Skip to content

Sword of Coming 227

บทที่ 227 ออกกระบี่แล้ว

เทพอภิบาลเมืองที่ตั้งบูชาอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองของแยนจือมีชื่อว่าเสิ่นเวิน ตอนมีชีวิตอยู่เคยเป็นผู้ตรวจารแคว้นไฉ่อี มีชื่อเสียงด้านความมั่นคงซื่อตรง ไม่ประจบสอพลอใครจนเลื่องลือไปทั้งราชสำนัก ทิ้งคำกล่าวว่า ‘มีชีวิตอยู่เป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ ตายไปเป็นผีผู้ซื่อตรง’ เอาไว้ ตลอดระยะเวลาสามร้อยปี ควันธูปของศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้จึงรุ่งโรจน์มาโดยตลอด

เพราะก่อนหน้านี้เคยมาที่ศาลเทพอภิบาลเมืองพร้อมกับสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงไปแล้วรอบหนึ่ง เฉินผิงอันจึงคุ้นชินเส้นทางเป็นอย่างดี

ศาลเทพอภิบาลเมืองแยนจือแบ่งออกเป็นสี่ตำหนัก รูปปั้นดินหลากสีของเทพสวรรค์ซึ่งเดิมทีเปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมีตั้งอยู่หน้าประตูหลักชั้นที่สองของศาล เพียงแต่ว่าตอนนี้สภาพของเทวรูปทั้งสองน่าอนาถจนแทบทนมองไม่ได้ เพราะมีทั้งงูเลื้อยยั้วเยี้ยและหนูวิ่งกันให้พล่าน

เฉินผิงอันเดินเลียบกำแพงที่ล้อมเป็นวงกลมไปได้หลายสิบก้าว ลานกว้างของศาลเทพอภิบาลเมืองก็ยังไม่มีสิ่งชั่วร้ายปรากฏตัวขึ้น เขาจึงเรียกยันต์ปราณหยางส่องไฟที่ซุกซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อออกมา

กระดาษยันต์สีเหลืองลอยห่างไปเบื้องหน้าเฉินผิงอันประมาณหนึ่งช่วงแขน มันส่ายไหวเล็กน้อย พอเฉินผิงอันก้าวออกไปหนึ่งก้าว มันก็ค่อยๆ ลอยไปทางประตูหลักด้วยตัวเอง เฉินผิงอันมั่นใจขึ้นมาทันที

แม้ว่าศาลเทพอภิบาลเมืองจะเจอกับหายนะ สภาพของลานกว้างเปลี่ยนโฉมหน้าไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งปลูกสร้างด้านหลังศาลเทพอภิบาลเมืองต้องยังมีปราณวิญญาณหลงเหลืออยู่อีกแน่นอน ไม่อย่างนั้นยันต์ปราณหยางส่องไฟก็คงไม่มีทางเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ต้องถอยหนีไปทางกำแพงสูงที่อยู่ด้านหลังแทน

ยันต์ปราณหยางส่องไฟปล่อยแสงสีเหลืองสลัวอ่อนจาง รัศมีแสงสะอาดบริสุทธิ์ปกคลุมไปทั่วร่างของเฉินผิงอัน ทุกที่ที่เท้าทั้งสองข้างของเขาก้าวผ่าน พวกสัตว์พิษทั้งห้าอย่างแมงป่อง ตะขาบที่เดินยุบยับอยู่บนพื้นต่างก็พากันหลีกลี้หนีห่าง

ตอนที่เดินผ่านประตูหลัก คงเป็นเพราะถูกริ้วคลื่นเส้นแสงของยันต์ปราณหยางส่องไฟส่องไปโดน งู หนูและแมงป่องที่อยู่บนร่างของรูปปั้นขุนนางสวรรค์ทั้งสองจึงพากันอ้อมจากด้านหน้าหลบไปอยู่ด้านหลัง บ้างก็ผลุบเข้าไปซ่อนตัวในช่องท้องที่เป็นรูโหว่

เฉินผิงอันทำสมาธิเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ด้านหลังประตูหลักก็คือห้องโถงใหญ่ เหนือประตูแขวนกรอบป้ายตัวอักษรสีทอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ไม่ใช่เทพอภิบาลเมือง แต่เป็นรูปปั้นในท่านั่งของขุนพลฝ่ายบู๊ผู้มีคุณูปการในการบุกเบิกแคว้นไฉ่อีคนหนึ่ง ฝั่งซ้ายและขวาของเขาคือขุนนางผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นและบู๊ รวมไปถึงขุนนางใต้บังคับบัญชารวมทั้งสิ้นแปดคน กรอบป้ายที่อดีตฮ่องเต้ของแคว้นไฉ่อีเป็นผู้ทรงพระอักษรด้วยตัวเอง ตอนนี้สีทองหลุดลอกไปเกินครึ่ง มีงูดำตัวใหญ่เท่าปากชามตัวหนึ่งนอนขดอยู่ด้านบน ลำตัวของมันห้อยลงมาเบื้องล่าง ยื่นหัวมาแลบลิ้นขู่ใส่เฉินผิงอันเสียงดังฟ่อๆ คล้ายกำลังสำแดงบารมีและเอ่ยตักเตือน

เมื่อเฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูเข้าไป งูดำก็ฉกพรวดเข้ามา มันอ้าปากสีแดงฉานออกกว้าง เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เพียงแค่เบี่ยงเอว ใช้นิ้วทั้งห้ากำศีรษะของงูดำเอาไว้ ขยับข้อมือเบาๆ สัตว์เดรัจฉานตัวนี้ก็ร่างอ่อนยวบเหมือนไร้กระดูก ตอนที่มันถูกขว้างลงไปกระแทกพื้นหนักๆ ก็สิ้นลมหายใจตายไปนานแล้ว

เฉินผิงอันเดินไปด้านหน้าตามหลังยันต์ปราณหยางส่องไฟที่ขยับส่ายอยู่กลางอากาศอีกครั้ง เมื่อผ่านห้องโถงใหญ่มาก็เจอกับลานกว้างอีกแห่งหนึ่ง

เพียงแต่ว่าพื้นที่ค่อนข้างเล็ก มีต้นไม้โบราณเขียวขจีตั้งตระหง่าน มีแผ่นศิลาจารึกสลักพระราชโองการคำแต่งตั้งที่ฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีมอบให้แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเทพอภิบาลเมืองทั่วแคว้นตั้งวางอยู่แผ่นหนึ่ง ตอนนั้นเฉินผิงอันยังมายืนมองอยู่หน้าป้ายศิลานี้พักใหญ่ สุดท้ายได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า ตัวอักษรที่เขียนพรรณนาธรรมดาอย่างมาก ถึงขั้นสู้ตัวอักษรของเด็กหนุ่มชุยฉานไม่ได้ด้วยซ้ำ

แล้วก็โชคดีที่ราชครูต้าหลีซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นชุยตงซานไม่ได้อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นคงโมโหไม่น้อย

ฝั่งซ้ายและขวาของลานกว้างมีตำหนักเทพไฉเสินกับตำหนักเทพไท่สุ้ยอยู่คนละฝั่ง ตำหนักหนึ่งเพื่อให้คนมาจุดธูปขอความเจริญร่ำรวย ก้าวหน้ารุ่งเรือง อีกตำหนักหนึ่งไว้กราบไหว้เทพแห่งชะตาชีวิต หวังให้มีชีวิตราบรื่น ไร้อุปสรรค

ดังนั้นเวลาที่พวกชาวบ้านมาจุดธูปกราบไหว้ในสองตำหนักนี้จึงเหมือนจะจริงใจกว่าเวลากราบไหว้ในตำหนักใหญ่เสียอีก

ยันต์ปราณหยางส่องไฟพุ่งตรงไปด้านหน้า เฉินผิงอันไม่กล้าชักช้า ตามหลังไปติดๆ

แต่แล้วเฉินผิงอันก็หันขวับกลับไปมองด้านหลังเพราะรู้สึกเหมือนว่ามีเงาร่างสีขาวเงาหนึ่งวูบผ่านไปตรงป้ายหินสูงใหญ่ไต้ต้นสนโบราณ

อีกทั้งในตำหนักเทพไฉเสินกับตำหนักไท่สุ้ยยังมีเสียงพลิ้วหวานของหญิงสาวดังมาให้ได้ยินแว่วๆ เป็นเสียงที่เบามาก คล้ายเสียงคนกำลังพูดคุยหยอกล้อกัน ทว่าเบื้องหลังความไพเราะเพราะพริ้งกลับซุกซ่อนความเยียบเย็นเอาไว้ ราวกับว่าผีสาวในโลกวิญญาณกำลังส่งเสียงมาถึงโลกมนุษย์ เสียงหัวเราะนั้นค่อยๆ แทรกซึมผ่านเส้นแบ่งเขตระหว่างโลกคนเป็นกับคนตาย อาศัยว่ามีร่มเงาต้นไม้โบราณช่วยบดบัง ลอดผ่านหน้าต่างของสองตำหนักเข้ามายังลานกว้าง เพียงแต่ว่าเมื่อถูกแสงอาทิตย์บางเบาสาดส่องก็เหมือนหิมะที่หลอมละลาย ทำให้ระดับความดังลดน้อยลงไปมาก แต่ถึงกระนั้นก็ยังดังมาเข้าหูเฉินผิงอันอยู่ดี

เฉินผิงอันขมวดคิ้วแล้วหันกลับเดินหน้าต่อ

เดินไปอีกแค่สิบกว่าก้าวก็จะเข้าไปในตำหนักหลักซึ่งตั้งรูปปั้นบูชาเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวิน อดีตผู้ตรวจการของศาลเทพอภิบาลเมืองแล้ว

นอกจากกระบี่สองเล่มในกล่องไม้ที่มีไว้เป็นเครื่องประดับชั่วคราว กระบี่บินสองเล่มในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็คือกำลังหลักนอกเหนือจากวิชาหมัดของเขา

แต่นอกจากสิ่งของนอกกายเหล่านี้แล้ว เฉินผิงอันยังมียันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจเขียนลงบนกระดาษสีทองอีกสองแผ่นซึ่งมาจาก ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ตำราโบราณที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้

เพราะหลังจากที่ทำลายวัตถุชั่วร้ายซึ่งเป็นเหรียญทองแดงในร่มกระดาษน้ำมันที่อยู่บ้านโบราณไปได้แล้ว เฉินผิงอันกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดถึงได้วาดยันต์ขึ้นมาทันที ภายหลังตอนที่ต่อสู้กับปีศาจต้นไม้แซ่ฉู่ของแคว้นกู่อวี๋ ไม่ทันได้เอาออกมาใช้ ปีศาจตนนั้นก็ถูกสองกระบี่ชูอีสืออู่ทยอยกันสังหารให้กลายร่างเป็นต้นอวี๋โบราณไปแล้ว

นอกจากนี้ก็ยังมียันต์ปราณหยางส่องไฟหนึ่งแผ่นและยันต์ย่อพื้นที่อีกสามแผ่น ฝ่ายหลังหลักๆ แล้วนำมาใช้ร่วมกับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า แน่นอนว่าหากคิดจะนำมาใช้หนีเอาชีวิตรอดก็ไม่เป็นรองยันต์เทพเดินทางที่นักพรตจางซานเฟิงให้เขายืมใช้เลย

วินาทีที่เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปนั้นเอง

บนแท่นศิลาก็มีหญิงสาวชุดขาวคนหนึ่งปรากฏตัว นางนั่งอยู่บนยอดของป้ายศิลา ผมสีดำสนิทที่ยุ่งเหยิงปิดบังใบหน้าของนางจนมองไม่เห็นหน้าตาที่แท้จริง

แต่นิ้วมือข้างหนึ่งที่นางยื่นออกมาเหลือแค่กระดูกขาวโพลนไร้เลือดเนื้อ นิ้วกระดูกเคาะลงบนยอดบนของป้ายศิลาเบาๆ ทันใดนั้นน้ำพุเลือดสดก็ปรากฏขึ้นมาแล้วไหลลงสู่ด้านล่าง เพียงไม่นานตัวอักษรโบราณเรียบง่ายพันกว่าตัวที่อยู่บนแผ่นหินก็เหมือนกลายมาเป็นหนังสือเลือดสีแดงฉาน

แต่ที่น่าแปลกก็คือ ชุดสีขาวของหญิงสาวกลับยังคงสะอาดเอี่ยม ไม่มีเลือดกระเด็นมาเปื้อนแม้แต่หยดเดียว

หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ยังคงมีเส้นผมสีนิลปิดหน้า แต่นางกลับเริ่มเปล่งเสียงร้องเพลงที่มีท่วงทำนองอือๆ อาๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพลงพื้นบ้านโบราณที่หายสาบสูญไปนานแล้วของแคว้นไฉ่อีหรือไม่

สตรีชุดขาวร้องเพลงเบาๆ พลางชูมือขึ้น ยื่นนิ้วที่มีแต่กระดูกขาวสองนิ้วออกมาคีบเส้นผมสีดำปอยหนึ่งแล้วส่ายเบาๆ สองเท้าที่ไม่สวมรองเท้าซึ่งดูมีเลือดเนื้อมากกว่านิ้วมือแกว่งไกวเบาๆ ยามที่เนื้อกับกระดูกเท้ากระแทกเข้ากับป้ายหินก็ทำให้เลือดสดที่หลั่งทะลักลงมาสาดกระเซ็น

เมื่อเทียบกับเสียงพูดคุยกลั้วเสียงหัวเราะที่ดังอยู่ในตำหนักสองฝั่งซ้ายขวาแล้ว เสียงร้องเพลงของสตรีชุดขาวได้ยินชัดเจนยิ่งกว่า ต้นสนโบราณที่สูงเหนือศีรษะของนางส่ายสะบัดไปตามลมคล้ายกำลังร้องประสานไปกับนาง

ดูเหมือนหญิงสาวจะร้องเพลงมาถึงจุดที่ตัวเองชื่นชอบจึงยกฝ่ามือที่เหลือแต่กระดูกข้างหนึ่งขึ้นตั้งแล้วพลิกกลับไปกลับมาอย่างนุ่มนวล

ประตูที่ปิดแน่นสนิทของสองตำหนักซ้ายขวากระแทกเปิดดังปัง ก่อนที่บุรุษคนหนึ่งจะเดินออกมาจากประตูแต่ละฝั่ง บุรุษที่เดินออกมาจาตำหนักเทพไฉเสินอายุยังน้อย แขนข้างหนึ่งถูกตัดขาดเสมอไหล่ ไม่รู้ว่าแขนข้างนั้นหายไปไหน แต่เลือดหยุดไหลแล้ว แขนที่เหลืออีกข้างหนึ่งลากกระบี่เล่มยาวกลับหัวกลับหาง สีหน้าของเขาซีดขาว ดวงตาทั้งคู่ไร้แววชีวิตชีวา

ทางฝ่ายของตำหนักไท่สุ้ยมีบุรุษชุดดำวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมา ศีรษะของเขาลู่ลง เดินกะเผลกข้ามธรณีประตู ถ้ามองอย่างละเอียดจะเห็นว่าเหนือลำคอของคนผู้นี้ถูกตัดขาดด้วยอาวุธแหลมคม อาศัยผิวเนื้อน้อยนิดที่เชื่อมติดกันเท่านั้น หัวของเขาถึงได้ไม่หลุดออกจากตัว

เมื่อข้อมือของหญิงสาวชุดขาวพลิกหมุน บุรุษสองคนที่เดินโซเซก็พลันเคลื่อนไหวปราดเปรียว เริ่มร่ายรำอยู่บนลานกว้าง ที่แท้บนปลายนิ้วกระดูกของสตรีชุดขาวก็มีเส้นแสงที่โปร่งใสแขวนค้างอยู่กลางอากาศ คล้ายเส้นใยแมงมุมสีหิมะหลายเส้น เส้นใยแมงมุมเหล่านั้นรัดพันอยู่บนแขนขาทั้งสี่ของบุรุษสองคนที่ตายไปแล้ว ควบคุมทุกๆ การกระทำของพวกเขาเอาไว้

ในตำหนักใหญ่สองแห่งที่ประตูถูกเปิดอ้ามีสตรีชุดขาวที่ลากควันดำเป็นกลุ่มๆ ตามมาด้านหลังกำลังล่องลอยไปมาอย่างรวดเร็วอยู่ใกล้กับประตู ลักษณะคล้ายกำลังมองมาทางบุรุษทั้งสอง เสียงหัวเราะเบาๆ ของพวกนางเต็มไปด้วยแววเย้ยหยันและความแค้นเคือง

เพียงแต่ว่าแสงอาทิตย์ที่สาดส่องอยู่นอกประตูเป็นเหมือนปราการทางธรรมชาติที่ทำให้พวกนางไม่กล้าเดินข้ามออกจากประตูมาง่ายๆ แต่ก็ยังมีสตรีชุดขาวสี่ห้าคนที่อดรนทนไม่ไหวพาควันดำเป็นระลอกพุ่งออกมาบินล้อมศพของบุรุษทั้งสอง ใช้นิ้วจิ้มไปบนใบหน้าซีดขาวของบุรุษ บ้างก็บินอ้อมไปทางด้านหลัง บ้างก็บินลอดจากใต้รักแร้ของพวกเขาขึ้นไปด้านบน แต่พวกนางก็เล่นสนุกได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะเมื่อแสงแดดส่องมาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยการที่ร่างแหลกสลายหายไป

เฉินผิงอันยืนอยู่นอกธรณีประตูของตำหนักหลัก ยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นนั้นคล้ายชนกับกำแพง เด้งกลับออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ขยับไปด้านหน้าต่อไม่ได้อีก

ปราณหยางที่ซุกซ่อนอยู่ในยันต์ส่องไฟเริ่มหดหายไปทีละน้อย

เฉินผิงอันยื่นมือออกไป บนมือก็คล้ายสัมผัสกับผิวน้ำของแม่น้ำที่เกาะตัวเป็นน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาว เขาเพิ่มแรงเข้าไปอีกเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่สามารถทำลายมันออกได้

เฉินผิงอันประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน ขณะเดียวกันกับที่หมุนตัวกลับก็บิดข้อมือ ยันต์ปราณหยางส่องไฟที่เหลือลมปราณอีกไม่นานบินพรวดไปที่ลานกว้างอย่างรวดเร็ว บินวนเหนือศีรษะของศพทั้งสองที่กลายมาเป็นหุ่นเชิดหนึ่งรอบ เสียงตุ้บดังขึ้น ร่างของบุรุษทั้งสองล้มหน้าคว่ำกระแทกพื้นอย่างแรง เส้นแสงทุกเส้นที่เชื่อมติดกับร่างถูกตัดขาด หลังจากที่ศพร่วงลงพื้น เลือดสดก็ไหลนองเป็นสาย

สตรีชุดขาวหดมือกลับมา ไม่ได้แสดงความโกรธเกรี้ยว กลับเป็นพวกหญิงสาวที่อยู่ในตำหนักทั้งสองเสียอีกที่แยกเขี้ยวกางเล็บ ดวงตาที่มองมาทางเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความเคียดแค้นอาฆาต

ขอแค่ตกอับกลายมาเป็นผีร้าย ไม่ว่าตอนมีชีวิตอยู่เจ้าจะเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาแค่ไหนก็ไม่สามารถใช้คำว่าเดิมนั้นมนุษย์มีสันดานที่ดีงามตามคำกล่าวของรองอริยะลัทธิขงจื๊อได้อีก ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ สุดท้ายก็ไม่เหลือน้ำสักหยด

นี่ก็คือเจตนารมณ์สวรรค์ที่มองไม่เห็น

เฉินผิงอันมองไปยังแผ่นหลังของสตรีที่นั่งอยู่บนป้ายศิลา เอ่ยเบาๆ ว่า “คุณหนูท่านนี้ คนตายควรได้รับความเคารพมากที่สุด ไม่ว่าตอนมีชีวิตอยู่พวกเจ้ามีความแค้นใดต่อกันก็ให้มันจบลงเพียงเท่านี้ดีกว่ากระมัง?”

สตรีชุดขาวทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงร้องเพลงต่อไป คราวนี้นางร้องด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป เฉินผิงอันจึงฟังเข้าใจ

“รูปลักษณ์เป็นดั่งกระดูกแห้งเหี่ยว หัวใจเป็นดั่งขี้เถ้ามอด…นี่คือความจริง ไม่ใช้สิ่งนี้มาควบคุมตน มึนงงสงสัย ไร้ใจก็ไร้ความสามารถ ไร้แผนการ แล้วนั่นจะเป็นคนแบบใด…”

น้ำเสียงของหญิงสาวราบเรียบ แต่กลับแฝงไว้ด้วยความสงบสุขเสี้ยวหนึ่ง ฟังไม่ออกถึงความเจ็บแค้นโกรธเคืองแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันฟังความหมายของตัวอักษรได้คร่าวๆ แต่กลับไม่เข้าใจความหมายลึกล้ำที่ซุกซ่อนอยู่

และเฉินผิงอันก็ไม่มีอารมณ์ให้ใคร่ครวญเรื่องพวกนี้ ตอนนี้เทพอภิบาลเมืองน่าจะถูกเวทลับบางอย่างที่อยู่ในตำหนักหลักและด้านนอกของศาลเทพอภิบาลเมืองพันธนาการเอาไว้ จึงไม่อาจออกไปสำรวจเมือง ช่วยเหลือเมืองแยนจือให้ผ่านพ้นจากหายนะที่กำลังจะมาถึงในครั้งนี้ได้

ด้านในตำหนักใหญ่ที่เฉินผิงอันยืนหันหลังให้ก็คือตำหนักอภิบาลเมืองที่บูชาเทวรูปสามองค์ซึ่งรวมถึงเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินไว้ด้วย เทวรูปเสิ่นเวินสูงสามจั้งกว่า คนที่มาจุดธูปกราบไหว้จำเป็นต้องเงยหน้ามอง เทวรูปบุ๋นบู๊ที่อยู่สองฝั่งซ้ายขวาก็สูงสองจั้ง องค์หนึ่งถือคทาเหล็ก อีกองค์หนึ่งถือตราประทับทางการ

เล่าลือกันว่าเมื่อสองร้อยปีก่อนมีนักพรตแซ่จางจากต่างทวีปคนหนึ่งเดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่แห่งนี้ ด้วยความประทับใจต่อประเพณีนิยมของชาวเมืองแยนจือ หลังกลับไปถึงบ้านเกิดเขาได้เป็นเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ และไม่นานก็มอบ ‘ตราประทับเสี่ยนโย่วโป๋อภิบาลเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี’ มาให้ชิ้นหนึ่ง

และในเวลานั้นผู้คนถึงได้รู้ว่าที่แท้นักพรตหนุ่มเป็นถึงชนชั้นสูงหวงจื่อแห่งจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ เรื่องเล่าที่งดงามเรื่องนี้คนรู้กันครึ่งทวีป ในกลุ่มชาวบ้านก็มีการเล่าลือต่อๆ กันไป และตราประทับเนื้อทองที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ชิ้นนั้นก็ถูกฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีเก็บรักษาอยู่ในคลังสมบัติแห่งชาติไปนานแล้ว

ด้านในตำหนักเทพอภิบาลเมืองยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่ยักษ์ บนภาพมีสาวงามที่สวมเสื้อแขนกว้างกำลังร่ายระบำเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดคน

ถูกคนรุ่นหลังขนานนามว่า ‘หมึกสีมีชีวิต เป่าลมใส่มีชีวา’

เฉินผิงอันเห็นว่าสตรีชุดขาวผู้นั้นไม่สะทกสะท้านก็ไม่พูดอะไรมากอีก เขาแอบตบไปยังน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ห้อยไว้ตรงเอวเบาๆ

พอหมุนตัวกลับมาก็ปล่อยหมัดต่อยลงไปบน ‘ผิวน้ำแข็ง’ นั่นหนึ่งครั้ง เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก เทวรูปสามองค์ที่อยู่ด้านในถึงกับโยกคลอนตามไปด้วย

เฉินผิงอันเดินช้าๆ ด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าว ปล่อยหมัดต่อยลงบนชั้นน้ำแข็งครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ก็คือกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า

แน่นอนว่ายังต้องป้องกันเผื่อสตรีที่อยู่ตรงป้ายหินจะแว้งมาทำร้ายด้วย

เสียงถอนหายใจเสียงหนึ่งดังมาจากด้านบนของต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า เป็นเสียงของเด็กสาวผู้หนึ่ง

“เจ้าโง่ นั่นคือค่ายกลที่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตห้าสองคนร่ายไว้เองกับมือ ต่อให้เป็นอาจารย์ของข้าก็ยังต้องจนปัญญาไปชั่วขณะ ไม่อย่างนั้นทำไมท่านเทพอภิบาลเมืองถึงออกมาไม่ได้เล่า เจ้าแค่เป็นวรยุทธ์งูๆ ปลาๆ ก็คิดจะทำลายมันให้ได้อย่างนั้นหรือ? เก็บแรงไว้เถอะ ฉวยโอกาสที่ผีสาวตนนั้นยังไม่คิดจะฆ่าเจ้า รีบออกไปจากที่นี่ซะ ไม่อย่างนั้นคราวหน้าหากมีคนโง่บุกเข้ามาอีกครั้ง หุ่นเชิดที่ถูกชักใยให้ร่ายรำตัวต่อไปก็จะเป็นเจ้าแล้ว”

อาจจะเป็นเพราะหมัดของเฉินผิงอันต่อยอย่าง ‘ตามใจปรารถนาเกินไป’ ดังนั้นจึงมองไม่ออกถึงพลังอำนาจที่ซ่อนอยู่แม้แต่น้อย

นี่ทำให้เด็กสาวนิสัยประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้เกิดใจดูแคลน

หลังจากที่ต่อสู้กับหม่าขู่เสวียนไปบนถนนเส้นเล็ก ปณิธานหมัดของเฉินผิงอันในเวลานี้จึงยิ่งเก็บอำพรางได้ลึกล้ำมากขึ้น ท่าเดินนิ่งที่ใช้ในเวลาฝึกหมัดยามปกติยิ่งช้ามากขึ้นและยิ่งสอดคล้องกับคำว่า ‘บำรุงด้วยความอบอุ่น’ มากขึ้น โดยทั่วไปแล้วทักษะด้านวรยุทธ์ขั้นต่ำในยุทธภพ การที่หมัดนอกตำราสามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์ ‘เรียกผีร้ายเข้าตัว’ ก็เพราะใช้วิธีที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้เข้าสำนักที่ได้มาตรฐาน เป็นเหตุให้ยิ่งปล่อยหมัดเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งทำลายร่างกายและจิตวิญญาณมากเท่านั้น

ถึงแม้ว่าการเดินนิ่งของเฉินผิงอันจะเชื่องช้า แต่ความเร็วในการโคจรลมปราณตอนฝึกเดินนิ่งเจี้ยนหลูกลับเร็วกว่านับเท่าไม่ถ้วน หากเปรียบเทียบว่าก่อนหน้านี้คือการส่งข่าวตามจุดพักม้าที่ต้องใช้ม้าเร็ว ตอนนี้ก็คือสามารถควบม้าเร็วได้แปดร้อยลี้ในวันเดียว

สภาพการณ์มหัศจรรย์อย่างการ ‘เก็บซ่อนอำพราง’ นี้ หากไม่ใช่ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตหกหรือเจ็ดย่อมไม่สามารถมองตื้นลึกหนาบางออก

สตรีชุดขาวพลันหยุดร้องเพลง หันหน้ามาจ้องหมัดที่สิบแปดของเฉินผิงอันเขม็ง

หนึ่งหมัดต่อยไป ประหนึ่งระฆังใบใหญ่ที่ถูกตีดังกังวาน ลมปราณของตลอดทั้งลานกว้างสะเทือนเลือนลั่น ป้ายศิลาที่อาบไปด้วยเลือดสดปริแตกเป็นรอยร้าวเสียงดังสนั่น

นางกรีดร้องเสียงแหลมบาดแก้วหูเหมือนแม่ทัพที่ออกคำสั่ง เหล่าหญิงสาวที่อยู่ในสองตำหนักจึงกลายร่างมาเป็นควันเข้มข้นที่กลิ้งหลุนๆ สองเส้น เส้นหนึ่งหลอมรวมเข้ากับพื้นผิวน้ำแข็งชั้นนั้น ใช้จิตวิญญาณวัตถุหยินที่หลงเหลืออยู่ของพวกนางมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับค่ายกลสกปรกแห่งนั้น ควันดำอีกเส้นหนึ่งกระโจนเข้าหาเฉินผิงอัน พยายามที่จะทำลายปณิธานหมัดที่เชื่อมโยงต่อกันเป็นสายของเขา ไม่ให้เขาปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าเป็นหมัดที่สิบเก้าได้

“จะถูกคนมุทะลุอย่างเจ้านำหายนะมาให้แล้ว! หากวันนี้ข้าตายอยู่ที่นี่ ถึงเวลานั้นพวกเราสองคนเดินบนเส้นทางสู่น้ำพุเหลืองด้วยกัน คอยดูเถอะข้าจะด่าเจ้าให้ตายไปเลย…ตายซ้ำตายซ้อนเข้าไปอีก…ข้ายังไม่ทันได้ตายก็จะหงุดหงิดตายไปก่อนแล้ว!”

บนยอดต้นไม้โบราณ เด็กสาวบ่นจบก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เรือนกายอรชรของนางพุ่งพรวดออกมาก่อให้เกิดเสียงกระพรวนกรุ๊งกริ๊งใสกังวาน เมื่อเสียงนั้นล้อมวนไปรอบกายนางก็มีดอกไม้สีทองอ่อนจางเป็นวงๆ ผุดลอยขึ้นมา เมื่อบวกเข้ากับร่างสะโอดสะองของนางจึงเรียกได้ว่างดงามเจริญหูเจริญตา

มุมปากบนใบหน้าที่ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ม่านผมหนาดกของสตรีชุดขาวกระดกโค้ง ดวงตามีแววเย้ยหยันเย็นชา

นางยื่นมือกระดูกสองข้างออกมาตบเบาๆ

จากนั้นเทวรูปบุ๋นบู๊ที่ตั้งขนาบอยู่สองฝั่งซ้ายขวาของศาลเทพอภิบาลเมืองก็ส่งเสียงออดแอดคล้ายมีชีวิต สะเก็ดฝุ่นจำนวนมหาศาลร่วงกราวฟุ้งไปทั่ว พวกเขาเดินออกมาจากแท่นบูชาในเวลาเดียวกัน เหยียบลงบนแผ่นกระดานสีดำในตำหนักหลักเสียงดังครืนครั่น

จากนั้นเทวรูปดินเผาสูงสองจั้งทั้งสององค์ก็เดินพรวดออกมาจากในตำหนักหลัก รูปปั้นที่ถือคทาเหล็กไว้ในมือใช้คทาต้านรับหมัดที่พุ่งเข้ามาแสกหน้าของเด็กหนุ่ม ส่วนเทวรูปขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ถือตราประทับไว้ในมือ พอเดินข้ามธรณีประตูออกมาได้ก็ใช้ตราประทับเหล็กขนาดใหญ่ยักษ์ตบใส่เด็กสาว

เดิมทีเมื่อค่ายกลถูกทำลายก็จะสามารถทำให้เทพอภิบาลเมืองกลับคืนมาเป็นอิสระได้ นี่ต่างหากถึงจะเป็นการดำเนินไปของสถานการณ์ที่สมเหตุสมผล ไหนเลยจะคิดว่ากระบวนท่าสังหารที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ลานกว้างนอกศาล ไม่ได้อยู่ที่สตรีชุดขาว แต่อยู่ในตำหนักของเทพอภิบาลเมืองที่ฝากความหวังเอาไว้? ถ้าอย่างนั้นเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองที่ควรได้ครอบครองร่างทองขององค์เทพไปอยู่ที่ไหนกันแน่?

ในตำหนักเทพอภิบาลเมือง เทวรูปของเทพอภิบาลเมืองที่ตั้งอยู่ตรงกลาง สูงใหญ่และเปี่ยมบารมีอำนาจมากที่สุดซึ่งเดิมทีควรมีร่างสีทองเปล่งประกาย เวลานี้กลับหม่นหมองไร้แสง ท่ามกลางเศษชิ้นส่วนสีทองที่แตกกระจายอยู่เต็มพื้นมีเพียงในดวงตาเท่านั้นที่เหลือประกายแสงสีทองริบหรี่ ไม่ว่าคนเมืองแยนจือคนไหนมาเห็นก็คงไม่กล้าเชื่อว่านี่คือ ‘เทพอภิบาลเมืองร่างทอง’ ที่เป็นที่ภาคภูมิใจของพวกเขา

เพราะตามบันทึกในอักขรานุกรมของเมืองแยนจือ เทวรูปรูปนี้ถูกแปะด้วยทองคำเปลวจากทองเกือบหนึ่งร้อยตำลึง ด้วยเรื่องนี้เจ้าเมืองของรุ่นนั้นยังขอรับบริจาคจากเหล่านายท่านนายหญิงที่เป็นพ่อค้าหรือไม่ก็เศรษฐีที่ร่ำรวยในเมือง เมื่อบริจาคสำเร็จยังตั้งใจสร้างป้ายผู้อนุโมทนาบุญสลักชื่อแซ่วงศ์ตระกูลของคนที่ออกเงินทุนทุกคนลงไป

เทวรูปหลักที่บนร่างไม่เหลือทองคำเปลวแม้แต่ชิ้นเดียวเปล่งเสียงอย่างยากลำบาก น้ำเสียงที่แหบพร่าดังมาถึงธรณีประตู “พวกเจ้าสองคนรีบหนีไป พวกนอกรีตไม่รู้ที่มาเหล่านั้นมีจำนวนมากเกินไป สถานที่แห่งนี้มีแค่ผีชุดขาวตนเดียวเท่านั้น หากพวกเจ้าหนีไปได้ต้องนำข่าวไปแจ้งเซียนซือของสำนักโองการเทพ หรือไม่ก็เหล่าปราชญ์วิญญูชนแห่งสำนักศึกษากวานหู บอกพวกเขาว่าแคว้นไฉ่อีประสบหายนะครั้งใหญ่ หากแคว้นต้องล่มสลาย อีกหกแคว้นโดยรอบซึ่งรวมถึงแคว้นกู่อวี๋ก็ไม่มีหวังว่าจะรอดพ้นไปได้!”

ที่แท้เทพอภิบาลเมืองซึ่งเดิมทีควรปกป้องชาวบ้านในเมืองก็กลายมาเป็นเหมือนรูปปั้นพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำที่แม้แต่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด

นอกธรณีประตูของตำหนักหลัก

ก่อนหน้านี้เด็กสาวที่ทั้งข้อมือข้อเท้าต่างก็รัดกระพรวนสีเงินได้ช่วยเฉินผิงอันสกัดควันดำเส้นนั้นเอาไว้ได้ ทุกที่ที่เสียงกระพรวนสี่ลูกดังขึ้นจะต้องมีดอกไม้สีทองอ่อนจางจำนวนนับไม่ถ้วนผลิบาน มองแล้วละลานตา ควันดำที่เดิมทีพุ่งเข้ามาอย่างดุดันถูกฟาดฟันจนแหลกกระจาย แต่เด็กสาวเองก็ถูกควันดำที่กระจายตัวเป็นสายเล็กๆ รัดพันไปตามจุดต่างๆ ของร่างกายจนนางกระอักเลือด แต่ก็ยังยืนหยัดไม่ยอมถอยหนี ยืนอยู่ใกล้กับเจ้าคนมุทะลุผู้นั้น ข้อมือส่ายสะบัด เสียงกระพรวนดังเป็นระลอก กลีบดอกไม้สีทองค่อยๆ สลายควันดำที่ปะปนมากับเสียงร้องโหยหวนให้หายไปทีละนิด

ส่วนเฉินผิงอันจึงต่อยหมัดที่สิบเก้าออกไปอย่างผ่อนคลาย

จากนั้นควันดำอีกเส้นหนึ่งที่เหลืออยู่ก็พุ่งเข้าไปผสานรวมใน ‘ผิวน้ำแข็ง’ ที่กั้นขวางระหว่างภายในกับภายนอกของตำหนักหลัก ช่วยค่ายกลลดทอนอานุภาพทบทวีของหมัดที่สิบเก้ากระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า

จากนั้นก็เป็นเทวรูปดินเผาที่ ‘ทรยศ’ ทั้งสอง ตนหนึ่งโบกคทาแทงเข้าไปที่ศีรษะของเฉินผิงอัน อีกตนหนึ่งถือตราประทับเหล็กตบเข้าที่ท้ายทอยของเด็กสาว

สีหน้าของเฉินผิงอันยังคงเป็นปกติ เขาปล่อยหมัดที่ยี่สิบออกไปด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ ต่อยจนค่ายกลสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แม้ว่าจะยังไม่ปริแตก แต่ก็คลอนแคลนเต็มที อย่างมากที่สุดอีกแค่ก้าวเดียวก็คงทำลายได้

แต่เฉินผิงอันก็จนใจยิ่งนัก เพราะเขาไม่อาจทนมองเด็กสาวคนนั้นถูกเทวรูปขุนนางฝ่ายบุ๋นที่พุ่งตัวออกมาจากตำหนักตบตายด้วยตราประทับ หมัดที่ยี่สิบเอ็ดของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าจึงปล่อยใส่ค่ายกลไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาก็มีโอกาสที่จะปล่อยหมัดสุดท้ายออกไป

พื้นหินใต้เท้าของเฉินผิงอันปริแตก ร่างทั้งร่างหายวับไป หลบพ้นคทาที่พุ่งเข้าแสกหน้าของเทวรูปฝ่ายบู๊ตนนั้นมาได้ มาหยุดอยู่ด้านข้างเทวรูปฝ่ายบุ๋นในเสี้ยววินาที ใช้กระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบต่อยเข้าที่หน้าท้องของเทวรูป

นี่เป็นหมัดช่วยชีวิต ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่กล้ากักเก็บพลังเอาไว้ เป็นเหตุให้ตอนที่ออกหมัด รอบแขนของเขาถูกล้อมวนไปด้วยปณิธานแห่งหมัดสีขาว ประหนึ่งพายุลมกรดซึ่งมาพร้อมกับเสียงฟ้าคำราม

เทวรูปดินเผาสูงสองจั้งถูกเฉินผิงอันต่อยจนไถลออกไป เท้าสองของรูปปั้นใหญ่ยักษ์ไถคราดจนบนพื้นเกิดร่องลึก

เด็กสาวได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านหลังจึงหันหน้ามามอง นั่นถึงพอจะทำให้นางคาดเดาต้นสายปลายเหตุได้ เมื่อมองไปยังเด็กหนุ่มสะพายกล่องไม้หน้าตาไม่สะดุดตาอีกครั้ง สายตาของนางจึงฉายแววทึ่มทื่ออย่างห้ามไม่ได้

เฉินผิงอันไม่สนว่าเด็กสาวจะคิดอย่างไร มือสองข้างของเขาหยุดค้างคล้ายจะออกหมัด แต่อันที่จริงในชายแขนเสื้อทั้งสองกลับมียันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจเนื้อกระดาษสีทองกลิ้งออกมาแนบอยู่กับใจกลางฝ่ามือ หลังจากที่คทาของเทวรูปฝ่ายบู๊วืดลงกลางความว่างเปล่าก็กระแทกลงบนพื้นจนก้อนอิฐระเบิดแตก พอยืดเอวขึ้นตรงก็หันกลับไปฟาดคทาใส่เฉินผิงอันอีกครั้ง

การเดินทางลงใต้ครั้งนี้ของเฉินผิงอัน แม้ว่าจะฝึกท่าหมัดอย่างเชื่องช้ามานับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อเขาต้องการจะเร็ว

ก็เร็วได้จริงๆ !

คทายังคงพลาดเป้า ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันมาอยู่ด้านหน้าเทวรูปแม่ทัพฝ่ายบู๊ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาแตะปลายเท้าเบาๆ ร่างก็พุ่งทะยานขึ้นสูง ฟาดฝ่ามือตบลงบนหน้าผากของรูปปั้นอย่างแรง

แสงสีทองเจิดจ้าสว่างไสว!

รอบกายเทวรูปดินเผาแม่ทัพบู๊มีเจดีย์สีทองที่สูงกว่าใหญ่กว่าร่างเขาเล็กน้อยปรากฎขึ้นมาจากความว่างเปล่า สายฟ้าแลบแปลบปลาบดุจมังกรว่ายวน

และเทวรูปก็เหมือนถูก ‘ตั้งบูชา’ อยู่ในเจดีย์วิเศษแห่งนี้

ทว่าแท้จริงแล้วมันต้องลิ้มชิมรสชาติเช่นไร ดูจากที่ร่างใหญ่ยักษ์ปริแตกไปทีละชุ่นก็พอจะมองออก ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไร จะฟาดคทาเหล็กเคาะ ทุบ ตีหรือกระแทกอย่างไร ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจก็กักตัวมันไว้ข้างในอย่างแน่นหนา

หลังจากเรียกใช้ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจกระดาษสีทองแผ่นที่หนึ่งไปแล้ว เฉินผิงอันก็ถีบสองเท้าเข้าที่หน้าอกของเทวรูปแม่ทัพ อาศัยแรงสะท้อนดีดตัวออก แล้วก็หายวูบไปอีกครั้ง ใช้ความเร็วที่มากว่าเดิมมาหยุดอยู่ตรงหน้าเทวรูปฝ่ายบุ๋นที่กำลังพุ่งเข้าหาเด็กสาวอย่างว่องไวแล้วตบยันต์ลงไปอีกครั้ง คราวนี้ยันต์สีทองแปะลงบนตราประทับเหล็กพอดี

เทวรูปสูงใหญ่เหมือนถูกขุนเขากดทับลงมา เข่าสองข้างงอลง ตรงหัวเข่ามีเศษผงหลุดร่วงระนาว เกือบจะล้มหงายหลัง

เท้าทั้งสองข้างของเฉินผิงอันยังไม่ได้สัมผัสพื้น หลังจากเรียกใช้ยันต์ที่เปล่งแสงสีทองไปแล้ว ร่างก็ไต่ขึ้นสูงต่อเนื่อง ขึ้นไปยืนเหยียบอยู่บนศีรษะของเทวรูป มองไปยังสตรีชุดขาวที่อยู่บนยอดของป้ายศิลา สองฝ่ายต่างคุมเชิงกันและกัน

เฉินผิงอันไม่ได้หยุดชะงัก เขาพุ่งตัวเข้าหาป้ายหินใต้ต้นสนโบราณราวกับบินทะยานอยู่กลางสายลม ยื่นมือตบลงไปบนกล่องกระบี่ เอ่ยเบาๆ ว่า “ปราบมาร!”

กระบี่ไม้ไหวดีดตัวออกจากฝัก และถูกเฉินผิงอันคว้าจับไว้ด้วยมือข้างเดียว

หนึ่งกระบี่พุ่งทะยาน

รวดเร็วว่องไว ดูไปแล้วสง่างามไม่น้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!