Skip to content

Sword of Coming 263

บทที่ 263 เรือน้อยลอยล่อง เด็กหนุ่มรูปร่างสะโอดสะอง

กระบี่เล่มหนึ่งพุ่งจากแผ่นดินมายังเกาะกุ้ยฮวาที่ลอยอยู่กลางทะเล แล้วก็มีอีกเล่มหนึ่งไล่ตามหลังมาติดๆ ยังคงแหวกอากาศจากยอดบนสุดของทะเลเมฆเหนือนครมังกรเฒ่ามาถึง

อานุภาพของกระบี่สองเล่มสะท้านฟ้าสะเทือนดินน่าครั่นคร้าม

มหาสมุทรที่อยู่ระหว่างนครมังกรเฒ่าและเกาะกุ้ยฮวาถูกปราณกระบี่ทยอยกันแหวกออกเป็นร่องลึกสองเส้น

ในขณะเดียวกันกับที่เฉินผิงอันหลับตาทำความเข้าใจกับปณิธานกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตโอสถทองก็คืนสติ การที่เขาไม่ได้คว้าจับปณิธานกระบี่ที่พุ่งวาบผ่านมาเพื่ออาศัยหินจากภูเขาอื่นมากลึงเป็นหยกให้ตัวเองเหมือนเฉินผิงอันนั้น ไม่ใช่เพราะประสบการณ์ของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าสู้ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่คนหนึ่งไม่ได้ แต่เป็นเพราะผู้เฒ่ารู้ดีว่า หลังจากที่ปณิธานกระบี่ของตนสร้างขึ้นสำเร็จแล้ว จิตวิญญาณและปณิธานที่ซ่อนอยู่ในกระบี่ของเซียนกระบี่ท่านอื่น หากคนนอกที่สังเกตการณ์ดึงเอามาให้ตัวเองส่งเดช กลับยิ่งจะสร้างความขัดแย้งให้กับตัวเอง เป็นเหตุให้ปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์ในร่างของตัวเองเปลี่ยนมาเป็นซับซ้อน

แต่หากปณิธานกระบี่ของทั้งสองฝ่ายใกล้เคียงกันอย่างยิ่ง แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี

รากฐานปณิธานกระบี่ของกระบี่บินเหลียงอินของหม่าจื้อเล่มนั้นคือความเย็นสบายใต้ร่มไม้ เป็นเหตุให้ปราณกระบี่ใกล้ชิดกับอากาศหนาวฤดูใบไม้ผลิ หิมะและน้ำพุเย็นฉ่ำ ฯลฯ ซึ่งแตกต่างไปจาก ‘เพลิงร้อนระอุ อากาศร้อนแผดเผา เตาหลอม’ ฯลฯ ที่เป็นปณิธานของกระบี่สองเล่มซึ่งคล้ายจะดึงการ ‘เข่นฆ่า โจมตี’ มาจากสนามรบอยู่มาก ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าจึงไม่ไล่คว้าเส้นใยเบาะแสเพื่อดึงเอาปณิธานของกระบี่ทั้งสองมาให้ตัวเองใช้ แต่ในทางกลับกันหากเป็นผู้ฝึกกระบี่รุ่นหลังที่เพิ่งเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ปณิธานกระบี่ยังไม่มั่นคง ต่อให้ปณิธานกระบี่ของสองฝ่ายจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็ยังได้รับผลประโยชน์อยู่ดี

เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม ตั้งท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูตามจิตใต้สำนึก

หม่าจื้อเป็นดั่งขิงที่ยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด แน่นอนว่าเขาย่อมไม่รบกวนโชควาสนาเล็กๆ นี้ของเด็กหนุ่ม เขายังถึงขั้นสะบัดชายแขนเสื้อของมือข้างหนึ่ง ไม่เพียงแต่สลายการบดบังของร่มเงาต้นกุ้ยบรรพบุรุษออกบางส่วน ยังช่วยดึงปราณกระบี่เป็นเส้นๆ ที่พุ่งผ่านมาให้ผสานเข้าสู่เรือนเล็กกุยม่าย ทำให้เฉินผิงอันทำความเข้าใจกับปราณกระบี่ได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

ระหว่างที่ทำเช่นนี้ หม่าจื้อยิ่งรู้สึกเคารพเซียนกระบี่ที่อยู่ในนครมังกรเฒ่าผู้นั้นมากขึ้น หนึ่งกระบี่ของเซียนพสุธามีอานุภาพมากจนสามารถโค่นภูเขาพลิกมหาสมุทร หากเอามาใช้ข่มขวัญคนอื่นย่อมไม่ถือว่ามหัศจรรย์อะไร เพราะในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าผู้ฝึกกระบี่เซียนพสุธาห่างชั้นจากห้าขอบเขตบนมากเท่าไหร่ล้วนไม่ได้อยู่ที่อานุภาพซึ่งเห็นจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่จะทดสอบกันที่ระดับการรวมตัวกันของปราณกระบี่ หากปราณกระบี่แยกตัวกระจัดกระจาย จิตวิญญาณปั่นป่วน หนึ่งกระบี่ปล่อยออกไป พลานุภาพยิ่งใหญ่ แต่ปณิธานกระบี่กลับไหลออกไปสี่ทิศ นี่หมายความว่าผู้ฝึกกระบี่ยังควบคุมปณิธานกระบี่ได้ไม่สมบูรณ์แบบมากพอ

และผู้ฝึกกระบี่ที่ลงมือจากนครมังกรเฒ่าอย่างเหี้ยมหาญท่านนั้น ซึ่งต่อให้จะปล่อยกระบี่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลถึงเพียงนี้ แต่การรวมตัวกันของปณิธานกระบี่ก็แทบจะเท่ากับการออกกระบี่ในระยะร้อยจั้งของหม่าจื้อ แล้วจะไม่ทำให้หม่าจื้อตื่นตะลึงได้อย่างไรไหว?

ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบที่ถูกเรียกว่าขอบเขตเซียนพสุธา ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็สามารถฝ่าทะลุคอขวดเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน เนื่องจากพลังสังหารของผู้ฝึกกระบี่สูงมากเกินไป ชั่วชีวิตของห้าขอบเขตกลางก่อนหน้านี้ พวกเขามักจะฉายประกายแหลมคมออกมาตลอด ดังนั้นเมื่อเทียบกับเทพเซียนพสุธาก่อกำเนิดขอบเขตสิบทั่วไปแล้วจึงมักจะ ‘โดดเด่น’ มากกว่า ก็เหมือนเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะที่ก่อนหน้าจะกลายเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบก็ได้ออกจากยุทธภพอย่างสิ้นเชิง เอาแต่เก็บตัวฝ่าด่านเป็นตายอย่างเดียว

ดูท่าผู้ฝึกกระบี่เฒ่าจากนครมังกรเฒ่าผู้นี้ย่อมต้องถูกใครบางคนบนเกาะกุ้ยฮวาทำให้ขุ่นเคืองใจมาก หาไม่แล้วก็คงไม่มีทางเสี่ยงโดนหายนะสวรรค์ออกกระบี่อย่างดุดันเช่นนี้

หม่าจื้อใช้เสียงทางใจถามไปยังน้ากุ้ย “กุ้ยฮูหยิน คือฝีมือของเทพจากฝ่ายไหน? ลงมือกับตระกูลฟ่านเราโดยเฉพาะหรือว่ามีปัญหากับแขกจากต่างถิ่น?”

น้ากุ้ยลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ตอบอย่างคลุมเครือว่า “น่าจะเป็นยอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่งจากนครมังกรเฒ่า เกิดความขัดแย้งกับลูกหลานสกุลเจียงสำนักกุยหยกใบถงทวีป ตระกูลฟ่านและเกาะกุ้ยฮวาของเราไม่ต้องสนใจ แค่ยืนอยู่ตรงกลางก็พอ”

หม่าจื้อทอดถอนใจ “ในเมื่อเป็นเทพเซียนบนภูเขาสองกลุ่มตีกัน พวกเราแค่ชมเรื่องสนุกอย่างเดียวนั่นแหละดีแล้ว”

น้ากุ้ยยิ้มบางๆ “ตามหลักแล้วก็ควรเป็นเช่นนี้”

จู่ๆ หม่าจื้อก็อุทานตกใจ “สกุลเจียงสำนักกุยหยก? ใช่สกุลเจียงที่ในมือได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาหรือไม่?”

ทว่าน้ากุ้ยกลับปิดประตูหัวใจ ตัดขาดการส่งเสียงผ่านทางใจไปนานแล้ว ไม่สนใจการสอบถามจากผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอีก

หม่าจื้อเองก็ไม่ถือสา คิดแค่ว่ากุ้ยฮูหยินที่มีสถานะพิเศษกังวลว่าเกาะกุ้ยฮวาจะติดร่างแหได้รับความเดือดร้อนไปด้วย นางจึงต้องแบ่งสมาธิไปรับมือ

หม่าจื้อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังยืนนิ่งจึงถือโอกาสเก็บกระบี่บินเหลียงอินมา นั่งลงข้างโต๊ะหิน ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลในโลกนับรวมกันได้สิบถ้ำสวรรค์ขนาดใหญ่ สามสิบหกถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก เจ็ดสิบสองพื้นที่มงคล กระจายอยู่ทั่วทุกใต้หล้า แบ่งออกเป็นสามหกเก้าระดับ ระดับขั้นมีแบ่งแยกสูงต่ำ พื้นที่มงคลชิงถานที่สำนักโองการเทพของแจกันสมบัติทวีปเป็นผู้ครอบครองมีระดับขั้นต่ำมาก ส่วนพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่สกุลเจียงใบถงทวีปครอบครองกลับไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด

หลังจากที่เฉินผิงอันลืมตาขึ้น ผู้เฒ่าก็ถามยิ้มๆ ว่า “เป็นอย่างไร?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบกลับ “รู้แค่ว่ากระบี่นี้ร้ายกาจมาก แต่ร้ายกาจขนาดไหนกลับบอกไม่ถูก ใคร่ครวญอยู่เป็นนานก็ได้แค่คว้าจับเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ที่พร่าเลือนเท่านั้น น่าเสียดายยิ่งนัก หากกระบี่นี้ช้ากว่านี้อีกสักหน่อยก็คงจะดี”

หม่าจื้อเอ่ยสัพยอก “เซียนกระบี่พสุธาก่อกำเนิดคนหนึ่งจะออกกระบี่เร็วหรือช้ายังต้องบอกให้เจ้าเฉินผิงอันรู้ล่วงหน้าด้วยหรือ?”

เฉินผิงอันเกาหัว “ข้าจะกล้าคิดแบบนั้นได้ยังไง”

จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามด้วยความกังวลใจว่า “หรือว่ามีผู้ฝึกกระบี่คิดร้ายต่อเกาะกุ้ยฮวา?”

หม่าจื้อโบกมือ สีหน้าผ่อนคลาย อธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ใช่ แค่ทะเลาะกับแขกบางคนจากใบถงทวีปที่อยู่บนเกาะของเราเท่านั้น จึงปล่อยสองกระบี่มาสำแดงบารมี กระบี่ที่ปล่อยมาทั้งสองครั้งนั้นพิถีพิถันอย่างมาก ไม่สร้างความเสียหายให้กับรากฐานของเกาะกุ้ยฮวาเลยแม้แต่นิดเดียว อันที่จริงนี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงไมตรีจิตที่มีต่อเกาะกุ้ยฮวาอย่างไม่ต้องสงสัย หาไม่แล้วสถานที่ที่เซียนพสุธาประมือกัน เว้นเสียจากว่าเป็นสถานที่รกร้างไร้ผู้คน หากพวกเขายั้งมือกันไม่ทัน ถึงอย่างไรก็ต้องมีลมปราณกระจัดกระจายมาสร้างความเสียหายบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องที่ปกติมาก”

หม่าจื้อพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเบาสบาย แต่ความคิดของเขากลับลึกล้ำยิ่งกว่านั้น

เซียนกระบี่พสุธาไม่ทราบชื่อท่านนี้ หากไม่เป็นคนที่พิถีพิถันในเรื่องของกฎเกณฑ์ ก็ต้องเป็นคนที่เคยมีความสัมพันธ์กับนครมังกรเฒ่า และความเป็นไปได้ข้อหลังก็มีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ทว่าจุดอื่นบนเกาะกุ้ยฮวากลับไม่มีบรรยากาศที่ปรองดองและกลมเกลียวอย่างในเรือนเล็กกุยม่ายแล้ว

สีหน้าของเจียงเป่ยไห่มืดครึ้มจนแทบจะหลั่งน้ำฝนออกมาได้

ผู้เฒ่าข้ารับใช้ขอบเขตสิบก่อกำเนิดของตระกูลนอนจมอยู่ในกองเลือด เสื้อคลุมอาคม ‘ป่าไผ่หมึก’ ที่มีมูลค่ามากควรเมืองชิ้นนั้นเสียหายย่อยยับไปแล้ว ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเกรงว่าคงมากมหาศาล ไม่สู้ซื้อชุดคลุมอาคมชั้นเยี่ยมชิ้นใหม่ยังจะดีกว่า ผู้เฒ่าไม่ได้บาดเจ็บมากนัก เพราะอานุภาพของกระบี่ครั้งที่สองส่วนใหญ่ล้วนถูกชุดคลุมอาคมล้ำค่าที่บรรพบุรุษตระกูลเจียงมอบให้ช่วยต้านทานไว้ เพียงไม่นานเขาก็โซซัดโซเซลุกขึ้นยืนได้ เพียงแต่ว่าสภาพค่อนข้างน่าอนาถ

ผู้เฒ่าร่างผอมสูงจ้องเขม็งไปยังนครมังกรเฒ่าที่อยู่บนพื้นแผ่นดิน พูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าโจรนั่นลอบโจมตีติดๆ กันสองครั้ง รังแกกันมากเกินไปแล้ว!”

“ซูเหล่า นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” เจียงเป่ยไห่ถามเบาๆ ส่วนร่างนั้นไม่กล้าขยุกขยิก เท้าทั้งสองข้างปักตรึงอยู่ที่เดิม ไม่เพียงแต่ลูกหลานสายตรงตระกูลเจียงอย่างเขาเท่านั้น ข้ารับใช้ของตระกูลและลูกศิษย์สายตรงสำนักกุยหยกคนอื่นๆ ก็ทำแบบเดียว นั่นคืออยู่นิ่งไม่ขยับ จะหายใจแรงก็ยังไม่กล้า

ข้ารับใช้เฒ่าเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความจนใจ กล่าวว่า “รู้แค่ว่ากระบี่ทั้งสองครั้งมาจากฝีมือของคนคนเดียวกัน สถานที่ที่ออกกระบี่คือทะเลเมฆเหนือนครมังกรเฒ่าผืนนั้น หรือว่าเป็นบุรพาจารย์ตระกูลฝูบางคน ในมือครอบครองอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง ก็เลยมาสำแดงบารมีใส่พวกเรา?”

เจียงเป่ยไห่หยุดคิดไปชั่วขณะ “แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลฝูไม่ชอบตระกูลติง แต่ความสัมพันธ์ของตระกูลติงกับสำนักใบถงกลับไม่เลว ก่อนหน้านั้นตระกูลติงอาศัยเจ้าหมอนั่นถึงได้ยืนหยัดอยู่ในนครมังกรเฒ่าไม่ล้มลง สำนักกุยหยกของพวกเราและสำนักใบถงก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตมานานนับพันปี ตามหลักแล้ว ศัตรูของศัตรูก็คือมิตรของเรา ต่อให้ครั้งนี้พวกเราเลือกเกาะกุ้ยฮวาตระกูลฟ่านเดินทางไปยังภูเขาห้อยหัว ไม่ได้เลือกปลาวาฬกลืนสมบัติของตระกูลฝู แต่พวกเขาก็ไม่ควรจะเคืองแค้นพวกเราถึงขนาดนี้ ตระกูลฝูไม่โง่ ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้ศักยภาพของสำนักกุยหยก แล้วก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้ฐานะของสกุลเจียงเราในสำนักกุยหยก อีกอย่างความสัมพันธ์ของตระกูลฝูกับตระกูลฟ่านก็ดีมาโดยตลอด…”

สตรีสวมชุดชาววังเอ่ยอย่างระมัดระวัง “จะมีสาเหตุมาจากกุ้ยฮูหยินหรือไม่? บางทีอาจจะเป็นฝีมือของบุรพาจารย์ตระกูลฝูบางคนที่เลื่อมใสในตัวนาง?”

เจียงเป่ยไห่กดเสียงต่ำ หัวเราะอย่างถอนฉุน “พวกเราไม่ได้แย่งชิงกุ้ยฮูหยินอย่างโจ่งแจ้งด้วยซ้ำ? ก็แค่พูดคุยเรื่องการค้ากันอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น หากจะบอกว่าเกาะกุ้ยฮวาคือกิจการของฝูฉี กุ้ยฮูหยินเป็นเมียน้อยของฝูฉี ถ้าอย่างนั้นมรสุมครั้งนี้ยังถือว่าพอจะผ่านไปได้ เกาะกุ้ยฮวาแห่งนี้ ปีนั้นตระกูลฟ่านได้มันมาเพราะอาศัยโชคช่วย ตระกูลฝูจะออกหน้าให้ด้วยเหตุนี้หรือ? คิดว่าสำนักกุยหยกของพวกเรากินหญ้าหรือไง? เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ขอแค่ข้าแต่งเรื่องเพิ่มอีกเล็กน้อย บุรพาจารย์นิสัยเจ้าอารมณ์สองท่านของสำนักกุยหยกเราย่อมต้องบุกมาเอาเรื่องที่นครมังกรเฒ่าแน่นอน?”

สตรีมักจะใช้สมองในเรื่องของความรัก บุรุษมักจะใช้ความคิดในเรื่องของบ้านเมือง

สายตาของผู้เฒ่าร่างผอมสูงเป็นประกายดุดัน เขาใช้เสียงในใจบอกเจียงเป่ยไห่ว่า “นายน้อย การเดินทางไปภูเขาห้อยหัวของพวกเราในครั้งนี้จะบอกให้ทางสำนักรู้ไม่ได้!”

เจียงเป่ยไห่พยักหน้ารับและยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ “ซูเหล่า ข้ารู้หนักเบา รู้ว่าอะไรคือผลประโยชน์ อะไรคือการเสียผลประโยชน์”

ผู้เฒ่าสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “ข้าจะไปที่นครมังกรเฒ่าเพื่อพบกับเซียนกระบี่ผู้นั้นด้วยตัวเองเดี๋ยวนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องคลายปมปัญหาเรื่องนี้ให้ได้ก่อน พวกเราถึงจะเดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวได้อย่างสบายใจ ข้าจะพยายามกลับมายังเกาะกุ้ยฮวาให้ได้โดยเร็วที่สุด”

เจียงเป่ยไห่เอ่ยเบาๆ “ซูเหล่าระวังตัวด้วย”

“วางใจเถอะ จะไม่ทำให้เสียชื่อสำนักกุยหยกและสกุลเจียงถ้ำเมฆาเด็ดขาด”

หลังจากทิ้งประโยคนี้ไว้ ผู้เฒ่าก็ทะยานตัวขึ้นสูง ทะยานลมมุ่งหน้าไปยังนครมังกรเฒ่า ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าได้เก็บชุดคลุมอาคม ‘ป่าไผ่หมึก’ ที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นไปเรียบร้อยแล้ว บาดแผลที่โชกไปด้วยเลือดก็ประสานตัวอย่างว่องไวโดยมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นวิธีของเทพเซียนที่ทำให้เนื้องอกขึ้นมาจากกระดูกขาวอย่างแท้จริง ไม่เสียแรงที่เป็นยอดฝีมือก่อกำเนิดซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ในใบถงทวีปมานาน

หลังจากรับสองกระบี่มาจากบนท้องฟ้า บนเกาะกุ้ยฮวา ไม่ว่าจะเป็นคนตระกูลฟ่านหรือแขกผู้โดยสารต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้ ยังดีที่แทบทุกคนล้วนเป็นคนที่เคยขึ้นเหนือล่องใต้มาแทบปรุ เคยเห็นอะไรมามากมายแล้ว อีกทั้งยังเป็นพวกที่มีคุณสมบัติให้ไปเยือนภูเขาห้อยหัวด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะไปทำการค้าหรือไปหาประสบการณ์ก็ล้วนไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นแม้จะตกตะลึง แต่กลับไม่ถึงขั้นหวาดกลัว บวกกับที่เพียงไม่นานทางเกาะกุ้ยฮวาก็ออกหน้ามาปลอบประโลม มรสุมครั้งนี้จึงเงียบสงบลงอย่างรวดเร็ว

จินซู่นำตัวยาที่เอามาจากตีนเขาไปส่งที่เรือนเล็กกุยม่ายแล้วกลับมาอยู่ข้างกายน้ากุ้ยอาจารย์ของตนอย่างรวดเร็ว เห็นสตรีแต่งงานแล้วมีท่าทางผ่อนคลาย กำลังชงชาอย่างอารมณ์ดีแบบที่หาได้ยาก พอเห็นว่าลูกศิษย์กลับมา นางก็ยื่นชาร้อนถ้วยหนึ่งส่งให้จินซู่ จินซู่นั่งลงแล้ว ยังไม่ทันดื่มชาจากฝีมือการชงของอาจารย์ จิตใจของนางก็สงบตามอีกฝ่ายไปเรียบร้อยแล้ว

สตรีแต่งงานแล้วรู้ว่าจินซู่มีข้อสงสัยอยู่เต็มท้อง แต่กลับไม่อยากพูดอะไรมาก เพียงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สำหรับคุณชายใหญ่สุกลเจียงผู้นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือหายนะที่มาเยือนกะทันหัน แต่สำหรับพวกเราสองอาจารย์และศิษย์แล้วกลับเป็นความโชคดีที่หล่นลงมาจากท้องฟ้า จินซู่ เจ้าไม่ต้องถามมาก ออกทะเลในครั้งนี้ หลังกลับมาจากภูเขาห้อยหัวแล้ว ข้าจะพยายามทำให้เจ้าได้พบหน้ากับคนที่ออกกระบี่ผู้นั้นสักครั้งให้จงได้”

น้ากุ้ยหัวเราะเบาๆ “เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ประโยคนี้ไม่ใช่คำพูดเหลวไหล วันหน้าเมื่อเจ้าท่องไปทั่วสารทิศเพียงลำพัง ควรสำรวมให้มากจึงจะดี”

ถ้อยคำล้ำค่าประโยคสุดท้ายจากผู้มีประสบการณ์ จินซู่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจสักเท่าไหร่ นางหันหน้าไปมองทางทิศที่ตั้งของนครมังกรเฒ่าอย่างเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังนานแล้ว

เรือนเล็กกุยม่ายตั้งตัวอยู่อย่างสงบสันโดษ ไม่ช่วงชิงกับใครและไม่จำเป็นต้องสนใจมรสุมบนยอดเขาเหล่านี้

ทุกวันหลังจากนั้นเฉินผิงอันจะต้องฝึกกระบี่กับผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโอสถทอง ฝ่ายหลังจะทำสามเรื่อง หนึ่งคือเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา จำแลงเป็นภาพมายาผสานเข้าสู่ร่างกาย ช่วยเฉินผิงอันหล่อหลอมสามหุน ช่วยปูรากฐานบนเส้นทางสามหุนอย่างไถกวาง ซ่วงหลิงและโยวจิงให้แน่นหนามากขึ้น จากนั้นหม่าจื้อจะกดขอบเขตของตัวเองลง ใช้วิธีของผู้ฝึกกระบี่ควบคุมเหลียงอินให้ประมือกับเฉินผิงอัน สุดท้ายคืออยู่ข้างๆ คอยดูเฉินผิงอันฝึกท่ากระบี่จากตำรา ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ แล้วให้คำชี้แนะเป็นระยะ ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องท่ากระบี่ที่เฉินผิงอันร่ายออกมาให้ถูกต้อง

แต่การฝึกกระบี่ของเฉินผิงอันน่าสนใจมาก เขาไม่ได้ดึงกระบี่สักเล่มออกมาจากกล่องกระบี่ที่สะพายอยู่ข้างหลัง ทุกครั้งจะแค่ทำท่าถือกระบี่ สมมติเอาว่าตัวเองถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียว สำหรับเรื่องนี้หม่าจื้อเคยสอบถาม ผลคือคำตอบที่เฉินผิงอันมอบให้กลับค่อนข้างจะไร้สาระ บอกว่ากระบี่สองเล่มที่สะพายอยู่ด้านหลัง เล่มที่ถูกเขาตั้งชื่อว่า ‘ปราบมาร’ เล่มนั้นเป็นของคนอื่น เอามาใช้ไม่ได้ ส่วนกระบี่ไม้ไหวที่ชื่อว่า ‘กำจัดปีศาจ’ นั้นเคยชักออกจากฝักลงสนามรบหนึ่งครั้ง แต่หลังจบเรื่องเฉินผิงอันค้นพบว่ามันเบาเกินไป เขารู้สึกว่าการเริ่มต้นฝึกกระบี่ของตัวเอง ทางที่ดีที่สุดควรหากระบี่ที่มีน้ำหนักมากพอเช่นพวกกระบี่เหล็ก หาไม่แล้วเอามาถือโล่งๆ อยู่ในมือ เบาบางไม่ต่างจากตอนที่ไม่ถือ คงรู้สึกแปลกพิกล

มีเพียงถือกระบี่หนักไว้ในมือแล้วยังสามารถปล่อยกระบี่ออกไปได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น อนาคตข้างหน้าวันใดวันหนึ่งเมื่อได้เจอกับศัตรูแข็งแกร่งที่แม้แต่กระบี่หนักก็เอาชนะไม่ได้ เขาเฉินผิงอันถึงจะสามารถเปลี่ยนมาใช้กระบี่ไม้ ออกกระบี่ด้วยความเร็วที่มากที่สุดฟาดฟันกับศัตรู

ในฐานะเทพเซียนบนสวรรค์ในสายตาของมนุษย์โลก อันที่จริงหม่าจื้อไม่ได้สนใจในวิชากระบี่ของผู้ฝึกยุทธ์สักเท่าไหร่ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งอะไรกับสิ่งที่มือกระบี่ในยุทธภพอย่างเฉินผิงอันดึงดันไล่ไขว่คว้า ถึงขั้นที่ว่าลึกๆ ในใจยังรู้สึกดูแคลนอยู่เล็กน้อย ขุดหาอาหารในไร่นาหาเลี้ยงชีพจะขุดเจอของวิเศษได้อย่างไร? แต่หากจะให้พูดถึงความตั้งใจศึกษาเล่าเรียนที่เฉินผิงอันมีต่อมหามรรคาของปณิธานกระบี่ เกรงว่าหม่าจื้อก็คงอดพูดถึงไม่ได้ ต่อให้ต้องพูดเป็นน้ำไหลไฟดับให้เฉินผิงอันฟังสามวันสามคืนก็คงไม่ใช่เรื่องยาก

จินซู่แม่นางกุ้ยฮวาจะเอาอาหารทั้งสามมื้อมาส่งตรงตามเวลา สิ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกก็คือเฉินผิงอันไม่ได้คิดได้คืบจะเอาศอก ให้นางต้องทำตัวเป็นสาวใช้ที่คอยยกน้ำชงชา หรือจะต้องให้นางช่วยผลัดเสื้อผ้าเตรียมน้ำอาบจริงๆ หาไม่แล้วนางคงปวดหัวมากเป็นแน่ ต่อให้เป็นเรื่องการเทน้ำทิ้ง ก็ยังเป็นเฉินผิงอันที่ลงมือทำด้วยตัวเอง นี่ทำให้ในที่สุดจินซู่ก็มีความรู้สึกอันดีต่อแขกของสกุลฟ่านที่อายุยังน้อยผู้นี้ขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง

นอกจากนี้ก็คือต้องนำเหล้าหมักกุ้ยฮวามาเติมให้เรือนเล็กกุยม่ายทุกๆ สามวันห้าวัน

ด้วยสถานะของจินซู่ ใช่ว่าจะไม่สามารถยกเหล้าหมักหลายสิบกามาทีเรือนเล็กในรวดเดียว แต่สุดท้ายนางก็ล้มเลิกความคิดที่จะทำงานหนักครั้งเดียวสบายตลอดไปนี้ทิ้ง นี่ก็เพราะนางหวังว่าจะใช้โอกาสที่ได้พบหน้ากันหลายครั้งมามองความตื้นลึกหนาบางของเด็กหนุ่มต่างถิ่นให้ออก ถึงอย่างไรการเดินทางไกลข้ามน้ำข้ามทะเลในครั้งนี้ สำหรับแม่นางกุ้ยฮวาที่คุ้นเคยกับเส้นทางการเดินเรือมานานแล้วอย่างพวกนางก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเบื่อหน่าย สิบทิวทัศน์บนเกาะกุ้ยฮวา ยกตัวอย่างเช่นดวงจันทร์ลอยขึ้นกลางนภาเหนือมหาสมุทร ต้นกุ้ยที่พอจะมองเห็นได้เลือนรางในแสงจันทร์ ภาพลวงตาที่สะท้อนออกมาเป็นพระราชวังโบราณที่ยิ่งใหญ่ เกาะกุ้ยฮวาที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูงปลาบินเหนือมหาสมุทร ฯลฯ เมื่อได้เห็นครั้งแรกเป็นภาพที่งดงามน่าตะลึง ถึงขั้นทำให้คนยอมควักเงินจ้างให้จิตรกรวาดภาพทิวทัศน์ที่งดงามเหล่านี้ให้ แต่พอได้เห็นบ่อยๆ เข้าก็ยากที่จะดึงดูดคนให้เกิดความเพลิดเพลิน เหตุการณ์และบุคคลประหลาดที่เกิดขึ้นบนเกาะกุ้ยฮวาต่างหากที่ทำให้แม่นางกุ้ยฮวาอย่างพวกนางสนใจได้มากกว่า

เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่ายามเหม่า (05.00-07.00) ของทุกวันที่เขาตื่นนอน ฟ้ายังไม่ทันสาง ฝึกเดินนิ่งหกก้าวก่อนประมาณหนึ่งชั่วยาม ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าหม่าจื้อจะปรากฎตัวในช่วงยามเฉิน (07.00-09.00) ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวากาหนึ่งอย่างเนิบช้าสบายอารมณ์ รอจนเฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดธรรมดาไร้ความมหัศจรรย์นั้นเสร็จสิ้น หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือเฉินผิงอันรอให้ผู้เฒ่าดื่มเหล้ากานั้นจนหมด ก็จะเป็นช่วงเวลาที่จินซู่เอาอาหารเช้ามาส่งพอดี ใช้เวลาไปอีกประมาณสองเค่อ ระหว่างนี้หม่าจื้อจะอธิบายถึงสาเหตุของน้ำหนักหนักเบาและปณิธานกระบี่ในการออกกระบี่ของวันนั้น รวมไปถึงเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับผู้ฝึกกระบี่ใต้หล้าคร่าวๆ

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็จะมอบกล่องอาหารคืนให้กับจินซู่ที่รออยู่ตรงหน้าประตู ส่วนใหญ่จะพูดแค่ขอบคุณเท่านั้น หากเรือนเล็กกุยม่ายต้องการสุราเพิ่ม เขาก็จะบอกกับหญิงสาวคนนั้นไปตามตรงโดยไม่รู้สึกลำบากใจ

การฝึกตนในหนึ่งวัน ภายใต้การเสนอแนะจากหม่าจื้อจึงเปลี่ยนจากง่ายไปเป็นยาก เฉินผิงอันฝึกท่ากระบี่จาก ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ เล่มนั้นก่อน ใช้เวลาสองชั่วยามของช่วงเช้า ระหว่างนี้หม่าจื้อจะออกกระบี่อย่างกะทันหัน จงใจทำลายกระบวนท่ากระบี่ที่เฉินผิงอันสร้างขึ้นในรวดเดียวลง ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจำเป็นต้องปูพื้นกระบวนท่ากระบี่สี่อย่างซึ่งรวมกระบวนท่าหิมะทลาย ท่าสยบเสินโถวเป็นหนึ่งในนั้น และยิ่งจำเป็นต้องคอยระวังการลอบโจมตีจากผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลาด้วย และบางครั้งหม่าจื้อก็จะเอาการฝึกกระบี่ที่เขาต้องสอนช่วงบ่ายมาฝึกล่วงหน้าในช่วงเช้าเลย

ก่อนจะหมดช่วงเที่ยง คนทั้งสองจะต้องจัดการอาหารเที่ยงให้เสร็จสิ้นก่อน จากนั้นก็เริ่มประลองฝีมือในช่วงบ่าย ตอนนี้หม่าจื้อได้เลื่อนขอบเขตของตัวเองจากขั้นถ้ำสถิตมาที่ขั้นเจ็ดชมมหาสมุทรแล้ว เขานั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน ดื่มสุรากับตัวเองอย่างสำราญใจ คอยปล่อยกระบี่ออกไปเป็นระยะ ควบคุมให้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเหลียงอินลอบสังหารเฉินผิงอัน ปล่อยให้เฉินผิงอันเลือกใช้วิธีรับการโจมตีจากศัตรูได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นท่าหมัดโบราณที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม กระบวนท่าโจมตีและป้องกันที่เพิ่งเรียนรู้มาจาก ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ หรือจะเป็นท่าหมัดหวังปาที่ปล่อยหมัดมั่วซั่วต่อยให้อาจารย์คนหนึ่งตาย หม่าจื้อล้วนไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ ขอแค่เจ้าเฉินผิงอันหลบเลี่ยงเหลียงอินที่บินฉวัดเฉวียนพุ่งไปทั่วลานบ้านได้ หรือจะปล่อยหมัดต่อยให้กระบี่บินเล่มนั้นถอยห่างไป ก็ได้ทั้งนั้น

และส่วนใหญ่แล้วการฝึกในช่วงบ่ายยังไม่ทันเสร็จสิ้น หนังเนื้อเฉินผิงอันก็จะปริแตก เสื้อผ้าขาดวิ่นไปก่อน

บางครั้งหม่าจื้อจะชะลอความเร็วในการปล่อยกระบี่ ปล่อยเฉินผิงอันที่สภาพกระเซอะกระเซิงชวนเวทนาไปสักครั้ง ตัวเองหันไปดื่มเหล้าหลายอึก อาหารจานเล็กบนโต๊ะไม่ว่าจะเป็นถั่วลิสงโรยเกลือ หอยผัดพริก ปลาซิวทอด ยำหูหมูก็ล้วนมากพอให้ผู้เฒ่าเอามากินแกล้มสุรา แต่ทุกครั้งหลังจากที่เฉินผิงอันเพิ่งจะหายใจหายคอได้ทัน ผู้เฒ่าก็จะปล่อยกระบี่แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อีกทั้งพละกำลังยังมหาศาลดุจสายฟ้าหมื่นชั่ง และในเวลาเช่นนั้นบางทีในปากผู้เฒ่าอาจจะกำลังเคี้ยวแผ่นปลาทอดกรุบกรอบ แต่เฉินผิงอันกลับถูกหนึ่งกระบี่แทงเข้าหัวใจ พอกระบี่บินกระชากตัววาดเส้นโค้งย้อนกลับก็จะตวัดกลับมาแทงหัวใจของเฉินผิงอันทางด้านหลัง จากนั้นผู้เฒ่าก็จะหลุดหัวเราะพรืด “หากไม่เป็นเพราะกระบี่บินกลายเป็นภาพมายา เจ้าก็ตายไปสองครั้งแล้ว ไม่มีโอกาสได้ชิมปลากรอบคลุกเกลือพริกไทยจานนี้อีก เฉินผิงอัน ต่อให้จะทำเพียงเพื่อกับแกล้มและสุราชุดนี้ เจ้าก็ควรจะตั้งใจให้มากหน่อยนะ”

เพื่อให้การฝึกกระบี่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด เรือนเล็กกุยม่ายจึงไม่มีมื้ออาหารเย็น มีแต่อาหารมื้อดึก จินซู่แค่เอากล่องอาหารมาวางไว้หน้าประตูเรือนก็พอ

โดยทั่วไปเมื่อผ่านยามโหย่ว (17.00-19.00) ไปแล้ว เฉินผิงอันจะยืนให้ถูกตีอย่างเดียวเท่านั้น อาศัยให้กระบี่บินเหลียงอิน ‘ลอดระเบียงข้ามสะพาน’ ‘ห้อตะบึงผ่านทางเดินม้า’ อยู่ในจิตวิญญาณของเขา เพื่อหล่อหลอมระดับความหนาและความยืดหยุ่นของสามหุนให้มากขึ้น

ช่วงที่ผ่านมานี้ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าไม่ได้อธิบายวิธีการออกกระบี่ของเขาอย่างละเอียดอีกแล้ว แค่กะน้ำหนักอย่างระมัดระวัง ให้เฉินผิงอันได้ลิ้มรสความเจ็บปวดอย่างละเอียดก็พอ

เฉินผิงอันชอบแล้วก็ไม่ชอบช่วงเวลานี้มากที่สุด ชอบก็เพราะรู้ว่าการขัดเกลานี้มีผลประโยชน์ต่อการฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์อย่างมาก ไม่ชอบก็เพราะนี่มักจะทำให้เขานึกถึงความยากลำบากในเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว ยังดีที่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าค่อนข้างจะออมมือให้ อีกทั้งยังใจกว้างกว่าผู้เฒ่าเปลือยเท้า เมื่อเทียบกับวิธีการโหดเหี้ยมที่เทพสวรรค์ใช้สังหารมนุษย์ธรรมดาแล้วก็ถือว่าเบาสบายกว่ามาก เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ทนรับได้ไหว ยังสามารถอาศัยโอกาสนี้ฝึกเดินนิ่งหกก้าวและฝึกสองกระบวนท่าป้องกันของ ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ได้ด้วย ท่าขุนเขาและท่าห่มเกราะที่เมื่อเทียบกับการฝึกฝนด้วยตนเองซึ่งต้องเนิบช้าเหมือนตุ๋นด้วยไฟอ่อนแล้ว มีผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคอยให้ความช่วยเหลือจึงเป็นเหมือนการเร่งไฟแรง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหนื่อยน้อยลงแต่ประสิทธิผลกลับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

แต่นานวันเข้า เฉินผิงอันที่หาความสำราญจากความทุกข์ตรมก็ใคร่ครวญจนพบเจอเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือกระบวนท่าหิมะทลายที่การออกกระบี่รวดเร็วและซับซ้อน เมื่อมารวมเข้ากับความเจ็บปวดเหมือนถูกผ่าแหวกท้อง เจาะคว้านหัวใจที่กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าช่วยขัดเกลาให้ ขอแค่กัดฟันยืนหยัดได้ไหว การออกกระบี่จะเร็วมากกว่าเดิม การตระหนักรู้และความเข้าใจในกระบวนท่าโจมตีนี้ของเฉินผิงอันพัฒนาไปอย่างว่องไว ยิ่งเป็นช่วงหลัง ทุกครั้งที่เฉินผิงอัน ‘จับกระบี่’ ปล่อยกระบวนท่าหิมะทลายออกไป แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าขอแค่ในมือมีอาวุธเทพที่ร้ายกาจสักชิ้นอยู่จริงๆ เขาก็จะสามารถสร้างภาพปรากฎการณ์ไอเย็นแสงกระบี่พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้อากาศในเรือนเล็กเหน็บหนาวขึ้นมาได้หลายส่วนจริงๆ

ส่วนใหญ่การฝึกกระบี่จะจบสิ้นในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยามซวี (19.00-21.00) กับยามไฮ่ (21.00-23.00) เฉินผิงอันจะไปต้มน้ำร้อน เอายาสมุนไพรใส่ลงไปในอ่างน้ำ ก่อนที่น้ำจะเดือด เฉินผิงอันจะไปหยิบกล่องอาหารจากหน้าประตูเรือนมา หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มใช้โต๊ะหินเป็นโต๊ะอาหาร กินอาหารมื้อดึกเสร็จ บางครั้งหากเฉินผิงอันเจ็บหนักหรือเลือดไหลออกเยอะเกินไปก็จะไปแช่ตัวในอ่างน้ำ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยกินอาหารมื้อดึก ส่วนผู้ฝึกกระบี่เฒ่าหม่าจื้อที่ต่อให้จะกินอิ่มไปก่อนแล้วก็ยังจะนั่งรอเฉินผิงอันอยู่ที่โต๊ะหิน ระหว่างที่ฝ่ายหลังกินอาหาร เขาจะอธิบายถึงข้อดีข้อเสียของการฝึกกระบี่ในวันนั้นให้เฉินผิงอันฟัง เหมือนการย้อนเล่นหมากล้อมกระดานเดิม ถึงอย่างไรหม่าจื้อก็เป็นถึงผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่ง สายตาของเขาจึงมีความพิเศษเฉพาะตัว อีกทั้งเมื่อเทียบกับผู้เฒ่าแซ่ชุยบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วแล้ว แม้ขอบเขตของหม่าจื้อจะห่างชั้นอยู่มาก แต่เขากลับเต็มใจอธิบายเรื่องราวอย่างละเอียดมากกว่า คำถามและข้อสงสัยส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันจึงมักได้รับคำตอบ

เก็บกล่องอาหารเรียบร้อย เฉินผิงอันก็จะฝึกท่าเดินนิ่งของตำราหมัดเขย่าขุนเขาต่อ ต่อให้ผ่านไปอีกสิบปีร้อยปี ไม่ว่าถึงเวลานั้นขอบเขตของตนจะสูงแค่ไหน เฉินผิงอันก็ไม่มีทางทิ้งกระบวนท่าหมัดหยาบๆ เรียบง่ายซึ่งเป็นขั้นพื้นฐานสุดของการฝึกวรยุทธ์นี้ไป

ผ่านยามจื่อ (23.00-01.00) ไปครึ่งหนึ่ง เฉินผิงอันก็จะกลับห้องไปนอน

ชีวิตในแต่ละวันล้วนเป็นวงโคจรที่ซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ โดยไม่ทันรู้ตัว พระอาทิตย์ก็ขึ้นและตกบนเกาะกุ้ยฮวามาสามสิบกว่าครั้งแล้ว เก้าทัศนียภาพบนมหาสมุทรก็ผ่านไปแล้วถึงสามแห่ง

ผ่านไปอีกสิบวัน สำหรับทัศนียภาพที่สี่บนมหาสมุทรของเส้นทางการเดินเรือเกาะกุ้ยฮวา ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าแนะนำให้เฉินผิงอันหยุดการฝึกฝนเพื่อไปชมทิวทัศน์ที่ต้นกุ้ยบรรพบุรุษก่อน

ในเมื่อผู้เฒ่าพูดขนาดนี้แล้ว เฉินผิงอันจึงทำตามคำบอกของอีกฝ่าย พอเช้าตรู่ เฉินผิงอันก็ไปถึงบนยอดเขาของเกาะกุ้ยฮวาที่ผู้คนมากมายมารวมตัวกันหนาแน่น เมื่อทอดสายตามองไปไกลก็เห็นช่องโหว่ขนาดมหึมาช่องหนึ่ง เกาะกุ้ยฮวาลอดผ่านไปเป็นแนวเส้นตรง สองข้างฝั่งกลายมาเป็นเทือกเขาบนเกาะสองแห่งที่ไล่ระดับลดหลั่นจากสูงมาต่ำ บนยอดเขามีสิ่งปลูกสร้างตั้งสลับสล้าง ปลูกชิดติดแนบกับภูเขา เบื้องบนคือเมฆหมอกลอยล้อมวนอ้อยอิ่ง

ภาพทิวทัศน์งดงามแปลกตานี้ไม่ได้อยู่บนตระกูลเซียนซึ่งตั้งอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวกลางมหาสมุทร ตัดขาดจากโลกภายนอก แต่อยู่ระหว่างผนังหน้าผาของภูเขาสองลูกที่ประจัญหน้ากันซึ่งเป็นทางผ่านของเส้นทางเดินเรือเกาะกุ้ยฮวา บนยอดของหน้าผาทั้งสองแห่งต่างก็มีเทวรูปร่างทองสูงร้อยจั้งยืนปักหลักตั้งตระหง่านอย่างน่าเกรงขาม อีกทั้งเทวรูปทั้งสองต่างก็เหมือนผ่านการชะล้างจากสายน้ำแห่งกาลเวลามายาวนานนับไม่ถ้วน แต่ถึงกระนั้นก็ยังส่องแสงสีทองอร่ามจับตา ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณที่ได้มาเห็นก็ยังเกิดความกริ่งเกรง

เล่าลือกันว่าเทพร่างทองที่ถูกนำมาสร้างเป็นรูปปั้นทั้งสององค์นี้ องค์หนึ่งเคยเป็นแม่ทัพเทพพิทักษ์ประตูสวรรค์ทางทิศใต้ อีกองค์หนึ่งเคยเป็นองค์เทพที่ควบคุมการขนส่งทางน้ำของใต้หล้า คือองค์เทพอันดับหนึ่งในบรรดาเทพพิรุณจำนวนมากบนสวรรค์ เป็นผู้ควบคุมการก่อเมฆโปรยฝนของมังกรที่แท้จริงทุกตัวบนโลกในนาม แม่ทัพเทพแห่งประตูสวรรค์ตรึงกระบี่ตั้งตรงไว้เบื้องหน้าตัวเอง มือสองข้างวางทับซ้อนกันบนด้ามกระบี่ คือองค์เทพขนาดใหญ่ยักษ์องค์หนึ่งที่เหมือนกำลังหลุบตาลงต่ำมองมายังผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง

ส่วนองค์เทพพิรุณนั้นมีใบหน้าเลือนรางเพราะเมฆหมอกลอยบดบัง บ่งบอกเพศได้ไม่ชัดเจน มีแถบผ้าพลิ้วไหวห้าสีที่ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุใดล้อมพันล่องลอยอย่างเชื่องช้าอยู่รอบกาย มองดูแล้วมีชีวิตชีวา ขับให้องค์เทพที่ไม่รู้ว่าร่างทองสลายหายไปแล้วกี่หมื่นปีเหมือนกำลังสำแดงบารมีอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นผู้ที่คอยควบคุมการไหลเวียนของโชคชะตาแห่งน้ำตลอดทั้งแถบทิศใต้

เฉินผิงอันเลือกนั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งยาวตรงราวระเบียงแห่งหนึ่งบนยอดเขา เผชิญหน้ากับเทวรูปสององค์พลางดื่มเหล้าช้าๆ

ถ้อยคำซุบซิบที่ผู้ฝึกลมปราณข้างกายเอ่ยส่วนใหญ่ล้วนเป็นภาษาทางการของอุตรกุรุทวีปและใบถงทวีป บางครั้งก็สอดแทรกภาษาท้องถิ่นของนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันย่อมฟังไม่เข้าใจอยู่แล้ว ยังดีที่ห่างไปไม่ไกลมีผู้ฝึกลมปราณตระกูลฟ่านคนหนึ่งของเกาะกุ้ยฮวาที่มีลักษณะเป็นเด็กสาว แต่กลับไม่ได้สวมชุดของแม่นางกุ้ยฮวาซึ่งน่าจะรับหน้าที่คอยอธิบายความมหัศจรรย์ของทิวทัศน์บนทะเลแห่งนี้ให้ผู้โดยสารฟังโดยเฉพาะ น้ำเสียงของนางใสกังวาน ตอนนี้นางกำลังใช้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปอธิบายภาพ ‘การประจัญหน้ากันของสององค์เทพ’ เล่าถึงที่มาขององค์เทพทั้งสององค์ และยังถือโอกาสพูดถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของตระกูลเซียนที่อยู่บนเกาะแห่งนั้น ดูเหมือนจะมีคนถามว่าทำไมเกาะกุ้ยฮวาถึงไม่จอดเทียบท่าบนเกาะ ผู้ฝึกลมปราณตระกูลฟ่านคนนั้นจึงยิ้มแล้วอธิบายว่าถึงแม้เรือข้ามฟากจะสามารถลอดผ่านตรงกลางไปได้ แต่สำนักตระกูลเซียนแห่งนี้กลับไม่เคยต้อนรับเรือข้ามฟากไม่ว่าจะมาจากที่ใดก็ตาม หากมีคนกล้าขึ้นไปบนแผ่นดินโดยพลการ โทษสถานเบาคือขับไล่ออกจากพื้นที่ในทันที โทษสถานหนักคือถูกขังคุกบนเกาะ ในประวัติศาสตร์ยังเคยมีคดีสลดที่ผู้บุกรุกถูกสำนักเซียนแห่งนั้นสังหารโดยตรง

สุดท้ายผู้ฝึกลมปราณสาวน้อยพูดด้วยรอยยิ้มกับแขกทั้งหลายบนยอดเขาว่า ทัศนียภาพถัดไปในอีกห้าวันให้หลัง ยิ่งใหญ่ตระการตามาก ขอให้ทุกคนห้ามพลาดเด็ดขาด

ระหว่างที่เกาะกุ้ยฮวาขับเคลื่อนผ่านหน้าผาหินไปช้าๆ จู่ๆ ก็มีวัตถุลักษณะคล้ายลูกบอลผ้าปักลายลูกหนึ่งร่วงดิ่งลงมา แล้วพุ่งไปหาคนหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งชมทัศนียภาพอยู่บนยอดเขา

คนผู้นั้นยื่นมือไปรับลูกบอลปักลายผ้าลูกนั้นมาตามจิตใต้สำนึก เขาเงยหน้าขึ้นอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าทำไมสำนักตระกูลเซียนแห่งนั้นถึงต้องทำแบบนี้

ผู้ฝึกลมปราณเด็กสาวจากตระกูลฟ่านทำหน้าตกตะลึง จากนั้นก็ตะโกนขึ้นเสียงดังอย่างรีบร้อน “คุณชาย ผู้อาวุโสบนเกาะกุ้ยฮวาของพวกเราเคยบอกไว้ว่า นี่คือวิธีการรับลูกเขยของตระกูลเซียนที่มีบุตรสาว พวกเขาเลือกท่าน นี่คือโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าที่ร้อยปีจะพานพบสักครั้ง! คุณชายหากท่านยังไม่มีภรรยาจะต้องตอบรับให้ได้ ต่อให้มีแล้ว…สรุปคือมีเพียงเทพธิดาผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลเซียนเท่านั้นถึงจะสามารถโยนลูกบอลปักลายผ้าให้กับเรือข้ามฟากที่แล่นผ่านมาได้ โชควาสนาครั้งนี้จะปล่อยให้ผ่านเลยไปไม่ได้เด็ดขาด คุณชายต้องปฏิบัติอย่างระมัดระวัง…”

เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกลมปราณหนุ่มที่ในมือถือบอลผ้าปักลายและกำลังเงยหน้ามองไปยังมุมหนึ่งบนผนังหน้าผากำลังผ่านประสบการณ์การถามตอบในทะเลสาบหัวใจ

จากนั้นดูเหมือนคนหนุ่มจะผ่านการทดสอบ แถบผ้าเส้นหนึ่งที่รัดพันลูกบอลจึงคลี่ออก ปลายฝั่งหนึ่งของแถบผ้าผูกเข้าที่ข้อมือของชายหนุ่ม ปลายอีกฝั่งหนึ่งพุ่งไปยังยอดเขาอย่างรวดเร็วแล้วพาชายหนุ่มบินล่องลอยไปยังหอสีรุ้งแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเทวรูปบนยอดเขา กลางหอสีรุ้งมีหญิงสาวหน้าตางดงามสะคราญโฉมคนหนึ่ง สองแก้มของนางแดงปลั่ง ในมือกำปลายแถบผ้าไว้ด้านหนึ่ง ข้างกายมีสตรีแต่งงานแล้วที่บุคลิกไม่ธรรมดา ท่วงท่าประหนึ่งเซียนซือยืนห้อมล้อมอยู่หลายคน ใบหน้าของพวกนางอมยิ้มน้อยๆ คล้ายกำลังอวยพรให้กับคู่สร้างคู่สมที่ฟ้าประทานคู่นี้

เฉินผิงอันมองทุกอย่างนี้อยู่ในสายตา มองบุรุษหนุ่มคนนั้นเดินขึ้นฟ้าด้วยก้าวเดียว ทั้งไม่มีความรู้สึกอิจฉาริษยา แล้วก็ไม่ได้ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังให้กับความมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ เพียงแต่สีหน้าค่อนข้างเลื่อนลอย ก่อนหน้านี้ชายคนนั้นยืนห่างจากเขาไปแค่ไม่กี่สิบก้าวพอดี เมื่อผู้ฝึกลมปราณตระกูลฟ่านถามว่าเขาแต่งภรรยาหรือยัง บุรุษผู้นั้นก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด ทว่าคงเป็นเพราะโชคดีมาเยือนถึงที่ จึงตัดขาดและทอดทิ้งภรรยาที่รออยู่ที่บ้านอย่างเด็ดขาดโดยไม่แยแสอีก

เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปทางหอหลากสี รู้สึกได้ว่าสตรีเทพเซียนที่โยนลูกบอลมาอาจจะมีตบะสูงมาก ทว่าสายตาของนางน่าจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

กลับมาถึงเรือนเล็กกุยม่าย ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ ดื่มเหล้าเคล้ากับแกล้มจานเล็ก “นึกไม่ถึงว่าจะมีการโยนลูกบอลปักลายลงมาจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่เจ้า น่าเสียดาย น่าเสียดายเกินไปแล้ว! ต้องรู้ว่าในประวัติศาสตร์ของเกาะกุ้ยฮวา เหตุการณ์ที่คนในหอสีรุ้งบนยอดเขาโยนลูกบอลปักลายผ้าลงมา หากบอกว่าร้อยปีจะพานพบสักครั้งก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว น่าเสียดายก็แต่เจ้าไม่มีวาสนาจะได้รับโชคแบบนี้…”

เฉินผิงอันแยกเขี้ยว ผู้เฒ่าหยุดหัวเราะแล้วพูดเบาๆ ว่า “อันที่จริงสิบทัศนียภาพของเกาะกุ้ยฮวามีโชควาสนาเล็กใหญ่แฝงเร้นอยู่ แน่นอนว่าได้แต่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครอง ต้องดูที่โชคชะตาของแต่ละคน ก็เหมือนกับลูกบอลปักลายจากหอสีรุ้งบนเกาะเซียนกลางทะเลแห่งนี้ ใครจะไปคิดว่าผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์การฝึกตนธรรมดา จะกลับกลายเป็นคนโชคดีในท้ายที่สุด?”

ผู้เฒ่าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากพูดถึงเก้าทัศนียภาพอื่น คงไม่จำเป็นต้องสนใจ ต่อให้ไม่มีความคิดที่หวังว่าจะลองเสี่ยงโชคก็ไม่เป็นไร เพราะมีเพียงทัศนียภาพในลำดับถัดมาเท่านั้นที่จำเป็นต้องไปยังตีนเขาของเกาะกุ้ยฮวาด้วยตัวเองดูสักครั้ง ยิ่งอยู่ใกล้กับน้ำทะเลนอกเรือข้ามฟากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะหากใครได้ครอบครองโชควาสนาครั้งนี้จริงๆ นั่นก็คือมหาลาภที่ต่อให้เป็นขอบเขตโอสถทองหรือก่อกำเนิดก็ล้วนต้องอิจฉาอย่างถึงที่สุด”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เรื่องการเสี่ยงดวงนี้ ข้าคงไม่หวังแล้ว อยู่ฝึกกระบี่ในเรือนมั่นคงกว่ามาก”

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าถลึงตาขึงขัง “ไป จำเป็นต้องไป ต่อให้เป็นโอกาสที่เลือนรางเต็มที เจ้าก็ต้องไปร่วมความครึกครื้นให้ได้ บนเส้นทางการฝึกตนไม่ควรคาดหวังให้ทุกเรื่องราบรื่นเป็นไปตามใจปรารถนาก็จริง แต่ก็ควรจะมีความคาดหวังเล็กๆ น้อยๆ บ้าง เจ้าลองไปสักครั้ง ทั้งได้ชมทิวทัศน์แล้วก็ได้เสี่ยงดวง ต่อให้ไม่ได้เจอกับโชควาสนาครั้งใหญ่ แล้วเจ้าจะเสียหายอะไร? เจ้านี่นะ! จำไว้ว่า คำว่า ‘ถ้าหาก’ เป็นคำที่ผู้ฝึกลมปราณหวาดกลัวมากที่สุด แต่ก็เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกลมปราณปรารถนามากที่สุดแม้ในยามหลับฝัน…”

เฉินผิงอันพูดอย่างระมัดระวัง “อาจารย์หม่า ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ แต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว”

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าตบหน้าผากตัวเอง ลุกขึ้นพูดว่า “เจ้านี่มันน่าโมโหจริงๆ ! สองวันนี้เจ้าฝึกกระบี่ด้วยตัวเองไปเลย ข้าต้องออกไปผ่อนคลายอารมณ์ข้างนอกซะบ้าง วันๆ อยู่กับน้ำเต้าตันอย่างเจ้า ข้าอัดอั้นจะตายอยู่แล้ว”

สองวันหลังจากนั้นผู้เฒ่าก็ไม่ได้เผยโฉมหน้าจริงๆ เฉินผิงอันจึงฝึกกระบี่เพียงลำพัง

หลังจากนั้นผู้เฒ่าก็กลับมาที่เรือนเล็กกุยม่ายด้วยท่าทางอ่อนเพลียจากการเดินทาง พอพบหน้าเฉินผิงอันก็บอกว่าเฉินผิงอันฝึกฝนได้ไม่เลว จงขยันตั้งใจฝึกต่อไป ส่วนเขาหายตัวไปอีกครั้ง

เฉินผิงอันคิดแค่ว่าผู้เฒ่ามีธุระให้ต้องไปทำ จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจสักเท่าไหร่

ภายหลังก็มาถึงทัศนียภาพแห่งที่ห้าบนทะเลของเส้นทางการเดินเรือเกาะกุ้ยฮวา ร่องน้ำเจียวหลง

เพราะผู้เฒ่าเคยเอ่ยเตือนครั้งหนึ่ง เฉินผิงอันจึงหยุดพักครึ่งวัน เขาบอกกล่าวให้จินซู่รู้ก่อนล่วงหน้า เที่ยงวันของวันนั้นจินซู่จึงมารอที่หน้าประตูเรือน บอกเตือนเฉินผิงอันว่าสามารถลงจากเขาไปชมทิวทัศน์ได้แล้ว เพราะเป็นแขกกุ้ยของตระกูลฟ่าน เรือนกุ้ยกงมีเส้นทางเดินลงภูเขาที่ค่อนข้างเงียบสงัดโดยเฉพาะ บนทางมีแขกบางตา เฉินผิงอันเดินเคียงไหล่ไปกับจินซู่อยู่บนถนน แม่นางกุ้ยฮวาช่วยแนะนำความเป็นมาของร่องน้ำเจียวหลงเส้นนั้น

กลางร่องลึกเส้นนั้นที่อยู่ในทะเลเป็นที่พักพิงของเจียวหลงจำนวนมาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นทายาทรุ่นหลังของเจียวหลงที่ระบบสายเลือดปะปนกัน และในบรรดาพวกมันก็มีเจียวน้ำที่สมชื่ออยู่ส่วนหนึ่งซึ่งมักจะอาศัยสัญชาตญาณของตัวเองทะยานขึ้นไปกลางอากาศ พลิกเมฆลอดสายฝนอยู่เหนือแผ่นดินของทวีปใหญ่ ไปกลับครั้งหนึ่งไม่รู้ว่าต้องทะยานลมไกลกี่หมื่นลี้ รอจนกลับมาถึงรังก็เหน็ดเหนื่อยหมดแรง อีกทั้งเจียวหลงยังไม่มีพันธนาการจากกฎเกณฑ์และไม่มีทวยเทพที่เป็นผู้บังคับบัญชาอยู่เบื้องบน พวกมันจึงชอบสำแดงวิชาอภินิหาร โปรยฝนลงมาจนก่อให้เกิดอุทกภัย ดังนั้นจึงมักจะกลายเป็น ‘เจียวชั่ว’ ในสายตาของมนุษย์โลก ถูกผู้ฝึกลมปราณในท้องถิ่นไล่สังหารอย่างบ้าคลั่ง การที่พวกผู้ฝึกลมปราณทำเช่นนี้ทั้งเป็นการอุทิศตนเพื่อปวงประชาแทนสวรรค์ แล้วก็เพื่อครอบครองสมบัติก่อนกำเนิดที่มีมูลค่าควรเมืองทั่วร่างของเจียวหลง

เฉินผิงอันฟังแล้วก็ให้ตกตะลึง รีบสาวเท้าเร็วๆ ไปยังตีนเขาของเกาะกุ้ยฮวา เขาเกิดมาในถ้ำสวรรค์หลีจูซึ่งเป็นสถานที่ที่มังกรแท้จริงตัวสุดท้ายในโลกตายไป แน่นอนว่าต้องเคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเจียวและมังกรมาก่อน สัตว์วิเศษที่อยู่ในร่องเจียวหลงเหล่านั้นจะถือเป็นลูกหลานของมังกรที่แท้จริงได้หรือไม่?

เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็มาถึงตีนเขา ตรงท่าเรือมีเรือลำเล็กหลายลำจอดอยู่ เรือเหล่านั้นล้วนเป็นของผู้ฝึกลมปราณตระกูลฟ่านที่มักจะพายเข้าไปยังร่องน้ำเจียวหลง เกาะกุ้ยฮวารับประกันว่าการล่องเรือไปยังร่องลึกของมหาสมุทร ขอแค่ผู้โดยสารไม่ส่งเสียงดัง ไม่ใช้เวทอภินิหารไปรบกวนเจียวหลงที่อยู่ก้นมหาสมุทรโดยพลการ ก็จะไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันใดๆ ขึ้นเด็ดขาด ต่อให้มีอันตรายเกิดขึ้น ผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองบนเกาะกุ้ยฮวาก็จะลงมือให้ความช่วยเหลือในทันที

แขกกุ้ยขึ้นเรือไม่จำเป็นต้องควักเงิน

อันที่จริงต่อให้จำเป็นต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะ เฉินผิงอันก็เต็มใจจ่ายเงินนี้ เขาขึ้นเรือเล็กลำหนึ่งไปพร้อมกับจินซู่ คนพายเรือคือผู้เฒ่าคนหนึ่ง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าไม้พายไม้ไผ่ยาวจั้งกว่าในมือของผู้เฒ่าสลักอักขระยันต์ไว้แถวหนึ่ง ตัวอักษรสี่ตัวในนั้นคล้ายอักษรโบราณลักษณะเหมือนไส้เดือน ค่อนข้างคล้ายคลึงกับประโยคว่า ‘ควรทำอะไรก็ทำ’ ของยันต์ที่ชื่อว่า ‘ยันต์ตัดโซ่’ ที่บันทึกไว้ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ มีระดับสูงมาก อีกอย่างช่วงท้ายของยันต์ ‘ตำราสีชาด’ นี้ก็บอกกับคนรุ่นหลังว่า หากเขียนยันต์สำเร็จ กระดาษยันต์จะมีรอยเลือดซึมออกมา คนที่เขียนยันต์ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล เพราะนี่คือการแสดงให้เห็นว่าการเขียนยันต์ครั้งนี้สำเร็จแล้ว

เฉินผิงอันจึงสอบถามจินซู่ถึงชื่อของยันต์ที่เขียนไว้บนไม้พาย นางมีสีหน้ามึนงง ราวกับไม่เคยนึกถึงปัญหาข้อนี้มาก่อน จึงหันไปถามคนพายเรือ ผู้เฒ่าตอบด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้คงบอกไม่ได้อย่างชัดเจน วันแรกที่ตระกูลฟ่านบุกเบิกเส้นทางการเดินเรือก็ดูเหมือนว่าบนไม้พายจะมีตัวอักษรสีแดงพวกนี้อยู่แล้ว ไม่มีคำบอกเล่าที่แน่ชัด ตอนที่อาจารย์ของข้ามอบเรือลำเล็กและไม้พายให้กับข้าก็ไม่ได้บอกเล่าความเป็นมาของมัน เกาะกุ้ยฮวาของเราแค่เรียกมันว่าไม้พายตีมังกร สามารถทำให้เจียวหลงตกใจถอยหนีลงไปใต้น้ำได้ อันที่จริงเรื่องพวกนี้คนพายเรืออย่างพวกเราล้วนไม่เชื่อ พวกเราน่ะ เชื่อสิ่งนี้มากกว่า…”

ผู้เฒ่าหยิบกระดาษรูปคนรูปม้าสีขาวหิมะที่ทับซ้อนกันเป็นปึกออกมาจากในถุงข้างฝ่าเท้า “หากเจอกับเจียวหลงว่ายผ่านมาใต้เรือ ขอแค่จับมาปึกหนึ่ง โยนลงไปใต้น้ำ พวกมันก็จะว่ายหนีไปอย่างรวดเร็ว ใช้ร้อยครั้งก็สำเร็จร้อยครั้ง ศักดิ์สิทธิ์มาก ช่วยไม่ได้ หากอ้อมผ่านร่องน้ำเจียวหลงไป เส้นทางเดินเรือสายนี้ของพวกเราก็จะมีระยะทางเพิ่มขึ้นมาอีกยี่สิบกว่าหมื่นลี้แต่ยังดีที่ถึงแม้ร่องน้ำเจียวหลงจะน่ากลัว ทำให้คนรู้สึกอกสั่นขวัญผวา แต่อันที่จริงหลายร้อยปีที่ผ่านมา เกาะกุ้ยฮวาของเรากับเจียวหลงพวกนั้นอยู่ร่วมกันเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ดังนั้นคุณชายไม่จำเป็นต้องกังวล”

คนพายเรือหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เห็นได้ชัดว่าเป็นบุรุษที่ซื่อตรงคนหนึ่ง “จะว่าไปแล้ว หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ นั่นก็เท่ากับหายนะที่ร้ายแรงมาก อย่าว่าแต่เรือเล็กของพวกเราลำนี้เลย เกรงว่าตลอดทั้งเกาะกุ้ยฮวาคงไม่ต้องหวังว่าจะรอดพ้นจากภัยพิบัติไปได้ เจียวหลงมากมายขนาดนั้น หากพวกมันจะสร้างคลื่นลมมรสุมขึ้นมา จะน่ากลัวถึงเพียงไหน? หากจะให้ข้าบอก เกรงว่าต่อให้เซียนกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดกล้าออกกระบี่ขัดขวางจริงๆ คงมีแต่จะทำให้เจียวหลงแว้งกลับมาโจมตี ยากจะหนีพ้นเคราะห์กรรมเช่นกัน”

สีหน้าของจินซู่ไม่สบอารมณ์ พูดบ่นอย่างไม่พอใจ “แขกนั่งอยู่บนเรือ แต่เจ้ากลับพูดจาอัปมงคลแบบนี้น่ะหรือ?”

ผู้เฒ่าพายเรือกล่าวอย่างอับอาย “ไม่พูดแล้วๆ คุณชายนั่งดีๆ พวกเราจะไปชมทัศนียภาพของร่องน้ำเจียวหลงเดี๋ยวนี้ รับรองว่าปลอดภัยแน่นอน…”

ร่องน้ำเจียวหลงคือร่องลึกแปลกประหลาดแห่งหนึ่งที่น้ำใสจนมองเห็นไปถึงก้นทะเล กว้างสิบกว่าลี้ ยาวหลายพันลี้ พวกเจียวหลงที่ขดตัวจำศีลอยู่ในก้นทะเลลึกมีสีสันแตกต่างหลากหลาย ลำตัวของพวกมันเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน บ้างก็เล็กเท่าอ่างน้ำ บ้างก็ใหญ่เท่าปากบ่อน้ำ เล่าลือกันว่าเจียวหลงที่ตัวใหญ่ที่สุด ลำพังเพียงแค่ดวงตาของมันก็ใหญ่เท่าโอ่งแล้ว พออยู่ใต้ผืนน้ำ เกล็ดของมันจะส่องประกายระยิบระยับแจ่มชัดสะดุดตาจนคนมองสยดสยองไม่กล้าปริปากเอ่ยคำใด ด้วยกังวลว่าหากเสียงดังจนเป็นการรบกวนเจียวหลงเหล่านั้นจะนำหายนะดับชีพมาสู่ตัว

จู่ๆ คนพายเรือเฒ่าก็ยื่นนิ้วชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่งกลางอากาศ “คุณชาย ท่านดูนั่น นั่นคือเจียวตัวหนึ่งที่เหนื่อยล้าเพราะเพิ่งกลับมาจากโปรยฝนบนแผ่นดิน โอ้ ดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อยด้วย มีความเป็นไปได้ว่าถูกผู้ฝึกลมปราณในนาตยทวีปใช้เป็นเป้าซ้อมมือกระมัง คงถูกไล่ล่ามาเป็นระยะทางที่ยาวนาน ไม่ใช่เจียวน้ำทุกตัวหรอกนะที่จะโชคดีรอดชีวิตกลับมาได้ ศพของเจียวหลงที่ตายไประหว่างทางกลับมักจะกลายมาเป็นผลเก็บเกี่ยวที่เหนือความคาดฝันของเรือข้ามทวีปเสมอ เพียงแต่ว่าเกาะกุ้ยฮวาของพวกเรามีคุณธรรม หากพบเจอศพของเจียวน้ำที่ลอยอยู่กลางทะเลจะไม่งมขึ้นฝั่ง แต่จะช่วยลากไปไว้ตรงโขดหินของเกาะกุ้ยฮวา พาไปส่งที่ร่องลึกเจียวหลง…”

เฉินผิงอันกับจินซู่มองตามมือที่ผู้เฒ่าชี้ไปก็เห็นว่ามีวัตถุขนาดมหึมาร่วงตกลงมาจากทะเลเมฆ กระแทกผิวน้ำจนสะเก็ดน้ำแตกกระจายดังสนั่น ก่อนจะหายไปในมหาสมุทรที่อยู่ห่างไปไกล โชคดีที่เจียวซึ่งเหนื่อยล้าจากการโปรยฝนหล่นห่างจากเกาะกุ้ยฮวาไปหลายสิบลี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อเรือลำน้อย แค่ทำให้ระดับการเอนซ้ายโคลงขวาของเรือเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

เรือน้อยมุ่งไปด้านหน้าขนาบเกาะกุ้ยฮวา ออกห่างจากชายฝั่งของเกาะกุ้ยฮวามาไม่มากเท่าไหร่ อย่างมากสุดก็สองสามลี้ น้ำทะเลใสแจ๋ว เรือน้อยลำแล้วลำเล่าเหมือนกระบี่บินหลายเล่มที่ทะยานลมลอยไปกลางอากาศ และในจุดลึกใต้ทะเล คือเผ่าพันธุ์เจียวหลงจำนวนมากที่บ้างก็กำลังนอนหลับ บ้างก็กำลังเล่นสนุกสนาน ปานประหนึ่งกำลังขดตัวอยู่บนเทือกเขาที่สูงๆ ต่ำๆ ทำให้คนลืมไปเลยว่าตอนนี้กำลังอยู่บนทะเล

จู่ๆ เฉินผิงอันก็ขมวดคิ้วแน่น

เอื้อมมือไปจับกระบี่เล่มหนึ่งที่อยู่ในกล่องกระบี่ด้านหลัง ถามเสียงหนัก “เผ่าพันธุ์เจียวหลงพวกนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในภูตผีแห่งภูเขาและแม่น้ำหรือไม่?”

ผู้เฒ่าได้แต่เข้าใจว่าเด็กหนุ่มมีประสบการณ์ไม่มาก เวลานี้เรือน้อยลอยห่างจากเกาะกุ้ยฮวามาสองลี้กว่าแล้ว กำลังจะไปถึงจุดที่ลึกที่สุดของร่องน้ำเจียวหลง ก้มหน้าลงมองไปก็เห็นว่าลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง เด็กหนุ่มเลยเกิดความหวาดกลัว คนพายเรือจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากเป็นยุคบรรพกาล เผ่าพันธุ์เจียวหลงพวกนี้ถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ของฟ้าดินเชียวนะ แต่ว่าตอนนี้กาลเวลาแปรเปลี่ยน คุณชายพูดถูกแล้ว เจ้าพวกนี้ถือได้ว่าเป็นแค่หนึ่งในภูตประหลาดเท่านั้น”

คนพายเรือยังกล่าวด้วยรอยยิ้มต่อไปว่า “คุณชายไม่ต้องกลัว เกาะกุ้ยฮวาคือแขกที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีสำหรับสถานที่แห่งนี้ ตามบันทึกวงศ์ตระกูลของตระกูลฟ่าน บรรพบุรุษยังเคยเห็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตก่อกำเนิดสองคนต่อสู้กันอยู่ที่นี่ด้วยตาตัวเอง แม้ว่าพวกเจียวหลงที่อยู่ในร่องน้ำเจียวหลงใต้ฝ่าเท้าของเทพเซียนทั้งสองท่านจะอยากลงมือเต็มแก่ แต่สุดท้ายก็ไม่มีเจียวน้ำสักตัวพุ่งออกมาจากผิวน้ำ ดังนั้นกฎเกณฑ์ที่บอกว่าห้ามส่งเสียงดังนั้น พวกเราก็แค่จงใจขู่ให้ผู้โดยสารกลัวเท่านั้น ในเมื่อคุณชายแขวนป้ายแขกกุ้ย ข้าผู้อาวุโสก็จะไม่หลอกลวงคุณชายแล้ว…”

จินซู่หันไปถลึงตาใส่คนพายเรืออย่างขุ่นเคือง เรื่องวงในของตระกูลฟ่านพวกนี้เอามาเปิดเผยกันง่ายๆ ได้อย่างไร

ผู้เฒ่าทำคอย่น ยกไม้พายทำหน้าที่พายเรือของตัวเองต่ออีกครั้ง และคอยโยนกระดาษเงินสีขาวหิมะลงไปในทะเลเป็นพักๆ นอกจากกระดาษรูปคนกระดาษรูปม้าแล้ว ยังมีกระดาษรูปหอสูงและกระดาษรูปรถที่พับอย่างประณีตแทรกอยู่ด้วย

แต่แล้วจู่ๆ ผู้เฒ่าก็เบิกตากว้าง มองไปยังทิศทางหนึ่ง “แย่แล้ว! มีคนจงใจเล่นงานเกาะกุ้ยฮวาของพวกเรา!”

แทบจะเวลาเดียวกันนั้นน้ากุ้ยก็ออกจากกุ้ยกงบนยอดเขา ทะยานตัวมาถึงเรือเล็กลำนี้ มองไปยังเรือเล็กลำที่อยู่ด้านหน้าสุดพร้อมๆ กับผู้เฒ่า กล่าวด้วยสีหน้าเดือดดาล “มีคนเอาข้องราชามังกรออกมาจับเจียวน้ำตัวน้อยที่ขึ้นมาเล่นบนผิวน้ำ!”

ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน “เป็นเจียงเป่ยไห่ที่จงใจแก้แค้นหรือไม่? ตอนนั้นพวกเขาเลือกลงเรือไปกลางทาง พวกเราให้หม่าจื้อแอบติดตามไปประมาณสิบวันกลับไม่พบอะไรผิดปกติ หรือว่าเป็นฝีมือของคนตระกูลติง? แต่ตระกูลติงไม่น่าจะมีข้องราชามังกรถึงจะถูก หรือตระกูลฝู? ตระกูลฝูมีอยู่ใบหนึ่ง ทว่าพวกเขาไม่มีเหตุผลให้เล่นงานพวกเรานี่นา…”

น้ากุ้ยส่ายหน้า “ตอนนี้ยังบอกได้ไม่ชัดเจน เรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำคือปลอบประโลมพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่อยู่ในร่องน้ำ เพราะหากทำให้พวกมันโกรธแค้นขึ้นมา ต่อให้ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนยินดีให้ความช่วยเหลือก็ยังจนปัญญาจะรับมือ มีใจแต่ไร้กำลัง! หลายพันชีวิตที่อยู่บนเกาะกุ้ยฮวา…เฮ้อ แบบนี้จะทำอย่างไรกันดี? แย่จริง ทุกคนล้วนถูกจับตามองหมดแล้ว! เวลานี้ใครยังจะกล้าทะยานลมไปกลางอากาศ…”

ผู้เฒ่าสีหน้าเคร่งเครียด ตะโกนออกไปทันทีว่า “เรือเล็กทุกลำกลับเข้าฝั่งเดี๋ยวนี้ ผู้ฝึกลมปราณทุกคนบนเกาะกุ้ยฮวาห้ามบินขึ้นกลางอากาศโดยพลการเด็ดขาด หาไม่แล้วจะถูกพวกที่อยู่ในร่องน้ำเจียวหลงมองเป็นการท้าทาย หม่าจื้อ รบกวนเจ้าแสดงฝีมือสักหน่อย พวกผู้โดยสารจะได้ไม่คิดว่าพวกเราเจตนาพูดข่มขวัญ!”

หม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองดึงกระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมาแล้วขว้างขึ้นไปกลางอากาศสูงอย่างรวดเร็ว ความเร็วนั้นแทบไม่ต่างจากสายฟ้าแลบ เร็วยิ่งกว่าการทะยานลมของขอบเขตโอสถทองคนไหนๆ ทว่ากระบี่บินเล่มนี้เพิ่งทะยานไปได้ครึ่งทาง ออกห่างจากเกาะกุ้ยฮวาไปได้แค่ไม่กี่ลี้ก็ถูกกรงเล็บมายาข้างหนึ่งยื่นลงจากทะเลเมฆมากดไว้หนักๆ กระบี่บินพลันระเบิดแตกกลางอากาศในชั่วพริบตา

หลังจากนั้นกระบี่บินอีกเล่มหนึ่งก็ถูกโยนออกไป แต่กลับมีจุดจบไม่ต่างไปจากเดิม

น้ากุ้ยหันหน้ามามองจินซู่กับเฉินผิงอันพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกเจ้าสองคนกลับเรือนเล็กกุยม่ายไปก่อน ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น จำไว้ว่าต้องจับรากของต้นกุ้ยฮวาให้แน่นถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต”

จินซู่ดีดปลายเท้าออกห่างไปจากเรือลำเล็ก พอพลิ้วร่างลงบนท่าเรือชายฝั่งถึงหันหน้ากลับมามอง

ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนนั้นยังอยู่ในเรือลำเล็ก และสุดท้ายตอนกลับมาในมือเขายังมีไม้พายเพิ่มมาด้วยอันหนึ่ง

จินซู่ถาม “นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?”

เฉินผิงอันตอบ “ไม้พายตีมังกร ไม่แน่ว่าอาจจะมีประโยชน์จริงๆ”

จินซู่ชำเลืองตามองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าเหมือนมองคนปัญญาอ่อน ก่อนจะหมุนตัวพุ่งทะยานไปยังยอดเขา

พริบตานั้นก็เหมือนภูเขาพังถล่มแผ่นดินแตกแยก เกาะกุ้ยฮวาทั้งเกาะยุบยวบลงไปตามน้ำทะเลหนึ่งร้อยจั้งกว่า

น้ำทะเลในรัศมีหลายลี้รอบเกาะกุ้ยฮวาที่เป็นจุดศูนย์กลางล้วนยุบตัวลงไปพร้อมกันอย่างน่าประหลาดใจ

เมื่อเป็นเช่นนี้ รอบด้านที่เดิมทีคือร่องน้ำเจียวหลงซึ่งอยู่เบื้องใต้เกาะกุ้ยฮวาและเรือเล็กพลันเปลี่ยนจากทัศนียภาพใต้ทะเลมาเป็นเทือกเขาสูงใหญ่ที่จมอยู่ใต้น้ำ

สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์เจียวหลงทั้งหมดพากันหันมาจับจ้องมองเกาะกุ้ยฮวา นี่ต่างหากถึงเรียกว่าคลื่นใต้น้ำที่แท้จริง

น้ากุ้ยบินทะยานไปด้านหน้า สุดท้ายลอยตัวอยู่กลางอากาศ พูดภาษาโบราณอะไรบางอย่างที่ทุกคนฟังไม่เข้าใจกับเจียวน้ำเกล็ดสีทองตัวหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกล ทว่าฝ่ายหลังกลับมีสีหน้าเย็นชา

‘กำจัดปีศาจ’ กระบี่เล่มที่อริยะหร่วนฉงเป็นคนหลอมซึ่งอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันสั่นระรัวอยู่ในฝักกระบี่ไม่หยุด

หากเป็นไปตามคำเตือนของหร่วนฉงก่อนหน้านี้ เมื่อพบกับปีศาจใหญ่ระดับนี้ เฉินผิงอันหนีไปได้ไกลเท่าไหร่ก็ควรหนีไปให้ไกลเท่านั้น แต่คราวนี้เฉินผิงอันจะหนีไปไหนได้?

เขาทั้งไม่ได้หนีไปหลบในเรือนเล็กกุยม่ายบนยอดเขา แล้วก็ไม่ได้ยืนรอความตายอยู่ที่เดิม

เฉินผิงอันมองไม้พายไม้ไผ่ที่ยังคงรักษาสีเขียวสดในมือแวบหนึ่ง ครุ่นคิดแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ วางไม้พายสีเขียวไว้บนเข่า ใช้มือลูบไปบนตัวอักขระของ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ จากนั้นเฉินผิงอันก็ควักเอาพู่กันเหล็กหมาดหิมะที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ออกมา เป่าลมให้ปลายพู่กันชุ่มชื้น จนกระทั่งปลายพู่กันเป็นสีชาดเหมือนเพิ่งจุ่มหมึกเข้มข้น เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม วางไม้พายลงบนพื้นฝั่งซ้ายมือ เด็กหนุ่มที่ใช้มือซ้ายจนเคยชินกลั้นลมหายใจ มือข้างที่ลอยอยู่กลางอากาศถือพู่กันที่สลักคำว่า ‘ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย’ อาศัยความทรงจำของตัวเองเริ่มเขียน ‘ยันต์ตัดโซ่’ ที่บันทึกไว้บน ‘ตำราที่แท้จริง’ ลงไปบนไม้พายไม้ไผ่ทีละขีดตัวอักษร

นี่เรียกว่ารักษาม้าตายเหมือนม้าเป็น

หากไม่ได้จริงๆ ก็คงได้แต่ชักกระบี่ที่อริยะเป็นคนหลอมออกมาจากด้านหลัง สร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่เลียนแบบเซียนกระบี่บรรพกาลที่เจอเจียวหลงก็สังหารเจียวหลงแล้ว

เมื่อเขียนยันต์เสร็จ บนไม้พายสีเขียวมรกตก็มีรอยเลือดผุดขึ้นมาจริงๆ

เฉินผิงอันสงบใจลงได้บ้างเล็กน้อย ในมือถือไม้พาย สะกิดปลายเท้ากระโดดขึ้นไปบนเรือที่ลอยตัวอยู่กลางน้ำ ไม่ได้ผูกติดกับท่าเรือ ยืนอยู่กลางเรือเพียงลำพัง ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยื่นฝ่ามือไปตบลงบนผิวน้ำสองข้างของเรือเล็กฝั่งละที เรือเล็กก็เหมือนลูกธนูที่แล่นฉิวออกไป

ไหล่ข้างหนึ่งของเฉินผิงอันแบกไม้พาย มือข้างหนึ่งปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา แหงนหน้าดื่มสุรา พึมพำในใจตัวเองว่า “ยันต์ตัดโซ่ ตัดอะไร โซ่อะไร ทางที่ดีที่สุดควรเป็นดั่งเซียนกระบี่บรรพกาลที่ตัดหัวมังกร เหมือนโซ่ตรวนพันธนาการมังกรของบ่อโซ่เหล็กที่บ้านเกิด จะสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่การกระทำในครั้งนี้แล้ว”

กลางมหาสมุทรใหญ่มีเจียวหลงโอบล้อมอยู่รอบด้าน เห็นได้ชัดว่าหายนะใหญ่มาเยือนแล้ว แม้แต่เทพเซียนก็ยากที่จะหลบหนีไปได้

ทว่าเมื่อภาพเหตุการณ์นี้ปรากฏอยู่ในสายตาของทุกคนบนเกาะกุ้ยฮวากลับเป็นภาพที่สง่างามอย่างถึงที่สุด

เรือน้อยลำหนึ่งพุ่งทะยานไปเบื้องหน้า

เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แบกไม้พายไว้บนไหล่กำลังร่ำสุรา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!