราที่แห้งตอบน่ากลัวของคนผู้หนึ่ง
บัณฑิตตกใจเซถอยหลังจนเกือบจะหงายหลังผลึ่ง
ใบหน้าของหญิงชราที่โผล่มากะทันหันนั้นปรากฏพรวดอยู่กลางม่านฝนที่สว่างจ้าพอดี อย่าว่าแต่บัณฑิตที่เดิมทีก็ไม่มีความกล้าหาญนักเลย ขนาดเฉินผิงอันที่พบเจอภูตผีบนภูเขามามากก็ยังตกใจสะดุ้งโหยง
ทุกคนรู้สึกเพียงว่าบ้านหลังนี้อาจจะไม่ใช่สถานที่อบอุ่นปลอดภัยกว่าด้านนอกที่ฝนฟ้าตกกระหน่ำเสมอไป
และจางซานนักพรตเต๋าที่เชี่ยวชาญด้านการกำจัดปีศาจปราบมารมากที่สุดก็ดันมาหมดสติอย่างไม่สนอีโหน่อีเหน่อะไรทั้งนั้น