Skip to content

Sword of Coming 235

บทที่ 235 วัดโบราณที่แวะค้างแรมมีปราณปีศาจ

พวกเฉินผิงอันสามคนถูกเจ้าเมืองหลิวรั้งตัวไว้ที่จวนอีกสามวัน

หลังจากผ่านมรสุมในครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่าหลิวเกาหวาจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ เขาไม่มีท่าทางห่อเหี่ยวทอดอาลัยเหมือนเมื่อตอนที่พบกันแรกๆ อีกแล้ว เวลานี้เขามักจะไปขอความรู้จากบิดาบ่อยๆ มีทั้งความรู้ด้านบทความคุณธรรม แล้วก็มีทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีพื้นบ้าน นึกถึงอะไรก็ถามถึงสิ่งนั้น เจ้าเมืองหลิวยังคงไม่ชอบใจในตัวบุตรชายคนนี้สักเท่าไหร่ แต่หลิวเกาหวากลับไม่รู้สึกร้อนตัว หรือคิดถอดใจถอยหนีเพียงเพราะบิดาแสดงความไม่สบอารมณ์ให้เห็นอีกแล้ว สองวันมานี้จึงทำให้เจ้าเมืองหลิวรำคาญใจไม่น้อย

เวลาที่มากกว่านั้น หลิวเกาหวายังคงตามติดชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตจางซานเฟิง นอกจากนี้ก็คอยจับตามองหลิ่วชื่อเฉิงบัณฑิตยากจนราวกับคอยป้องกันขโมยอย่างไรอย่างนั้น เขาไม่ถือสาหากปัญญาชนตกยากจากแคว้นไป๋สุ่ยผู้นี้จะมาสู่ขอพี่สาวใหญ่ของเขา แต่ก่อนหน้าที่อีกฝ่ายจะยกเกี้ยวแปดคนหามแต่งพี่สาวของเขาเข้าบ้าน หากคิดจะใช้มือหมูเค็ม (เป็นคำแสลงของจีนหมายถึงการลวนลาม) มาเอาเปรียบพี่สาวของเขา หลิวเกาหวาไม่มีทางยอมแน่นอน

ในเมื่อเป็นสหายที่ร่วมทุกข์ด้วยกันมา หลิวเกาหวาจึงไม่ได้พิถีพิถันเรื่องข้อห้ามอะไรมากนัก เรื่องในราชสำนัก ในวงการขุนนางของแคว้นไฉ่อีจึงถูกเขานำมาเล่าสู่พวกเฉินผิงอันฟังเป็นการส่วนตัวเหมือนอาหารเรียกน้ำย่อย

ภัยพิบัติที่ลุกลามสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านนับพันนับหมื่นตระกูลครั้งนี้ แม้ว่าปีศาจใหญ่จะพากับหลบเร้นกายหายเข้ากลีบเมฆ บ้างก็ถูกกำราบสังหาร บ้างก็หนีไปไกล แต่ผลกระทบที่มอบให้แก่ชาวบ้านเมืองแยนจือกลับยาวนานและลึกล้ำ จิตใจของผู้คนหวาดหวั่นพรั่นพรึง ตระกูลเศรษฐีจำนวนมากก็เริ่มเตรียมตัวย้ายออกจากเมือง ไปอยู่เมืองอื่น ต่อให้เป็นในเมืองหลวงของแคว้นไฉ่อีที่แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นย้ายบ้านย้ายถิ่นฐาน แต่คนมีเงินมีอำนาจเหล่านี้ก็คิดแล้วว่าไม่ควรนำไข่ทั้งหมดมาวางไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน นี่ก็คือหลักการทั่วไปของเรื่องทางโลก

ว่ากันว่าหลังจากที่ราชสำนักของแคว้นไฉ่อีทราบข่าวก็ได้ส่งคนของกรมพิธีการและกรมกลาโหม ซึ่งก็คือคนประเภทที่ตำแหน่งขุนนางไม่สูงให้เดินทางออกจากที่ว่าการในเมืองหลวง มุ่งหน้าลงใต้มายังเมืองแยนจืออย่างเชื่องช้า แม้จะบอกว่ามาตรวจสอบคดีและปลอบใจผู้คน แต่เจ้าเมืองหลิวที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในวงการขุนนางมาครึ่งชีวิตกลับรู้ดีว่านี่เป็นแค่การทำให้ดูพอเป็นพิธีของฮ่องเต้ท่านนั้นเท่านั้น เงินในกรมการคลังเพื่อบรรเทาสาธารณภัยก็ยิ่งไม่ต้องคาดหวัง สำหรับเมืองแยนจือที่เละเทะแห่งนี้ เงินเก็บของที่ว่าการมีแค่สองสามในสิบส่วนเท่านั้น และเขาก็ไม่ใช่ขุนนางไร้มโนธรรมประเภทที่ชอบเก็บภาษีรีดนาทาเร้นชาวบ้าน ดังนั้นจึงจำต้องอาศัยศักดิ์ศรีของเจ้าเมือง อาศัยใบหน้าแก่ๆ นี้ไปขอร้องคนอื่น อาศัยข้ออ้างว่าจะได้รับการบันทึกชื่อเสียงที่ดีงามลงในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ ได้ตั้งป้ายเกียรติยศเพื่อให้คนรุ่นหลังเคารพบูชา ไปขอเงินจากตระกูลของเศรษฐีผู้ร่ำรวยทั้งหลายที่อยู่ในเมือง อีกทั้งยังจำเป็นต้องจัดการเรื่องเงินนี้ให้เสร็จสิ้นก่อนที่ใต้เท้าผู้แทนพระองค์จากสองกรมใหญ่ในเมืองหลวงจะเดินทางมาถึงเมือง จะสร้างความรำคาญพระทัยให้แก่ฮ่องเต้เพิ่มไม่ได้เด็ดขาด และยิ่งไม่ควรเพิ่มความยุ่งยากให้แก่กรมการคลังที่เดิมทีก็มีชีวิตยากลำบากอยู่แล้ว มีเพียงทำแบบนี้เท่านั้นถึงจะรักษาหมวกขุนนางเจ้าเมืองของเขาเอาไว้ได้

ชีวิตคนมีขึ้นมีลง วงการขุนนาง วงการการค้า รวมไปถึงบนเส้นทางการฝึกตน ขณะที่ชีวิตของบางคนตกลง บางทีชีวิตของอีกคนก็อาจจะสูงขึ้น

ยกตัวอย่างเช่นการลงมือของพวกเฉินผิงอันสามคนในครั้งนี้ ไม่ว่าจะทำไปด้วยความโกรธแค้นหรือมีเจตนาที่ซ่อนเร้น แต่คงเป็นเพราะคนทำได้จึงได้ดี มือดาบเคราดกและนักพรตจางซานเฟิงที่ร่วมมือกัน สุดท้ายแล้วต่างคนจึงต่างได้ผลเก็บเกี่ยว

อาวุธเทพชิ้นใหม่ที่สวีหย่วนเสียได้มาคือดาบเล่มเล็กที่ลูกศิษย์ใหญ่ของมารเฒ่าหมี่ทิ้งไว้ เจ้าของคนเดิมคือคนบนวิถีมารตัวจริงเสียงจริง แต่คาดไม่ถึงว่าเมื่อดาบสั้นเล่มนี้ถูกชักออกจากฝัก ประกายดาบกลับยังส่องแสงเจิดจ้าสว่างไสว ไม่มีกลิ่นอายของความชั่วร้ายปะปนเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว นอกจากนี้ก็ยังมีของที่ได้จากรองแม่ทัพของแม่ทัพหม่า พอชาวบู๊สวมเสื้อเกราะคนนั้นได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับสวีหย่วนเสียสองครั้ง เขาก็รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเป็นสหายที่รู้จักกันมานาน จึงแจ้ง ‘รายงานของหาย’ แล้วแอบเอาธนูแข็งแกร่งอันดับหนึ่งในกองทัพ หนึ่งในธนูพิเศษห้าคันที่สำนักโม่สร้างขึ้นซึ่งถูกเก็บไว้ในคลังที่ว่าการของหลวงมามอบให้กับสวีหย่วนเสีย

ทีแรกสวีหย่วนเสียไม่เต็มใจจะรับไว้ คำว่ากฎของกองทัพยิ่งใหญ่ดุจขุนเขานั้น หากเป็นสถานที่แห่งอื่นของแคว้นไฉ่อีอาจจะบอกได้ยาก แต่ดูจากการปกครองกองทัพของแม่ทัพหม่าแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย ทว่าหลังจากชายฉกรรจ์ที่เป็นรองแม่ทัพรู้ถึงความกังวลของเขาก็หัวเราะฮ่าๆ รู้สึกว่านิสัยของเขากับจอมยุทธ์เคราดกเหมือนกันมากจริงๆ จึงยอมเปิดเผยความลับให้อีกฝ่ายรู้ บอกว่าเดิมทีแม่ทัพหม่าก็อนุญาตแล้ว ตอนแรกตนกล้าขอแค่ลูกธนูหนึ่งดอกเท่านั้น เป็นแม่ทัพหม่าที่มาพูดคุยกับเจ้าเมืองหลิวอย่างลับๆ ภายหลังจึงมีการแก้ไขรายงานความเสียหายทางการทหารที่ต้องส่งมอบให้แก่กรมกลาโหมของราชสำนัก หัวข้อธนูที่เดิมทีเขียนว่าลูกธนูเสียหายไปสิบหกดอกก็เปลี่ยนมาเป็นยี่สิบเอ็ดดอก

จางซานเฟิงได้รับวัตถุวิเศษที่รูปลักษณ์ไม่ดีนักสองชิ้น ชิ้นแรกเสียหายอย่างรุนแรง คือจอกเหล้าหยกขาวที่เหมือนแผ่นกระเบื้องบางๆ แผ่นหนึ่ง ซึ่งสามารถดูดซับปราณวิญญาณฟ้าดินมาได้ด้วยตัวเอง และทุกๆ ห้าวันจะก่อตัวกันกลายเป็นหยดน้ำค้างหยดหนึ่งที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณ ตอนที่จางซานเฟิงได้มันมา บนจอกเหล้ามีรูเล็กๆ ที่บิ่นแตก คาดว่าต้องส่งผลกระทบต่อความเร็วในการรวบรวมลมปราณอย่างแน่นอน

และยังมีตะเกียบไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินในตำนานคู่หนึ่ง เพราะว่าบนตะเกียบด้ามหนึ่งสลักคำว่า ‘ภูเขาชิงเสิน’ ส่วนอีกด้ามหนึ่งสลักคำว่า ‘ไม้ไผ่เสินเซียว’ อย่างน้อยแค่มองก็รู้ว่าเป็นของเก่าแก่โบราณ แต่จะมาจากภูเขาชิงเสินจริงๆ หรือไม่นั้น ตอนนี้ยังไม่อาจรู้ได้ แต่ตะเกียบไม้ไผ่คู่นี้มีปราณวิญญาณเต็มเปี่ยมอย่างแท้จริง

ไม่ว่าอย่างไร พวกมันก็ถือว่าเป็นวัตถุวิเศษที่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างทุกคนปรารถนาอยากครอบครองแม้ในยามหลับฝัน

เฉินผิงอันไม่ได้หยิบกล่องไม้สีเขียวและเศษชิ้นส่วนร่างทองที่มีทั้งสีทองและสีเงินออกมา เรื่องนี้สำคัญเกินไป โชควาสนามักจะมาพร้อมกับหายนะเสมอ สิ่งของเหล่านี้ไม่ใช่เต่าภูเขาหรืออินทรีล่างูที่เคยจับได้ในบ้านเกิดซึ่งสามารถเอาออกมาอวดสหายอย่างหลิวเสี้ยนหยางเพื่อความสนุกสนานได้ เฉินผิงอันจึงแค่หยิบท่อนไม้ที่ดำเหมือนถ่านและถ้วยสีขาวที่วาดลายแผนที่ห้าขุนเขาออกมา

สวีหย่วนเสียมองความเป็นมาของถ้วยสีขาวไม่ออก แต่กลับจุ๊ปากชื่นชมท่อนไม้หนักอึ้งชิ้นนั้นไม่หยุด บอกว่านี่คือไม้อสนีบาต ไม่ใช่ว่าแค่ต้นไม้ถูกสายฟ้าทั่วไปฟาดใส่แล้วจะถือกำเนิดขึ้นได้ จำเป็นต้องเป็นสายฟ้าพิเศษประเภทห้าอสนีที่แฝงเร้นพลานุภาพแห่งสวรรค์เท่านั้น อีกอย่างต้นไม้ที่ถูกฟ้าผ่าก็ต้องมีชีวิตรอดต่อไปได้ ไม่ใช่ตายไป เพราะต้นไม้ที่ตายไปแล้วจะไม่สามารถกักเก็บพลานุภาพสวรรค์ของเวทอสนีที่ลี้ลับเอาไว้ได้ สวีหย่วนเสียชั่งน้ำหนักไม้ดำที่มองดูเหมือนถ่านในมือแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ขอแค่มอบมันให้กับผู้ฝึกลมปราณสำนักกสิกรรม พวกเขาจะสามารถช่วยเจ้าเปลี่ยนมันให้เป็นต้นกล้าอ่อนที่มีชีวิตชีวาได้ต้นหนึ่ง?”

เฉินผิงอันเข้าใจในทันที

นี่เป็นของมีค่า!

นอกจากนี้จวนเจ้าเมืองยังมอบเงินห้าร้อยตำลึงเงินให้เป็นรางวัลตอบแทนความเหนื่อยยากแก่ ‘จอมยุทธ์ผู้ผดุงคุณธรรม’ อย่างพวกเขาตามหลักมารยาท

ชายฉกรรจ์เคราดกไม่เต็มใจรับไว้ นักพรตจางซานเฟิงก็ไม่รับ มีเพียงเฉินผิงอันเท่านั้นที่รับเอาไว้ ด้วยเรื่องนี้จางซานเฟิงยังสัพยอกเฉินผิงอันว่าเขาเป็นคนบ้าเงินจริงๆ เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ

เด็กชายตระกูลจ้าวคนนั้นชื่อว่าจ้าวซู่เซี่ย เด็กหญิงชื่อหลวนหลวน ตอนนี้ได้รับโชคเพราะหายนะ ทั้งคู่ต่างก็หลุดพ้นจากสัญญาทาส ติดตามผู้เฒ่าที่มีฉายาว่า ‘อวี๋เวิงเซียนเซิง’ (ผู้เฒ่าตกปลา) และเด็กหญิงหลวนหลวนก็ยิ่งได้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของผู้เฒ่า

ทุกเช้าตรู่ที่เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งอยู่ในลานบ้านที่ตัวเองพักผ่อน เด็กชายจะมานั่งอยู่ตรงหน้าประตูเรือน เท้าคางตั้งใจมอง

เฉินผิงอันได้แค่ทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่ง สิ่งที่อยู่ในตำราเขย่าขุนเขานี้ เขาไม่เคยมองว่าเป็นของตัวเอง แล้วก็ยิ่งไม่สะดวกที่จะถ่ายทอดให้คนอื่นส่งเดช

แต่การที่เด็กชายจ้าวซู่เซี่ยมีใจอยาก ‘ขโมยเรียน’ อันที่จริงเฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องร้ายอะไร

เด็กคนนี้มีจิตใจที่ดีมาก

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจงใจชะลอความเร็วในการเดินนิ่งหกก้าว ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้ง

วันสุดท้าย ดวงตะวันสาดส่องเหนือศีรษะ วันแรกของฤดูร้อนมาถึง หมื่นสรรพสิ่งเจริญเติบโต

ยามพลบค่ำของวัน เฉินผิงอันเอ่ยกับเด็กชายว่า “จ้าวซู่เซี่ย เจ้าสามารถตั้งใจฝึกฝนท่าหมัดเดินนิ่งนั้นให้ครบหนึ่ง…”

เฉินผิงอันรีบแก้คำใหม่ “ฝึกให้ครบหนึ่งแสนรอบได้หรือไม่?”

เด็กชายพยักหน้ารับอย่างแรง

เฉินผิงอันกำชับว่า “ไม่เน้นที่ความเร็ว แต่เน้นที่ความมั่นคง อีกทั้งทุกครั้งต้องไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด จากนั้นทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภายในเวลาสามถึงห้าปี ฝึกหนึ่งแสนหมัด เดินครบหกก้าวถือเป็นกระบวนท่าเดียวเท่านั้น จำไว้ว่าหากก้าวใดเดินผิดพลาดจะต้องทำใหม่ซ้ำอีกรอบ ห้ามเหยาะแหยะเด็ดขาด”

เฉินผิงอันหากไม่พูดอะไรเลยก็จะกลายเป็นว่าจู้จี้จุกจิกแบบนี้ ข้อนี้เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่ตอนนี้อยู่บนภูเขาลั่วพั่วคุ้นเคยดีอย่างถึงที่สุด

เฉินผิงอันครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบหนึ่งก็เอ่ยต่อว่า “การฝึกวิชาหมัดคือ…เรื่องที่โง่มาก จ้าวซู่เซี่ย เจ้าจะเป็นคนฉลาดก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าฉลาดมากจริงๆ ฉลาดกว่าข้าเยอะ แต่เรื่องการฝึกวิชาหมัดยิ่งโง่ก็ยิ่งดี เข้าใจไหม?”

สายตาของเด็กชายเด็ดเดี่ยว กำมือสองข้างเป็นหมัด “เข้าใจแล้ว! ทนกับความยากลำบากในความยากลำบาก ก็จะได้เป็นคนเหนือคน!”

เด็กชายผู้ฉลาดเฉลียวที่มีชีวิตยากลำบากคนนี้เข้าใจจริงๆ

เฉินผิงอันรู้สึกขำคำพูดอีกฝ่าย จึงถามว่า “เป็นคนเหนือคนแล้ว เจ้าอยากจะทำอะไรล่ะ?”

เด็กชายตอบโดยที่แทบจะไม่ต้องคิด “ข้าจะซื้อเสื้อผ้าดีๆ ให้หลวนหลวนไว้สวมตอนหน้าหนาวหลายๆ ตัว นางจะได้อบอุ่น!”

เฉินผิงอันถามอีก “แล้วตัวเจ้าเองล่ะ?”

เด็กชายเช็ดปาก พูดสีหน้าเคลิบเคลิ้ม “กินข้าวอิ่มทุกมื้อ!”

เฉินผิงอันหุบยิ้ม ขมวดคิ้วน้อยๆ “แค่นี้เองหรือ?”

เด็กชายมีชาติกำเนิดยากจนเป็นคนระดับล่างสุด จึงถนัดสังเกตสีหน้าท่าทางของคนอื่นมากที่สุด เวลานี้รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย กลัวว่าผู้มีพระคุณจะรู้สึกว่าตนไม่เอาไหน แต่เขาไม่มีความปรารถนาอะไรมากมายจริงๆ สุดท้ายเด็กชายที่ไม่อยากโกหกเฉินผิงอันจึงทำไหล่ลู่คอตก กล่าวอย่างละอายใจ “ไม่มีแล้วจริงๆ”

“แค่กินข้าวอิ่มจะพอได้อย่างไร?”

สีหน้าเคร่งเครียดที่เฉินผิงอันแสร้งทำเปลี่ยนมาเป็นอ่อนโยนในทันที เขาลูบศีรษะของเด็กชายเบาๆ เอ่ยหยอกเย้าว่า “ต้องมีเนื้อให้กินทุกมื้อด้วย!”

เด็กชายหัวเราะร่าอย่างโง่งม

นักพรตจางซานเฟิง หลิวเกาหวา หลิ่วชื่อเฉิง คนทั้งสามนั่งยองเคียงไหล่กันอยู่บนระเบียง

หลวนหลวนถูกพี่สาวของหลิวเกาหวากอดไว้ในอ้อมอก อยู่ห่างจากชายทั้งสามคนมาเล็กน้อย

พอเห็นภาพนี้นางก็คลี่ยิ้มอย่างอดไม่ได้

การพบกันในครั้งนี้ แม้ว่าจะมีอุปสรรคเข้ามาขัดขวาง แต่ก็เป็นการพบกันที่ดีและจากลาที่ดี นับว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว

ตอนเที่ยงของวันนี้ บัณฑิตหลิ่วชื่อเฉิงติดตามพวกเฉินผิงอันเดินทางออกนอกเมือง หลิวเกาหวาและพี่สาวใหญ่ของเขา รวมไปถึงจ้าวซู่เซี่ย หลวนหลวนและอวี๋เวิงเซียนเซิงที่มีชาติกำเนิดเป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อต่างก็พากันเดินทางมาส่ง ส่งถึงศาลาข้างทางที่อยู่ห่างจากเมืองมาห้าลี้ถึงได้หยุดบอกลากันอย่างอาลัยอาวรณ์

หลิ่วชื่อเฉิงบอกลากับแม่นางหลิวอยู่ใต้ร่มไม้ ไม่รู้ว่าพูดคำรักหวานหูอะไร เพราะถึงแม้สตรีจะมีท่าทางเสียใจ แต่กลับมีรอยยิ้ม สายตามีความคิดถึงและคาดหวังปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน

เฉินผิงอันเดินไปหาอวิ๋เวิงเซียนเซิงเพียงลำพัง มอบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงให้กับอีกฝ่าย รวมไปถึงกระดาษยันต์สีทองหนึ่งแผ่น บอกว่านี่คือของขวัญกราบอาจารย์ที่เขาช่วยมอบให้แทนจ้าวซู่เซี่ยและหลวนหลวน ขอร้องให้ผู้เฒ่าโปรดรับเอาไว้ ผู้เฒ่าเองก็มีนิสัยตรงไปตรงมา รับของทั้งหมดไว้อย่างไม่อิดออด พูดยิ้มๆ บอกให้เฉินผิงอันวางใจ เขาจะต้องปฏิบัติต่อจ้าวซู่เซี่ยและหลวนหลวนให้เหมือนเป็นบุตรในอุทรของตนเอง จะไม่ทำให้พวกเขาต้องน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอันขาด สุดท้ายเฉินผิงอันจึงกุมหมัดคารวะ “คุณธรรมของท่าน สูงยิ่งกว่าขุนเขา ยาวไกลยิ่งกว่าแม่น้ำ”

นี่คือถ้อยคำที่ออกมาจากใจจริงของเฉินผิงอัน

ดังนั้นแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันพูดจาสุภาพไพเราะดั่งปัญญาชน แต่เขากลับไม่รู้สึกลำบากใจแม้แต่น้อย

ผู้เฒ่าจูงมือเด็กน้อยไว้คนละข้าง มองส่งคนทั้งสี่เดินจากไปไกล แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “มีมาดแห่งเซียนควบคู่กับคุณธรรมในยุทธภพ ประเทศชาติจึงมีบุคคลที่ยอดเยี่ยม”

หลิวเกาหวาใช้ข้อศอกกระทุ้งแขนของพี่สาวเบาๆ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพี่ หลิ่วชื่อเฉิงกรอกยาเสน่ห์อะไรให้ท่าน ถึงทำให้ท่านกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้?”

สตรียิ้มบางๆ ตอบรับ “หลิ่วหลางบอกว่ารอเขาประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงเมื่อไหร่ จะต้องกลับมาสู่ขอข้า ถึงเวลานั้นจะต้องนั่งดื่มสุรากับพ่อตา ให้ท่านพ่อของพวกเราเรียกเขาว่าลูกเขยทุกคำให้จงได้”

หลิวเกาหวายิ้มกว้าง “คำพูดผายลมของบัณฑิต ท่านก็เชื่ออย่างนั้นหรือ?”

สตรีสาวยกสองมือกุมไว้ตรงหัวใจ เหม่อมองแผ่นหลังของบัณฑิตที่บนศีรษะสวมมงกุฎกิ่งหลิว (ธรรมเนียมชาวจีนมักจะหักกิ่งหลิวส่งให้คนที่ต้องเดินทางเพื่อแสดงถึงการอำลา) แล้วพึมพำว่า “ในตำราก็กล่าวไว้แบบนี้นี่นา”

หลิวเกาหวาระอาใจอย่างยิ่ง “เป็นบุรุษเต็มตัว แถมอายุก็ตั้งมากขนาดนี้แล้วยังสวมมงกุฎกิ่งหลิวได้ไม่รู้จักอาย ซิ่วไฉยากจนแบบนี้จะมีโอกาสลืมตาอ้าปากได้อย่างไร?”

หญิงสาวกระทืบหลังเท้าของน้องชายหนึ่งที กล่าวอย่างขุ่นเคือง “ห้ามพูดถึงว่าที่พี่เขยของเจ้าแบบนี้”

หลิวเกาหวาเจ็บจึงรีบหดเท้าหนี ขยับไปยืนห่างอีกหน่อย สอดสองมือรองไว้ตรงท้ายทอยด้วยท่าทางสบายอารมณ์

ผลคือถูกคนตบหัวหนักๆ ดังป้าบ

หลิวเกาหวาหันขวับกลับไปหมายจะด่าให้ลั่น ทว่ากลับเหมือนถูกคนบีบคอไว้ ให้ตายก็เปิดปากไม่ได้ กลั้นเอาไว้จนหน้าแดงก่ำ ครู่ใหญ่ถึงพูดเสียงหงอ “ท่านพ่อ”

หญิงสาวยิ่งตื่นตระหนก

เจ้าเมืองหลิวที่ถอดชุดขุนนางเปลี่ยนมาสวมชุดเขียวของปัญญาชนยืนอยู่ตรงกลางระหว่างบุตรชายหญิง “เจ้าเป็นเพื่อนกับเฉินผิงอันงั้นรึ?”

หลิวเกาหวาเดาไม่ถูกว่าบิดาอยู่ในอารมณ์ไหน แล้วคำพูดของเขานี้มีนัยยะลึกซึ้งหรือไม่ จึงตอบอย่างระมัดระวังว่า “ถือว่าใช่กระมัง”

เจ้าเมืองหลิวชำเลืองตามามอง หัวเราะหึหึ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก เขาหมุนตัวเดินไปหาอวี๋เวิงเซียนเซิง พูดคุยกับผู้เฒ่าเรื่องบทความคุณธรรม

หญิงสาวแอบตบอกตัวเองเบาๆ รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก

หลิวเกาหวาถามเบาๆ “ท่านพี่ ข้าพูดอะไรผิดอีกงั้นหรือ?”

นางกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “นี่แหละที่เขาบอกว่าอย่าก่อหนี้ท่วมตัว เจ้าจะกลัวอะไรล่ะ”

หลิวเกาหวาร้องคร่ำครวญ

สองพี่น้องไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้บิดา กลัวว่าจะโดนเขม่นใส่ ยิ่งกลัวว่าจะพาตัวเองโยนเข้าไปในแห จึงเดินตามมาด้านหลังไม่ห่างและไม่ใกล้เกินไปนัก

เด็กชายจ้าวซู่เซี่ยแอบชะลอฝีเท้าเดินไปหยุดอยู่ข้างกายหลิวเกาหวา เอ่ยเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่หลิว อาจารย์ข้ากำลังชมท่านอยู่แน่ะ บอกว่าท่านมีใจกตัญญู นิสัยเดิมดีงาม บิดาท่านบอกว่าที่ไหนกันๆ ก็แค่ไม่สร้างความอัปยศให้กับวงศ์ตระกูลเท่านั้น”

ผลกลับกลายเป็นว่าบุรุษตัวโตๆ อย่างหลิวเกาหวาที่เพิ่งค่อนแคะว่าที่พี่เขยไปหยกๆ ว่าไม่เอาไหน ตอนนี้ตัวเองกลับวิ่งเร็วๆ ไปล้างหน้าที่ริมลำธารซะแล้ว

หาได้ยากที่คนทั้งกลุ่มจะมีเวลาว่างแบบนี้ พวกเขาจึงเดินตามถนนทางหลวงกลับไปยังเมืองอย่างไม่รีบไม่ร้อน ทยอยกันเดินสวนไหล่กับเด็กหนุ่มหน้าตางดงามคนหนึ่ง

ในมือของเด็กหนุ่มถือกิ่งหลิวกำใหญ่ กลางหว่างคิ้วมีตราประทับสีแดงพุทราอยู่หนึ่งจุด

หน้าตาของเขางดงามมากจริงๆ

……

ค่ำคืนหนึ่งหลังผ่านมาได้สามวัน ระหว่างเส้นทางภูเขาเงียบสงัดที่มุ่งหน้าไปยังแคว้นซูสุ่ย เฉินผิงอันสี่คนพักค้างแรมอยู่ในวัดโบราณรกร้างแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้เจ้าเมืองหลิวพูดถึงเรื่องหนึ่ง บอกว่าภูเขาตี้หลงของแคว้นซูสุ่ยมี ‘ท่าเรือ’ ประหลาดที่ไม่ได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นสถานที่ที่เฉินผิงอันต้องการตามหา หรือก็คือจุดออกเดินทางที่เหล่าเทพเซียนบนภูเขาใช้โดยสารเรือทะยานลมไปท่ามกลางทะเลเมฆ

ถึงเวลานั้นสวีหย่วนเสียจะบอกลากับคนทั้งสองที่นั่น เพื่อเดินทางไปยังแคว้นชิงหลวนทางตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปเพียงลำพัง นำเถ้ากระดูกของสหายกลับคืนสู่บ้านเกิด

สวีหย่วนเสียชอบเดินเท้าท่องเที่ยวระหว่างแม่น้ำและขุนเขา อีกทั้งยังชอบเขียนบันทึกการเดินทาง บันทึกทัศนียภาพและลักษณะภูมิศาสตร์ที่แปลกประหลาดอันตราย ดังนั้นจึงไม่ชอบโดยสารเรือข้ามทวีปของตระกูลเซียน ส่วนหลิ่วชื่อเฉิงจะเดินทางไปแถบทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้แต่สวีหย่วนเสียที่มีความรู้และมากประสบการณ์ก็ไม่เคยได้ยิน

เมื่อต้องมาอยู่ในวัดเก่าแก่ที่ถูกปล่อยร้างมานานแห่งนี้ยามค่ำคืนก็ค่อนข้างจะน่าขนลุก เทวรูปท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ของลัทธิพุทธล้มกองอยู่บนพื้น อีกอย่างพื้นที่ของวัดโบราณก็กว้างขวางมาก มองไปทางใดก็ว่างโล่งไปหมด ลมเย็นยะเยือกพัดโชยมาเป็นระลอก ทั้งลมที่พัดผ่านมาทางห้องโถง ทั้งลมที่พัดลอดระเบียง บวกกับนกกลางคืนในผืนป่าที่ส่งเสียงร้องเป็นระยะ ทำเอาหลิ่วชื่อเฉิงหวาดผวาจนปากสั่น ต่อให้จะจุดไฟกองใหญ่ เขาก็ยังพยายามทำตัวแนบชิดติดกับชายฉกรรจ์เคราดก เพราะเขามักรู้สึกว่าพี่ชายท่านนี้หน้าตาดุร้ายที่สุด ต้องสามารถสยบภูตผีหรือสิ่งชั่วร้ายได้แน่นอน เด็กหนุ่มอย่างเฉินผิงอันและจางซานเฟิงน่าจะเอาไม่อยู่

ส่วน ‘ผีเฒ่าเจ้าสำอาง’ ที่มาพักพิงอยู่ในร่างของเขาชั่วคราว หลิ่วชื่อเฉิงไม่เคยรู้สึกว่าอีกฝ่ายร้ายกาจสักเท่าไหร่ แม้แต่เทพเซียนขอบเขตโอสถทองก็ยังไม่ใช่ ดีแต่คุยโวโอ้อวดอยู่เบื้องหลัง หากร้ายกาจจริงจะถูกคนกำราบมานานหลายปีขนาดนั้นหรือ ยังต้องให้เขาหลิ่วชื่อเฉิงไปช่วยอีกหรือไง? ดังนั้นจะแข็งแกร่งได้สักเท่าไหร่กันเชียว? อีกอย่างหากเป็นเทพเซียนตัวจริง ใครบ้างที่ไม่มีมาดของเซียน มีสง่าราศีอันโดดเด่น ใครแม่งจะสวมชุดเต๋าสีชมพูหวานแหววเดินกรีดกรายไปตามตลาด? เขาหลิ่วชื่อเฉิงคนหนึ่งล่ะที่จะรู้สึกอับอายขายหน้าหากต้องทำอย่างนั้น

ทุกสิ่งที่หลิ่วชื่อเฉิงพบเห็นหรือได้ยิน เจ้าคนที่มีฉายาว่า ‘ผีเฒ่าเจ้าสำอาง’ ซึ่งถูกเขาเก็บมาผู้นั้นล้วนเห็นและได้ยินอย่างชัดเจนตามไปด้วย

แต่หลังจากที่ผีเฒ่าสวมชุดชมพูปรากฏกายแทนที่เขา มีหลายครั้งที่หลิ่วชื่อเฉิงเหมือนจะเสียความทรงจำไปอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งผีเฒ่ายินดีคืนร่างให้เขา อาการเหล่านั้นถึงจะหายไป

นี่ทำให้หลิ่วชื่อเฉิงกัดฟันกรอดๆ ด้วยความเจ็บแค้น วันหน้าหากเขาแต่งภรรยาที่งามล่มเมือง มีอนุภรรยางดงามปานบุปผาปานหยกสลักหลายต่อหลายบ้าน เพิ่มด้วยสาวใช้ห้องข้างอวบอิ่มเพรียวบางคอยห้อมล้อม แล้วถ้าตนขึ้นเตียง เพิ่งจะลูบคลำมือน้อย อยู่ดีๆ หน้ามืดสติดับวูบ ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น พอลืมตาขึ้นมาอีกทีเป็นตอนกลางวันสว่างจ้า ตัวเองสวมเสื้อผ้าลงจากเตียงมาเรียบร้อยแล้ว นั่นจะเป็นเรื่องเฮงซวยถึงเพียงใด? ประเด็นสำคัญคือความขมขื่นที่เป็นเรื่องส่วนตัวขนาดนี้ เขาหลิ่วชื่อเฉิงจะระบายให้ใครฟังก็ไม่มีประโยชน์

หลิ่วชื่อเฉิงยกก้นขึ้นมานั่งยอง ยื่นมือไปอังไฟหาความอบอุ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม เขากลุ้มใจจริงๆ นะ

ภายใต้ม่านรัตติกาลในวัดร้าง หลิ่วชื่อเฉิงเงยหน้ามองซ้ายมองขวาก็ยิ่งกลัวมากกว่าเดิม ยังดีที่สวีหย่วนเสียกำลังดื่มเหล้า นักพรตจางน้อยที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งชักกระบี่ไม้ท้อออกจากฝัก กำลังฝึกวิชากระบี่ จึงพอจะทำให้หลิ่วชื่อเฉิงวางใจได้บ้างเล็กน้อย ส่วนเฉินผิงอันกำลังไปหากิ่งไม้แห้งมาก่อไฟหุงข้าวจึงอยู่ห่างไปไกล หลิ่วชื่อเฉิงรู้สึกนับถือเด็กหนุ่มแซ่เฉินคนนี้จากใจจริง ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง แถมยังเป็นคนหัวดื้อมากคนหนึ่ง ทุกวันจะต้องฝึกวิชาหมัดสองท่านั้นซ้ำไปซ้ำมา ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน หลิ่วชื่อเฉิงรู้สึกว่าหากตัวเองตั้งใจเรียนหนังสือได้สักครึ่งหนึ่งของการฝึกหมัดเฉินผิงอัน เขาแม่งก็คงได้เป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตในสำนักศึกษากวานหูไปนานแล้ว

เพียงไม่นานหลิ่วชื่อเฉิงก็เห็นว่าเฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ กลับมา นอกจากหอบกิ่งไม้แห้งหอบใหญ่มาด้วยแล้ว ยังถือวัตถุโบราณเก่าแก่สูงประมาณสี่ห้าฉื่อมาอีกชิ้นหนึ่ง สอบถามว่ามันคืออะไรกันแน่ มีค่าหรือไม่ หลิ่วชื่อเฉิงเห็นแล้วก็เหลือกตา กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “นั่นมันแท่นตะเกียงแบบยาว เอาไว้วางตะเกียงน้ำมัน ครอบครัวยากจนจะใช้แต่แบบสั้น ไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากนัก ตามบันทึกในเกร็ดพงศาวดาร อดีตเมื่อนานมากมาแล้ว วัดวาอารามที่มีมากมายดุจผืนป่าของลัทธิพุทธเคยมีเงินมากที่สุดในหลายๆ ราชวงศ์ของแจกันสมบัติทวีป มีเงินยิ่งกว่าฮ่องเต้เสียอีก นี่ไม่ถือว่าขัดต่อสวรรค์หรอกหรือ ดังนั้นจึงมีการพยายามโค่นล้มพระพุทธศาสนาอยู่หลายครั้ง แท่นวางตะเกียงแบบยาวในมือเจ้าชิ้นนี้ หากยังใหม่เอี่ยมก็ถือว่าพอจะมีค่า แต่ตอนนี้เป็นเพียงแค่โลหะผุๆ ชิ้นหนึ่ง มีค่าแค่ไม่กี่อีแปะ”

เฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย หลังวางกิ่งไม้แห้งลงแล้วก็วิ่งเอาแท่นวางตะเกียงกลับไปวางไว้ที่เดิม

หลิ่วชื่อเฉิงกุมขมับ รู้สึกว่าการที่ตัวเองต้องมาเดินทางในยุทธภพร่วมกับเด็กบ้านนอกแบบนี้ช่างเป็นเรื่องที่น่าอายนัก

หลังจากหุงข้าวและทำกับข้าวเสร็จแล้ว หลิ่วชื่อเฉิงผู้เลือกกินและมากเรื่องที่กินอาหารค่ำเสร็จแล้วก็เตรียมเอาผ้ามาปูนอนหลับฝันหวาน

ชายฉกรรจ์เคราดกดื่มเหล้าจนพอใจแล้วก็ทิ้งตัวไปด้านหลัง เริ่มส่งเสียงกรนดังสนั่นราวฟ้าผ่า

วันนี้นักพรตจางซานเฟิงรับผิดชอบเฝ้ายามครึ่งคืนแรก เฉินผิงอันเฝ้าครึ่งคืนหลัง

เฉินผิงอันช่วยเก็บเศษซากเทวรูปของราชาแห่งสวรรค์ทั้งหลายที่ผุพังมารวมกัน แล้วแยกนำไปกองไว้ในมุมที่สามารถบังลมบังฝนได้ ทำเรื่องพวกนี้เสร็จก็เริ่มฝึกเดินนิ่งบนพื้นที่เป็นหลุมเป็นบ่อ

ตอนนี้หมัดของเฉินผิงอัน หากกล่าวตามคำพูดของหลิ่วชื่อเฉิงก็คือออกหมัดครั้งหนึ่งช้าจนเขานอนหลับเต็มอิ่มไปงีบหนึ่ง

คืนนี้ช่วงหลังของการฝึกหมัด อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็เริ่มเพิ่มความเร็ว สุดท้ายก็เร็วราวสายฟ้าแลบ รอบกายเหมือนมีพายุเกิดขึ้น ครู่หนึ่งต่อมาเฉินผิงอันถึงชะลอความเร็วลง

จางซานเฟิงขยับมามองใกล้ๆ ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นยิ้มๆ “ทำไม มีเรื่องหงุดหงิดใจหรือ?”

เฉินผิงอันยืนนิ่งเก็บหมัด กล่าวอย่างจนใจ “สัมผัสโดนธรณีประตูได้เล็กน้อย แต่กลับข้ามมันไปไม่ได้ ไม่ขึ้นไม่ลง ก็เลยรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง”

จางซานเฟิงยิ้มพูดว่า “นี่หมายความว่าเจ้าจะฝ่าทะลุขอบเขตแล้วน่ะสิ ปรมาจารย์น้อยขอบเขตสี่วิถีวรยุทธ์ ต่อให้เป็นในยุทธภพอุตรกุรุทวีปของพวกเราก็เรียกว่าแกร่งกร้าวมากแล้ว”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ก่อนจะออกจากบ้านมีคนบอกกับข้าว่า ก่อนที่จะถึงนครมังกรเฒ่า ทางที่ดีที่สุดคือสามารถเลื่อนสู่ขั้นขอบเขตหลอมลมปราณของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวให้ได้”

แล้วทันใดนั้น

กระดิ่งสดับปีศาจที่จางซานเฟิงวางไว้บนห่อสัมภาระก็พลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงกระดิ่งดังลั่น

จางซานเฟิงหัวใจหดรัดตัวแน่น “มีปราณปีศาจขยับเข้ามาใกล้วัด!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าเก็บกระดิ่งสดับปีศาจลงไปก่อน จะได้ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น”

ชายฉกรรจ์เคราดกลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว หัวเราะร่าเสียงดัง “กิจการของพวกเราสามคนช่างรุ่งเรืองซะจริง โชคลาภมาเยือนแล้ว จะขวางก็ขวางไม่อยู่!”

หลังจากเสียงหัวเราะผ่านพ้นไป สวีหย่วนเสียก็ลูบเคราครุ่นคิด มือสองข้างวางไว้บนด้ามดาบสั้นยาวตรงเอว กล่าวเสียงหนัก “แต่จำไว้ว่า กำจัดปีศาจปราบมารก็จริง ทว่ารักษาชีวิตต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง”

เฉินผิงอันกับจางซานเฟิงหันมายิ้มให้กัน นักพรตหนุ่มหัวเราะหึหึ “ข้ายังมียันต์เทพเดินทางอีกแผ่นหนึ่ง”

เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวเสียงอัดอั้น “แต่ข้าวิ่งได้เร็ว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!