บทที่ 239 ลมวสันต์ส่งท่านไกลพันหมื่นลี้
ชุดนักพรตเต๋าสีชมพูของหลิ่วชื่อเฉิงโบกสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลมอย่างเชื่องช้า บุคคลสำคัญดุจยักษ์ใหญ่ของนครจักรพรรดิขาวเมื่อหนึ่งพันปีก่อนท่านนี้สำรวมกิริยาลงเล็กน้อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นี่ไม่สมเหตุสมผล
เพราะเรือนกายที่เลื่อนลอยดั่งภาพมายาซึ่งก่อตัวจากสายลมวสันต์ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันเป็นเพียงปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีเขียวที่ใบหน้าแต้มรอยยิ้มบางเบาคนหนึ่งเท่านั้น
หลิ่วชื่อเฉิงสังเกตลักษณะของอีกฝ่ายแล้วก็เห็นว่าเป็นเพียงตะเกียงดวงหนึ่งที่น้ำมันแทบจะแห้งขอดเท่านั้น ทว่านอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วกลับยังมีกลิ่นอายบางอย่างที่บอกไม่ถูกอยู่อีก หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มีระดับต่ำกว่าห้าขอบเขตบนคนใดก็ตาม เกรงว่าคงจะใคร่ครวญหาความเชื่อมต่อใดๆ ไม่เจอ แต่เขาที่สิงอยู่ในร่างของหลิ่วชื่อเฉิงชั่วคราว ในช่วงเวลาที่มีตบะสูงสุดก็คือเซียนขอบเขตสิบสองตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง ตอนที่ยังไม่ทรยศออกจากสำนักลัทธิมาร เขาที่อยู่ในนครจักรพรรดิขาวซึ่งตั้งอยู่ระหว่างก้อนเมฆหลากสี ตั้งอยู่เบื้องใต้กระแสน้ำของแม่น้ำในถ้ำสวรรค์หวงเหอเคยได้เจอกับบุคคลมีความสามารถที่ยืนตระหง่านอยู่บนยอดกลุ่มเขามามากมาย ตอนนี้จึงรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร
ยิ่งเป็นภาพมายาที่มองตื้นลึกหนาบางไม่ออก หลิ่วชื่อเฉิงก็ยิ่งไม่กล้าดูแคลน
ฉีจิ้งชุนใช้สายตาบอกกับเฉินผิงอันให้วางใจ เขายืนเคียงไหล่อยู่กับเด็กหนุ่ม เอ่ยแนะนำตัวกับหลิ่วชื่อเฉิงด้วยรอยยิ้ม “ฉีจิ้งชุน ลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง อดีตเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาซานหยา”
‘หลิ่วชื่อเฉิง’ มึนงงเล็กน้อย
คนตรงหน้าผู้นี้ไม่ได้วางมาดใหญ่โตอะไร แถมยังมีท่าทางสุภาพอ่อนโยน เพียงแต่ว่าเหวินเซิ่ง? ฉีจิ้งชุน? สำนักศึกษาซานหยา? อะไรก็ไม่รู้ หรือว่าหนึ่งพันปีที่ตนถูกจางเซียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์กำราบไว้นี้มีอริยะที่เป็นอาจารย์และลูกศิษย์จากลัทธิขงจื๊อปรากฎขึ้นอีกสองคน? เพียงแต่คำเรียกขานว่า ‘เหวินเซิ่ง’ นี้ ไม่ได้ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย ลำพังแค่เพิ่มคำว่าเซิ่งต่อท้าย ยกตัวอย่างเช่นหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่ง ก็ล้วนเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติจะได้ตั้งเทวรูปไว้ในศาลเจ้าบุ๋นทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น อีกทั้งตำแหน่งที่ตั้งของเทวรูปยังอยู่ด้านหน้าๆ อีกด้วย
จะโทษก็ต้องโทษบัณฑิตที่ไม่ได้ความอย่างหลิ่วชื่อเฉิงผู้นี้มีรากฐานตื้นเขินเกินไป วันๆ ไม่ทำอะไรที่มีแก่นสาร ไม่เคยสนใจสถานการณ์ของในทวีป ดีแต่คิดจะอาศัยความรู้อันน้อยนิดในหัวที่น่าสงสารนั้นไปเกี้ยวพาราสี หลอกล่อหญิงสาวให้หลงคารม แน่นอนว่าตัวเขาเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะรู้สึกว่าสถานที่ป่าเถื่อนอย่างบุรพแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ ต่อให้ผ่านการสั่งสมรากฐานมานานนับพันปี ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนก็ต้องมีน้อยจนนับนิ้วได้ ตนไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจ
ฉีจิ้งชุนโบกชายแขนเสื้อง่ายๆ หนึ่งที ตราผนึกที่หลิ่วชื่อเฉิงสร้างไว้ก็หายวับไป
วิญญูชนปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้ เพียงไม่นานชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตหนุ่มก็ค้นพบความผิดปกติของทางฝั่งนี้ พวกเขาหันหน้ามามองกันเอง คนที่สวมชุดเต๋าสีชมพูนั่นคือหลิ่วชื่อเฉิงบัณฑิตยากจนรึ? ทำไมถึงได้มีความชื่นชอบประหลาดที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความรักสวยรักงามแบบนี้? แล้วปัญญาชนชุดเขียวที่ดูมีอายุคนนั้นล่ะเป็นเทพเซียนจากฝ่ายใด?
หลิ่วชื่อเฉิงหรี่ตาลง
ถึงขนาดทำลายเวทอำพรางตาของตนได้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีตบะขอบเขตหยกดิบเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่วิชาอภินิหารลึกล้ำที่สืบทอดมาจากระบบลัทธิมารของนครจักรพรรดิขาว ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบเต็มตัวคนหนึ่งก็ยังไม่สามารถทำลายตราผนึกของเขาได้ง่ายดายขนาดนี้
จางซานเฟิงขยับตัวจะลุกขึ้นเดินไปหาเฉินผิงอัน แต่กลับถูกสวีหย่วนเสียคว้าแขนเอาไว้ เอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “พวกเราคุยเรื่องของพวกเราต่อไป เรื่องของทางฝั่งนั้นเราเข้าไปมีส่วนด้วยไม่ได้เด็ดขาด ทางที่ดีที่สุดพวกเราอย่ามองในสิ่งที่ไม่ควรมอง อย่าฟังในสิ่งที่ไม่ควรฟัง”
จากนั้นชายฉกรรจ์เคราดกก็เห็นว่าปัญญาชนชุดเขียวหันมองมาทางพวกเขา คลี่ยิ้มบางๆ พยักหน้าเป็นการทักทาย
สวีหย่วนเสียรีบกุมมือคารวะกลับ
ฉีจิ้งชุนถามยิ้มๆ “ท่านผู้อาวุโสใช่เจ้าหอหลิวหลีแห่งนครจักรพรรดิขาวหรือไม่?”
หลิ่วชื่อเฉิงพยักหน้า ตอบอย่างคลุมเครือ “ทำไม เคยได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของข้ามาก่อนรึ? เป็นเพราะว่าชื่อเสียงฉาวโฉ่ของข้าดังกระฉ่อนเกินไปจนคนในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ยินกันทั่วทุกหัวมุมถนนแล้ว?”
ฉีจิ้งชุนส่ายหน้า “ข้าเคยเดินทางผ่านแม่น้ำหวงเหอ เคยได้พบกับเจ้านครจักรพรรดิขาวที่ริมแม่น้ำหนึ่งครั้ง เลยได้พูดคุยเรื่องของท่านผู้อาวุโส”
จู่ๆ หลิวชื่อเฉิงก็แผดเสียงผรุสวาท “พูดเหมือนผายลม! ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าจะออกจากเมืองมาพบคนอื่นได้อย่างไร?! ด้วยนิสัยของเขา ต่อให้เป็นพวกตาแก่ที่มีรูปปั้นอยู่ในศาลเจ้าบุ๋นซึ่งคนมากมายเลื่อมใสมาเยือนถึงที่ ศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่เคยเป็นฝ่ายออกจากเมืองมาต้อนรับแขกด้วยตัวเองเลยสักครั้ง อย่างมากก็แค่โผล่หน้าออกมาระหว่างชั้นเมฆหลากสีเท่านั้น และนั่นก็ถือว่าเห็นแก่หน้าของคนลัทธิขงจื๊ออย่างพวกเจ้ามากแล้ว แต่นี่พวกเจ้าสองคนยังเคยพบหน้ากันที่ริมแม่น้ำ? เจ้าเด็กน้อย จะคุยโวโอ้อวดก็ควรให้มีขอบเขตบ้าง!”
ฉีจิ้งชุนได้ยินเข้าก็หลุดหัวเราะ “ท่านเจ้าเมืองยังเคยเชื้อเชิญให้ข้าเล่นหมากล้อมด้วยสามตา เพียงแต่ว่าตอนนั้นข้ามีธุระสำคัญ จำเป็นต้องเดินทางกลับสถานศึกษาในทันที จึงขอติดเอาไว้ก่อน คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นเป็นต้นมา ข้าก็ไม่มีโอกาสได้ย้อนกลับไปยังนครจักรพรรดิขาวอีก น่าจนใจจริงๆ”
หลิ่วชื่อเฉิงยกมือสองข้างขยี้ซีกแก้มอย่างแรง ไฟโทสะสุมแน่นอยู่ในอก แม้ว่าเขาจะแตกหักกับศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองไปแล้ว ไม่เหลือความสัมพันธ์ควันธูปต่อกันแม้แต่น้อย ทว่าส่วนลึกในใจเขากลับเคารพเลื่อมใสในตัวเจ้านครจักรพรรดิขาวผู้นั้นมาโดยตลอด เป็นความชื่นชมและเลื่อมใสบูชาจากใจจริง ดังนั้นเขาจึงสองจิตสองใจว่าควรจะตบให้จิตวิญญาณเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่ในโลกของไอ้หมอนี่แหลกสลายไปด้วยฝ่ามือเดียวดีหรือไม่
ในเมื่อเจ้าหอหลิวหลีที่อยู่ตรงหน้าไม่เต็มใจจะเชื่อ ฉีจิ้งชุนก็ไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความอีก
สำหรับปีศาจใหญ่แห่งนครจักรพรรดิขาวที่กลับคืนมายังโลกมนุษย์อีกครั้งผู้นี้ อันที่จริงฉีจิ้งชุนไม่ได้มีความรู้สึกที่ย่ำแย่ต่อเขาสักเท่าไหร่ จิตสังหารที่เกิดขึ้นครั้งแรกของคนผู้นี้ก็คือตอนที่มือกระบี่แคว้นซูสุ่ยคิดจะสังหารปีศาจจิ้งจอกน้อยโดยไม่แบ่งแยกดีชั่ว อันที่จริงในกลุ่มบัณฑิตที่เอ่ยคุณธรรมและเมตตาธรรมได้เต็มปาก วิญญูชนจอมปลอมที่แสร้งวางท่าว่ามีคุณธรรมหรือแม้แต่คนในวิถีมารก็ล้วนไม่ขาดบุคคลที่โดดเด่นมีความสามารถ ปีนั้นฉีจิ้งชุนติดตามศิษย์พี่จั่วท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ อยู่นานหลายปี จึงมีความรู้และประสบการณ์มานานมากแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่มีทางตัดสินว่าใครดำใครขาว
แล้วนับประสาอะไรกับที่คดีความหลิวหลีที่แตกสลายเมื่อหนึ่งพันปีก่อน เดิมทีฉีจิ้งชุนก็มีความมั่นใจในตัวของปีศาจใหญ่ตรงหน้าผู้นี้อยู่แล้ว
ฉีจิ้งชุนตบไหล่เฉินผิงอัน พูดกับหลิ่วชื่อเฉิงด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่เฉินผิงอันจะกราบไหว้เจ้าเป็นอาจารย์ ย่อมไม่ได้แน่นอน แต่เรื่องฝึกกระบี่ หากผู้อาวุโสเต็มใจสอน เฉินผิงอันก็เต็มใจเรียน ส่วนข้าฉีจิ้งชุนก็ยินดีที่จะให้เป็นเช่นนั้น”
หลิ่วชื่อเฉิงยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาส่ายเบาๆ “ตอนนี้เจ้าอยู่ในสภาพแบบไหน ทั้งเจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ เจ้าก็เป็นแค่ลมวสันต์ไม่กี่กลุ่มที่รวมตัวกันได้เพราะเศษเสี้ยวจิตวิญญาณเล็กน้อยเท่านั้น ต่อให้ตอนยังมีชีวิตอยู่เจ้าจะเป็นอริยะลัทธิขงจื๊อห้าขอบเขตบน แต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน เจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะมาต่อรองกับข้างั้นหรือ?”
ฉีจิ้งชุนมองปีศาจใหญ่ที่สวมชุดนักพรตเต๋าสีชมพู แค่มองไปก็เห็นปราณสังหารที่ท่วมท้นของหลิ่วชื่อเฉิง เห็นท่าทางคันไม้คันมืออยากลงมือเต็มแก่ของเขา
เดิมทีจิตใจของคนเผ่าปีศาจก็สั่นคลอนง่ายอยู่แล้ว การเลือกส่วนใหญ่ของพวกเขามักจะเอนเอียงไปทางนิสัยดุร้ายฉุนเฉียวที่มีมาตั้งแต่กำเนิดมากกว่า นี่จึงเป็นเหตุให้มีโศกนาฎกรรมมากมายเกิดขึ้นในโลกมนุษย์
การที่ใต้หล้าไพศาลมีวิธีสยบกำราบและพันธนาการปีศาจใหญ่ในโลกมากมาย ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไร้เหตุผล เคยมีคนให้ข้อเสนอแนะว่า ‘ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับข้า ย่อมมีใจคิดไม่ซื่อ’ รวมไปถึงมีคำเอ่ยที่ว่า ‘ภูตผีปีศาจ เกิดมาก็ต้องเอาชีวิตรอดไปวันๆ ชอบช่วงชิงพลังชีวิตของหมื่นสรรพสิ่ง มีเพียงได้รับการอบรมสั่งสอนจากมนุษย์ จึงยินดีที่จะเปลี่ยนตัวเองให้มีคุณธรรม รู้จักความเอื้ออาทร’ ถ้อยคำแสดงความคิดเห็นเหล่านี้มีไว้สำหรับเผ่าพันธ์ที่อยู่นอกเหนือจากเผ่ามนุษย์ ฟังแล้วระคายหูอย่างมาก และในความเป็นจริงแล้ว ช่วงเวลาระหว่างที่หลี่เซิ่งนั่งบัญชาการณ์ใต้หล้า มีอริยะของสถานศึกษาคอยเสนอแนะอยู่ไม่ขาดว่าให้ล้อมจับปีศาจใหญ่ที่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนทั้งหมดไปขังไว้ในคุก เพื่อกำจัดภัยร้ายที่อาจตามมาในภายหลังให้สิ้นซาก เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วหลี่เซิ่งไม่ได้รับข้อเสนอก็เท่านั้น
ฉีจิ้งชุนทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังเล็กน้อย
สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว หลักการของปีศาจบนโลกนี้ก็ล้วนอยู่ที่คำว่า ‘มีชีวิต’ ทั้งสิ้น คือการแสวงหาไขว่คว้าวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีชีวิตอยู่เพื่อได้เป็นผู้แข็งแกร่ง ไร้พันธนาการ ไร้ขื่อไร้แปอย่างไม่ย่อท้อ
ทว่าหลักการของใต้หล้าไพศาลกลับอยู่ที่สองคำว่า ‘กฎเกณฑ์’ เมื่ออยู่ในกฎเกณฑ์ อาณาประชาราษฎร์ก็จะร่มเย็นเป็นสุข
ฉีจิ้งชุนยื่นมือข้างหนึ่งออกมา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากเจ้าไม่คิดจะพูดจากันด้วยเหตุผล แต่คิดจะใช้กำลังเอาชนะคนอื่น ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องยืมใช้กระบี่มาสะบั้นตบะของเจ้าไปครึ่งหนึ่ง”
กระบี่เล่มยาวที่ถูกเฉินผิงอันตั้งชื่อว่า ‘ปราบมาร’ ซึ่งอยู่ในกล่องกระบี่ไม้ไหวด้านหลังส่งเสียงร้องอย่างเริงร่าประหนึ่งผืนดินที่แห้งแล้งมานานได้ลิ้มรสฝนหวานฉ่ำ ก่อนจะค่อยๆ ออกจากฝักทีละชุ่น แผ่พลังอำนาจสะท้านฟ้า!
ชุดนักพรตเต๋าสีชมพูของหลิ่วชื่อเฉิงสะบัดโป่งพอง ในดวงตาเต็มไปด้วยความดุร้าย ปราณปีศาจท่วมท้นตลอดทั่วทั้งร่าง เอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าคนแซ่ฉี เจ้าแน่ใจว่าจะมีโอกาสคว้าอาวุธเทพที่ใช้ต่อกรกับเผ่าปีศาจโดยเฉพาะเล่มนั้นหรือ? ต่อให้ข้าต่อยดวงวิญญาณของเจ้าให้แหลกเละไม่ได้ แต่เจ้าไม่กลัวหรือว่าข้าจะต่อยให้เฉินผิงอันกลายเป็นเนื้อบดด้วยหมัดเดียว?”
ฉีจิ้งชุนสีหน้าปกติคล้ายกำลังอธิบายเหตุผลที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินมากที่สุด “ขอแค่ข้าฉีจิ้งชุนยังอยู่บนโลกอีกหนึ่งเค่อ ก็ไม่มีใครสามารถรังแกศิษย์น้องเล็กของข้าได้แม้แต่ปลายนิ้วก้อย”
หลิวชื่อเฉิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ข้าก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี!”
ม่านตาดำของหลิ่วชื่อเฉิงหดรัดตัวอย่างรุนแรง
ร่างทั้งร่างของเขาถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางลูกแสงสีทองอ่อนจาง
แต่ลูกแสงเหนือศีรษะขึ้นไปกลับมีช่องโหว่ขนาดเล็กปรากฏขึ้นมา สภาพเหมือนกับตอนที่ถ้ำสวรรค์หวงเหอถูกกระบี่ของคนผู้หนึ่งฟาดฟันให้เกิดช่องโหว่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน เมื่อค่ายกลแสงทองผสานพลังต้นกำเนิดของนครจักรพรรดิขาวที่ปกป้องหลิ่วชื่อเฉิงเอาไว้มีรูโหว่ปรากฏขึ้น ในสายตาของหลิ่วชื่อเฉิงก็เห็นเป็นจุดสีดำขนาดเล็กเท่าเมล็ดงาก่อน จากนั้นถึงกลายเป็นเส้นสีดำเล็กๆ สุดท้ายก็ถึงเป็นกระบี่ที่ฟันฟั่บ ผ่าค่ายกลใหญ่แสงทองให้แยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
ปลายกระบี่ชี้มาที่หว่างคิ้วของหลิ่วชื่อเฉิง อยู่ห่างไม่ถึงหนึ่งชุ่น
หลิ่วชื่อเฉิงยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน
ไม่ใช่ว่าพอเสียโอกาสในการลงมือก่อนไปแล้ว เขาจะไม่มีกำลังเหลือให้ต้านทาน ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เพราะแต่ไรมานครจักรพรรดิขาวก็มีชื่อเสียงด้านมรรคกถาที่ซับซ้อนและวิชาอภินิหารมากมายหลากหลาย ลำพังเพียงแค่เสื้อคลุมอาคมบนร่างที่เทียบเคียงได้กับอาวุธเซียนครึ่งตัวชิ้นนี้ก็ทำให้เขาที่ยืนนิ่งๆ สามารถต้านทานกระบี่นั้นเอาไว้ได้แล้ว
แต่กระบี่ยาวที่ปัญญาชนสวมชุดเขียวถือไว้ด้วยมือข้างเดียวไม่ใช่กระบี่เล่มที่หร่วนฉงเป็นคนหลอม แต่เป็นแค่กระบี่ไม้ไหวธรรมดาเล่มหนึ่ง
ดังนั้นหลิ่วชื่อเฉิงจึงเลือกที่จะถอยหนึ่งก้าวเพื่อยุติความขัดแย้ง
เพราะเดิมทีเจ้าคนที่ชื่อฉีจิ้งชุนผู้นั้นก็ไม่มีท่าทีที่จะบีบบังคับกันจนเกินเหตุอยู่แล้ว
นี่จึงถือว่าต่างฝ่ายต่างถอยกันคนละก้าว
ฉีจิ้งชุนเก็บกระบี่ไม้กลับมาใส่ไว้ในกล่องกระบี่ด้านหลังเฉินผิงอันช้าๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หากกระบี่นี้เป็นฝีมือของอาเหลียง หรือของศิษย์พี่จั่ว เหตุการณ์ย่อมแตกต่างออกไป”
หลิ่วชื่อเฉิงเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ใหญ่ออกจากเมืองมาพบเจ้าจริงๆ รึ? แถมยังเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เจ้าเล่นหมากล้อมด้วยถึงสามตา?”
ฉีจิ้งชุนพยักหน้ารับ
เพราะความจริงเป็นเช่นนี้ เขาจึงไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจ แล้วก็ไม่มีความจำเป็นให้ต้องปิดบัง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ฉีจิ้งชุนไม่เคยเก็บประสบการณ์เหล่านี้กลับมาใส่ใจมาก่อน
นี่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างราวฟ้ากับเหวในด้านนิสัยใจคอระหว่างเขากับเด็กหนุ่มชุยฉานที่ถึงทุกวันนี้ก็ยังภาคภูมิใจในตัวเองที่เคยได้เล่นหมากล้อมสิบตากับเจ้านครจักรพรรดิขาวท่ามกลางชั้นเมฆหลากสี
หลิ่วชื่อเฉิงถอนหายใจหนึ่งทีด้วยสีหน้าเลื่อนลอย
ราวกับว่าในใจมีแก้วหลิวหลีอยู่ใบหนึ่ง แล้วตอนนี้มันระเบิดแตกกระจาย ทั้งผิดหวัง แต่ก็คล้ายว่าได้ปล่อยวางเสียที
สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าในใจจะเคียดแค้นศิษย์พี่ใหญ่ที่ไร้น้ำใจบนมหามรรคาแค่ไหน แต่บุรุษที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวใครผู้นั้นก็เป็นบุคคลที่ไร้ศัตรูใดจะทัดทานมาโดยตลอด คือบุคคลผู้สง่างามสูงส่งดุจแก้วหลากสีไร้มลทิน ไม่ควรจะต้องแหกกฎของตัวเองเพื่อใคร
หลิ่วชื่อเฉิงหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย “ในเมื่อไม่อาจเป็นอาจารย์ของเฉินผิงอันได้ ข้าก็คงไม่สอนวิชากระบี่ให้เขาแล้ว มรรคกถาของข้าไม่ได้ราคาถูกด้อยค่าขนาดนั้น คนแซ่ฉี ในเมื่อเจ้ามีความสามารถมากขนาดนี้ก็ถ่ายทอดวิชาให้เขาเองเถอะ”
คล้ายต้องการจะประชด เขาจึงหมุนตัวก้าวยาวๆ ไปทางประตูใหญ่ของวัด
จู่ๆ ฉีจิ้งชุนก็เอ่ยขึ้นว่า “โปรดรอก่อน ข้ามีคำพูดหนึ่งจะมอบให้”
หลิ่วชื่อเฉิงหมุนตัวกลับมาด้วยความสงสัย
แล้วทันใดนั้นในทะเลสาบหัวใจของเขาก็มีริ้วคลื่นหลากสีลักษณะประหลาดกะเพื่อมไหวเบาๆ
หลังจากนั้นบนใบหน้าของหลิ่วชื่อเฉิงก็เผยความตะลึงพรึงเพริดและปิติยินดีเจียนคลั่ง หลังจากคิดสะระตะวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่งก็ถามเบาๆ ว่า “ดีนักนะฉีจิ้งชุน เจ้าที่เป็นถึงบุคคลระดับนี้ ไม่ว่าอยู่ในใต้หล้าแห่งใดก็ล้วนถือเป็นเซียนบนยอดเขาที่ร้ายกาจ เหตุใดถึงตกต่ำอยู่ในสภาพนี้ได้?”
ฉีจิ้งชุนถามกลับยิ้มๆ “ทำไมถึงเรียกว่าตกต่ำเล่า?”
หลิ่วชื่อเฉิงอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวด้วยความเลื่อมใสจากใจจริง “ข้าละอายใจที่สู้ไม่ได้ ครั้งนี้ถือว่าข้าติดหนี้เฉินผิงอันหนึ่งครั้ง วันหน้ารอจนข้ากลับไปมีชื่อเสียงอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางใหม่อีกครั้ง ก็ให้เฉินผิงอันไปหาข้าที่นครจักรพรรดิขาวได้เลย”
ก่อนหน้าที่จะไปจากวัดโบราณ หลิ่วชื่อเฉิงโบกชายแขนเสื้อแรงๆ หนึ่งครั้ง คว้าปีศาจจิ้งจอกอายุน้อยที่หลบอยู่ในมุมมืดมา พามันออกไปจากวัดโบราณด้วยกัน
ก่อนหน้านี้จิ้งจอกน้อยได้เปลี่ยนมาสวมชุดใหม่แล้ว นางทาผงประทินโฉมเข้มข้นบนแก้มสองข้าง ข้างหนึ่งสีเขียว ข้างหนึ่งสีแดง มองดูแล้วน่าขันอย่างถึงที่สุด นางคงเข้าใจผิดคิดว่านี่ก็คือคนงามผงสีชาด (แปลตรงตัวจากคำว่า红粉佳人 ผงสีชาดคือผงที่ผู้หญิงสมัยโบราณใช้ประทินโฉมให้งดงาม ซึ่งหากแปลอีกอย่างหนึ่งคำนี้จะหมายถึงผู้หญิงที่งดงามมาก) กระมัง?
ในอ้อมอกของนางโอบหนังสือที่รักที่สุดซึ่งเก็บรักษาติดตัวเป็นอย่างดีมานานหลายปีไว้เล่มหนึ่ง เป็นหนังสือที่จัดพิมพ์อย่างหยาบๆ คำผิดมีมากมาย มีชื่อว่า ‘บุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญ’ เล่าเรื่องราวความรักระหว่างชายหญิง ช่วงต้นมีการเขียนถึงมารยาทอันเพียบพร้อมของกุลสตรี ยกตัวอย่างเช่นเวลาพูดกับคนอื่น น้ำเสียงต้องนุ่มนวลอ่อนหวาน เมื่อได้พบเจอกับบัณฑิตหล่อเหลาเป็นครั้งแรกต้องก้มหน้าลงอย่างเขินอายก่อน จากนั้นถึงค่อยเงยหน้าขึ้นแอบมองเขาอย่างขลาดเขิน แล้วก็ก้มหน้าลงต่ำด้วยใบหน้าที่แดงก่ำอีกครั้ง ในหนังสือเล่มนี้มีความรู้มากมาย ทำให้นางได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย บางตอนเป็นเรื่องเล่าที่มีฉากจบเศร้า นางก็ยังหลั่งน้ำตาทุกครั้งที่อ่าน
หลิ่วชื่อเฉิงบังคับพาตัวนางไป เดิมทีนางตกใจมาก แต่พอนางเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ยืนอยู่นอกวัดโบราณ ในมือของเขาถือกิ่งหลิว กลางหว่างคิ้วมีปานแดงหนึ่งจุด นางกลับลิงโลดขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกว่าสวรรค์ดีกับนางไม่น้อย บุรุษถูกใจที่ทำให้นางหลงรักตั้งแต่แรกเห็นนี้ก็คือของขวัญที่สวรรค์มอบให้นาง
หลิ่วชื่อเฉิงพาลูกศิษย์และปีศาจจิ้งจอกเดินลงเขาจากไปไกล ไม่รู้ว่าไปที่ไหน
ฉีจิ้งชุนกวาดตามองไปรอบด้านแล้วก็พาเฉินผิงอันเดินออกจากวัดโบราณเช่นกัน พวกเขาไปยืนอยู่ตรงพื้นที่โล่งว่างนอกประตู อาศัยแสงจันทร์ทอดสายตามองภาพบรรยากาศยามค่ำคืนของขุนเขาที่อยู่ห่างไกลไปด้วยกัน
ฉีจิ้งชุนเอ่ยเบาๆ “คนเรามีสามจิตเจ็ดวิญญาณ สามจิตแบ่งออกเป็นไถกวาง ซ่วงหลิง โยวจิง (สามจิตคือส่วนที่เป็นจิตใจของร่างกาย ไถกวางควบคุมชะตาชีวิต ซ่วงหลิงควบคุมสติปัญญา โยวจิงควบคุมการสืบทอดนิสัยอารมณ์ทางกรรมพันธุ์) เมื่อข้าตายไปก็ได้แบ่งจิตวิญญาณและโชคชะตาของทั้งร่างคืนให้กับฟ้าดินเป็นส่วนใหญ่ เด็กๆ ที่เป็นลูกศิษย์อย่างพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหว ฯลฯ ต่างก็ได้อักษรคำว่าฉีไปคนละหนึ่งตัว ส่วนบนร่างของเจ้า จ้าวเหยาและซ่งจี๋ซินสามคน ข้าก็ใช้สามจิตที่หลงเหลืออยู่แอบทิ้งลมวสันต์ไว้หนึ่งกลุ่ม ตัวตนของข้าในเวลานี้ อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นฉีจิ้งชุนที่สมบูรณ์แบบ ได้แค่ถือว่าเป็นผู้ปกป้องมรรคาที่คุ้มครองให้พวกเจ้าเดินไปบนเส้นทางในช่วงระยะทางหนึ่ง เส้นทางที่ซ่งจี๋ซินเลือก ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลจากระบบดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อมากขึ้นทุกที เรื่องราวบนโลกก็เป็นเช่นนี้ ต่างคนต่างก็มีวาสนาเป็นของตัวเอง ไม่สามารถบังคับควบคุมได้”
“ตอนนั้นจ้าวเหยาถูกชุยฉานขัดขวาง ในสถานการณ์ที่ถูกบีบบังคับจึงจำเป็นต้องมอบตราประทับ ‘ใต้หล้ารับวสันต์’ ไปให้อีกฝ่าย เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ข้าคาดการณ์ไว้ได้ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงบอกกับจ้าวเหยาไว้ล่วงหน้าแล้ว บอกเขาว่าไม่จำเป็นต้องยึดติดกับการดำรงอยู่ของตราประทับชิ้นหนึ่ง ทว่าหลังจากนั้น ระหว่างที่จ้าวเหยาเดินทางไปยังทวีปอื่นก็ได้รับโชควาสนาอย่างอื่น แต่สภาพจิตใจของเขาก็ยังมีช่องโหว่ปรากฏขึ้น วันหน้าไม่แน่ว่าอาจต้องให้เจ้าที่เป็นอาจารย์อาน้อยในนามช่วยเขาสักครั้ง”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด
ฉีจิ้งชุนจึงเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าจะบอกว่าไม่ได้ตอบรับอาจารย์ของข้า จึงไม่อาจถือว่าเป็นศิษย์น้องเล็กของข้าได้? ไม่เป็นไร เจ้าไม่รับซิ่วไฉเฒ่าเป็นอาจารย์ แต่ข้าก็ยังรับเจ้าเป็นศิษย์น้องเล็ก”
เฉินผิงอันเกาหัว พยักหน้ารับ “ตกลง!”
ฉีจิ้งชุนตบไหล่เฉินผิงอัน “ตลอดทางที่เดินมานี้ เหนื่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “วิเศษมากเลยล่ะ นอกจากฝึกหมัดแล้ว ยังได้พบเห็นภูเขาและแม่น้ำ ได้รู้จักเพื่อนใหม่อย่างจอมยุทธ์สวีและจางซานเฟิง อีกทั้งยังได้เห็นภูตผีปีศาจแปลกประหลาดมากมาย ไม่เหนื่อย”
ราวกับกลัวว่าอาจารย์ฉีจะไม่เชื่อ เฉินผิงอันจึงคลี่ยิ้ม “ไม่เหนื่อยจริงๆ นะ!”
ฉีจิ้งชุนอืมรับหนึ่งที
เขารู้ดีว่า นี่เป็นแค่ความรู้สึกว่าไม่เหนื่อยของเด็กหนุ่มเท่านั้น ตลอดทางที่มีแต่อุปสรรค หนทางเป็นหลุมเป็นบ่อไม่ราบรื่นนี้ จะไม่เหนื่อยเลยได้อย่างไร? การฝึกวิชาหมัดที่น่าเบื่อหน่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน สิ่งที่แบกอยู่บนไหล่บางๆ นั้นมีแต่ความคาดหวังของคนอื่นและความยากลำบากจากวิถีของโลก และยิ่งต้องคอยป้องกันความอันตรายและชั่วร้ายจากใจคนตลอดเวลา เรื่องราวและคนที่พบเจอมีแต่ความแปลกประหลาดน่าพิศวง ไม่เหนื่อยสิแปลก
ก็แค่เด็กหนุ่มแบกภาระหนักอึ้งไว้บนบ่า แต่ไม่อยากให้คนอื่นต้องเป็นกังวลก็เท่านั้น
พอรู้ว่าอาจารย์ฉีไม่ได้รู้ไปหมดทุกเรื่อง เฉินผิงอันจึงเล่าเรื่องที่เขาได้พบเจอมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปลาตะเพียนข้ามภูเขาที่มหัศจรรย์ ตรอกเมฆาคล้อยน้ำไหลของโรงเตี๊ยมในแคว้นหวงถิง เล่าเรื่องความเคารพเลื่อมใสที่เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจื่อมีต่ออาจารย์ฉี และยังเล่าความร้ายกาจของตราประทับภูเขาและแม่น้ำคู่นั้น เล่าเรื่องเว่ยป้อที่ย้ายจากภูเขาฉีตุนมาอยู่ภูเขาพีอวิ๋นที่บ้านเกิด พูดถึงผีสาวสวมชุดเจ้าสาว ผีงามโครงกระดูกที่มีนิสัยแตกต่างกัน แน่นอนว่าเรื่องที่เฉินผิงอันพูดมากที่สุดยังคงเป็นเรื่องของบุรุษสวมงอบคนนั้น บอกว่าตอนที่ชายผู้นั้นพูดถึงอาจารย์ฉี จะต้องคลี่ยิ้มสดใสจนหน้าทั้งหน้ามารวมเป็นก้อนเดียวกัน ทว่าในช่วงเวลาเช่นนั้นกลับคล้ายจะเป็นช่วงเวลาที่อาเหลียงเสียใจมากที่สุด สุดท้ายเฉินผิงอันหัวเราะเล่าเรื่องที่อาเหลียงถูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋าต่อยกลับมาในโลกมนุษย์ด้วยหมัดเดียว แต่พอได้พบหน้ากันอีกครั้ง อาเหลียงบอกกับตนว่า ไม่ต้องรีบร้อนฝึกกระบี่ เพราะเมื่อฝึกหมัดจนถึงขีดสุดก็ถือว่าได้ฝึกวิชากระบี่แล้ว ดังนั้นเขาเฉินผิงอันจึงไม่ร้อนใจสักเท่าไหร่…
ฉีจิ้งชุนยืนเคียงบ่ากับเด็กหนุ่มที่พูดจ้อไม่หยุด เขาถามยิ้มๆ ว่า “คิดถึงอาเหลียงมากเลยใช่ไหม?”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองม่านฟ้า พึมพำเบาๆ “สักวันอาเหลียงต้องกลับมา”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองอาจารย์ฉี “ใช่ไหม?”
ฉีจิ้งฉุนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เฉินผิงอันถามอีก “แล้วอาจารย์ฉีล่ะ?”
ฉีจิ้งชุนถอนหายใจ ส่ายหน้า “ส่งท่านพันหมื่นลี้ สุดท้ายต้องมีวันบอกลา ชีวิตนี้ของข้าฉีจิ้งชุนคงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว”
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองปลายเท้าของตัวเองเงียบๆ
คำตอบนี้ก็เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในร้านตระกูลหยาง ถึงแม้ว่าเฉินผิงอันจะคาดการณ์ได้ แต่พอได้ยินหยางเหล่าโถวพูดกับปากตัวเองว่า ‘ไม่คุ้มค่า’ เขาก็ยังคงเสียใจเหมือนเดิม อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ความเสียใจธรรมดาอีกด้วย
ฉีจิ้งชุนยื่นมือมาวางบนศีรษะของเด็กหนุ่มเบาๆ “เศษซากวิญญาณที่เหลืออยู่ของข้าเหล่านี้ แม้จะบอกว่าในฐานะผู้ปกป้องมรรคาของพวกเจ้าสามคน จึงทำให้สายลมฤดูใบไม้ผลิทั้งหมดมารวมกันอยู่ที่นี่ แต่อันที่จริงแล้วนี่ก็เท่ากับว่าให้เจ้าออกเดินทางท่องเที่ยวในยุทธภพแทนข้าฉีจิ้งชุน ข้าไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายอีกแล้ว”
ฉีจิ้งชุนยิ้มอย่างเข้าใจ “เสียใจได้ แต่ก็ดื่มเหล้าได้เหมือนกัน”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวยื่นส่งให้ฉีจิ้งชุนด้วยดวงตาแดงก่ำ
ฉีจิ้งชุนที่ร่างเริ่มจางลงเรื่อยๆ ยืดแขนบิดขี้เกียจ ส่ายหน้าพูดยิ้มๆ ว่า “ส่วนของข้าขอติดไว้ก่อนก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ดื่มเหล้า เพียงรัดน้ำเต้าไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย
เพราะเขากลัวว่าตัวเองจะดื่มจนกลายเป็นผีขี้เหล้าไปจริงๆ
ฉีจิ้งชุนพลันเอ่ยขึ้นว่า “เฉินผิงอัน สุดท้ายนี้ให้ข้าฝึกหมัดเป็นเพื่อนเจ้าสักครั้งดีไหม?”
เฉินผิงอันตอบรับอย่างหม่นหมอง “เดินนิ่งหกก้าว?”
ฉีจิ้งชุนพยักหน้า
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เดินไปข้างหน้าช้าๆ ออกหมัดอย่างใจเย็น
แสงจันทร์สะอาดบริสุทธิ์ ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อชุดเขียวที่ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันก็เดินหน้าออกหมัดตามเด็กหนุ่มอย่างใจเย็นไม่ต่างกัน
หลังจากฝึกท่าหมัดครบหนึ่งรอบ เฉินผิงอันก็วางเท้าลงเบาๆ แล้วไม่ฝึกต่ออีก
เขาไม่ได้หันหน้าไปมอง เอาแต่จ้องมองไปไกลเบื้องหน้า เวลานี้ชายแขนเสื้อสองข้างของเฉินผิงอันไม่มีลมวสันต์ล้อมวนอีกต่อไปแล้ว
เขารู้ดีว่า
อาจารย์ฉี จากไปจริงๆ แล้ว