บทที่ 273 เฉินผิงอัน เจ้าฟังข้านะ
อันที่จริงเฉินผิงอันรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ยากนักกว่าจะเจอคนที่พูดภาษาทางการบุรพแจกันสมบัติทวีปได้ เพียงแต่ว่าเดินทางมาไกลขนาดนี้ เขารู้หลักการที่ว่าไม่ถามชื่อของพระ ไม่ถามอายุของนักพรตแล้ว เมื่อเจอกับคนแปลกหน้า ละลาบละล้วงถามอีกฝ่ายว่าแซ่อะไรมาจากไหนก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก
เฉินผิงอันจึงพาคู่สามีภรรยาเดินเข้าไปในหอจิ้งเจี้ยน บอกเล่าในสิ่งที่จินซู่เล่าให้เขาฟังแก่คนทั้งสองไปรอบหนึ่ง อีกทั้งเฉินผิงอันยังเป็นคนความจำดีมาตั้งแต่เด็ก ของเลียนแบบกระบี่เซียนและภาพวาดเซียนกระบี่ที่อยู่ในแต่ละห้อง ขอแค่ตั้งใจจดจำ เฉินผิงอันก็จะสามารถบอกชื่อแซ่ ชื่อกระบี่และประวัติความเป็นมาคร่าวๆ ให้คู่สามีภรรยาฟังได้ทันที
พาคู่สามีภรรยาเดินชมหอจิ้งเจี้ยนแล้วเฉินผิงอันก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา คิดว่าในเมื่อส่งมอบกระบี่ไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ที่ภูเขาห้อยหัวให้นานอีกสักหน่อย ไล่จดบันทึกเซียนกระบี่และกระบี่เซียนบางส่วนในหอจิ้งเจี้ยนที่ต้องตาเอาไว้ วันหน้าพอกลับไปถึงเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว ว่างงานหรือรู้สึกเบื่อเมื่อไหร่ก็สามารถเอามาพลิกเปิดดู ก็เหมือนยามที่แสงอาทิตย์สาดส่องมายังไม้ไผ่แผ่นเล็กที่บันทึกคำกลอนงดงามและหลักการในโลกมนุษย์ ต่อให้เฉินผิงอันเห็นไกลๆ ก็ยังรู้สึกสบายใจมากเป็นพิเศษ ความอบอุ่นนั้นราวกับว่าแสงแดดไม่ได้ส่องลงบนไม้ไผ่แผ่นเล็กและตัวอักษร แต่ส่องลงบนหัวใจของเขาเอง
ตอนที่คัดลอกสำเนาสามารถฝึกตัวอักษรได้พอดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกพู่กัน หมึกและกระดาษที่ภูเขาห้อยหัวจะแพงมากหรือไม่
สตรีแต่งงานแล้วที่ยังสาวคนนั้นพูดยิ้มๆ ว่า “เจ้าความจำดีมาก”
เฉินผิงอันหยุดความคิดทั้งหมดลง หันไปส่งยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย ความสามารถเล็กน้อยแค่นี้ บนภูเขาไม่นับเป็นอะไรได้ คิดดูแล้วฮูหยินท่านนี้คงแค่ชวนคุยอย่างมีมารยาทเท่านั้น
คราวนี้เฉินผิงอันดูถูกตัวเองเกินไปแล้วจริงๆ เพราะสามีภรรยาที่สายตาดีเยี่ยมคู่นี้แน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่าทุกครั้งที่เฉินผิงอันมองไปยังของเลียนแบบกระบี่เซียนเล่มใดเล่มหนึ่งล้วนเต็มไปด้วยความมั่นใจ นี่เรียกว่าตายังมองไม่เห็น แต่จิตกลับไปถึงก่อนแล้ว นี่คือคอขวดที่เลื่องลือจุดหนึ่งของเซียนกระบี่ เป็นตัวตัดสินระดับความสูงในท้ายที่สุดของเซียนกระบี่ ว่าจะกลายเป็นเซียนกระบี่น้อยที่ถูกกระบี่บินกักขังเจตจำนงเดิม หรือจะเป็นเซียนกระบี่บนมหามรรคาที่สามารถควบคุมปณิธานกระบี่ได้นับพันนับหมื่น
เดินผ่านห้องต่างๆ มาเกินครึ่งแล้ว แต่เฉินผิงอันก็ยังคงติดตามคู่สามีภรรยาชมแต่ละห้องอย่างละเอียดโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อันที่จริงพอเล่าประวัติคร่าวๆ ของหอจิ้งเจี้ยนไปแล้ว หลังจากนั้นก็แค่อาศัยความสนใจไปเลือกชมเซียนกระบี่หรือกระบี่มีชื่อเสียงที่ตัวเองชื่นชมเท่านั้น ทว่าสตรีแต่งงานแล้วยังคอยหันมาชวนเฉินผิงอันคุยอยู่เป็นระยะ เฉินผิงอันจึงติดตามพวกเขาไปเรื่อยๆ
ตั้งแต่ต้นจนจบ บุรุษผู้นั้นไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไปรอพวกเจ้าข้างหน้า”
สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับ ไม่ได้คิดอะไรมาก หันมาพูดคุยกับเฉินผิงอันต่ออีกครั้ง แม้ว่าเฉินผิงอันจะมาที่หอจิ้งเจี้ยนแล้วรอบหนึ่ง แต่นอกจากเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงนานนับพันปีซึ่งมีรูปวาดแปะอยู่บนผนังเหล่านี้แล้ว อันที่จริงเขาก็แทบจะไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับกำแพงเมืองปราณกระบี่เลย กลับเป็นสตรีแต่งงานแล้วผู้ซึ่งมาเยือนที่นี่ด้วยความเลื่อมใสที่พูดจ้อไม่หยุด เล่าเรื่องราวอันเป็นตำนานของเซียนกระบี่หลายท่าน ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกแซ่ต่งอะไรนั่น บอกว่าการที่กระบี่พกของเขามีชื่อว่า ‘สามอสุภ’ นั้น ไม่ใช่เพราะเขาศรัทธาในลัทธิเต๋า (สามอสุภในลัทธิเต๋ากล่าวไว้ว่าในร่างกายมนุษย์มีสามผีที่ทำให้มนุษย์เกิดความปรารถนาในการกระทำชั่ว) แต่เป็นเพราะเขาเคยบุกเดี่ยวเข้าไปยังใจกลางของโลกเผ่าปีศาจ สังหารปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนไปสามตน (อสุภแปลได้ว่าซากศพ สามอสุภจึงหมายความว่าสามศพ) ด้วยเหตุนี้ตระกูลต่งจึงมีชื่อเสียงขึ้นมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ภายหลังเจ้าประมุขตระกูลต่งแทบทุกรุ่นต่างก็ต้องเคยสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตหยกดิบ หรือไม่ก็ขอบเขตเซียนด้วยมือตัวเองมาก่อน…
ในเมื่อพูดถึงตระกูลต่ง สตรีแต่งงานแล้วจึงพาเฉินผิงอันไปดูของเลียนแบบกระบี่ที่ชื่อว่า ‘จู๋เชี่ย’ (หีบไม้ไผ่ใบเล็ก) ด้วยความกระตือรือร้น เจ้าของกระบี่คือบรรพบุรุษคนหนึ่งของตระกูลต่งที่ฟื้นฟูตระกูลที่กำลังตกต่ำให้กลับมาเจริญรุ่งเรือง ตอนนั้นเดิมทีควันธูปของตระกูลต่งเบาบางเต็มที เจ้าประมุขถูกปีศาจใหญ่ตนหนึ่งทำร้ายบาดเจ็บสาหัสจนถึงแก่ความตาย ปราณกระบี่ในตระกูลเกิดสภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง จากนั้นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองที่อายุน้อยคนหนึ่งของตระกูลต่งก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว นำกระบี่ ‘สูงหนึ่งจั้ง’ ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเดินไปบนเส้นทางแห่งการสังหารปีศาจใหญ่ที่เหล่าบรรพบุรุษเคยเดินผ่านมาก่อน ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนไม่เห็นดีเห็นงามด้วย สองร้อยปีให้หลัง ผู้ฝึกกระบี่คนนี้ก็พาหนึ่งคนหนึ่งกระบี่กลับมากำแพงเมืองปราณกระบี่ และยังสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กมาใบหนึ่ง ด้านในบรรจุศีรษะของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสามตนหนึ่ง และก่อนที่เขาจะขึ้นไปบนหัวกำแพง ก็ได้ใช้กระบี่สูงหนึ่งจั้งที่ใกล้จะหักพังเต็มทีเล่มนั้นสลักตัวอักษรต่งลงบนกำแพงเมืองปราณกระบี่
นับแต่นั้นมา กระบี่ที่คนผู้นี้หลอมขึ้นใหม่ก็มีชื่อว่าจู๋เชี่ย
และตระกูลต่งก็กลายเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีน้ำหนักมากที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ตั้งแต่บัดนั้น
เมื่อได้พูดคุยกัน สตรีแต่งงานรู้ว่าเด็กหนุ่มแซ่เฉินก็ถามเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้มว่าได้สังเกตกระบี่เล่มที่ชื่อว่า ‘เฟยไหลซาน’ (ภูเขาบินมา) บ้างหรือไม่
เฉินผิงอันยิ้มเขิน รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เพราะว่าเจ้าของกระบี่เซียนที่มีชื่อประหลาดเล่มนี้ แซ่เฉิน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษและจดจำได้อย่างชัดเจน อันที่จริงขอแค่มีเซียนกระบี่แซ่เฉิน เฉินผิงอันก็จะตั้งใจจดจำทั้งเซียนและกระบี่ที่พวกเขาพกติดตัว หากไม่เป็นเพราะไม่เคยเรียนวาดภาพมาก่อน อีกทั้งข้างกายยังไม่มีจิตรกรฝีมือเลิศล้ำอย่างบนเกาะกุ้ยฮวาให้ขอความรู้ เฉินผิงอันก็หวังว่าในช่วงเวลาต่อจากนี้จะสามารถพกพาเอาลักษณะท่าทางของ ‘เซียนกระบี่’ เหล่านี้กลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกันได้
หลังจากนั้นสตรีแต่งงานแล้วก็ยิ้มและเลือกเอาเรื่องราววีรกรรมอันห้าวเหิมของเซียนกระบี่แซ่เฉินสองสามคนที่เป็นคนรู้จักมาเล่าให้เฉินผิงอันฟัง
เมื่อมีคนตั้งใจใช้คำพูดมาบรรยาย ไม่ใช่แค่ยกคำไม่กี่ประโยคในบันทึกที่กระชับรัดกุม ถ้อยคำเย็นชามาเล่า เรื่องราวก็มักจะเต็มไปด้วยสีสันน่าสนใจเสมอ ราวกับมีป้ายอนุสรณ์ยิ่งใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำแห่งกาลเวลา มีต้นหลิ่วมากมายยืนต้นเรียงราย แค่คนรุ่นหลังมายืนอยู่ใต้ต้นไม้ก็สัมผัสได้ถึงร่มเงาของพวกมัน นอกร่มเงาคือลมมรสุมที่โถมกระหน่ำ แม่น้ำแห่งกาลเวลาพัดกรากไหลเชี่ยว
เฉินผิงอันที่เดิมทีวางแผนไว้ว่าจะไม่ดื่มเหล้าอีกแล้ว เวลานี้กลับอดไม่ไหวยกเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้ง
แม่นางที่ตัวเองชอบไม่ชอบตน เป็นเรื่องที่น่าเสียใจมาก แต่ฟ้าไม่ได้ถล่มลงมา ควรจะมีชีวิตอย่างไรก็มีชีวิตอยู่ต่อไป
นี่คือเรื่องที่จู่ๆ เฉินผิงอันก็ใคร่ครวญจนเข้าใจตอนที่กลับเข้ามาในหอจิ้งเจี้ยนอีกครั้ง
แต่ไม่ใช่ว่าพอรู้จักเซียนกระบี่ที่สง่างามหลายคนแล้ว เฉินผิงอันจะรู้สึกว่าเรื่องที่ตัวเองเสียใจนี้เป็นเรื่องเล็กที่ไม่มีน้ำหนักอะไร
นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกแย่ยิ่งกว่าตอนที่ถูกทุบตีให้รู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตายบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วเสียอีก
ความรู้สึกเป็นทุกข์สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน ฝ่ายแรกเมื่ออดทนให้ผ่านไปได้ มันก็ผ่านไป
แต่ความเสียใจอย่างหลัง ดูเหมือนว่าหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี สิบปี ร้อยปี หรืออาจจะชั่วชีวิตก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะผ่านมันไปได้
ที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ พอเฉินผิงอันคิดว่าหากในอนาคตมีวันหนึ่งที่ตนชอบผู้หญิงคนอื่น ดูเหมือนว่าจะยิ่งทำให้เขาเศร้าเข้าไปอีก
ในตำราบอกว่าดื่มเหล้าดับทุกข์กลับยิ่งทุกข์ ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาถึงได้ตกใจกลัวจนไม่กล้าดื่มเหล้าอีก
ไม่ทันรู้ตัว จากตอนแรกที่เฉินผิงอันเป็นผู้นำทาง ถึงท้ายที่สุดกลับเป็นสตรีแต่งงานแล้วที่ช่วยอธิบายให้เฉินผิงอันฟังแทนอย่างเป็นธรรมชาติโดยที่คนทั้งสองไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสมแม้แต่น้อย
จากนั้นเฉินผิงอันก็เห็นว่าบุรุษคนนั้นยืนอยู่หน้าประตูห้องสุดท้าย หันมาส่งยิ้มให้ตนกับสตรีแต่งงานแล้ว
บุรุษไม่ชอบพูด ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินชมหอจิ้งเจี้ยนด้วยกัน เขาทำเพียงแค่หันมามองประเมินเฉินผิงอันเป็นระยะเท่านั้น
เดินเข้าไปในห้องสุดท้าย เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชั้นวางกระบี่จูอวี๋และโยวหวง สตรีแต่งงานแล้วร้องอุทานอย่างตกตะลึง “ทำไมสองท่านนี้ถึงไม่มีภาพวาดล่ะ? ได้ยินมาว่าเจ้าของกระบี่จูอวี๋คือบุรุษที่หล่อเหลามากของกำแพงเมืองปราณกระบี่เชียวนะ”
เฉินผิงอันเหงื่อตกเล็กน้อย แอบชำเลืองตามองบุรุษที่อยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง ขอให้เขาอย่าแสดงความหึงหวงออกมาเลย
คิดไม่ถึงว่าบุรุษจะยิ้มหน้าบานทันที “สตรีเจ้าของโยวหวงก็คือสาวงามที่หาได้ยากในใต้หล้าเหมือนกัน”
เฉินผิงอันรู้สึกไม่พอใจแทนสตรีแต่งงานแล้วขึ้นมาทันที ผู้หญิงก็ได้แค่พูดล้อเล่นไม่กี่ประโยค ยังจะทำอะไรได้? เจ้าเป็นผู้ชายควรจะใจกว้างสักหน่อย เหตุใดถึงได้ประชดประชันกันอย่างนี้?
สตรีแต่งงานแล้วมองค้อนบุรุษของตัวเอง หันไปพูดยิ้มๆ กับเฉินผิงอัน “ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้าที่พาข้าเดินเที่ยวชมหอจิ้งเจี้ยน”
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่เป็นไรๆ ตัวข้าเองชอบเดินเล่นที่นี่ อีกสองสามวันหลังจากนี้ก็ยังจะมาอีก”
บุรุษหรี่ตาลง “ได้ยินว่าในหอจิ้งเจี้ยนมีเด็กโง่คนหนึ่งชอบเช็ดคราบน้ำลายให้กับกระบี่สองเล่มและชั้นวางกระบี่ในห้องนี้ คงไม่ใช่เจ้าหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันไม่อยากให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน จึงแสร้งทำหน้ามึนงง โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่ใช่ๆ ข้าจะโง่ขนาดนั้นได้ยังไง?”
สตรีแต่งงานแล้วแอบกระทืบหลังเท้าบุรุษหนึ่งที จากนั้นจึงหันมาพูดกับเฉินผิงอันว่า “พวกเราจะไปแล้ว เจ้าจะไปจากที่นี่พร้อมกันหรือไม่?”
จู่ๆ บุรุษก็ถามว่า “เห็นว่าเจ้าเป็นคนชอบดื่มเหล้า เจ้าอยากไปดื่มเหล้าไหม? ข้ารู้จักสถานที่ดีๆ ที่มีเหล้าดื่ม ของดีแถมยังราคาถูก หากไม่ใช่คนคุ้นเคยจะไม่เรียกซื้อ”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
บุรุษพูดเสียงขุ่น “มีคนบอกว่าจะเลี้ยงเหล้า เจ้าก็ไม่ควรปฏิเสธ อยู่ในภูเขาห้อยหัวยังกลัวว่าจะเจอคนชั่วอีกหรือ? อีกอย่างเจ้าคิดว่าพวกเราสองสามีภรรยาเหมือนคนที่อยากได้กระบี่ผุๆ หนึ่งเล่มและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พังๆ ลูกหนึ่งของเจ้าจนตัวสั่นหรือไง?”
เฉินผิงอันกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
บุรุษผู้นี้พูดตรงเกินไปแล้ว
บุรุษถูกสตรีแต่งงานแล้วกระทืบหลังเท้าอีกหนึ่งที ฝ่ายหลังบ่นพึมพำ “ใครกันที่บอกว่าเกลียดคนที่คะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้ามากที่สุด?”
บุรุษไม่กล้าเถียงภรรยาจึงหันมาถลึงตาใส่เฉินผิงอันแทน
เฉินผิงอันจึงหันไปคลี่ยิ้มให้สตรีแต่งงานแล้ว
บุรุษยิ่งอารมณ์ขุ่น แต่กลับถูกสตรีแต่งงานแล้วลากให้เดินไปที่หน้าประตูเสียก่อน
คนทั้งสามจึงเดินออกจากหอจิ้งเจี้ยน ลงบันไดไปพร้อมกัน
บุรุษที่อดกลั้นมานานถามขึ้นว่า “ไม่ดื่มเหล้าจริงๆ รึ? เหล้าดับทุกข์ของภูเขาห้อยหัวเป็นเหล้าที่ทั้งผีขี้เหล้าและเซียนสุราทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลต่างก็อยากดื่ม ว่ากันว่าปีนั้นหลี่เซิ่งลัทธิขงจื๊อทิ้งวิธีหมักเหล้าสูตรเฉพาะไว้ด้วยตัวเอง ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้ว เจ้าคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยตอบข้า”
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แวบหนึ่ง ด้านในเหลือเหล้าหมักกุ้ยฮวาอยู่อีกไม่มากแล้ว
บุรุษจุ๊ปากพูด “ไอ้หนู นิสัยพิรี้พิไรแบบนี้ของเจ้า เกรงว่าคงหาภรรยายาก”
มีดนี้แทงเข้ากลางใจของเฉินผิงอันเต็มๆ คิดในใจว่าก็เพราะข้าผู้อาวุโสไม่มัวพิรี้พิไรไงล่ะ ตอนนี้ถึงได้เป็นเหมือนวิญญาณเร่ร่อน ดึกดื่นค่อนคืนยังเตร่อยู่ในภูเขาห้อยหัว ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่แน่ว่าอาจจะได้เดินเล่นชมทิวทัศน์อยู่ข้างกายแม่นางหนิงไปแล้ว!
เฉินผิงอันแค่นเสียงตอบ “ไม่ดื่มเหล้า! ไม่มีภรรยาก็ไม่มีภรรยาสิ!”
นี่ถือว่าเฉินผิงอันเกิดโทสะอย่างที่หาได้ยากแล้ว
ย้ายสายตาไปมองฮูหยินท่านนั้น สีหน้าของเฉินผิงอันดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก เขายกมือขึ้นกุมคารวะ “ฮูหยิน ไว้พบกันใหม่”
สตรียังสาวยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เหล้าดับทุกข์ของภูเขาห้อยหัวสมควรชิมจริงๆ ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบทั่วไป คิดจะชิมสักจอกก็ยังยาก พวกเราสนิทกับเถ้าแก่ของที่นั่นถึงได้เข้าไปดื่มเหล้าได้ หากเจ้าชอบดื่มเหล้าก็ไม่ควรพลาด อืม ต่อให้ไม่ชอบดื่ม ทางที่ดีที่สุดก็ไม่ควรพลาดเหมือนกัน”
เฉินผิงอันเริ่มลังเล
บุรุษก็เริ่มพูดฟ้อง “เห็นไหม อิดๆ ออดๆ เจ้าชอบลงหรือไง? สรุปคือข้าไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่”
เฉินผิงอันหน้าดำคล้ำ ในใจคิดว่าข้าผู้อาวุโสจะต้องให้เจ้ามาชอบไปทำไม
อันที่จริงคืนนี้เฉินผิงอันเหมือนคนขี้เมาที่ดื่มเหล้าจนเมามายแล้วยังไม่คืนสติ อารมณ์ไม่ใคร่จะดีเท่าไหร่นัก ถึงอย่างไรพระโพธิสัตว์ดินเผาก็มีโทสะได้
สตรีแต่งงานแล้วไม่สนใจบุรุษที่ใจแคบเหมือนไส้ไก่ ตบไหล่เด็กหนุ่มแล้วเอ่ยสัพยอกว่า “ไป ไปดื่มเหล้าด้วยกัน ข้าว่าเจ้าเหมือนคนมีเรื่องในใจ ถึงเวลาพอดื่มเหล้า เจ้าไม่ต้องสนใจว่าคนผู้นี้จะบ่นอะไร แค่ดื่มเหล้าของตัวเองไปก็พอ ฟ้าดินกว้างใหญ่ จอกเหล้าใหญ่ที่สุด ภูเขาสูงสายน้ำยาวไกล น้ำสุราลึกที่สุด”
เฉินผิงอันเกาหัวแล้วเดินไปข้างหน้ากับสตรีแต่งงานแล้ว
บุรุษเดินอยู่ด้านหลังคนทั้งสอง หันกลับไปมองหอจิ้งเจี้ยนแวบหนึ่งแล้วกระตุกมุมปาก
พอถูกคนผู้หนึ่งโยนออกมาจากหอจิ้งเจี้ยน นักพรตหญิงแห่งภูเขาห้อยหัวที่รับผิดชอบเฝ้าหอจิ้งเจี้ยนก็รีบมาที่ลานกว้างตีนภูเขาเดียวดาย ร้องไห้ตีโพยตีพายกับนักพรตน้อยที่กำลังเปิดหน้าหนังสือ ฟ้องการกระทำของบุรุษผู้นั้นกับอาจารย์ของตัวเอง นักพรตน้อยฟังคำพูดที่เกิดจากความแค้นเคืองของนักพรตหญิงอย่างไม่ใส่ใจจนจบก็ถามว่า “เจ้ายังไม่รู้ว่าเขาเป็นใครสินะ?”
นักพรตหญิงขอบเขตโอสถทองส่ายหน้าอย่างเลื่อนลอย
นักพรตน้อยพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นคนไม่รู้ก็คือไม่ผิด เจ้าไปเถอะ”
นักพรตหญิงยิ่งคลางแคลงใจ
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่นั่งอยู่บนเสาผูกม้าด้านหลังกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ไม่เข้มงวดขัดเกลาลูกศิษย์ ถือเป็นความขี้เกียจของครูโดยแท้”
นักพรตน้อยกล่าวอย่างเดือดดาล “ผายลม นี่เป็นคำพูดระยำของลัทธิขงจื๊อ สายของข้าไม่เคยเลื่อมใสในคำพูดนี้! ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่การวางตัวและการฝึกตนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง?!”
นักพรตหญิงตกใจตัวสั่นสะท้าน หยุดนิ่งอยู่ที่เดิม หลุบตามองต่ำ ไม่กล้าขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ไม่เพียงแต่ไม่หยุดเมื่อถึงเวลาสมควร กลับกันยังราดน้ำมันลงบนกองไฟโดยการพูดกลั้วหัวเราะคิกคัก “มิน่าเล่าภาพเหมือนนายท่านมรรคาจารย์เต๋าของพวกเจ้าที่อยู่ในหอซ่างเซียงถึงได้แขวนไว้สูงขนาดนั้น ห่างจากสามเจ้าลัทธิอาจารย์ของพวกเจ้าไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้เลยทีเดียว”
นักพรตน้อยกระโดดผลุงขึ้นมา “เจ้าอยากมีเรื่องใช่ไหม?”
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่หัวเราะฮ่าๆ “โชคดีที่เจ้าไม่ได้พูดว่า ‘เจ้าอยากรนหาที่ตาย’ ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องวิจารณ์ว่าเจ้าพูดจาเหลวไหล ข้าคนนี้ข้อดีอย่างอื่นไม่มี แค่เป็นคนตรงไปตรงมาอย่างที่อาเหลียงพูด ดังนั้นเรื่องการประจบสอพลอและเปิดโปงข้อเสียของคนอื่น ขนาดอาเหลียงยังบอกว่าข้าอยู่ในอันดับต้นๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
นักพรตน้อยโมโหจนกัดฟันกรอดๆ เอาสองมือไพล่หลัง เดินเป็นวงกลมอยู่บนเบาะพลางพึมพำเบาๆ “เจ้าคิดว่าเจ้าคืออาเหลียงของที่นี่? เจ้าคือผู้ลี้ภัยที่เกิดและเติบโตมาจากที่นั่น…หากไม่เป็นเพราะอาจารย์เคยเตือนให้ข้าทำตัวดีๆ กับคนอื่น วันนี้ข้าจะอัดให้เจ้าจำหน้าเดิมตัวเองไม่ได้ ไม่สนด้วยว่าเจ้าจะถูกฟ้าดินของที่แห่งนี้กดกำราบขอบเขตให้ถดถอยลงไปครึ่งหนึ่งหรือไม่ ชนะแบบไม่สมเกียรติแล้วอย่างไร อัดให้เจ้าไม่มีหน้าออกมาพบเจอคนตลอดหนึ่งปีต่างหากที่ถึงจะสาแก่ใจ อัดให้เจ้าเป็นเหมือนศิษย์พี่ที่อยู่ด้านบนภูเขาเดียวดายในปีนั้น…เกลียดขี้หน้าเจ้ามาหลายปีแล้ว…”
นักพรตหญิงที่เดิมทีหวังให้อาจารย์ช่วยหนุนหลัง กลับต้องมาเห็นอาจารย์เกิดโทสะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนก็ให้รู้สึกเสียใจจนไส้เขียว ตนไม่ควรมาที่นี่เลย
โดยเฉพาะเมื่ออาจารย์เปิดเผยความลับสวรรค์บางอย่างออกมาโดยไม่ทันระวัง นักพรตหญิงก็รู้สึกว่าวันเวลาในภูเขาห้อยหัวของตนคงดำเนินไปอย่างยากลำบากแล้ว
เทียนจวินอาจารย์ลุงที่พิทักษ์ใจกลางของภูเขาเดียวดายท่านนั้นอาจจะคร้านมาสนใจตน แต่ลูกศิษย์ใหญ่ของเขา เจียวหลงเจินจวินที่ถือแส้ปัดฝุ่นไว้ในมือ บุคคลทรงอิทธิพลลำดับสามของภูเขาห้อยหัวผู้นั้นมีชื่อเสียงเรื่องการเคารพอาจารย์และให้ความสำคัญกับมรรคามากที่สุด เขาจะต้องแอบเล่นงานสร้างความลำบากแก่นางอย่างลับๆ ไปจนชั่วฟ้าดินสลาย ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ …
นักพรตหญิงอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
เหตุใดตนต้องมาเจอกับอาจารย์ที่ไม่เคยปกป้องลูกศิษย์ของตัวเองท่านนี้ด้วยนะ
บนถนนนอกหอจิ้งเจี้ยน เฉินผิงอันที่ได้มาเดินเที่ยวหอจิ้งเจี้ยนกับคู่สามีภรรยาจนทั่วอย่างงงๆ ตอนนี้กำลังเดินตามคนทั้งสองไปดื่มเหล้าลืมทุกข์อะไรที่ร้านเหล้าแบบงงๆ ด้วย
บางครั้งเขาก็รู้สึกเลื่อนลอย บางครั้งก็คุยกับฮูหยินที่หันมาถาม เหมือนว่าจะผ่านไปนานมาก แต่ก็เหมือนว่าจะเป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป คนทั้งสามก็มาถึงร้านสุราที่ยังไม่ปิดกิจการ แต่การค้าซบเซา ในร้านกลับไม่มีแขกเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงลูกจ้างร้านเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ฟุบงีบหลับอยู่บนโต๊ะ กับตาเฒ่าอีกคนหนึ่งที่นั่งหยอกนกตัวหนึ่งในกรงอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน
เถ้าแก่เฒ่าชำเลืองตามาเห็นสองสามีภรรยา “แขกที่หาได้ยากๆ จำเป็นต้องเอาเหล้าออกมาแล้ว”
จากนั้นเขาก็ปรายตาไปมองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่อยู่ด้านหลังคนทั้งสอง ขมวดคิ้วมุ่น แต่แล้วก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง ไม่ได้พูดอะไร ดูเหมือนว่าเพราะเห็นแก่มิตรภาพถึงได้ยอมหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง
ผู้เฒ่าหันไปตวาดใส่ลูกจ้างจอมเกียจคร้านคนนั้น “สวี่เจี่ย! นอนๆๆ ทำไมเจ้าไม่นอนให้ตายไปเลยล่ะ! ลูกค้ามาแล้ว ไปยกเหล้ามาหนึ่งไห!”
เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าสวี่เจี่ยพลันสะดุ้งตื่น เช็ดคราบน้ำลาย ลุกขึ้นยืนอย่างไร้เรี่ยวแรง เดินหลังงอไปยกเหล้ามาหนึ่งไห วางไว้บนโต๊ะของคนทั้งสาม หาวพลางกล่าวว่า “ลูกค้าทั้งสามท่าน ดื่มช้าๆ กฎเดิม ที่ร้านไม่มีอาหารให้กิน”
สตรีแต่งงานแล้วผงกศีรษะตอบรับ จากนั้นก็คลี่ยิ้มให้เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “มีหลวงจีนท่านหนึ่งที่ร้ายกาจมากเคยเดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ ดื่มเหล้าลืมทุกข์ไปแล้วก็เอ่ยชมไม่ขาดปาก เขากล่าวไว้ว่า ‘สิ่งที่ทำลายพระในใจของข้าได้ มีเพียงสุรานี้’”
ผู้เฒ่าที่เป็นเถ้าแก่พูดยิ้มๆ ว่า “ก็ใช่น่ะสิ หลวงจีนเฒ่าผู้นั้นร้ายกาจจริงๆ เกรงว่าต่อให้อาเหลียงใช้กระบี่ฟันลงไปหลายครั้งก็คงไม่อาจทำลายฟ้าดินขนาดเล็กของลาหัวโล้นผู้นั้นได้”
อ้อมไปอ้อมมาก็คืออยากจะพูดว่าเหล้าของตัวเองร้ายกาจที่สุดในใต้หล้านั่นเอง
แต่เฉินผิงอันที่ได้ยินคนอื่นในภูเขาห้อยหัวพูดถึงอาเหลียง ลึกๆ ในใจเขากลับดีใจมาก
ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงอยากจะดื่มเหล้าจริงๆ แล้ว
ผลกลับกลายเป็นว่าผู้เฒ่าดันตบโต๊ะดังปัง กล่าวอย่างมีโทสะ “แม่งเอ๊ย พูดถึงอาเหลียงทีไรก็โมโหทุกที! ติดเงินค่าเหล้าข้ายี่สิบกว่าไห ทั้งใต้หล้าก็มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้น! ปีนั้นเฉินฉุนอันแห่งนาตยทวีป และยังมีเทพแห่งการต่อสู้หญิงคนที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นเมื่อไม่นานมานี้ รวมไปถึงไอ้พวกตาแก่จากเมธีร้อยสำนักทั้งหลาย มีใครบ้างที่กล้าติดค้างเงินค่าเหล้าข้า?”
“พวกเรามาพูดถึงบัณฑิตคนนั้นของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ช่วงที่ตกต่ำที่สุด ยังไม่ได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรเล็กๆ ผู้นั้นน่ะ ดื่มเหล้าแต่งกลอนร้อยบท ดื่มเหล้าอะไร ก็เหล้าของข้านี่ไงล่ะ! แต่เขามาๆ ไปๆ สามครั้ง นับรวมกันแล้วยังติดเหล้าข้าไม่ถึงสี่ห้าไห แต่อาเหลียงนั่นเป็นคนก่อกรรมทำชั่ว ข้ากลับต้องกลายมาเป็นคนรับกรรมแทนเขา!”
สตรีแต่งงานแล้วหันมาขยิบตาให้เฉินผิงอัน ราวกับต้องการบอกว่าผู้เฒ่ามีนิสัยเป็นแบบนี้เอง ปล่อยให้เขาพูดไป เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจ
ลูกจ้างเด็กหนุ่มกล่าวอย่างอัดอั้นไม่พอใจ “ตาเฒ่า ท่านอย่าพูดถึงอาเหลียงอีกได้ไหม เพื่อเขาแล้ว จนถึงวันนี้คุณหนูก็ยังไม่กลับมาภูเขาห้อยหัว ข้าคิดถึงคุณหนูจะตายอยู่แล้ว”
ผู้เฒ่าพลันลดระดับเสียงกลายเป็นพูดพึมพำว่า “ลูกสาวที่ใจดำแบบนั้น ปล่อยให้สร้างหายนะให้คนอื่นอยู่ข้างนอกนั่นแหละดีแล้ว”
พอเปิดไหเหล้า บุรุษก็รินเหล้าใส่ถ้วยขาวใบใหญ่สามใบ แล้วก็เป็นอย่างที่ฮูหยินพูดไว้จริงๆ ในชีวิตนี้เขาเกลียดคนที่คะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้ามากที่สุด ถึงได้พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “หลังจากนี้อยากดื่มก็ดื่ม ไม่อยากดื่มก็เททิ้ง”
เฉินผิงอันจิบคำเล็กอย่างระมัดระวัง ไม่มีรสชาติอะไรมากนัก แค่แรงกว่าเหล้าหมักกุ้ยฮวาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นเผาดาบสะบั้นไส้ให้ขาดได้ เฉินผิงอันจิบคำเล็กติดๆ กันอีกสองคำ ทั้งลำคอและท้องล้วนไม่มีความผิดปกติใดๆ จึงวางใจได้อย่างเต็มที่ คาดเดาเอาว่าเหล้าลืมทุกข์นี้คงมีความลี้ลับในด้านอื่น ไม่ใช่ด้านของรสชาติ
เหล้าหนึ่งไห หลังจากทุกคนดื่มกันไปคนละสองถ้วยใหญ่ก็เหลือแค่ติดก้นไหแล้ว
สตรีแต่งงานแล้วหันไปยิ้มมองเถ้าแก่วัยชรา ขอเหล้าเพิ่มอีกหนึ่งไห ผู้เฒ่าเห็นว่าสตรีแต่งงานแล้วส่งยิ้มอ่อนหวานมาให้ก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง เดินไปหยิบมาด้วยตัวเอง เอาเหล้าสองไหวางลงบนโต๊ะเบาๆ “เหล้าทั้งสามไห ถือว่าข้าเลี้ยงพวกเจ้า ไม่คิดลงในบัญชี”
เฉินผิงอันดื่มจนหน้าตาแดงก่ำไปหมด ทว่าหัวสมองกลับโปร่งโล่งราวกับไม่มึนเมา ยิ่งไม่มีอาการของคนเมามาย แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงอาการเคลิ้มกรึ่มนิดๆ ของตัวเองอย่างชัดเจน
ดื่มเหล้าไปแล้วก็อยากพูดมากขึ้น
ก็เหมือนกับอาการเรอหลังดื่มเหล้าที่จะให้กลั้นเอาไว้ก็ไม่มีปัญหา แต่ถึงอย่างไรได้ปล่อยออกมาก็รู้สึกดีกว่า
ตอนแรกบุรุษเอาแต่ก้มหน้าก้มตาดื่มเหล้า บ้างก็มองออกไปนอกร้าน ใจลอยไปไกล
ส่วนสตรีแต่งงานแล้วดูเหมือนจะชอบคุยกับเฉินผิงอันมาก คุยตั้งแต่เรื่องบ้านเกิดของเฉินผิงอันจนมาถึงการเดินทางไกลสองครั้ง
ในเมื่อไม่ได้เมา เฉินผิงอันจึงเลือกเล่าเรื่องราวและบุคคลที่น่าสนใจให้นางฟัง
ภายหลังไม่รู้ว่าพูดไปถึงแม่นางคนนั้นได้อย่างไร
เฉินผิงอันที่เดิมทีตัดสินใจว่าดื่มเหล้าหมดสี่ชามจะคว่ำชามเลิกดื่มกลับรินเหล้าให้ตัวเองเงียบๆ อีกหนึ่งชาม แต่ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เอากระบี่มาส่ง บอกแค่ว่าตัวเองมีธุระต้องออกจากบ้านเกิดมาที่ภูเขาห้อยหัว แล้วได้รู้จักกับแม่นางคนหนึ่งพอดี บ้านของนางอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ จากนั้นคนทั้งสองก็ได้พบกัน ง่ายดายเพียงเท่านี้
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เดินทางมาไกลมากเลยสิ?”
เฉินผิงอันถือถ้วยไว้ในมือ ครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่ไกลหรอก คิดแค่ว่าเดินก้าวหนึ่งก็ขยับใกล้ขึ้นอีกนิด แค่นี้ก็ไม่รู้สึกว่าไกลเท่าไหร่แล้ว”
บุรุษหัวเราะเสียงเย็น “เจ้ารู้จักกับแม่นางคนนั้นมานานแค่ไหน ไปมาหาสู่กันนานเท่าไหร่? ถึงได้พูดไม่หยุดปากว่าชอบนาง? เหลาะแหละเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะเถียงอย่างไร ได้แต่พูดอย่างอัดอั้นไม่พอใจ “จะชอบใคร ข้าบังคับตัวเองไม่ได้สักหน่อย เจ้าคิดว่าข้าเหลาะแหละก็คิดไปเถอะ ข้าบังคับเจ้าไม่ได้เหมือนกัน”
บุรุษร้องหึอยู่ในลำคอ คาดว่าประโยคนี้ของเฉินผิงอันคงแทงใจดำเขาเหมือนกัน ประเด็นสำคัญคือเด็กหนุ่มพูดอย่างจริงใจมาก
เรื่องเล่าลือบนภูเขาไม่รู้จริงเท็จ
ดื่มเหล้าลืมทุกข์ก็คือคนจริงใจ
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยปลอบใจ “จากนั้นก็ถูกแม่นางคนนั้นปฏิเสธ? อย่าท้อแท้นะ เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่า ระหว่างคนบางคนถูกกำหนดมาแล้วว่าขอแค่ได้พบกัน ก็คือสิ่งที่ถูกต้อง หากยังได้กลับมาเจอกันอีกครั้งก็เป็นอะไรที่ดีที่สุด”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอีกอึกใหญ่ นัยน์ตาปรือปรอย แต่ดวงตาทั้งคู่กลับใสกระจ่างดุจธารน้ำที่มองเห็นถึงก้นบึ้ง ไม่ว่าจะเป็นความดีใจ เสียใจ เสียดายหรือชื่นชอบล้วนไหลรินอยู่ในนั้น อีกทั้งยังสะอาดบริสุทธิ์ เด็กหนุ่มส่ายหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ชอบคนคนหนึ่ง ควรต้องทำให้นางดีใจไม่ใช่หรือ หากคิดว่าชอบใครแล้วคนคนนั้นจะต้องยอมคบกับตัวเอง แบบนั้นจะเรียกว่าชอบได้หรือ?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของเด็กหนุ่ม “แต่ถึงแม้ปากข้าจะพูดแบบนี้ อันที่จริงหัวใจข้ากลับเสียใจจะตายอยู่แล้ว ข้าอยากให้ทั้งภูเขาห้อยหัว ทั้งใต้หล้าไพศาลล้วนรับรู้ว่าข้าชอบแม่นางคนนั้น จากนั้นข้าก็หวังว่าใต้หล้าแห่งนี้ จะมีแค่แม่นางคนนี้ที่ชอบข้า…”
กล่าวมาถึงท้ายที่สุด เฉินผิงอันเมาแล้วจริงๆ เป็นเหตุให้ลืมดื่มเหล้า วางศีรษะพาดโต๊ะ งึมงำไม่หยุด
เขาลืมด้วยว่าตัวเองโต้เถียงกับบุรุษอย่างไร ลืมว่าถึงขั้นลงไม้ลงมือกันด้วย
คล้ายฝันคล้ายไม่ฝัน กึ่งหลับกึ่งตื่น ดูเหมือนว่าด้วยความโมโห ขอบเขตของเขาได้ทะยานจากขั้นสี่ไปขั้นเจ็ดในรวดเดียว ไม่มีวาสนากับขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว และดูเหมือนว่าสตรีแต่งงานแล้วจะยังถามเขาว่า เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับบิดามารดาของแม่นางคนหนึ่ง แล้วต้องละทิ้งอนาคตของวิถีวรยุทธ์ตัวเองไป มันคุ้มแล้วหรือ? วันหน้าเจ้าจะยังกลายเป็นเซียนกระบี่ที่ร้ายกาจที่สุดในใต้หล้า เป็นเซียนกระบี่ใหญ่อีกได้อย่างไร?
คำตอบของเฉินผิงอันในตอนนั้นก็คือ “ชอบแม่นางคนหนึ่ง ไม่ใช่ดีแต่พูด หากวันนี้ข้าไม่ทำแบบนี้ สมมติว่าพวกท่านคือพ่อแม่ของหนิงเหยา แล้วพวกท่านคิดหรือว่าหากข้าเฉินผิงอันมีเงินแล้ว มีตบะที่สูงมาก ได้กลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่จริงๆ จะยอมเสียสละสิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อบุตรสาวของพวกท่านได้อีก? ไม่มีทางหรอก…ความชอบแบบนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ถือเป็นความชอบที่แท้จริง นั่นเป็นการโกหกตั้งแต่แรกเริ่ม…”
ทั้งหมดนี้เฉินผิงอันจำไม่ได้แล้ว
เถ้าแก่วัยชราสีหน้าเป็นปกติ
เพราะเคยเห็นภาวะหลากหลายบนโลกมนุษย์มานับพันนับหมื่นปี
ลูกจ้างเด็กหนุ่มคนนั้นที่นั่งอยู่ข้างๆ มองเหตุการณ์ด้วยความเพลิดเพลิน
สุดท้ายเฉินผิงอันที่เมาก็หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง บุรุษมองเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง กระดกเหล้าขึ้นดื่มแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็ยังไม่ชอบเจ้าเด็กนี่อยู่ดี ทึ่มทื่อ โง่ เก็บกด ไม่สง่างามมากพอ ไม่ใจกว้าง พรสวรรค์ธรรมดา จิตใจแค่พอถูไถ นิสัยแค่มองก็รู้แล้วว่าดื้อด้าน วันหน้าหากทะเลาะกับลูกสาวเรา สุดท้ายแล้วไม่ว่าใครก็ไม่ยอมถอยสักก้าว จะทำอย่างไร? ด้วยนิสัยของลูกสาวเรา นางจะยอมรับผิดหรือ?”
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ยอมรับผิด? เจ้าเองก็รู้เหมือนกันหรือว่าเกินครึ่งต้องเป็นลูกสาวเราที่ทำผิดก่อน? รู้ด้วยว่าเด็กหนุ่มต้องยอมลงให้นางทุกเรื่อง?”
บุรุษรู้สึกร้อนตัวเหมือนวัวสันหลังหวะจึงเงียบเสียงลงอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก
จู่ๆ สตรีแต่งงานแล้วก็ยิ้มบางๆ พูดว่า “นึกออกแล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเด็กคนนี้ไม่สง่างามมากพอ คือความสง่างามของปัญญาชนผู้มีความรู้แต่เปลือกนอก หรือความสง่างามของบุรุษที่ห้อตะบึงไปในกลุ่มบุปผาเล่า?”
คำพูดนี้แอบแฝงปราณสังหาร
บุรุษพลันเกิดความคิดที่ทำให้เลื่อมใสตัวเอง ยกถ้วยเหล้าขึ้นแล้วกล่าวอย่างองอาจว่า “คำว่าสง่างามที่ข้าพูด หมายถึงว่าควรสลักคำนี้ไว้บนกำแพงเมืองปราณกระบี่!”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มกว้าง
บุรุษหัวเราะแห้งๆ หาทางลงให้กับตัวเองด้วยการเอ่ยว่า “อันที่จริงเจ้าเด็กโง่คนนี้ก็ดีมากเหมือนกัน ลูกสาวของพวกเราควรต้องหาคนแบบนี้จริงๆ”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มอย่างอบอุ่น มองไปนอกร้านแล้วพึมพำขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ขอโทษนะ”
บุรุษข้างกาย บุตรสาวหนิงเหยา กำแพงเมืองปราณกระบี่ และใต้หล้าไพศาล
นางล้วนขอโทษทั้งหมด
ทั้งบุรุษและสตรีต่างก็ร่ายเวทอำพรางตา เรื่องราวหลังจากที่เฉินผิงอันเมาหลับไปล้วนสลายหายไปดั่งกลุ่มควัน
แม่นางที่เฉินผิงอันชอบ เหมือนทั้งเขา และก็เหมือนทั้งนาง
บุรุษที่นั่งเคียงไหล่กับนางกุมมือของสตรีแต่งงานแล้วเบาๆ “พวกเราแค่ผิดต่อบุตรสาวเท่านั้น ไม่ผิดต่อใครทั้งสิ้น”
จู่ๆ บุรุษก็ยิ้มกว้างมองไปทางเฉินผิงอัน “ลูกสาวเราสายตาดีจริงๆ”
หญิงสาวพยักหน้ารับทั้งรอยยิ้ม “เหมือนข้า”
ทันใดนั้นบุรุษก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย “ลูกสาวโง่คนนี้ พูดประโยคนั้นออกมา มันยากนักหรือไง?”
สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับ “ต้องยากมากอยู่แล้ว มีแม่นางคนไหนที่ชอบอีกฝ่ายแล้ว จะยังอยากให้เด็กหนุ่มที่ชอบตัวเองมาชอบแม่นางที่ต้องตายบนสนามรบกันล่ะ?”
บุรุษตบหน้าผาก “จะบ้าตาย! วกวนชะมัด!”
……
กำแพงเมืองปราณกระบี่ บนหินหน้าผาแท่นสังหารมังกร
นางนอนอยู่บนนั้น พูดเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าฟังข้านะ ข้าไม่ได้ไม่ชอบเจ้า”