Skip to content

Sword of Coming 216

บทที่ 216 ลงมือ

จางซานมองส่งบัณฑิตสองคนที่เดินไปยังห้องตรงข้าม เขายืนอยู่กลางระเบียง ยื่นมือออกไปข้างนอก รองรับน้ำฝนไว้เกือบครึ่งฝ่ามือ ชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่งก็พลิกมือเทน้ำทิ้ง เดินกลับเข้าไปในห้อง พอปิดประตูแล้วก็ใช้มือข้างที่แห้งสนิทหยิบยันต์กระดาษเหลืองธรรมดาใบหนึ่งออกมา จางซานเอ่ยเบาๆ ว่า “สถานที่แห่งนี้มีปัญหาจริงๆ น้ำฝนค่อนข้าง ‘หนักและอึมครึม’ มีความเป็นไปได้มากว่าจะซุกซ่อนปราณชั่วร้ายเอาไว้ ยันต์แผ่นนี้ของข้าผู้เป็นนักพรตมีชื่อว่ายันต์จุดไฟเผาความชั่วร้าย ธรรมดามาก แต่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะว่ามันสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความชั่วร้ายได้ดีที่สุด…”

นักพรตหนุ่มใช้สองนิ้วคีบกระดาษยันต์ ปากท่องคาถาเบาๆ จากนั้นก็พลันใช้ฝ่ามือของมือข้างที่เปียกโชกแนบติดกับยันต์อย่างรวดเร็ว ยันต์สีเหลืองติดไฟลุกไหม้ขึ้นกลางฝ่ามือของจางซาน เพียงไม่นานก็กลายเป็นเถ้าถ่าน นักพรตหนุ่มสีหน้าหนักอึ้ง ปัดขี้เถ้าทิ้งลงไปในกระถางไฟ

เฉินผิงอันเอยถาม “ยันต์แผ่นนี้ ราคาเท่าไหร่?”

จางซานตอบคำถามอย่างจริงจังโดยไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกประหลาดตรงไหน “ยันต์ประเภทนี้ไม่เข้าขั้นมาตรฐานอะไรทั้งนั้น หลักการเดียวกับขุนนางผู้น้อยในวงการขุนนางที่ไม่มีระดับขั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีราคาถูกมาก ต้นทุนก็มีแค่กระดาษเหลืองแผ่นเดียว บวกกับลายมือเขียนของผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งเท่านั้น เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญสามารถซื้อยันต์เผาความชั่วร้ายได้เกือบสามสิบแผ่น หากคิดเป็นเงินก้อนก็แผ่นล่ะประมาณสามตำลึง ไม่ถือว่าแพงจริงๆ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

สำหรับเรื่องการเขียนยันต์นี้ เขาเคยเห็นความลี้ลับของยันต์ทำลายอาคมมากับตาตัวเอง ตอนนั้นพวกเขาที่เดินทางอยู่บนทางภูเขาถูกผีสาวสวมชุดแต่งงานกลั่นแกล้ง ทุกคนจึงเดินกันอยู่บน ‘เส้นทางสู่น้ำพุเหลือง’ ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายคล้ายถูกผีบังตา หลินโส่วอีจึงควบคุมยันต์ทำลายอาคมแผ่นหนึ่งซึ่งถือเป็นยันต์ภูเขาและแม่น้ำชักนำให้ทุกคนเดินทาง

หลังจากนั้นตอนอยู่ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว หลี่ซีเซิ่งก็วาดยันต์ ‘ตัวอักษร’ ไว้บนผนังของเรือนไม้ไผ่ เมื่อเขียนตัวอักษรสำเร็จก็กลายเป็นยันต์ ซึ่งอันที่จริงแล้วถือว่าต้องใช้ความรู้ความสามารถและขอบเขตที่สูงอย่างถึงที่สุด สุดท้ายเขาไหว้วานให้ชุยชื่อเด็กรับใช้นำตำราพื้นฐานการเขียนยันต์ของลัทธิเต๋าเล่มหนึ่ง รวมถึงกระดาษยันต์ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันอีกปึกใหญ่มามอบให้เฉินผิงอัน แน่นอนว่ายังมีพู่กัน ‘เหล็กหมาดลมหิมะ’ เล่มนั้นด้วย และหากเฉินผิงอันรีบร้อนต้องการเขียนยันต์ก็ไม่จำเป็นต้องใช้หมึก เพียงแค่เป่าลมใส่ปลายพู่กันก็สามารถทำให้พู่กันชุ่มชื้นได้แล้ว

แต่เฉินผิงอันพลิกอ่าน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ เล่มบางๆ นั้นอย่างละเอียดอยู่หลายรอบ พอจะเรียนรู้การเขียนยันต์แบบที่ตื้นเขินที่สุดห้าหกชนิดซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือ อีกอย่างตามที่ในตำราบอกไว้ ยันต์ที่คนในโลกนี้วาดก็คือการ ‘เขียนตำราสีชาด’ แบ่งออกเป็นเก้าชนิด ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนจะเขียนตำราสีชาด ‘สามชนิดบน’ อย่างหนึ่งสองสาม ส่วนผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางก็จะเขียนตำราสีชาดสามชนิดกลางอย่างสี่ห้าหก ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างเขียนตำราสีชาดสามชนิดล่างอย่างเจ็ดแปดเก้า แม้เฉินผิงอันจะไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ แต่ก็สามารถอาศัย ‘ลมปราณหนึ่งเฮือก’ จากการโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดเขียนยันต์พื้นฐานใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ได้ หากเป็นยันต์ระดับสูงยิ่งกว่านั้น สำหรับเฉินผิงอันในเวลานี้ถือเป็นการเพ้อฝันเกินไป

หลี่ซีเซิ่งเคยบอกว่า การเขียนยันต์ก็คือการฝึกกระบี่ นี่ก็คือเจตนาเดิมที่หลี่ซีเซิ่งไม่ได้สอนความรู้เรื่องการตกปลา แต่สอนวิธีตกปลาให้กับเฉินผิงอัน

ทว่าตลอดเส้นทางการเดินทางลงใต้ของเฉินผิงอัน เขาก็ยังหวังว่าจะทุ่มเทสมาธิให้กับการฝึกหมัด จึงทำเพียงแค่ใช้เวลาว่างหัดเขียนยันต์สามชนิด ได้แก่ยันต์ย่อพื้นที่ ยันต์ปราณหยางส่องไฟและยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจเอาไว้อย่างละสองสามแผ่น เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดคิด

ยันต์ย่อพื้นที่สามารถช่วยให้เฉินผิงอันย่อพื้นที่ให้เล็กลงได้ในชั่วพริบตา เพียงก้าวเดียวก็สามารถออกไปยังพื้นที่ใดก็ได้ในรัศมีสิบจั้งรอบด้าน ยันต์ปราณหยางส่องไฟก็คือยันต์ภูเขาและแม่น้ำทำลายอาคมชนิดหนึ่ง หากไปอยู่ในสุสานรกร้างหรือโบราณสถานแห่งต่างๆ แล้วเจอกับเหตุการณ์ผีบังตาอีกครั้งก็สามารถเดินตามยันต์ส่องไฟออกไปจากเวทพรางตาได้อย่างราบรื่น ส่วนยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจนั้นคือยันต์ชนิดที่มีพลังการทำลายล้างค่อนข้างสูง เมื่อนำยันต์ชนิดนี้ออกมาใช้ก็จะมีเจดีย์วิเศษขนาดจิ๋วแห่งหนึ่งปรากฎขึ้นกลางอากาศ จับปีศาจขังไว้ข้างใน ด้านในมีอานุภาพจากสายฟ้าคอยโบยตีจิตวิญญาณของปีศาจ

ทั้งสามชนิดนี้ต่างก็มีบันทึกอยู่ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ อยู่ในขอบเขตที่ธรรมดามากที่สุด คำประเมินเกี่ยวกับมันไม่สูงมากนัก เพียงแต่เพราะพวกมันเป็นต้นฉบับดั้งเดิมของยันต์บางประเภทถึงได้ถูกบันทึกไว้ในตำราเล่มนี้

นักพรตจางซานดื่มเหล้าเข้าไป เดิมทีเขาก็กินเหล้าไม่เก่งอยู่แล้ว บวกกับที่ก่อนหน้านี้ต้องการประหยัดยาหยางกลับคืนจึงถูกน้ำฝนที่หนาหนักอึมครึมกระทบร่างมาตลอดทาง เหนื่อยล้ามานานแล้ว แม้ว่าใจคิดอยากจะช่วยเฉินผิงอันเฝ้ายาม แต่กลับสะลึมสะลือหลับสนิทไปซะแล้ว

เฉินผิงอันคุ้นเคยกับการเฝ้ายามดียิ่ง เขาจิบเหล้าคำเล็กๆ ขณะที่จางซานหลับสนิทไปแล้ว เขาพลันหันขวับไปมองมุมกำแพงข้างประตู

ตรงนั้นวางร่มกันฝนที่ถูกวางเอียงๆ ซึ่งเจ้าของลืมเอาไว้

ร่มกระดาษน้ำมันคันนี้ ตอนแรกถืออยู่ในมือของบัณฑิตแซ่หลิว พอเข้ามาในเรือนแห่งนี้ บัณฑิตแซ่ฉู่เป็นคนถือเอาไว้

ร่มวางพิงอยู่ตรงมุมกำแพงนิ่งๆ ปลายร่มทิ่มลงพื้น ด้ามร่มหงายขึ้นด้านบน

ต่อให้จะวางร่มไว้อย่างนี้ แต่บนพื้นกลับไม่มีคราบน้ำเลยแม้แต่น้อย

นี่ไม่ปกติ

อีกอย่างเฉินผิงอันยังสัมผัสได้ถึงปราณที่เยียบเย็นเสี้ยวหนึ่งซึ่งทำให้คนเสียวสันหลังวาบ

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงลุกขึ้นยืน เดินโซเซไปมาคล้ายคนที่ดื่มเหล้าจนเมามาย เดินไปด้วยบ่นไปด้วย “มีใครเขาวางร่มหัวทิ่มแบบนี้บ้าง หากอยู่ที่บ้านเกิด กล้าทำแบบนี้ต้องถูกพวกผู้ใหญ่ด่าตายแน่…”

เดินมาถึงมุมกำแพง เฉินผิงอันยังเรอดังเอิ้กหนึ่งที ยื่นมือไปคว้าด้ามร่มเตรียมจะวางสลับกลับด้าน เพียงแต่ว่าในเสี้ยววินาทีนั้นยันต์แผ่นหนึ่งกลับไหลพรวดออกมาจากชายแขนเสื้อของเขา สีหน้าของเฉินเปลี่ยนมาเป็นดุดัน ไหนเลยจะเหลือความเมามายอยู่อีก นิ้วทั้งสองคีบยันต์กระดาษเหลืองซึ่งก็คือยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นนั้นไว้อย่างรวดเร็ว แล้วตบลงบนด้ามร่ม เจดีย์แก้วเจ็ดสีหลังหนึ่งลอยขึ้นกลางอากาศ รัศมีศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมไปทั่วร่มกระดาษน้ำมันอย่างพอดิบพอดี ลวดลายบนผิวร่มบิดเบือน ส่งเสียงดังฉี่ๆ เป็นระลอกราวกับเสียงเนื้อที่ผัดอยู่ในกระทะ

แสงสว่างของเจดีย์วิเศษที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันหม่นมัว เพียงไม่นานก็สลายหายไป

เฉินผิงอันไม่ยอมเลิกรา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พลาดโอกาสอันดีเนื่องจากฝีมือของตนไม่แกร่งกล้ามากพอหรือระดับของยันต์ต่ำเกินไป จึงเรียกยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจอีกสองแผ่นที่เหลือออกมาพร้อมกัน แล้วแปะติดลงบนผิวร่มกระดาษน้ำมันด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบ จากนั้นไม่จำเป็นต้องรวบรวมลมปราณ เฉินผิงอันที่วิถีวรยุทธ์อยู่ในขอบเขตสามขั้นสูงสุดก็สามารถโคจรลมปราณได้ตามใจปรารถนา ปณิธานหมัดระเบิดตูมออกมา ปล่อยหมัดรัวติดกันบนยันต์สยบปีศาจสามแผ่นในระยะประชิดด้วยพลังการทำลายล้างสูงสุด พายุหมัดไม่สามารถทำลายตัวร่มได้ แต่ปณิธานแห่งหมัดกลับไหลกรากแทรกซึมเข้าไปด้านในของร่มทั้งหมด

นี่ก็คือความต่างราวฟ้ากับเหวระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามทั่วไปกับขอบเขตสามที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยเป็นคนสอน

หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เฉินผิงอันก็ยื่นมือไปกำน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เอาไว้แน่น เตรียมพร้อมที่จะเรียกชูอีกับสืออู่ออกมารับมือศัตรูทุกเมื่อ

ทว่าหลังจากที่ร่มคันนั้นสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่งก็มีควันดำเหม็นคาวลอยขึ้นมา แล้วค่อยๆ สลายหายไปโดยสิ้นเชิงอย่างเงียบเชียบ

เฉินผิงอันมึนงงเล็กน้อย แค่นี้เองหรือ?

ร่มกระดาษน้ำมันประหลาดที่ต้องซุกซ่อนความลับเอาไว้คันนี้จะไม่มีกระบวนท่าสังหารตามมาเลยหรือ?

ยกตัวอย่างเช่นควันดำซัดตลบอบอวล เสียงคำรามเดือดดาลดังสะเทือนฟ้า จากนั้นก็ตามมาด้วยสิ่งชั่วร้ายท่าทางดุดันน่าหวาดกลัว?

ผีสวมชุดเจ้าสาวที่เจอระหว่างทางสายเล็กบนภูเขาตอนนั้นสร้างความทรงจำอันลึกล้ำให้แก่เฉินผิงอัน นางคอยจูงจมูกพวกเขาเดิน ขนาดนักพรตเต๋าตาบอดที่เชี่ยวชาญเวทลับสายฟ้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง หากไม่เป็นเพราะเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะใช้หนึ่งกระบี่ทำลายม่านอาคม เผยฝีมือของเซียนกระบี่ให้เห็น เกรงว่าตอนนั้นเฉินผิงอันคงถูกบีบให้ต้องใช้ปราณกระบี่สองกลุ่ม แล้วก็คงไม่มีโอกาสคุมเชิงกับเด็กหนุ่มชุยฉานบนปากบ่อน้ำในภายหลังแล้ว

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่บนพื้น จ้องมองร่มกระดาษน้ำมันเขม็ง หลังจากดื่มเหล้าอีกหนึ่งคำก็ไม่ลืมหยิบร่มขึ้นมาสลัดสองสามที ด้านในร่มเกิดเสียงแผ่วเบาเหมือนมีกองขี้เถ้าร่วงพรูลงมา

เฉินผิงอันนั่งเกาหัวอยู่ตรงนั้น ดื่มเหล้าไปพลางรู้สึกว่าใจวูบโหวงแปลกๆ ตอนอยู่ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วเคยชินกับการฝึกฝนแบบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทุกวัน ตอนนี้กลับเหมือนคนที่…ดื่มเหล้าจนชินแล้วกลับไปดื่มน้ำเปล่าอีกครั้ง?

เฉินผิงอันบอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า ไม่ว่าร่มกระดาษน้ำมันคันนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับบัณฑิตคนไหน หรือเพิ่งจะถูกวัตถุชั่วร้ายสิงสู่หลังจากเข้ามาในบ้านหลังนี้แล้ว แต่ความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ในร่มคันนี้ต้องเป็นแค่ขุนพลข้ามแม่น้ำที่ถูกส่งมาหยั่งเชิงเส้นทางเท่านั้น ดังนั้นเขาจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นยืน เดินไปนั่งลงข้างโต๊ะ อาศัยแสงไฟเรียกเหล็กหมาดลมหิมะออกมาจากวัตถุฟางชุ่น เป่าลมใส่ปลายพู่กันหนึ่งครั้งแล้วเริ่มวาดยันต์ ยันต์ที่วาดยังคงเป็นยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจ แต่กระดาษยันต์ไม่ใช่กระดาษสีเหลืองแล้ว คราวนี้เปลี่ยนมาเป็นกระดาษยันต์เนื้อสีทองแผ่นหนึ่งแทน

วาดเสร็จหนึ่งแผ่น เฉินผิงอันก็ยกน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่วางไว้ข้างมือกระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ด้วยความเคยชิน หยุดพักไปชั่วขณะ รอจนลมหายใจกลับมามั่นคงดีแล้วถึงได้กล้ายกพู่กันขึ้นเขียนอีกครั้ง

ท่ามกลางราตรีที่มีลมพายุฝน เฉินผิงอันที่ดื่มเหล้าจนกรึ่มๆ เล็กน้อยตวัดพู่กันลมหิมะว่องไวดุจมีเทพช่วย

ข้างมือมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีชาดหนึ่งลูก และกำจัดปีศาจปราบมารสองกระบี่ในกล่องไม้

แน่นอนว่ายังมีเสียงกรนของนักพรตจางซานที่นอนอยู่บนเตียงอยู่เป็นเพื่อนเขาด้วย

……

ลมฝนพัดกระโชก บางครั้งม่านราตรีก็ถูกฉีกกระชากด้วยประกายสายฟ้า บนเนินเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ห่างจากบ้านโบราณออกมา มีนักพรตเต๋าวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สีหน้ามืดทะมึนถือแส้ปัดฝุ่นไว้ในมือ พอแบมืออกดู เหรียญทองสัมฤทธิ์ลักษณะโบราณเรียบง่ายเหรียญหนึ่งพลันแตกหัก สีหน้าของนักพรตวัยกลางคนเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ข่มกลั้นความเสียดายในใจ โยนมันทิ้งไปด้วยท่าทางราวกับว่าไม่สนใจ แค่นเสียงกล่าวว่า “คู่สุนัขชายหญิงที่จะเป็นคนก็ไม่ใช่เป็นผีก็ไม่เชิง แม้จะอาศัยชัยภูมิอันได้เปรียบต่อต้านอย่างเหนียวแน่น ก็มีแต่จะเพิ่มความเจ็บปวดให้ตัวเองเท่านั้น”

ข้างกายของนักพรตวัยกลางคนคือชายร่างสูงใหญ่ คิ้วเข้มตาโต สวมเสื้อผ้าบางๆ คนหนึ่ง เขาปล่อยให้น้ำฝนกระทบทั่วร่างตัวเอง บางครั้งในดวงตาก็มีประกายแสงสีทองเป็นเส้นๆ พุ่งผ่าน ตรงเอวห้อยกล่องตราประทับขนาดเท่ากำปั้นไว้หนึ่งกล่อง เมื่อเห็นว่านักพรตเต๋าขโมยไก่ไม่สำเร็จกลับยังต้องเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ สูญเสียขุนพลที่รักตัวหนึ่งไปอย่างเสียเปล่าก็หัวเราะหยันอย่างหงุดหงิด “หากยังจะฝืนบุกเข้าไป หลังจบเรื่องก็คงไม่ได้แบ่งกันคนละห้าสิบห้าสิบแล้ว!”

นักพรตเต๋าไม่คิดจะถกเถียงเรื่องนี้ จึงหันหน้ามาถามว่า “มือดาบเครายาวคนนั้นเป็นเทพเจ้าจากฝ่ายใด ทำไมถึงมาเยี่ยมเยือนบ้านโบราณในคืนนี้พอดี?”

บุรุษร่างสูงใหญ่หัวเราะพรืด “ได้ยินว่าเป็นจอมยุทธ์พเนจรต่างถิ่นที่มาเยือนแคว้นไฉ่อีเมื่อปลายปีก่อน อาศัยว่าตัวเองมีดาบที่ดีจัดการกับพวกสิ่งชั่วร้ายไร้ฝีมือแถบชายป่าไปแค่ไม่กี่ตัว ชื่อเสียงก็โด่งดัง ดูจากสีหน้าท่าทางที่เขาแสดงออกมาขณะเดินอยู่ท่ามกลางพายุฝนคืนนี้ อย่างมากสุดก็น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ หากไปอยู่ที่อื่นอาจจะน่ากริ่งเกรงอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มาอยู่ในถิ่นของข้าก็ไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง ถึงเวลานั้นเจ้าและข้าช่วยกันจัดการ เจ้าสามารถเอาตัวเขาไปทำเป็นหุ่นเชิดได้ ข้าจะไม่ขัดขวาง แต่ดาบของเขาต้องเป็นของข้า”

นักพรตวัยกลางคนสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ไอหมอกก็ลอยขึ้นมาจากทั่วร่าง ชุดคลุมเต๋าที่เปียกน้ำฝนแห้งสนิทในเสี้ยววินาที เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”

บุรุษร่างสูงใหญ่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังถามว่า “ที่พึ่งของเจ้าของบ้านโบราณหลังนั้น สูญเสียอำนาจในสำนักโองการเทพไปแล้วจริงๆ หรือ?”

นักพรตวัยกลางคนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “การข่าวของเทพภูเขาอย่างเจ้าล่าช้าไปหน่อยไหม”

สีหน้าชายร่างสูงใหญ่ดำคล้ำ พูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ก็เพราะการปรากฏตัวของบ้านหลังนั้นไม่ใช่หรือไง เพราะมันใช้ค่ายกลเฮงซวยที่ไม่แพร่งพรายของสำนักโองการเทพมากลืนกินปราณวิญญาณในรัศมีร้อยลี้ไปทีละนิด ทำให้ตลอดร้อยปีมานี้ร่างทองของข้าค่อยๆ ผุพัง ตอนนี้ใครจะยังเต็มใจมองข้าเป็นเทพภูเขา สภาพการณ์ของข้ายังสู้เทพเจ้าที่ของสถานที่แห่งอื่นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ หากแค้นนี้ไม่ชำระก็ยากจะคลายความอาฆาตในใจของข้าได้!”

นักพรตเต๋าวัยกลางคนพยักหน้าเอ่ยว่าเห็นด้วย จากนั้นก็เอ่ยปลอบใจเขาอีกพักหนึ่ง

อันที่จริงศาลเทพภูเขาของที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่บูชาร่างทองของบุรุษผู้นี้ เดิมทีเป็นศาลที่จัดตั้งขึ้นอย่างผิดระเบียบเพราะยังไม่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักแคว้นไฉ่อี บวกกับที่พื้นที่รอบด้านคือสุสานไร้ญาติ ปราณสกปรกแผ่ปกคลุมไปทั่วทิศ บุรุษร่างสูงใหญ่ได้รับควันธูปจึงโชคดีได้กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาได้สำเร็จ หลังจากนั้นเพื่อการฝึกตนของตัวเอง เขาก็ถึงขั้นยอมจับปลาในน้ำขุ่น เพิ่มระดับการแห้งเหี่ยวโรยราของภูเขาและแม่น้ำให้เร็วขึ้น ในฐานะแกนกลางการโคจรของค่ายกล บ้านโบราณจึงแค่ดึงดูดเอาปราณดำมืดชั่วร้ายมาโดยที่ไม่เผาผลาญปราณวิญญาณของภูเขา กลับเป็นการช่วยรักษาสมดุลของแม่น้ำและภูเขาเอาไว้ ทว่าเรื่องวงในเหล่านี้พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ นักพรตเต๋าวัยกลางคนที่จมดิ่งสู่วิถีมารกับเทพภูเขาเถื่อนที่เดินไปบนเส้นทางที่ไม่เที่ยงตรง ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ จะอย่างไรซะพวกเขาทั้งสองก็ไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว

จู่ๆ บุรุษร่างสูงใหญ่ก็พลันถามสีหน้าดุดัน “เพื่อช่วงชิงพื้นที่ทั้งหมดกลับคืนมา เจ้าปรารถนาอยากครอบครองเรือนกายของผีสาวตนนั้น และหากเจ้าได้ควบคุมมันก็ย่อมต้องเป็นดั่งพยัคฆ์ติดปีก ถ้าอย่างนั้นไอ้หมอนั่นล่ะคิดอะไรอยู่? หรือว่าในบ้านโบราณหลังนี้ยังมีสมบัติอาคมล้ำค่าที่ข้าไม่รู้ซ่อนอยู่อีก?”

นักพรตเต๋าวัยกลางคนหัวเราะหึหึ “เรื่องนี้ข้าไม่แน่ใจหรอก ไม่อย่างนั้นหลังจากนี้พวกเราค่อยไปถามเขาด้วยกันดีไหมล่ะ?”

บุรุษร่างสูงใหญ่อารมณ์ดีขึ้นทันตา “แบบนี้ย่อมดีที่สุด!”

นักพรตเต๋าหันมองไปรอบด้าน นอกจากดินโคลนแล้ว อย่างมากก็มีแต่หน้าผาโล้นเตียน ต้นไม้สีเขียวมีให้เห็นเป็นหย่อมๆ แต่เขากลับรู้ดีว่านี่ต้องมอบคุณความชอบให้กับ ‘อารมณ์สุนทรี’ ของผีสาวตนนั้น ผืนดินแห่งนี้ถึงได้มีกลิ่นอายของความมีชีวิตชีวาอยู่บ้าง

ไม่ว่าจะเป็นด้านโชควาสนาหรือด้านนิสัยของผีสาวตนนั้นก็ล้วนเป็นสิ่งที่หาได้ยาก หลังจากนักพรตขยับเข้ามาใกล้ที่แห่งนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องได้นางมาครอบครองให้ได้

นักพรตทอดสายตามองไปยังบ้านโบราณหลังนั้นแล้วจุ๊ปากพูด “ต้นไม้นี้กิ่งก้านแห้งเหี่ยวใบปลิดปลิว มองดูแล้วคงหมดซึ่งชีวิตชีวา”

คิดไม่ถึงว่าเทพภูเขาเถื่อนก็เคยเรียนหนังสือมาก่อน จึงรับคำยิ้มๆ ว่า “ขนาดต้นไม้ยังเป็นเช่นนี้ นับประสาอะไรกับคน”

หนึ่งนักพรตหนึ่งองค์เทพมองหน้าและส่งยิ้มให้กัน

……

เรือนชั้นที่สองของบ้านโบราณ ห้องปีกข้างห้องหนึ่งดับไฟมืดสนิทแล้ว บัณฑิตทั้งสองน่าจะนอนหลับกันแล้ว แต่ในห้องของเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้กับนักพรตหนุ่มกลับยังมีแสงไฟสว่างโร่ ไม่รอให้หญิงชราเดินมาเคาะห้อง ชายฉกรรจ์ที่ติดเหล้าเป็นชีวิตจิตใจได้กลิ่นหอมของเหล้าโชยมาแต่ไกล เขาจึงตบประตูห้องด้วยตัวเอง “มีเหล้าให้ดื่มหรือไม่? หากมี ถ้าอย่างนั้นก็เอาเหล้ามาแลกชีวิต รับรองว่าเจ้าจะมีแต่กำไรไม่ขาดทุน!”

หญิงชราไม่ได้ขัดขวาง เพียงเอ่ยว่า “พวกเจ้าจัดหาห้องพักกันเองก็แล้วกัน”

เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ให้ดี เดินไปเปิดประตูห้องก็เห็นชายฉกรรจ์แปลกหน้าหน้าตาท่าทางหยาบกระด้างคนหนึ่ง

มือดาบเครายาวปรายตามองเฉินผิงอันแล้วถามอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าหนูน้อย ได้ยินเสียงเดินกับเสียงลมหายใจของเจ้า น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์กระมัง? ตอนนี้ถึงขอบเขตสองแล้วหรือยัง?”

เฉินผิงอันตอบด้วยรอยยิ้ม “เรียนวรยุทธ์กับผู้อาวุโสในตระกูลมาตั้งแต่เด็ก นี่เป็นครั้งแรกที่ออกเดินทางในยุทธภพ ยังไม่รู้ว่าขอบเขตตัวเองอยู่ในระดับไหน”

หันกลับไปมองก็เห็นว่านักพรตจางซานถูกเสียงดังปลุกให้ตื่น กำลังลุกขึ้นนั่งสวมรองเท้าอยู่บนเตียง

มือดาบเครายาวก้าวยาวๆ ข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามานั่งแปะลงบนเก้าอี้ จุ๊ปากพูด “ไม่รู้ขอบเขต? ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ามาจากชนบทที่ห่างไกลความเจริญน่ะสิ? แล้วทำไมถึงพูดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปพวกเราได้คล่องแคล่วขนาดนี้? หากเป็นบ้านนอกของแคว้นเล็กๆ ทั่วไปจะไม่เรียนรู้เรื่องพวกนี้หรอก! ว่ามา เจ้าใช่ผีร้ายที่ห่มหนังคนหรือไม่?!”

มือดาบชักดาบออกจากฝักมาเกินครึ่ง ประกายดาบจ้าแสบตา ถลึงตาจ้องมองมาอย่างขุ่นเคืองพลางคำรามก้อง “รีบบอกชื่อของเจ้ามา ดาบของข้าผู้แซ่สวีไม่เคยบั่นคอผีไร้นาม!”

เฉินผิงอันหันมามองหน้ากับนักพรตจางซาน

หรือว่าเป็นเพราะตากฝนอยู่ด้านนอก น้ำจึงเข้าสมองพี่ชายผู้นี้แล้ว?

ผีร้าย?

ในบรรดาผู้ฝึกลมปราณ มีผู้ฝึกตนอิสระอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ที่มาของพวกเขาซับซ้อนยากแยกแยะ แม้ว่าภูตผีปีศาจจะได้รับการดูถูกอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็อยู่ไกลเกินกว่าจะถูกคนไล่ฆ่าทุบตี ทว่าผีผู้ฝึกตนกลับเป็นข้อยกเว้น หากถูกค้นพบเข้าก็แทบจะต้องถูกผู้คนร้องด่าไล่ฆ่า หากจะบอกว่าการพิสูจน์ความเป็นอมตะของผู้ฝึกลมปราณถือเป็นเรื่องที่ละเมิดต่อกฎสวรรค์ ถ้าอย่างนั้นคนตายแล้วถูกฝังลงใต้ดิน ก็ถือเป็นวิถีแห่งมนุษย์ ทว่าเมื่อผีผู้ฝึกตนละเมิดกฎข้อนี้ก็เท่ากับเป็นวิถีนอกรีตชั่วร้ายที่ผู้คนต้องการสังหารให้หมดสิ้น

เซียนฝึกตนขณะมีชีวิตอยู่ เทพได้รับแต่งตั้งขณะที่ตายไปแล้ว

ผีผู้ฝึกตนก็คือข้อยกเว้นพอดี ทั้งไม่ใช่ผู้ที่ฝึกตนตอนมีชีวิตอยู่ในโลก แล้วก็ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำที่ทางราชสำนักแต่งตั้ง มอบร่างทองให้หลังจากที่ตายไปแล้ว

ดังนั้นเป้าหมายที่กระบี่ไม้ท้อของเทียนซือในภูเขามังกรพยัคฆ์ผู้ซึ่งมีมรรคาถาลึกล้ำอย่างแท้จริงชี้ไป ก็มักจะเป็นผีร้ายที่สร้างความวุ่นวายก่อเรื่องไปทั่ว มากกว่าจะชี้เข้าหาภูตที่ส่วนใหญ่หลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านร้านตลาด

คำว่าภูตนี้ ยิ่งเป็นแถบพื้นที่ที่มีผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ การค้าเจริญรุ่งเรืองก็ยิ่งไม่มีความหมายในเชิงลบที่ชัดเจนอีกแล้ว

และในความเป็นจริงแล้ว แคว้นใหญ่ๆ บางแห่ง โดยเฉพาะราชวงศ์ที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งกองกำลังบนภูเขาหยั่งรากลึกมั่นคง ต่อให้เป็นชาวบ้านทั่วไปก็ยังเคยชินกับการที่ภูตประหลาดนับร้อยนับพันชนิดใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้คนในโลกมนุษย์

เล่าลือกันว่าภูตน้อยจำนวนมากที่ช่วยสตรีแต่งงานแล้วล้างหน้าหวีผม แต่งหน้าประทินโฉม พับเสื้อผ้า ฯลฯ จะมีปีกคอยบินไปบินมาอย่างคล่องแคล่วว่องไวถึงขีดสุด อีกทั้งจะรักและสนิทสนมกับเจ้านายของพวกมันไปทุกชาติทุกภพ

เฉินผิงอันไม่ได้อธิบายอะไร เขาเพียงปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าออกจากเอวแล้วดื่มเงียบๆ

ชายฉกรรจ์เครายาวอึ้งตะลึง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง เห็นได้ชัดว่าพยาธิหิวเหล้าในท้องทำพิษซะแล้ว ความดุดันของเขาพลันลดฮวบ ทำหน้าหนายื่นมือไปขอ “ขอแค่เชิญให้ข้าดื่มเหล้า ต่อให้เจ้าเป็นผี ข้าก็จะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ขอแค่ไม่กระทำการชั่วร้ายให้ข้าเห็นจะๆ ทุกอย่างก็ล้วนพูดง่าย”

เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่ยอมส่งให้

มือดาบหนวดยาวถอนหายใจอย่างหม่นหมอง “ไอ้หนู เจ้านี่ไม่ซื่อสัตย์เลยนะ เจ้าเล่ห์มาก เห็นชัดๆ ว่ากำลังรังแกยอดฝีมือผู้เที่ยงธรรมอย่างข้า!”

นักพรตจางซานรีบนั่งลงช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ แล้วพูดคุยกับชายฉกรรจ์หนวดยาวด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป

……

ตรงระเบียงสาวงาม (ระเบียงที่ยื่นออกมารอบหอสูง มีพนักพิงโค้งยื่นออกไปด้านหลังเพื่อสะดวกแก่การนั่งพิง) ของหอซิ่วโหลวเรือนชั้นในของบ้านโบราณ มีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอิงแอบแนบชิดกัน สตรีสวมชุดกระโปรงสีเขียวเข้ม ชายกระโปรงพองใหญ่จึงไม่เผยให้เห็นสองขาและรองเท้าปักลายของนาง

จอนผมของคนทั้งสองเสียดสีกัน บุรุษกระซิบเบาๆ ว่า “ขอให้ภรรยามีเสื้อผ้าอบอุ่นสวมใส่ในฤดูใบไม้ผลิที่เหน็บหนาว ขอให้ภรรยาหัวคิ้วคลายไร้ความทุกข์ตรม ขอให้ภรรยาได้เห็นจันทราสุกสกาวกลางนภา เห็นน้ำใสภูเขาเขียวทุกครั้งที่เปิดหน้าต่าง…”

สตรีที่ใบหน้าอัปลักษณ์อย่างถึงที่สุดส่งเสียงอือๆ อาๆ ราวกับกำลังร่ำไห้ หรือไม่ก็กำลังร้องระบายทุกข์ ชายกระโปรงด้านล่างพลิกตลบรุนแรงดุจคลื่นน้ำ

หญิงชราที่เดินอยู่ท่ามกลางระเบียงยาวมืดมิดถอนหายใจเบาๆ สุดท้ายนั่งพิงเสาระเบียงที่ห้อยโคมไฟเอาไว้ ปีแล้วปีเล่า วันแล้ววันเล่า หญิงชราลูบคลำใบหน้าที่แห้งตอบของตัวเอง นางลืมไปแล้วว่าตัวเองไม่ได้ส่องกระจกมานานกี่ปีแล้ว?

นางเป็นเช่นนี้ คิดว่าคุณหนูที่ตลอดระยะเวลาร้อยปีไม่เคยก้าวเดินออกจากหอซิ่วโหลวสักครึ่งก้าวก็ยิ่งเป็นเช่นนี้กระมัง

……

ชายฉกรรจ์ที่กำลังพูดคุยอยู่กับนักพรตหนุ่มพลันเอามือกดลงบนด้ามดาบ สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียดไม่เหลือแววล้อเล่นอย่างก่อนหน้านี้อีกต่อไป “เป็นอย่างคำเล่าลือที่พูดกันในเมืองเล็กบริเวณใกล้เคียงจริงๆ ปราณปีศาจมาจากเรือนด้านหลังของบ้านหลังนี้! ช่างเป็นปราณปีศาจที่เข้มข้นยิ่งนัก มิน่าเล่าฮวงจุ้ยของที่แห่งนี้ถึงได้ถูกเผาผลาญไปจนสิ้น ไม่แน่ว่าอาจเป็นปีศาจเฒ่าขอบเขตหกแล้ว ไอ้หนูทั้งสอง ข้าจะไปสังหารปีศาจเดี๋ยวนี้ หากพวกเจ้าสองคนเห็นท่าไม่ดีก็รีบหนีไปทันที อย่าเห็นเป็นเล่น สถานที่แห่งนี้อันตรายผิดปกติ บ่อน้ำขุ่นบ่อนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะก้าวเข้ามาได้!”

มือดาบเครายาวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “แต่อย่าเพิ่งถอยตอนนี้จะดีกว่า จะได้ไม่ถูกปีศาจเฒ่าของบ้านโบราณหลังนี้หมายหัว ต่อให้ข้าจะพ่ายแพ้ก็จะพยายามถ่วงเวลาพวกเขาไว้ให้ได้นานที่สุด ถึงเวลานั้นพอได้ยินสารจากข้า บอกให้พวกเจ้าหนี พวกเจ้าก็ห้ามลังเลเด็ดขาด!”

จากนั้นก็เห็นเพียงว่ามือดาบผู้มีหนวดเครารกรุงรังสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ชักดาบออกจากฝัก ประกายดาบเปล่งแสงวาบ แล้วชายฉกรรจ์ก็ยื่นมือข้างหนึ่งปัดขี้เถ้าในกระถางไฟออก หยิบถ่านก้อนหนึ่งที่กำลังลุกไหม้แดงโร่มากุมไว้กลางฝ่ามือ จากนั้นเช็ดไปที่ตัวดาบ สะเก็ดไฟกระเซ็นไปทั่วทิศยิ่งขับให้ดาบวิเศษเล่มนั้นคมกริบเกินต้านทาน

ต่อให้โอกาสชนะจะไม่สูง แต่เวลานี้ทั่วร่างของชายฉกรรจ์กลับเต็มไปด้วยปราณแห่งความองอาจใจกว้าง เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของวีรบุรุษ

เฉินผิงอันยื่นกาเหล้าส่งไปให้ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สักหน่อยไหม ท่านผู้กล้า?”

ชายฉกรรจ์ส่ายหน้ายิ้มๆ มือถือดาบวิเศษ ลุกพรวดขึ้นยืน “ดื่มเหล้าเวลาคุยพูดคุยกันก็แค่แก้กระหายเท่านั้น อันที่จริงสังหารปีศาจใหญ่ กำจัดมารผดุงความเป็นธรรมต่างหากที่สาแก่ใจยิ่งกว่าดื่มเหล้านับร้อยนับพันเท่า!”

ท่ามกลางม่านฝน ชายฉกรรจ์ถือดาบเปิดประตูเดินก้าวยาวๆ ออกไปทางเรือนด้านหลัง สะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง แสงดาบก็ส่องประกายสว่างจ้าไปทั่วทิศ ชายฉกรรจ์เคราดกเงยหน้าขึ้นมองไปทางทิศไกล เอ่ยเสียงดังกังวาน “สวีหย่วนเสียอยู่นี่แล้ว โปรดชี้แนะด้วย!”

นักพรตจางซานหยิบกระบี่ไม้ท้อที่มีกระดิ่งสดับปีศาจห้อยอยู่ขึ้นมา เอ่ยเสียงจริงจังกับเฉินผิงอัน “ข้าจะไปช่วยเขาสังหารปีศาจ! เฉินผิงอัน เจ้าคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว หากยังไม่เลื่อนสู่ขั้นสี่ก็ไม่เหมาะให้รับมือกับพวกปีศาจใหญ่หรือสิ่งชั่วร้าย เจ้ารออยู่ที่นี่ หากจำเป็นจริงๆ ข้าถึงจะตะโกนเรียกเจ้า”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”

หลังจากที่ร่างของนักพรตหนุ่มพุ่งออกจากห้องไปอย่างว่องไว เฉินผิงอันรอคอยอยู่ชั่วครู่ เขาไม่ได้เลือกจะรอดูการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่เดิม แต่เดินออกมาจากห้อง ปล่อยหมัดเปล่าผ่านม่านฝนที่กั้นขวางเข้าไปหาห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า”

ประตูของห้องที่ไฟดับลงไปนานแล้วค่อยๆ แง้มเปิดอย่างเชื่องช้า บัณฑิตแซ่ฉู่คนนั้นเดินออกมา เรือนกายของเขาสูงเพรียว ในมือถือคบเพลิงที่ก่อนหน้านี้ถูกสายฝนราดรดดับ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม พอมองประสานสายตากับเฉินผิงอัน บัณฑิตก็กระตุกมุมปาก ยกมือขึ้น ใช้ฝ่ามือลูบไปยังช่วงบนของคบเพลิง คบเพลิงนั้นก็ติดไฟในเสี้ยววินาที ก่อนที่เขาจะปักคบเพลิงอันนั้นไว้ช่วงบนของเสาต้นหนึ่ง “เจ้าพูดน้อยที่สุด แต่ว่าฉลาดที่สุด แน่นอนว่าความสามารถก็ไม่น้อย สามารถกำจัดเหรียญทองแดงผีของนักพรตป๋ายลู่ได้ ทว่าวัตถุผีที่มีเพียงขอบเขตสาม จะว่าไปแล้วก็ร้ายกาจเพียงเท่านั้น เจ้าหนุ่มเจ้าอย่าลำพองใจเกินไปเพราะเหตุนี้…”

เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรสักคำ เรือนกายที่ผอมบางหายวับไปจากจุดเดิมอย่างไม่มีลางบอกเหตุ

บัณฑิตผู้นั้นตะลึงเล็กน้อย

เรือนกายหนึ่งกระโจนพุ่งผ่านม่านฝนที่กั้นขวางอยู่ระหว่างห้องเข้ามาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ บัณฑิตที่ค่อนข้างประมาทไม่ทันได้ตั้งตัวก็โดนหมัดที่เป็นดั่งสายรุ้งซึ่งพาดผ่านมาจากอีกด้านหนึ่งของขอบฟ้า กระแทกลงบนศีรษะอย่างรวดเร็ว ร่างทั้งร่างของเขากระเด็นหวือออกไป กระแทกชนทั้งประตูและผนัง สุดท้ายร่างของบัณฑิตที่ไปโผล่อีกฝั่งหนึ่งของระเบียงก็กระแทกลงบนเสาหนาใหญ่ต้นหนึ่ง เสาระเบียงที่ตรงกับหัวใจด้านหลังของเขาเกิดเสียงดังปังแล้วปริร้าวเหมือนใยแมงมุมรังเล็กๆ นั่นถึงทำให้บัณฑิตพอจะหยุดร่างที่ปลิวละลิ่วเอาไว้ได้ เขากระอักเลือดไม่หยุด จิตวิญญาณสั่นสะท้านรุนแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริด

ไม่เพียงแต่พละกำลังของวิชาหมัดที่น่าครั่นคร้าม ทว่าทั้งปณิธานแห่งหมัดและพายุหมัดที่สลับกันต่อยลงบนร่างของเขาล้วนเหมือนแส้โบยวิญญาณในมือของเซียนที่เฆี่ยนตีผีและสิ่งชั่วร้ายแรงๆ ประหนึ่งดาวพิฆาตที่มาจากธรรมชาติ

เสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว

คราวนี้หมัดกระแทกเข้าที่ลำคอ

ทั้งคนทั้งเสาต่างก็ล้มครืนไปด้านหลังพร้อมกัน

บัณฑิตหนุ่มถูกสองหมัดนี้ต่อยจนน้ำเลือดน้ำตาปะปนกันจนแยกไม่ออก สีหน้าของเขาดุดัน อาภรณ์ขาดวิ่น เตรียมจะเผยร่างเดิมโดยไม่สนใจอีกว่าจะเป็นกับดักหรือไม่

ทว่าจากนั้นเขากลับได้ยินคำพูดประหลาดคำหนึ่ง “ชูอี”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!