บทที่ 276 ในบางครั้งการพบกันใหม่ก็คือสิ่งที่ดีที่สุด
เฉินผิงอันหมุนตัวด้วยความสับสนมึนงง ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงตำแหน่งใดของภูเขาห้อยหัวกันแน่ รอบด้านก็ไม่มีต้นไม้ที่ใหญ่พอให้เขาปีนขึ้นไปมองจากที่สูง บนถนนมีแค่ประตูเรือนและกำแพงสูง เฉินผิงอันหรือจะกล้าปีนขึ้นไปบนกำแพงบ้านของคนอื่นส่งเดช ทว่าเช้าตรู่แบบนี้ คนที่ออกมาเดินข้างนอกยังบางตา คนที่รู้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปก็ยิ่งไม่มีเลยสักคน หากเป็นเวลาปกติ ตนไม่กลับตลอดทั้งคืน จินซู่ที่อยู่ในโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยต้องร้อนใจอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าเรื่องอาจไปถึงหูเกาะกุ้ยฮวาที่กำลังยุ่งกับการขนถ่ายสินค้า เฉินผิงอันคงกระวนกระวายอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้ได้มาเดินอยู่บนถนนที่เงียบสงบ เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าเดินไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ปล่อยไปตามชะตาลิขิต ได้เห็นทัศนียภาพแบบไหนก็แบบนั้น
คนคนหนึ่งจะไม่เคยรบกวนคนอื่นเลยได้อย่างไร รบกวนบ้างครั้งสองครั้งก็ไม่จำเป็นต้องละอายใจเกินไป
เดินไปเดินมา เฉินผิงอันก็มองเห็นนาง
หนิงเหยายืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน กำลังเดินตรงมาหาเฉินผิงอันช้าๆ
นางสวมชุดยาวสีเขียวเข้ม หากจำไม่ผิด มันเหมือนชุดใหม่ที่เขาเคยซื้อให้นางตอนอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูมาก สวมอยู่บนร่างนาง เหมาะมาก
เฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้า มาหยุดอยู่ตรงหน้าหนิงเหยาแล้วหลุดปากพูดไปว่า “บังเอิญจัง”
หนิงเหยากระตุกมุมปากแล้วทำหน้าเคร่ง ไม่พูดไม่จา
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ ว่า “เดิมทีคิดไว้ว่าสองวันนี้จะเดินเที่ยวในภูเขาห้อยหัวให้ครบ เดินดูร้านค้าให้มากหน่อย สุดท้ายถึงค่อยตัดสินใจว่าจะไปซื้อของที่เรือนหลิงจือสักสองสามชิ้นดีหรือไม่ ถึงเวลานั้นจะได้มอบพวกมันให้เจ้าพร้อมกับกระบี่เล่มที่ช่างหร่วนเป็นผู้หลอม”
หนิงเหยาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เรือนหลิงจือจะมีของดีอะไรได้ อยากก็มีแค่หลิงจือสมปรารถนาดอกนั้นและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบหนึ่งที่พอจะเข้าท่าเข้าที แต่ข้าไม่มีความจำเป็นต้องใช้สักหน่อย อีกอย่างเรือนหลิงจือก็ไม่มีทางขาย เจ้าเองก็ซื้อไม่ไหว”
เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งทีแล้วเกาหัว รู้สึกเสียดายเล็กน้อย
หนิงเหยาลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะทำในสิ่งที่ขัดต่อนิสัยตัวเอง พูดอธิบายเสริมอีกหนึ่งประโยคอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น เจ้าอย่าคิดมาก”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่คิดมากหรอก ตอนนี้ในหัวข้าเหลวเป็นแป้งเปียก คิดอะไรก็ปวดหัวไปหมด”
หนิงเหยาถาม “เห็นข้าแล้ว ปวดหัวหรือไม่?”
เฉินผิงอันรีบตอบ “ดีขึ้นเยอะเลย”
หนิงเหยาถาม “เจ้าพักอยู่ที่ไหน? เดินเตร่ไปทั่วแบบนี้ ทำไม คิดอยากจะเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามที่ได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่ข้างทางงั้นรึ?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “เมื่อคืนวานดื่มเหล้าลืมทุกข์ของพื้นที่มงคลหวงเหลียงไป ผลกลับกลายเป็นว่าพอออกจากร้านก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะกลับไปยังไง”
คนทั้งสองเดินไปบนถนนอย่างเรื่อยเปื่อย หนิงเหยาถามว่า “เจ้าไปดื่มเหล้าลืมทุกข์ได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันกดเสียงลงต่ำ “มีสามีภรรยาคู่หนึ่งเลี้ยงเหล้าข้า น่าประหลาดมาก เมื่อครู่นี้ข้าถูกคนจับไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เห็นว่าพวกเขาอยู่บนหัวกำแพงด้วย แต่เมื่อคืนวานพวกเขากลับบอกว่าเพิ่งมาที่หอจิ้งเจี้ยนเป็นครั้งแรก แต่กลับสามารถเล่าเรื่องเซียนกระบี่ผู้อาวุโสได้อย่างคุ้นเคยเหมือนคนเหล่านั้นเป็นสมบัติในบ้านตัวเอง หรือว่าคนของภูเขาห้อยหัวไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ง่าย แต่หากสลับกันกลับยากมาก? แต่ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะน่าประหลาดใจแค่ไหน ข้าก็ยังรู้สึกว่าสองสามีภรรยาเป็นคนดี เลี้ยงเหล้าข้า เป็นเรื่องดี วันหน้าหากมีโอกาส ข้าจะต้องเลี้ยงเหล้าพวกเขากลับให้ได้”
หนิงเหยาอืมรับเสียงคลุมเครือไม่ชัดเจน
คนทั้งสองเดินอยู่ในตรอกเส้นหนึ่งที่เงียบสงบ กำแพงสูงสองฝั่งล้วนเต็มไปด้วยดอกหวายม่วง (ภาษาอังกฤษคือต้นวีสเตียเรีย) หนิงเหยาเงียบไปตลอดทาง
เฉินผิงอันถามว่า “แม่นางหนิง ตอนนั้นเจ้ารีบร้อนจากไป ข้าลืมถามเจ้าว่า เจ้ารังเกียจข้าใช่ไหม”
หนิงเหยาตอบอย่างรวดเร็ว “เปล่า”
เฉินผิงอันหยุดเดิน เอื้อมมือไปคว้าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตามจิตใต้สำนึก แต่ไม่นานก็ปล่อยมือ จ้องมองตรงไปที่หนิงเหยา “แม่นางหนิง ถ้าอย่างนั้นเจ้าชอบข้าหรือไม่?”
หนิงเหยาเงียบไม่ตอบ
เฉินผิงอันจึงเลียนแบบท่าทางของนางตอนอยู่บ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงในปีนั้นด้วยการยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว ตั้งวางห่างกันให้เหลือพื้นที่ว่างตรงกลางแค่เล็กน้อย “ชอบแค่เท่านี้ก็ไม่เลยหรือ?”
หนิงเหยาไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้ แต่ถามกลับว่า “ทำไมเจ้าถึงชอบข้า?”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับไป ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง ดื่มเหล้าอย่างรวดเร็วหนึ่งอึก เช็ดปากแล้วยิ้มกว้างตอบว่า “งั้นก็มีเรื่องให้พูดมากเลยล่ะ ข้าจะค่อยๆ พูดให้เจ้าฟัง ไม่ว่าอย่างไร แม่นางหนิงเจ้าต้องฟังข้าพูดให้จบก่อน ต่อให้จะโกรธแค่ไหนก็อย่าขัดจังหวะข้า ข้ากลัวว่าถ้าถูกขัดจังหวะจะไม่กล้าพูดอีกตลอดชีวิต แม่นางหนิง เจ้าสวยมากจริงๆ ก่อนหน้าที่ข้าจะพบเจอเจ้า อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูข้าไม่เคยเจอใครที่สวยกว่าเจ้ามาก่อน ภายหลังเจ้ามาพักรักษาตัวที่ตรอกหนีผิงก็ไม่เคยรังเกียจที่บ้านข้ายากจน เจ้ายังสอนข้าให้รู้จักตัวหนังสือ เพราะเจ้าช่วยอธิบายตำราหมัดเขย่าขุนเขาให้ข้าฟัง ข้าถึงได้เริ่มฝึกหมัด ถึงได้เดินมาถึงทุกวันนี้ เดินมาถึงที่ภูเขาห้อยหัว
ตอนอยู่บนสะพาน เจ้าให้ข้ายืมมีดทับกระโปรง จากนั้นพวกเราก็ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน เล่นงานวานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงด้วยกัน พวกเราเกือบตายแล้ว แต่สุดท้ายพวกเราก็ไม่ตาย ดีมากเลย ตอนอยู่ที่สุสานเทพเซียน ข้ายังเกือบจะฆ่าหม่าขู่เสวียนผู้นั้นได้ พวกเราไปที่ภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกด้วยกัน ไปช่วยหญิงสาวสกุลเฉินจากนาตยทวีปตามหาต้นอบเชยต้นนั้น ภายหลังมีครั้งหนึ่งที่เจ้าโกรธ ไม่ยอมให้ข้าช่วย จะต้มยาเองให้ได้จนหน้าดำมอมแมมไปหมด ข้ารู้สึกว่าเจ้าน่ารักมาก เจ้าเคยพูดประโยคหนึ่งว่ามหามรรคาไม่ควรเล็กแค่นี้ ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจ แต่ออกจากบ้านเดินทางไกลครั้งนี้ ข้าถึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ตอนที่เจ้าเกลี้ยกล่อมไม่ให้ข้าเป็นคนดีเกินเหตุและกุมารแจกทรัพย์สิน อันที่จริงข้าดีใจมาก ตอนนั้นที่เจ้าไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู ติดตามพวกเทพเซียนไปไกลขนาดนั้นแล้ว แต่ก็ยังเต็มใจขี่กระบี่กลับมาบอกลาข้า พอเจ้าจากไป ข้ากินถังหูลู่ที่ตอนเด็กแค่คิดถึงก็น้ำลายไหลเพียงลำพัง มันกลับไม่มีรสชาติอีกต่อไป อาจารย์ฉีจากไปแล้ว ข้าพาพวกเป่าผิงน้อยไปที่ต้าสุย ทุกครั้งที่ได้เห็นภูเขาสวยๆ ก็มักจะคิดถึงคิ้วของแม่นางหนิง เห็นน้ำใส ก็มักจะคิดถึงดวงตาของแม่นางหนิง พบเจอกับแม่นางหน้าตาดีมากมายระหว่างที่เดินทางก็จะคิดถึงแม่นางหนิง จากนั้นก็ดูเหมือนว่าพวกนางไม่สวยอีกต่อไปแล้ว”
หลังจากพูดประโยคเหล่านี้รวดเดียวหมดเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ เฉินผิงอันก็เริ่มคอแห้ง ใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกเพียงว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ในมือหนักหลายหมื่นชั่ง
แต่เฉินผิงอันไม่เสียใจที่ตัวเองพูดออกไปมากมายขนาดนี้
เฉินผิงอันพูดเสียงสั่น “แม่นางหนิง ข้าชอบเจ้าเป็นเรื่องของข้า เจ้าไม่ชอบข้าก็ไม่เป็นไร”
หนิงเหยาเอนหลังพิงกำแพง ดอกหวายม่วงเหล่านั้นก็ยังไม่งดงามน่าหลงใหลเท่านาง
นางถามว่า “หากข้าไม่ชอบเจ้า เจ้าก็จะไปชอบผู้หญิงคนอื่นใช่ไหม? อย่างเช่น…”
นางคิดแล้วก็พูดต่อว่า “หร่วนซิ่ว?”
เฉินผิงอันมองนาง เพิ่งจะค้นพบว่าที่แท้การชอบแม่นางที่ดีมากคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่านางจะไม่ค่อยชอบตนสักเท่าไหร่ เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากก็จริง แต่ก็คล้ายว่าจะไม่น่าเสียใจมากนัก “ถ้าหากข้าไปชอบผู้หญิงคนอื่นแล้วจะไม่ได้พบเจอเจ้าอีก ถ้าอย่างนั้นชั่วชีวิตนี้ข้าก็จะไม่ชอบผู้หญิงคนอื่นอีกแล้ว ข้าอยู่ห่างไกลไปหนึ่งพันหนึ่งหมื่นลี้ อยู่ในสถานที่ที่เจ้ามองไม่เห็นข้า ข้าฝึกหมัดหนึ่งพันหนึ่งหมื่นหนึ่งล้านหมัด ก็ยังชอบแค่เจ้าคนเดียว”
หนิงเหยามองค้อน “ข้าไร้เหตุผลขนาดนั้นเลยหรือ?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง
จากนั้นนางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “ใช่ ข้าไร้เหตุผลขนาดนั้นแหละ!”
แต่แล้วนางก็พลันคลี่ยิ้ม เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจเหมือนเด็กๆ พอนางยิ้ม คิ้วตาก็ยิ่งงดงามมีชีวิตชีวาดุจสาวงามที่หลุดมาจากภาพวาด นางยกแขนสองข้างขึ้นกอดอก “ใครใช้ให้มีคนโง่มาชอบข้าเล่า?”
จากนั้นนางก็เดินออกมาข้างหน้าสองก้าว ยื่นแขนโอบกอดเด็กหนุ่มจากต้าหลีคนนั้นพลางพึมพำว่า “เฉินผิงอัน! ข้าชอบเจ้าไม่น้อยไปกว่าที่เจ้าชอบข้าเลยสักนิด!”
ครั้งแรกที่ได้พบกันอีกครั้ง อันที่จริงนางอยากพูดกับเขาว่า
ข้าไม่ชอบเจ้า
แต่มันกลับยากเหลือเกิน
นางปล่อยมือออก กรอบตาแดงก่ำเล็กน้อย ทั้งโกรธและเขินอายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตนี้ของนางหนิงเหยา ราวกับว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก “ทำไมเจ้าถึงได้โง่ขนาดนี้?!”
เฉินผิงอันพูดอย่างเหม่อลอย “เจ้าจะชอบข้าจริงๆ ได้อย่างไร…”
ข้อนี้เฉินผิงอันเหมือนหลิวป้าเฉียวแห่งสวมลมฟ้าราวกับถอดแบบกันมา
ชอบแม่นางคนหนึ่ง ชอบมากจนถึงขั้นที่คิดว่าชั่วชีวิตนี้แม่นางคนนั้นไม่มีทางชอบตนตอบ อีกทั้งยังไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจใดๆ ด้วย
ในที่สุดหนิงเหยาก็เริ่มกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้บ้างแล้ว นางเลิกคิ้วขึ้นสูงดุจกระบี่บินที่แหลมคมที่สุดในใต้หล้า “ข้าหนิงเหยาชอบใครยังต้องมีเหตุผลด้วยหรือ?!”
อันที่จริงแล้วก็มี แถมยังมีมากด้วย
เพียงว่านางไม่กล้าพูดมันออกมา ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้หญิงนี่นะ แล้วนางก็ไม่ใช่คนที่หน้าหนาอย่างเฉินผิงอันด้วย
ทันใดนั้นเหมือนมีเทพช่วย เฉินผิงอันพลันยื่นแขนไปโอบกอดหนิงเหยา
หนิงเหยาหน้าแดงก่ำ เม้มริมฝีปาก แต่ก็ไม่ได้ขัดขืน กลับยังยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาจับสาบเสื้อเฉินผิงอันเบาๆ
ในตรอกเล็กของภูเขาห้อยหัว เด็กหนุ่มเด็กสาวกอดกันอยู่เงียบๆ เช่นนี้
ดูเหมือนว่านาทีนี้โลกทั้งใบจะพลันมีชีวิตขึ้นมา
สุดท้ายหนิงเหยาก็ยังคงเป็นหนิงเหยา เฉินผิงอันยังคงเป็นเฉินผิงอัน คนทั้งสองไม่ได้เคอะเขินเอียงอายกันต่อไป
พอปล่อยมือออกจากกันแล้ว หนิงเหยาก็นำทาง บอกว่าจะไปดื่มเหล้าหวงเหลียงครึ่งไหนั้นให้หมด นางพาเฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ใต้ต้นไหว ยกมือขึ้นแล้วงอนิ้วคล้ายกำลังเคาะประตู
ไม่นานเบื้องหน้าหนิงเหยาก็เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อม ร้านเหล้าแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมา หนิงเหยาก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูเข้าไปก่อน เฉินผิงอันเดินตามหลังนางไปติดๆ
สวี่เจี่ยลูกจ้างร้านเห็นหนิงเหยาก็กระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ “แม่นางหนิง เจ้ามาแล้วหรือ ให้ข้าเลี้ยงเหล้าเจ้าดีไหม?”
หนิงเหยาชำเลืองตามองเขาแวบหนึ่ง ใครกัน ไม่เห็นจะจำได้
แล้วก็คร้านจะสนใจอีก เดินตรงไปข้างหน้า เลือกโต๊ะตัวหนึ่งแล้วนั่งลง
สวี่เจี่ยพลันห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวา
เขารู้สึกว่าแม่นางเบื้องหน้าผู้นี้คือสตรีที่เป็นรองแค่คุณหนูใหญ่เท่านั้น ครั้งแรกที่พบเจอกันนางได้มอบความประทับใจที่ลึกซึ้งให้แก่สวี่เจี่ย
นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ครั้งแรกที่เด็กสาวจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาเยือนภูเขาห้อยหัว มีคนผู้หนึ่งพานางมาที่ร้านเหล้า เจ้าหมอนั่นดื่มเหล้าไปสองไห นางดื่มไปแค่อึกเดียวก็ไม่ดื่มอีก คราวนั้นนางสวมชุดสีดำ ห้อยดาบ ไม่ได้พกกระบี่คู่อย่างทุกวันนี้ และยิ่งไม่ได้สวมชุดยาวสีเขียวเข้ม สีหน้าของนางเย็นชา ต่อให้เถ้าแก่ร้านจะจ้องตานาง นางก็ไม่สะทกสะท้าน ในขณะที่อาเหลียงดื่มเหล้า นางเดินไปที่กำแพงสูงเพียงลำพัง มองอยู่นานโดยไม่พูดอะไรสักคำ ภายหลังถึงกลับมานั่งที่เดิม สวี่เจี่ยที่มองดูอยู่รู้สึกว่าเด็กสาวมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครจริงๆ นางเจิดจ้าสะดุดตาจนคนอื่นแทบไม่กล้ามองสบตรงๆ
คราวนั้นอาเหลียงไร้ซึ่งรอยยิ้ม เขาเอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว สวี่เจี่ยมองออกว่าอาเหลียงไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมเด็กสาวอย่างไร ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะไปทำเรื่องหนึ่งที่ร้ายกาจมาก อาเหลียงดื่มเหล้าเงียบๆ อย่างอัดอั้น นั่นถึงทำให้สวี่เจี่ยรู้ว่าที่แท้อาเหลียงก็มีช่วงเวลาที่ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน หลังจากที่เด็กสาวยืนกรานไม่ให้อาเหลียงไปส่งและออกจากร้านไปเพียงลำพัง อาเหลียงก็ไม่ดื่มเหล้าอีก ท่าทางของเขาเป็นทุกข์ บอกว่าบุตรสาวครึ่งตัว อยู่ดีๆ ก็โบยบินหนีไปทั้งอย่างนี้
สวี่เจี่ยมองเด็กหนุ่มจากต้าหลีที่ชื่อว่าเฉินผิงอันผู้นั้นแวบหนึ่ง
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าไอ้หมอนี่ไม่คู่ควรกับแม่นางหนิง
ร้อยเฉินผิงอันรวมกันก็ใช่ว่าจะคู่ควร
เฉินผิงอันเรียกหาเหล้าลืมทุกข์ที่เหลืออยู่ครึ่งไห รินได้ประมาณสองถ้วยขาวใบใหญ่ เฉินผิงอันจึงรินให้ก่อนคนละครึ่งชาม
คนทั้งสองนั่งเคียงไหล่กันบนม้านั่งยาวตัวหนึ่ง หนิงเหยาไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง
สวี่เจี่ยที่หลบอยู่ไกลๆ จุ๊ปากชื่นชมไม่หยุด
เฉินผิงอันดื่มเหล้าลืมทุกข์หนึ่งอึก
แล้วก็พลันรู้สึกว่าคราวนี้เหล้านี่อร่อยกว่าที่ดื่มเมื่อคืนวานเยอะเลย จึงหันมายิ้มให้หนิงเหยา
หนิงเหยาถลึงตาใส่เขาหนึ่งที
คนทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เพียงจิบเหล้าคำเล็กๆ
แต่แล้วเฉินผิงอันก็ถามด้วยน้ำเสียงน่าสงสารว่า “หนิงเหยา เจ้าคงไม่ใช่ตัวปลอมหรอกนะ?”
ต่อให้เป็นผู้เฒ่าที่กำลังหยอกนกในกรงก็ยังรู้สึกขบขันกับคำถามโง่งมของเด็กหนุ่ม
หนิงเหยาถอนหายใจ
เขาเป็นคนโง่ แต่ข้าโง่ยิ่งกว่า
ตอนนั้นใครกันนะที่พูดว่าไอ้หมอนี่ต้องได้คนโง่มาเป็นคนรักแน่นอน?
เฉินผิงอันวางถ้วยเหล้าลง ยื่นมือออกมาหาคนที่นั่งอยู่ข้างๆ หนิงเหยามองเขาอยู่แบบนั้น อยากรู้ว่าไอ้หมอนี่คิดจะทำอะไรกันแน่
เฉินผิงอันใช้สองนิ้วหนีบแก้มนางแล้วดึงเบาๆ
หนิงเหยายังเฉย
เฉินผิงอันจึงยื่นมืออีกข้างมาหนีบแก้มอีกฝั่งหนึ่งของหนิงเหยา
สวี่เจี่ยที่มองดูอยู่เหงื่อแตกพลั่ก รู้สึกว่าเจ้าคนที่ใจกล้าเทียมฟ้าผู้นี้ต้องตายแน่ๆ
ผลคือหนิงเหยาแค่ใช้มือข้างหนึ่งปัดมือสองข้างที่ยุ่มย่ามของเฉินผิงอันออก พูดเตือนว่า “เฉินผิงอัน ถ้าเจ้ายังทำอะไรโง่ๆ แบบนี้ ข้าจะโมโหแล้วนะ”
เฉินผิงอันหดมือกลับมาอย่างขลาดๆ “เป็นตัวจริงก็ดีแล้ว”
หนิงเหยาดื่มเหล้าอึกใหญ่ ถามว่า “เจ้าคงจะรู้แล้วว่า พ่อแม่ข้าเสียชีวิตไปแล้ว เจ้าคิดว่าข้าน่าสงสารไหม?”
สวี่เจี่ยรู้สึกว่าหากไอ้หมอนี่กล้าพูดว่าน่าสงสาร ถ้าอย่างนั้นคราวนี้เขาก็ต้องตายอย่างจริงแท้แน่นอน
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “น่าสงสารสิ ถ้าสูญเสียพ่อแม่ไปแล้วยังไม่น่าสงสาร แบบไหนถึงจะน่าสงสารล่ะ?”
เพียงแต่ว่าตอนที่พูดประโยคพวกนี้
เฉินผิงอันเม้มริมฝีปากแน่น มุมปากสองข้างเบะลง ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งกว่านางเสียอีก
เขาไม่ได้กำลังเวทนาเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า เพราะเขาเองก็ไม่มีพ่อแม่เหมือนกัน แถมยังไม่มีมานานแล้วด้วย เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ ตอนยังเด็ก มีชีวิตอยู่อย่างไร้กำลัง อดทนจนทนไม่ไหวแล้วถึงจำต้องขอความเมตตาและขอทานมาจากคนอื่น นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ หาไม่แล้วก็คงไม่มีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้
แต่พอเติบใหญ่กลับไม่ต้องการให้คนอื่นมาสงสาร เพราะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีแล้ว อีกทั้งยังมีความสามารถพอที่จะตอบแทนน้ำใจที่เคยได้รับในอดีตด้วย เขาแค่รู้สึกปวดใจแทนนาง
คำพูดมาหยุดรอที่ปากแล้ว เฉินผิงอันจึงยั้งตัวเองไว้ไม่อยู่
หนิงเหยาแค่นเสียงเย็น “เจ้าเป็นใครกันถึงต้องมาสงสารข้า?”
เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ
หนิงเหยาหน้าแดง แอบกระทืบหลังเท้าเฉินผิงอันอยู่ใต้โต๊ะ
สวี่เจี่ยที่มองอยู่มีสีหน้าอึ้งตะลึง เขารู้สึกเหมือนถูกเซียนกระบี่ใหญ่ใช้กระบี่แทงเข้าที่หัวใจหลายครั้ง
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็ดื่มเหล้าพลางกระซิบพูดคุยกันเบาๆ
สวี่เจี่ยรู้สึกเหมือนถูกแทงซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
คราวนี้จะใช้ชีวิตต่ออย่างไร
เขาจึงไม่อยู่ในร้านอีก ยกม้านั่งตัวเล็กไปนั่งตรงธรณีประตู ตาไม่เห็นใจก็ไม่ขุ่นเคือง
เพียงแต่อดไม่ไหวหันกลับไปมองอีกครั้ง จึงเห็นว่าแม่นางที่มีคิ้วสองข้างแคบยาวผู้นั้นไม่มีมีท่าทางเศร้าตรมเหมือนตอนที่พบกันครั้งแรกอีกแล้ว กลับกันคือดูขี้เล่นและอบอุ่น
กระบี่ที่แทงเข้ากลางใจครั้งนี้เหมือนมาจากฝีมือของอาเหลียง
หลังจากนั้นเขาก็เห็นว่าเด็กหนุ่มจากต้าหลีคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า แต่แววตาอ่อนโยน ราวกับกำลังพูดว่า เขาชอบหนิงเหยา ชอบโดยที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับใต้หล้าทั้งสองแห่ง เขาแค่ชอบแม่นางคนนี้คนเดียวเท่านั้น เป็นเหตุให้คนนอกอย่างสวี่เจี่ยรู้สึกว่าคนทั้งสองเหมาะสมกันมาก
ถ้าเช่นนั้นกระบี่ที่แทงใจครั้งนี้ ก็คือกระบี่ ‘กู้เมือง’ ในตำนานของเซียนกระบี่ใหญ่ที่อยู่บนหัวกำแพงท่านนั้น
สวี่เจี่ยหันไปร้องคร่ำครวญกับเถ้าแก่ผู้เฒ่า “เมื่อไหร่คุณหนูใหญ่จะกลับบ้านสักที ข้าคิดถึงนางจะตายอยู่แล้ว”
เถ้าแก่ตอบกลับมาหนึ่งประโยค “คิดถึงจะตาย? แค่อย่ามาตายในร้านก็พอ”
และเวลานี้เอง สวี่เจี่ยก็พลันลิงโลดขึ้นมา หลังจากคนวัยเดียวกันเคาะประตูอยู่ ‘ข้างนอก’ เขาก็รีบ ‘เปิดประตู’ ต้อนรับลูกค้าทันที
คนที่เดินเข้ามาคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าตาหล่อเหลาคมคาย
สวี่เจี่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากลับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างไร?”
เด็กหนุ่มที่สวมชุดสีขาว มีรอยยิ้มอบอุ่นยกมือข้างหนึ่งตีมือกับสวี่เจี่ย พูดกับผู้เฒ่าเสียงดังกังวานว่า “เถ้าแก่ กฎเดิม ข้าจะซื้อเหล้าหนึ่งไห ค่าเหล้าคิดลงในบัญชีของอาจารย์ข้า”
เถ้าแก่วัยชราเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ก็คลี่ยิ้มเช่นกัน
ขอแค่เป็นคนแก่ที่อายุมากหน่อย ได้เห็นเด็กหนุ่มอายุน้อยที่สดใสเหมือน ‘ดวงตะวันกลางนภา’ ผู้นี้ ก็แทบไม่มีใครที่ไม่ชอบเขา
อีกทั้งยังต้องอาศัยอายุที่มากกว่าในเวลานี้ ฉกฉวยโอกาสที่จะมองเด็กหนุ่มอย่างคนที่อยู่เหนือกว่าเอาไว้ให้ดี เพราะอีกไม่นานก็จะไม่มีโอกาสนี้แล้ว
เมื่อไม่นานมานี้ อาจารย์ของเด็กหนุ่มเพิ่งจะเขียนประโยคที่เปี่ยมไปด้วยความเผด็จการว่า ‘วิถีวรยุทธ์สูงได้อีก’ ไว้บนผนัง
เด็กหนุ่มหล่อเหลาหันไปพูดกับสวี่เจี่ยด้วยรอยยิ้ม “สวี่เจี่ย ข้าจะไปเขียนตัวอักษรก่อน เจ้าช่วยถือพู่กันให้ข้า อืม ข้าจะเขียนใกล้ๆ กับอักษรของอาจารย์”
ในใจของสวี่เจี่ยไม่เหลือความห่อเหี่ยวอีกแล้ว เขารีบวิ่งไปหยิบเหล้าและพู่กัน วิ่งพลางหันหน้ามาเอ่ยยิ้มๆ ด้วยว่า “ได้เลย รอสักครู่”
ตอนที่เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาเดินเข้าไปใกล้ผนังแห่งนั้น สายตาของเขาจ้องมองหนิงเหยาที่นั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอันตลอดเวลา
น่าเสียดายที่หนิงเหยามองเขาแค่แวบเดียวก็หันไปคุยเรื่องของกำแพงเมืองปราณกระบี่กับเฉินผิงอันต่อ
เด็กหนุ่มหล่อเหลาจึงยกยิ้ม เดินไปหยุดอยู่ใต้กำแพง ยกม้านั่งตัวหนึ่งมาให้ตัวเอง จับพู่กันเขียนตัวอักษรห้าคำว่า ‘สูงขึ้นอีกเพราะข้า’ ไว้ตรงตำแหน่งที่ดีกว่าตัวอักษรบรรทัดนั้นของราชครูสาวแห่งราชวงศ์ต้าตวน
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา ถามเสียงเบาว่า “ใครกัน? ดูเหมือนว่าจะร้ายกาจมาก”
หนิงเหยาตั้งใจคิดแล้วตอบว่า “ลืมชื่อไปแล้ว”