Skip to content

Sword of Coming 228

บทที่ 228 ชูอี สืออู ตามข้ามาปราบมาร

ในมือเฉินผิงอันถือกระบี่ไม้ไหวฟาดฟันเข้าใส่สตรีชุดขาวที่นั่งอยู่บนป้ายศิลา

ไม่ได้มีกระบวนท่าใดๆ และบนกระบี่ไม้ก็ไม่มีแสงวิเศษเข้มข้นที่สามารถสยบวัตถุหยินได้

มุมปากของสตรีชุดขาวกระตุกขึ้น แม้ในใจจะรู้สึกดูแคลน แต่ในเมื่อเด็กหนุ่มสามารถสยบเทวรูปสององค์ได้สำเร็จ นางก็ไม่อยากจะประมาทเกินไป เล่นเป็นเพื่อนเขาสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ถึงอย่างไรสถานที่อย่างศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้ หากรักษาไว้ได้ย่อมดีที่สุด แต่ถ้าจะทิ้งไปก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรเดี๋ยวก็มียอดฝีมือที่เก่งกว่านางแย่งชิงกลับมาอยู่ดี

เห็นเพียงว่านางยกมือปาดไปตรงช่วงเอวอย่างรวดเร็ว กระบี่ยาวไร้ฝักเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ตัวกระบี่เป็นสีแดงสด เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่ทำให้คนสะอิดสะเอียน ซึ่งก่อนหน้านี้นางน่าจะใช้เวทอำพรางตาเอาไว้ทำให้มองไม่เห็น

ตอนที่มือกระดูกของนางปาดผ่านกระบี่เล่มยาว สัมผัสเข้ากับคมกระบี่ก็เกิดประกายไฟแลบเป็นทอดๆ ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีกำไลมรกตวงหนึ่งกลิ้งออกมาจากข้อมือของนางแล้วหมุนติ้วๆ รอบกายนางอย่างรวดเร็วจนไม่อาจจับร่องรอยของมันได้ ความเร็วนั้นมากอย่างถึงที่สุดเป็นเหตุให้เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็มองไม่เห็นกำไล เห็นเป็นเพียงวงแสงสีเขียวมรกตเท่านั้น

สำหรับผู้ฝึกลมปราณบนโลก แน่นอนว่ายิ่งมีสมบัติอาคมก็ยิ่งดี นี่คือหลักการเดียวกับข้อที่ว่าพวกชาวบ้านไม่มีใครรังเกียจเงินที่หนักมือ แต่ถึงอย่างไรอาวุธวิเศษและอาวุธอาคมที่สมชื่อก็หายากและล้ำค่ามากเกินไป หากโชคดีได้ครอบครองสองชิ้น โดยทั่วไปแล้วจะพยายามให้เป็นอาวุธที่เอามาใช้ได้ทั้งโจมตีและป้องกัน หนึ่งชิ้นใช้รุกสังหารให้ศัตรูล่าถอย อีกหนึ่งชิ้นใช้ป้องกันรักษาชีวิตของตัวเอง รุกสามารถต้านรับ ถอยสามารถปกปักษ์ มั่นใจเต็มร้อยว่าจะไม่มีวันพลาด

ยกตัวอย่างเช่นเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารของปีศาจแซ่ฉู่ที่บ้านโบราณซึ่งสามารถกลายมาเป็นเสื้อเกราะกวางหมิงที่ถือเป็นของที่ดีที่สุดในบรรดาอาวุธวิเศษที่ใช้ในการป้องกันตัว

กระบี่พกสีแดงฉาน รวมไปถึงกำไลข้อมือสีมรกตของสตรีชุดขาว หนึ่งรุกหนึ่งป้องกัน ก็คือหลักการเดียวกันนี้

นับตั้งแต่เด็กหนุ่มจากต่างถิ่นที่สะพายกล่องกระบี่ไว้ด้านหลังกับยันต์ประหลาดที่ระดับสูงมากของเขาบังคับสยบเทวรูปของขุนนางบุ๋นบู๊เอาไว้ได้ จนถึงตอนที่เขาเหยียบขึ้นไปบนหัวของรูปปั้น ถือกระบี่ไม้ไว้ในมือแล้วกระโจนเข้ามาเข่นฆ่า อันที่จริงเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น

เพียงเสี้ยววินาทีกระบี่ไม้ไหวก็พุ่งมาถึง

สตรีชุดขาวยกกระบี่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงแค่วาดกระบี่ในแนวขวางง่ายๆ หนึ่งที เหนือศีรษะของนางก็มีปราณกระบี่สีแดงสดปรากฏขึ้นหนึ่งเส้น หากเด็กหนุ่มหลบไม่ทันก็จะถูกปราณกระบี่นั้นตัดเอวให้ร่างขาดครึ่งท่อน

แต่จู่ๆ เด็กหนุ่มคนนั้นก็หายตัวไป

ยันต์ย่อพื้นที่!

สตรีชุดขาวรู้ทันทีว่าท่าไม่ดีแล้ว

เคร้ง!

เสียงเหมือนโลหะกระทบดังขึ้นบนลานกว้างอย่างไม่ทราบสาเหตุ

หลังจากนั้นก็เป็นเสียงเคาะตีที่ดังรัวติดต่อกัน ถี่กระชั้นเร่งร้อนเหมือนเสียงหยดฝนตกกระหน่ำที่กระแทกลงบนหลังคาบ้าน

สีหน้าของสตรีชุดขาวแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางบิดเอวพุ่งตัวออกมาจากยอดบนสุดของป้ายหินอย่างรวดเร็ว ชุดขาวกระบี่แดง หนึ่งแดงหนึ่งขาวบินวนรอบต้นสนโบราณที่เป็นสีเขียวขจีขึ้นสู่เบื้องบนคล้ายกำลังหลบเลี่ยงอะไรบางอย่าง สตรีจงใจทิ้งระยะห่างกับกำไลสีเขียวมรกตประมาณสองจั้ง ทั้งสามารถบังคับควบคุมมันได้ตามใจชอบ แล้วก็สามารถหลบเลี่ยงไม่ให้ตัวเองติดร่างแหไปด้วย

นั่นมันกระบี่บิน!

ไม่นึกเลยว่าเด็กหนุ่มจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่สามารถบังคับกระบี่บินให้สังหารศัตรู!

กระบี่ไม้ปราบมารอะไรนั่น ที่แท้เป็นแค่ตัวหลอกที่ทำให้คนหลงเข้าใจผิด! กระบวนท่าสังหารที่แท้จริงก็คือกระบี่บินที่ยังไม่เผยโฉมแท้จริงเล่มนั้น

อายุน้อยๆ แต่กลับมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนและโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้! มิน่าเล่าถึงกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ฝึกตนได้สำเร็จยากที่สุดในบรรดาผู้ฝึกลมปราณ

ฟังจากเสียงที่ดังรัวไม่หยุดนั้น สตรีชุดขาวก็ให้เสียดายอย่างสุดซึ้ง ต่อให้กำไลมรกตจะมีสติปัญญามากแค่ไหนก็ไม่สามารถทนรับการรังแกจากกระบี่บินแบบนี้ได้ เพราะไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ไม่ต่างจากการขยี้บุปผางามด้วยฝ่าเท้า

กำไลมรกตที่มีชื่อว่า ‘ปิงนั่ว (ข้าวเหนียวน้ำแข็ง)’ คืออาวุธวิเศษชั้นเยี่ยมที่บุรพาจารย์มอบให้นางเองกับมือ ไม่ได้มีดีที่ความทนทานแข็งแกร่ง แต่หลักๆ แล้วเอามาใช้ต้านทานท่าไม้ตายอย่างกะทันหันจากพวกเซียนซือทั้งหลาย เพราะถึงอย่างไรบุรพาจารย์ก็พอจะคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่า การช่วงชิงสมบัติสยบแคว้นของแคว้นไฉ่อีอย่างลับๆ ในครั้งนี้ต้องเป็นสงครามนองเลือดที่ผู้คนบาดเจ็บล้มตายกันมหาศาลอย่างแน่นอน ผู้ฝึกลมปราณที่มาจากตระกูลเซียนมีชื่อเสียงไม่ได้มีความกล้าในการเข่นฆ่าหรือต่อสู้สุดชีวิตเท่าใดนัก แต่เวทลับวิชาอนิหารที่ลึกลับและสมบัติอาคมที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นกลับมีให้ใช้ไม่หวาดไม่ไหว อย่างไรก็จำต้องป้องกันตัวเอาไว้ก่อน

ตอนนี้สตรีชุดขาวยังไม่สามารถจับทิศทางการโคจรของกระบี่บินเล่มนั้นได้ แล้วก็ไม่กล้าเก็บกำไลหยกกลับมา นี่ทำให้นางโมโหสุดขีด เป็นครั้งแรกที่ไฟโทสะพุ่งท่วมเทียมฟ้า หากกำไลหยกต้องแตกสลายไปทั้งอย่างนี้ ถ้าเช่นนั้นการเดินทางมาเยือนแคว้นไฉ่อีในครั้งนี้ของนาง ไม่พูดถึงพันธมิตรคนอื่น เอาแค่ตัวนางเองก็ถือว่าได้ไม่คุ้มเสียแล้ว ต่อให้สุดท้ายจะประสบความสำเร็จ ถึงเวลาแบ่งของรางวัลกัน ของที่ตกมาถึงมือของนางก็คงมีค่าเทียบเท่ากำไลชิ้นนี้ไม่ได้

เส้นผมสีนิลของสตรีชุดขาวร่ายระบำอย่างบ้าคลั่ง เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง

นางก็คือสตรีสวมชุดสีสันสดใสที่ขึ้นเวทีแสดงก่อนใครบนแท่นสูงใจกลางทะเลสาบก่อนหน้านี้ นางในเวลานั้นไม่รู้ว่าทำให้บุรุษในเมืองแยนจือตั้งกี่คนเห็นเป็นเทพธิดา ได้แต่เจ็บใจตัวเองที่ไม่อาจโอบนางมารักใคร่อยู่ในอ้อมกอด

เมื่อเป็นเช่นนี้ เทพเซียนผู้เฒ่าที่มองดูแล้วมีกลิ่นอายของความเป็นเซียนเปี่ยมล้นผู้นั้น อย่างน้อยก็ต้องเป็นหนึ่งในผู้บงการ

แต่คนกลุ่มนี้ทำตัวผยองพองขนขนาดนี้ ผู้ฝึกลมปราณในแคว้นไฉ่อีจะไม่มีใครมองความจริงออกเลยหรือไง?

เฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนลานกว้างอึ้งตะลึง หัวใจหนักอึ้งโดยพลัน เก็บกระบี่ไม้ไหวกลับลงไปในกล่องกระบี่ ปลดน้ำเต้าลงมาดื่มเหล้าด้วยความเคยชิน

เห็นว่าเด็กหนุ่มยังมีอารมณ์ดื่มเหล้า สตรีชุดขาวก็โมโหจัดจนขำ อาภรณ์ที่ล่องลอยเผยให้เห็นข้อมือและข้อเท้าที่ล้วนเป็นกระดูกสีขาว คิดดูแล้ว ‘เรือนกายอรชร’ ที่อยู่เบื้องใต้ชุดสีขาวก็น่าจะมีสภาพเดียวกันนี้

มีเพียงใบหน้าของนางที่เลือดและเนื้อยังอยู่ครบ อีกทั้งยังงดงามสะคราญโฉมอย่างยิ่ง

ที่แท้ก็เป็นสาวงามโครงกระดูก ไม่ถูกสิ ต้องบอกว่าเป็นผีงามโครงกระดูกถึงจะถูก

เมื่อพอจะมั่นใจได้แล้วว่ากระบี่บินไม่สามารถทำลายกำไลข้อมือได้ ได้แค่ต่อสู้ประชิดตัวกับตน ในใจของสตรีชุดขาวก็พอจะแน่ใจได้คร่าวๆ ถ้าอย่างนั้นจะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้าโจรก่อน สังหารเด็กหนุ่มให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน เขารนหาที่ตายเองก็โทษคนอื่นไม่ได้ เดิมทียังคิดจะเล่นสนุกกับเขาสักพักหนึ่ง ไหนเลยจะคิดว่าเขาจะเป็นเด็กหัวรั้นที่รับมือได้ยากขนาดนี้

เป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วอย่างไร ขอแค่ไม่ใช่เซียนกระบี่ใหญ่ที่เป็นดั่งภาพมายาล่องลอย ต่อให้เป็นเซียนกระบี่เล็กขอบเขตห้ากลางค่อนไปทางบน เมื่อมาอยู่ในเมืองแยนจือแห่งนี้ ขอแค่กล้าเสนอหน้าก็ต้องตายทั้งหมด!

บนลานกว้างเล็กๆ หน้าตำหนักศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้แบ่งออกเป็นพื้นที่การต่อสู้สามส่วนโดยที่มองไม่เห็น ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจกระดาษสีทองสองแผ่นกำลังเผาผลาญปราณปีศาจของเทวรูปดินเผาทั้งสองไปอย่างช้าๆ ดินเผาบนร่างรูปปั้นแตกกระจายปลิวว่อนไปทั่วสี่ทิศ เสียงปริแตกดังขึ้นไม่ขาดสาย ไม่ว่ารูปปั้นทั้งสองจะร้องคำรามอย่างไร เจดีย์วิเศษที่จำแลงมาจากยันต์สยบปีศาจก็ยังมีสายฟ้าถักทอ ประหนึ่งองค์เทพสายฟ้าถือแส้ฟาดโบยกำจัดความชั่วร้าย กำราบพวกมันไว้อย่างอยู่หมัด

ต่อมาก็เป็นกระบี่บินชูอีที่เฉินผิงอันเรียกตัวออกมา คราวนี้มันไม่มีการเกริ่นนำก่อนออกจากน้ำเต้าแล้ว แต่บินพรวดออกไปอย่างเงียบเชียบโดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น น่าเสียดายก็แต่สตรีชุดขาวมีกำไลปกป้องกาย ช่วยให้นางรอดพ้นหายนะจากการถูกกระบี่บินทะลุศีรษะมาได้ ไม่รู้ว่าชูอีโมโหจริงๆ หรือด้วยนิสัยเกเรซุกซนเหมือนเด็กน้อยถึงได้หาเรื่องสนุกเล่น จึงไม่สนใจความคิดของเฉินผิงอันอีกต่อไป ตั้งอกตั้งใจโรมรันอยู่กับกำไลมรกตวงนั้นอย่างเดียว มันกระแทกลงไปบนกำไลครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนตีเหล็ก กระบี่บินยังจงใจชะลอความเร็วลง และทุกครั้งจะต้องชักนำขอบเขตการโคจรของกำไล

สนามต่อสู้สุดท้ายย่อมต้องเป็นทางฝั่งของสตรีชุดขาวที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร นางตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วว่าจะต้องจัดการกับ ‘เซียนกระบี่’ อย่างเฉินผิงอันเสียก่อน

นางถือกระบี่ยาวสีแดงสดที่เหมือนกับจะเค้นหยดเลือดออกมาได้เล่มนั้นไว้ในมือ ภายใต้การกระโจนเข้ามาสังหารของนาง เสียงคำรามกร้าวเดือดดาลดังมาจากสองตำหนักที่ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายขวา ผีสาววัตถุหยินที่งุ่นง่านอยากลงไม้ลงมือเต็มแก่พากันกรูออกมา พริบตาเดียวควันดำที่กลิ้งหลุนๆ ก็บดบังมืดฟ้ามัวดิน กรากเข้าหาเฉินผิงอันที่ยืนตระหง่านกลางลานกว้างเพียงลำพัง เดิมทีเด็กสาวที่ทั้งข้อมือและข้อเท้ารัดกระพรวนเอาไว้คิดจะเข้ามาช่วย แต่เฉินผิงอันกลับใช้สายตาบอกเตือนนางว่าอย่าเข้ามายุ่ง

เด็กสาวไม่ได้ทำอะไรโดยใช้อารมณ์ จึงยืนอยู่ในสนามรบส่วนแรกแต่โดยดี เพียงแต่ว่ามือเท้าของนางขยับไม่หยุด ทำให้เกิดเสียงกระพรวนใสกังวานเป็นระลอก พยายามจะให้ดอกไม้สีทองบินออกไปจากชายคาของตำหนักใหญ่ ต่อให้สีหน้าของนางจะไร้สีเลือดแล้ว แต่ก็ยังยืนกรานจะช่วยเฉินผิงอันกำจัดผีสาวทั้งหลายให้ได้มากที่สุด

สำหรับเฉินผิงอันแล้ว การที่เด็กสาวทำอย่างนี้ได้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

เฉินผิงอันเหวี่ยงมือทั้งสองข้างออกไปอย่างรวดเร็ว พายุหมัดไหลกรากทะลักออกไปพร้อมประกายแสงส่องสว่าง นี่ก็คือกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยถ่ายทอดให้กับเขา พริบตานั้นลมปราณที่เปี่ยมล้นก็แผ่ออกไปข้างนอก กระเทือนพื้นที่รอบด้าน ผีสาวดุร้ายสิบกว่าตนที่พุ่งออกมาจากตำหนักด้านข้างถูกกวาดเรียบไม่มีเหลือ เดิมทีพวกนางก็ถูกดวงอาทิตย์ที่อยู่เหนือศีรษะเผาไหม้อย่างรุนแรงอยู่ก่อนแล้ว พอมาเจอหมัดนี้ที่เฉินผิงอันเลือกใช้วิธีเสี่ยงอันตรายอย่างจองหอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายิ่งเหมือนเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ เล็บแหลมคมที่ยาวพอๆ กับนิ้วมือของพวกนางไม่อาจเข้าใกล้เฉินผิงอันในระยะหนึ่งจั้งได้เลย

เฉินผิงอันไม่ได้มีความสามารถแค่วิชาหมัดอย่างเดียวเท่านั้น เขาเอนตัวไปด้านหลัง แตะปลายเท้าเบาๆ ทันใดนั้นก็ไถลออกไปด้านหลังหลายจั้ง หลบพ้นกระบี่ที่ฟาดลงมาของผีงามชุดขาวตนนั้นได้ ปลายเท้าของผีงามโครงกระดูกยังไม่ทันได้แตะพื้น ร่างก็พุ่งมาด้านหน้า ไล่ตามเฉินผิงอัน แทงกระบี่ใส่เขามาติดๆ เหมือนโรคร้ายที่แทรกซอนเข้าถึงกระดูก

ทว่าช่วงเวลาที่นางทำทุกอย่างนี้ เฉินผิงอันได้เหวี่ยงหมัดออกไปทั้งสองข้าง ตั้งท่าหมัดที่มีกลิ่นอายเก่าแก่อย่างก่อนหน้านี้อีกครั้ง เพียงพริบตาเดียวก็ต่อยให้ผีร้ายวัตถุหยินอีกหลายสิบตัวที่กรูกันเข้ามาพัวพันยุ่งเหยิงให้จิตวิญญาณแตกสลายไปเป็นครั้งที่สอง

ผีชุดขาวที่เส้นผมสีนิลโบกสะบัดยุ่งเหยิงตวาดกร้าวเสียงเฉียบ เท้าสองข้างก้าวเดินกลางอากาศ ยิ่งเดินก็ยิ่งเร็ว “เจ้ามันสมควรตายจริงๆ !”

ขาดอีกแค่ไม่กี่ชุ่นกระบี่ยาวในมือของนางก็จะแทงเข้าหัวใจของเฉินผิงอันอยู่แล้ว

เฉินผิงอันบิดปลายเท้าเล็กน้อยเลียนแบบท่าทางของหม่าขู่เสวียนตอนที่ต่อสู้กันอยู่บนถนนเส้นเล็ก ร่างของเขาจึงเหมือนลูกข่างที่หมุนติ้วๆ ไม่เพียงแต่หลบพ้นกระบี่นั้นมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ แถมยังฉวยโอกาสขยับเข้าใกล้ ปล่อยหมัดต่อยซีกหน้าของผีงามโครงกระดูก ฝ่ายหลังกลับสามารถสลายตัวกลายเป็นไอหมอกสีขาวที่กระจายไปสี่ทิศ ไปปรากฏตัวอยู่ห่างออกไปหลายจั้ง นิ้วทั้งห้ากระชากดึงหนึ่งครั้ง กระบี่ยาวสีแดงสดที่ไม่ได้หายตัวมาพร้อมกับนางก็หมุนตัวกลับครึ่งรอบ ปาดคมกระบี่บาดแขนของเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันใช้ยันต์ย่อพื้นที่แผ่นสุดท้ายที่เหลืออยู่อย่างไม่ลังเล พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ข้างกายผีงามอีกครั้ง พายุหมัดรุนแรงดุจตะวันแผดเผาที่มีอยู่ทั่วทุกอณูกายของเขาทำให้ผีงามโครงกระดูกกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ไม่สนใจจะบังคับกระบี่ยาวที่อยู่ห่างไปไกลอีกแล้ว นางใช้วิธีเดิมโดยการสลายร่างเป็นไอหมอกสีขาวหายตัวไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

เฉินผิงอันสีหน้าสุขุมเด็ดเดี่ยว เรียกในใจว่า “ชูอี!”

แม้ว่าจะไม่ใคร่เต็มใจเท่าใดนัก แต่กระบี่บินชูอีก็ยังยอมออกมาจากสนามต่อสู้ก่อนหน้านี้ มันพุ่งแหวกอากาศเข้ามาเป็นเส้นสายสีขาว แทงตรงไปยังผีงามโครงกระดูกที่เพิ่งจะคืนร่างเดิม วินาทีที่นางหายตัวไปเป็นครั้งที่สอง กำไลมรกตและกระบี่ยาวสีแดงสดก็หยุดชะงักไปเสี้ยวขณะหนึ่งอย่างที่แทบจะสังเกตไม่เห็น เหมือนกับว่าเมื่อขาดการเชื่อมโยงทางจิตกับเจ้านายเลยเกิดลังเลตัดสินใจไม่ได้

เมื่อกระบี่บินชูอีแทงเข้าไปที่กลางหว่างคิ้วของนาง ในที่สุดผีงามก็ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก นางยกสองมือปิดบังใบหน้า เส้นผมสีนิลที่สยายแผ่ม้วนตลบกลับมาปกปิดใบหน้าของนาง

กระบี่บินขนาดเล็กสีหิมะเล่มนั้นหยุดลอยอยู่ตรงหน้านางอย่างสงบนิ่ง ไม่ได้พุ่งไปด้านหน้าต่อ

แต่ว่า

นางรู้สึกเย็นวาบที่ท้ายทอยด้านหลัง

ผีงามโครงกระดูกเหมือนถูกเซียนร่ายเวทกักร่างจึงยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กระดุกกระดิก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ นางหันหน้ากลับมาเหม่อมองเด็กหนุ่มอย่างแข็งทื่อ เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ยังพอว่า แต่เหตุใดถึงมีกระบี่บินตั้งสองเล่ม? ทำไมต้องแกล้งทำเป็นว่าตัวเองคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว?

หลบพ้นชูอีมาได้ แต่หลบไม่พ้นสืออู่!

แต่ว่าต่อให้นางจะถูกกระบี่บินสืออู่แทงทะลุมาจากด้านหลัง เฉินผิงอันก็ยังไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย เขาไม่สนใจพวกวัตถุหยินที่ตามตอแยหมายเล่นงานเขาอีกต่อไป ปล่อยให้พวกนางขยับเข้ามาใกล้ลงไม้ลงมือกับตนโดยไม่สนใจ เฉินผิงอันเพียงแค่ใช้ความเร็วที่มากที่สุดขยับเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าผีงามโครงกระดูก ตัดสินใจใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าอย่างเฉียบขาด หมัดหนึ่งปล่อยไปแล้วก็ตามด้วยหมัดแล้วหมัดเล่า จนกระทั่งถึงหมัดที่ยี่สิบ โครงกระดูกที่อยู่ภายใต้ชุดขาวก็แหลกสลายกลายเป็นผง

สุดท้ายร่างของผีสาวโครงกระดูกก็ระเบิดไปพร้อมกับชุดสีขาว จากนั้นกลางอากาศก็มียันต์ที่วาดเป็นรูปเรือนกายของหญิงสาวปลิวร่วงลงมา

เมื่อนางตาย วัตถุหยินเหล่านั้นก็พลันสูญเสียแกนกลางสำคัญ รีบพากันหลบเข้าไปในตำหนักด้านข้างทั้งสอง ส่วนหนึ่งที่หนีกลับเข้าไปไม่ทันก็ถูกแสงแดดสาดส่องให้สลายไป คราวนี้ด้านในตำหนักไม่มีเสียงหัวร่อต่อกระซิกอีกแล้ว แทนที่มาด้วยเสียงสะอื้นคร่ำครวญ

กระบี่ยาวสีแดงสดร่วงลงพื้น กำไลมรกตเล่มนั้นเหมือนคนที่หลงทาง หมุนติ้วๆ ไม่หยุดอยู่ตรงตำแหน่งที่ผีงามโครงกระดูกหายไป

เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้รีบร้อนไล่ตามไปจับกำไลมรกต แล้วก็ไม่ได้ยื่นมือไปรับยันต์สีเหลืองแผ่นนั้น

กวาดตามองไปรอบด้านแล้วไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ เฉินผิงอันก็ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ทั้งชูอีและสืออูจึงบินพรวดหายเข้าไปข้างใน

จากนั้นเฉินผิงอันก็ย่อตัวลงนั่งยองจ้องนิ่งไปที่ยันต์เหลืองแผ่นนั้น

เฉินผิงอันคีบยันต์ลมร้ายจุดไฟอีกแผ่นหนึ่งที่จางซานเฟิงมอบให้ออกมา วางไว้ใกล้กับแผ่นยันต์สีเหลืองที่อยู่บนพื้น ขยับส่ายมันเบาๆ ไม่ใช่ว่ายันต์จุดไฟจะไม่มีความเคลื่อนไหว แต่ความเคลื่อนไหวนั้นเล็กน้อยมาก มีเพียงมุมหนึ่งของแผ่นยันต์เท่านั้นที่ติดไฟ ไม่ได้ลามไปทั่วทั้งแผ่น

เฉินผิงอันถึงได้คีบยันต์เหลืองแผ่นนั้นขึ้นมา เมื่อคีบมาอยู่ในมือจริงๆ เฉินผิงอันถึงได้ค้นพบว่ายันแผ่นนี้ไม่ใช่กระดาษเหลืองธรรมดา เนื้อกระดาษละเอียดนุ่มลื่นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังยืดหยุ่นมาก เกรงว่าต่อให้บุรุษฉกรรจ์ออกแรงฉีกเต็มที่ก็ยังไม่กลัวว่าจะขาด

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เก็บแผ่นยันต์เข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ แต่อันที่จริงแล้วเขาซ่อนมันไว้ในวัตถุฟางชุ่น

เหตุผลหนึ่งที่สำคัญมากซึ่งทำให้วัตถุฟางชุ่นล้ำค่ามากเป็นพิเศษก็คือ สามารถสกัดกั้นการรับสัมผัสกับภายนอก แม้จะบอกว่าบนโลกนี้ไม่มีเรื่องใดที่แน่นอน แต่หลักๆ แล้วกฎเกณฑ์เป็นเช่นนี้

ตอนที่เฉินผิงอันหยิบยันต์เหลืองขึ้นมา กำไลมรกตชิ้นนั้นก็เป็นฝ่ายตามติดมาด้วยตัวเอง ยันต์จุดไฟที่อยู่ในมือข้างหนึ่งของเฉินผิงอันไม่มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น เขาจึงรับมาแล้วเก็บไปไว้ด้วยกัน เพียงแต่ว่าพอเขาจะไปเก็บกระบี่ยาวสีแดงสดเล่มนั้น แค่ยันต์จุดไฟขยับเข้าไปใกล้ก็ลุกไหม้เผาตัวเองอย่างรุนแรง เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย กระบี่เล่มนี้ต้องขายได้ราคาดีไม่น้อย เพียงแต่เขากังวลว่าหากบุ่มบ่ามเก็บมันเข้าไปไว้ในวัตถุฟางชุ่นจะส่งผลกระทบต่อกระบี่บินสืออู่หรือไม่

สุดท้ายเฉินผิงอันเก็บกระบี่ขึ้นมา มองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้ามองไปทางต้นสนโบราณที่ตั้งอยู่ข้างป้ายศิลา เขาวิ่งเหยาะๆ ออกตัวก่อนจะเพิ่มความเร็ว แล้วดีดปลายเท้ากระโดดผลุงขึ้นไปบนต้นสน เก็บซ่อนกระบี่ยาวไว้ในพุ่มใบครึ้มดกบนกิ่งสูงชั่วคราว

เด็กสาวตะโกนเรียกอย่างขลาดๆ “เทพเซียนท่านนี้…”

เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองนาง เด็กสาวชี้ไปยังพื้นที่อยู่ข้างเท้า รูปปั้นดินเผาล้มครืนแตกกระจายกองกันเป็นเนินดินปลายแหลมขนาดย่อมหนึ่งกอง มีเศษสีเงินหลายชิ้นที่ส่องประกายแสงวิบวับอยู่ท่ามกลางเนินดิน สะดุดตามากเป็นพิเศษ ที่อยู่เหนือการคาดการณ์ไปมากกว่านั้นก็คือ ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นหนึ่งลอยตัวนิ่งๆ อยู่ด้านข้างเนินดิน นอกจากประกายแสงสีทองที่หม่นหมองลงเล็กน้อยแล้วก็ไม่มีความเสียหายอย่างอื่นอีกแม้แต่นิดเดียว

เนินดินอีกเนินหนึ่งก็มีสภาพไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ทว่าที่ไม่เหมือนก็คือคทาเหล็กในมือขุนพลฝ่ายบู๊ซึ่งเจอกับสายฟ้าได้หลอมละลายไปจนหมดสิ้น ทางฝ่ายของขุนพลฝ่ายบุ๋นที่นอกจากยันต์สยบปีศาจสีทองและเศษชิ้นส่วนสีเงินแล้ว แม้ตราประทับเหล็กสี่เหลี่ยมจัตุรัสจะไม่เหลืออยู่แล้ว แต่กลับมีกล่องไม้สีเขียวโบราณเรียบง่ายขนาดเล็กซึ่งนิ้วทั้งห้าของเด็กสามารถกุมได้พอดีเพิ่มขึ้นมาหนึ่งกล่อง

ในใจของเฉินผิงอันทั้งตะลึงทั้งดีใจ รีบทิ้งตัวลงมาอย่างรวดเร็ว เขาเก็บยันต์สีทองและเศษชิ้นส่วนสีเงินซึ่งรวมกันแล้วได้หกชิ้นไปไว้ในวัตถฟางชุ่นก่อน สุดท้ายจึงหยิบกล่องไม้สีเขียวที่แผ่กลิ่นอายอบอุ่นชิ้นนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ต่อให้แค่กุมไว้เบาๆ เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกสงบใจได้อย่างน่าประหลาด

เก็บกล่องไม้ใบเล็กที่ไม่รู้ว่าคืออะไรไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่ได้ใส่ไว้ในวัตถุฟางชุ่น เฉินผิงอันถึงพอจะโล่งใจได้บ้าง

เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เบิกตากว้างมอง ‘เซียนกระบี่’ ที่กำจัดปีศาจปราบมาร มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่อยู่เต็มกายผู้นี้

อาจารย์ที่สอนคาถาเซียนให้นางอย่างลับๆ เคยบอกว่า บนโลกมีเทพเซียนผู้เฒ่าหลายคนที่ฝึกตนจนประความสำเร็จยิ่งใหญ่ แต่กลับมีใบหน้าเหมือนเด็ก นั่นต่างหากถึงจะเป็นเทพเซียนที่มีอิสระเสรี ไม่ต้องถูกฟ้าดินพันธนาการอย่างแท้จริง

วันนี้นางได้เห็นเรื่องประหลาดมามากมาย แต่บนร่างของเทพเซียนที่มองดูเหมือนเด็กหนุ่มผู้นี้นี่แหละที่มีเรื่องประหลาดมากที่สุด

ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้านี้ยังจะมีใครเก็บยันต์ที่ใช้แล้วกลับคืนไปบ้าง?

แม้ว่าอาจารย์จะเป็นคนในยุทธภพเกินครึ่งตัว นับเป็นเทพเซียนบนภูเขาได้เล็กน้อย แต่ก็เคยเล่าเรื่องราวทั้งบนภูเขาและด้านล่างภูเขามามากมาย แต่นางก็ยังไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนจริงๆ

เฉินผิงอันรู้สึกดีกับเด็กสาวไม่น้อย เขาที่เดินไปทางประตูหลักของตำหนักเทพอภิบาลเมือง หมายใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าทำลายอาคมตราผนึกหันมาถามนางเบาๆ ว่า “ที่นี่อันตรายมาก ก่อนหน้านี้ทำไมเจ้าถึงเข้ามาที่นี่?”

ว้าว เทพเซียนพูดกับข้าด้วยล่ะ!

ประเด็นสำคัญคือน้ำเสียงยังเป็นมิตรมากด้วย

เด็กสาวดีใจอย่างถึงที่สุด นางเขย่าข้อมือเบาๆ เสียงกระพรวนก็ดังขึ้นตามมา “ท่านผู้เฒ่าเทพเซียน กระพรวนทั้งสี่ชิ้นบนร่างข้านี้สามารถคุ้มครองข้าได้ ท่านอาจารย์เคยบอกว่า ต่อให้เทพเซียนขอบเขตถ้ำสถิตคิดจะสังหารข้า ข้าก็ยังประคับประคองตัวเองได้พักใหญ่ แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ…”

“เรื่องที่เกี่ยวพันกับความลับของสมบัติอาคมเช่นนี้ อย่าได้บอกให้คนอื่นรู้” เฉินผิงอันรีบโบกมือตัดบทคำพูดโง่ๆ ของเด็กสาว เอ่ยเตือนว่า “สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะให้อยู่นาน เจ้ารีบไปซะเถอะ ทางที่ดีที่สุดคือออกจากเมืองไปเลย”

เด็กสาวส่ายหน้า “บิดาข้าอยู่ในเมือง ข้าไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ในเมื่อข้าเรียนเวทคาถาเซียนแล้วก็ต้องปกป้องพวกเขา”

เฉินผิงอันจึงได้แต่เงียบเสียงลง ไม่บังคับอีกฝ่ายอีก เพียงแค่บอกให้เด็กสาวหลบไปให้ไกลสักหน่อย หลังจากนั้นก็เริ่มปล่อยหมัดดุดันใส่ตราผนึกเวทลับนั้น

หลังจากปล่อยไปได้ยี่สิบเอ็ดหมัด ‘ผิวน้ำแข็ง’ ก็ระเบิดดังปัง ควันดำซัดตลบอบอวล มาพร้อมด้วยเสียงร้องโหยหวน เสียงด่าท่อ อารมณ์โกรธแค้นและอาฆาตนับไม่ถ้วน เฉินผิงอันใช้พายุหมัดกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่กวาดทำลายจนเกลี้ยง บางส่วนที่เป็นเหมือนปลาเล็ดรอดออกจากตาข่ายก็ถูกเด็กสาวสวมกระพรวนที่อยู่ด้านหลังช่วยสังหารให้

เฉินผิงอันพลันหันขวับไปมองทางกำแพงเมืองทิศตะวันออก แม้จะมองไม่เห็นภาพเหตุการณ์ทางฝั่งนั้น แต่ก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาจากทางด้านนั้นได้ในทันที

น่าจะเป็นเพราะค่ายกลของที่แห่งนี้ถูกทำลาย กระตุกผมเส้นหนึ่งก็ขยับไปทั้งตัว ปีศาจใหญ่บางตนที่บงการอยู่เบื้องหลังจึงค้นพบการดำรงอยู่ของตน

เพื่อความปลอดภัย ก่อนจะข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป เฉินผิงอันจึงเรียกยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นหนึ่งออกมา เฉินผิงอันเพิ่งจะยกเท้าขึ้นก็สังเกตเห็นว่าเด็กสาวทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เขาจึงจำต้องหันไปถาม “มีอะไร เจ้ารู้ว่าด้านในมีเรื่องประหลาดงั้นหรือ?”

เด็กสาวลำบากใจเล็กน้อย ราวกับรู้สึกว่าตัวเองอ่อนหัดเกินไป แต่ในเมื่อท่านผู้เฒ่าเทพเซียนถามแล้วก็ได้แต่แข็งใจตอบอย่างกลัดกลุ้ม “พ่อแม่ข้าเคยบอกว่า เวลาเดินเข้าวัดไปจุดธูปกราบไหว้ บุรุษซ้ายสตรีขวา พวกท่านที่เป็นบุรุษต้องก้าวเท้าซ้ายข้ามธรณีประตู ของพวกเราคือเท้าขวา”

เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ตกลง ขอบใจนะ”

แล้วเขาก็ก้าวเท้าซ้ายผ่านธรณีประตู ติดตามยันต์ส่องไฟที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศเข้าไป เดินไปหยุดอยู่เบื้องล่างเทวรูปเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวิน เพียงแต่ว่าไม่รอให้เฉินผิงอันเปิดปาก เทพอภิบาลเมืองก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขามซึ่งทำให้เด็กสาวเดือดดาลขึ้นมาทันใด ทว่าเพราะยำเกรงในบารมีที่ท่านผู้เฒ่าเทพอภิบาลเมืองสั่งสมมาหลายร้อยปี เด็กสาวจึงได้แต่กล้าโกรธไม่กล้าพูด แค่นินทาอยู่ในใจไม่หยุดเท่านั้น

ประโยคแรกของเทพอภิบาลเมืองผู้นี้ไม่เกรงใจกันอย่างยิ่ง “เจ้าหนุ่ม รีบมอบตราประทับเหล็กกล้าชิ้นนั้นมาให้ข้า!”

เฉินผิงอันสีหน้านิ่งสงบ เตรียมจะหยิบกล่องไม้สีเขียวที่เกิดจากตราประทับเหล็กกล้าที่ถูกหล่อหลอมตอนอยู่ด้านนอกออกมาพลางอธิบายว่า “ตราประทับทางการชิ้นนั้นถูกยันต์ของข้าหลอมละลาย…”

เฉินผิงอันกล่าวได้แค่ครึ่งประโยค

“อย่ามาพูดจาเหลวไหล!”

เทวรูปของเทพอภิบาลเมืองสั่นสะเทือนรุนแรงอย่างเกรี้ยวกราด เศษฝุ่นทั่วร่างกระจายคลุ้งเป็นระลอก เมื่อเศษส่วนสีทองที่ร่วงอยู่บนพื้นลอยขึ้นมาประกบติดจนแทบจะสมบูรณ์ดังเดิม สีทองตลอดร่างของเทวรูปก็สมกับคำขนานนามจากหลายแคว้นว่า ‘เทพอภิบาลเมืองร่างทอง’ อย่างแท้จริง เห็นเพียงว่าเท้าข้างหนึ่งของเทวรูปยกขึ้นสูง เขาตวาดเสียงเฉียบก้าวร้าว “นึกจริงๆ หรือว่าจัดการกับพวกกระจอกไม่กี่ตนแล้วจะมาทำตัวจองหองต่อหน้าข้าได้?! หากไม่เป็นเพราะสามฝ่ายร่วมมือกัน บวกกับผู้ใต้บังคับบัญชาทรยศ ในนอกประสาน ถึงพันธนาการข้าให้อยู่ในตำหนักเทพอภิบาลเมือง ไม่อย่างนั้นมีหรือที่พวกเขาจะมีโอกาสกำเริบเสิบสาน รีบมอบตราประทับเหล็กมา อย่าให้เสียเวลา ตอนนี้สถานการณ์คับขัน ข้ายังต้องไปกำราบพวกปีศาจที่อยู่ในเมืองอีก!”

ก่อนหน้าที่ค่ายกลจะถูกทำลาย เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองพยายามรักษาสติแห่งองค์เทพเอาไว้ไม่ให้ดับลง อีกทั้งเมื่อเวทลับที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความสกปรกแผ่อยู่เต็มตำหนักเทพอภิบาลเมืองจึงทำให้ไม่อาจรู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายนอก ในสายตาของเขา เมื่อปีศาจและมารร้ายใหญ่สามตัวจากไปแล้ว อีกฝ่ายไม่รู้ความลี้ลับที่แท้จริงของสถานที่แห่งนี้ย่อมไม่มีทางอยู่ต่อเพื่อเปิดศึกสำคัญ ดังนั้นเรื่องเดียวที่ทำให้เทพอภิบาลเมืองแปลกใจก็คือ เด็กหนุ่มสะพายกล่องกระบี่ทำลายค่ายกลอย่างไร หรือว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของสำนักที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิชาฉีเหมินตุ้นเจี่ย (ประกอบด้วย 2 ส่วนคือส่วนที่เป็นฉีเหมินกับส่วนที่เป็นตุ้นเจี่ย ฉีเหมินเป็นส่วนหยางของวิชา เอาไว้กระทำการต่างๆ หรือกิจกรรมที่เป็นกายภาพ เช่น การรบ การต่อรอง ตุ้นเจี่ย เป็นส่วนหยินของวิชา เอาไว้ป้องกัน หลบหนี หรือกิจกรรมที่เป็นจิตภาพ เช่น การใช้วิชาฉีเหมินในส่วนของเต๋า ฉีเหมินเวทย์มนต์) และค่ายกลของตระกูลเซียน?

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผืนแผ่นดินของแคว้นไฉ่อี ความเป็นความตายของชาวบ้านหลายแสนคนในเมืองแยนจือก็เกี่ยวพันกับของชิ้นนั้นที่อยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้อย่างใกล้ชิด จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด

เทวรูปใหญ่ยักษ์ก้าวหนักๆ ออกมาจากแท่นบูชา เหยียบบนพื้นอยู่ห่างจากเบื้องหน้าเฉินผิงอันไปหนึ่งจั้ง พื้นกระดานสีดำปริแตกไม่เหลือชิ้นดี เขาก้มตัวลงมายื่นมือให้เฉินผิงอัน “รีบส่งตราประทับทางการชิ้นนั้นมา!”

เฉินผิงอันไม่ขยับเขยื้อน เขาเอ่ยถามว่า “คนอื่นช่วยเหลือเจ้า ไม่รู้จักพูดว่าขอบคุณหรือไง?”

เทวรูปอึ้งตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด นิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจ พยักหน้ากล่าวว่า “เป็นข้าที่ร้อนใจเกินไป เลยทำไม่ถูก เรื่องนี้ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ”

เฉินผิงอันควักกล่องไม้สีเขียวกล่องนั้นออกมา “ตราประทับเหล็กหลอมละลาย ผสานรวมกับดินที่ใช้ปั้นเทวรูปไปแล้ว แต่มีกล่องไม้เล็กๆ ใบนี้โผล่ออกมา ไม่รู้ว่าใช่สิ่งที่เจ้าต้องการหรือไม่?”

เทวรูปพยักหน้าอย่างเชื่องช้า

เฉินผิงอันขว้างกล้องไม้ขึ้นสูง เทวรูปเทพอภิบาลเมืองตนนั้นรับมาไว้ในมือแล้วยิ้มบางๆ “คือของสิ่งนี้แหละ”

เฉินผิงอันหมุนตัวเดินจากไป เด็กสาวรีบตามไปติดๆ

ด้านหลังมีเสียงลมพัดวูบเข้ามา เฉินผิงอันรู้ว่าท่าไม่ดีจึงรีบโคจรลมปราณ ปราณที่แท้จริงเป็นดั่งมังกรไฟที่ไหลเวียนผ่านระยะทางหนึ่งร้อยลี้ ผ่านทุกช่องโพรงลมปราณในรวดเดียว

เด็กสาวที่เพิ่งเดินไปเกือบถึงธรณีประตูอึ้งงันเป็นไก่ไม้

หันหน้ากลับไปมองก็เห็นเพียงว่าเท้าใหญ่ยักษ์ข้างหนึ่งของเทพอภิบาลเมืองเหยียบลงบนไหล่ของเซียนกระบี่สะพายกล่องไม้ผู้นั้นอย่างแรง เด็กหนุ่มถูกเหยียบจนเอวโค้งงอลงเกือบจะนั่งคุกเข่า เพราะแข็งใจอดทนเอาไว้ได้ถึงไม่ถูกเทวรูปสูงสามจั้งเหยียบให้จมลงไปในพื้นดิน

เฉินผิงอันใบหน้าแดงก่ำ พูดเสียงสั่น “เจ้าหนีไปก่อน!”

เด็กสาวไม่กล้าลังเลอีกต่อไป นางรีบพุ่งตัวออกจากประตู แล่นไปถึงลานกว้าง พอหันหน้ากลับมาก็เห็นเพียงว่ารอบกายเทพอภิบาลเมืองถูกโอบล้อมไปด้วยควันดำเข้มสีดุจน้ำหมึกหลายเส้น พวกมันมุดเข้ามุดออกทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้าของเทพอภิบาลเมือง และดวงตาทั้งคู่ของเขาก็เปลี่ยนมาสีทองหม่นมัวแปลกประหลาด

เด็กสาวกรีดร้องด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “ระวัง เทพอภิบาลเมืองถูกธาตุมารเข้าแทรกแล้ว!”

เข่าสองข้างของเฉินผิงอันงอลงเล็กน้อย เขากัดฟันยืนค้อมเอว บนสันหลังคือเท้ายักษ์ของเทวรูปที่เพิ่มน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เขาค่อยๆ หยัดเอวขึ้นตรงทีละนิด ยื่นมือไปตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันในชายแขนเสื้อก็มียันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจกระดาษสีทองสองแผ่นกลิ้งออกมา แยกกันคีบอยู่ระหว่างร่องนิ้ว เพราะก้มหน้าลงจึงมองไปเห็นรองเท้าเตะของตัวเองโดยบังเอิญ เฉินผิงอันพลันรู้สึกสาแก่ใจ ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ในโลกครั้งนี้ช่างวิเศษจริงๆ เขาจึงหัวเราะเสียงดัง “ชูอี สืออู่ ตามข้ามาปราบมาร!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!