บทที่ 283 จิตบริสุทธิ์
เฉินผิงอันรอคอยอยู่ที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยอย่างสงบ ออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไร้กฎหมาย การฝึกหมัดจึงเปลี่ยนมาเป็นผ่อนคลายกว่าเดิมเยอะมาก โดยไม่ทันรู้ตัวเขาก็ฝึกหมัดอีกแปดพันครั้งสุดท้ายสำเร็จแล้ว
วันนี้เมื่อเฉินผิงอันฝึกท่าหมัดสุดท้ายเสร็จ เขาก็นั่งลงข้างโต๊ะเงียบๆ หยิบไม้ไผ่แผ่นเล็กสีเขียวสดปลั่งน่ารักชิ้นหนึ่งออกมา มันไม่เหมือนกับแผ่นไม้ไผ่อื่นๆ เพราะไม่ได้สลักถ้อยคำที่สละสลวยงดงามเอาไว้ แต่เป็นอุปกรณ์เล็กๆ ที่เฉินผิงอันเอาไว้ใช้คิดคำนวณว่าตอนไหนฝึกได้หนึ่งแสนหมัด สองแสนหมัด ห้าแสนหมัด ขั้นตอนคร่าวๆ ล้วนถูกสลักไว้บนนั้น
เฉินผิงอันยื่นนิ้วมือไปลูบคลำร่องรอยแต่ละขีดที่อยู่บนนั้นอย่างเชื่องช้า บางครั้งก็จะมีร่องรอยที่ขีดไว้หลังต่อยได้หนึ่งพันหมัดหรือหลายร้อยหมัด ในช่วงเวลานั้นมักจะเป็นช่วงเวลาที่เฉินผิงอันหงุดหงิดมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่นตอนที่จากลากับอาจารย์ฉีที่วัดร้าง หรือช่วงแรกๆ หลังจากที่เกาะกุ้ยฮวาผ่านพ้นหายนะมา และยังมีช่วงเวลาอีกมากมายที่ไม่มีใครรับรู้ สรุปก็คือการฝึกหมัดตอนที่จิตใจไม่สงบ ต่อให้จะออกหมัดหรือฝึกเดินนิ่งได้มากแค่ไหน เฉินผิงอันก็ไม่มีทางนับรวมเข้าไปในเป้าหมายฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้ง
และหมัดหนึ่งล้านครั้งก็สำเร็จลงเช่นนี้
สงบเรียบง่าย ขอบเขตสี่ยังคงเป็นขอบเขตสี่ เฉินผิงอันยังคงเป็นเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเก็บไม้ไผ่แผ่นนั้น เพื่อนยากชิ้นนี้ถือว่าได้ปลดเสื้อเกราะกลับคืนภูมิลำเนาแล้ว เขาเลือกแผ่นไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินใหม่เอี่ยมมาอีกแผ่นหนึ่ง กะว่าหนึ่งล้านหมัดหลังจากนี้จะสลักลงไปบนมัน
แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างที่สาดส่องเข้ามาในห้องคล้ายเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งที่ไม่ชอบพูด พอเหนื่อยแล้วพวกมันก็นอนฟุบลงบนโต๊ะ บนพื้นและบนไหล่ของเด็กหนุ่มอย่างเกียจคร้าน
เฉินผิงอันนั่งอยู่ที่เดิมอย่างสงบ ไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น หรือบางทีการคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่จำเป็นต้องจดจำก็ดีเหมือนกัน
เสียงเคาะประตูที่คุ้นเคยดังขึ้นระลอกหนึ่ง เฉินผิงอันรีบดึงสติกลับมา ครั้งนี้ไม่ได้ถามว่าเป็นใคร ทุกอย่างของเซียนกระบี่คนเฝ้าประตูท่านนี้ เฉินผิงอันล้วนจดจำได้อย่างชัดเจน น้ำเสียงเวลาพูด สีหน้า ท่วงท่า ปณิธานกระบี่ ทบทวนซ้ำไปซ้ำมาจนตรึงลึกอยู่ในความทรงจำ ต่อให้จังหวะเคาะประตูที่ไม่เร่งร้อนนี้ เฉินผิงอันก็ไม่ปล่อยให้พลาดไป เวลาออกมาอยู่นอกบ้าน ระมัดระวังย่อมขับเรือได้นานหมื่นปี ความสำคัญในการระมัดระวังตัวเช่นนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาหมัดเลย
คราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้ถามว่าใคร เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูโดยตรง เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ชอบงีบหลับผู้นั้นจริงดังคาด เขาเดินเข้ามาในห้อง วางเชือกสีทองเส้นเล็กบางอ่อนนุ่มเส้นหนึ่งไว้บนโต๊ะ พูดยิ้มๆ ว่า “เชือกพันธนาการปีศาจที่ทำมาจากหนวดของเจียวเฒ่ากลายเป็นสมบัติอาคมสมชื่อแล้ว ข้าไปหายอดฝีมือพรรคมหายันต์ของลัทธิเต๋าท่านหนึ่งที่อยู่ในภูเขาห้อยหัวมา เขาตัดหนวดเจียวยาวประมาณสองช่วงนิ้วหัวแม่มือเป็นค่าตอบแทนพอเป็นพิธี เพราะอันที่จริงวัตถุดิบวิเศษที่เขาเผาผลาญไปในการสร้างเชือกเส้นนี้ต้องมากกว่าความเสียหายเล็กน้อยนี้ของเจ้าแน่นอน ลำพังเพียงแค่ลายเมฆสามดอกซึ่งต้องลอกออกมาจากบทคำเขียวอย่างระมัดระวังก็ไม่ด้อยกว่าหนวดเจียวสองท่อนแล้ว การที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้ หาใช่เพื่อทวงความดีความชอบไม่ แค่เล่าให้ฟังตามตรงเท่านั้น หากสืบสาวราวเรื่องกันแล้วที่อีกฝ่ายยอมช่วยก็เพราะเห็นแก่หน้าของแม่หนูหนิง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เทียบไม่ติดอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันยืนอยู่ตลอดเวลา พออีกฝ่ายพูดจบก็กุมหมัดขอบคุณ “ขอบพระคุณผู้อาวุโสเซียนกระบี่มาก”
บุรุษที่ยังคงเอากระบี่วางไว้บนเสาผูกม้าโบกมือ ชี้ไปที่เชือกพันธนาการปีศาจสีทอง “หลังจากชุบหลอมอย่างคร่าวๆ แล้วจิตใจจะสื่อถึงกัน เผ่าปีศาจห้าขอบเขตกลางก็ยากจะหนีพ้นพันธนาการไปได้ เพียงแต่ว่าหากเผชิญกับขอบเขตโอสถทองและขอบเขตก่อกำเนิดกลับประคับประคองตัวอยู่ได้ไม่นานนัก หากต่ำกว่าโอสถทองลงไปก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสลัดได้หลุด การที่เชือกพันธนาการปีศาจเป็นที่นิยมไปทั่วหล้า โดยเฉพาะเชือกพันธนาการปีศาจที่มีระดับสูงๆ ที่ผู้ฝึกลมปราณซึ่งเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศชื่นชอบมากที่สุด เป็นรองข้องราชามังกรไม่มากนัก พิชิตศัตรูได้ด้วยกระบวนท่าเดียว ถือเป็นสมบัติอาคมชั้นเยี่ยมที่ ‘แค่กระบวนท่าเดียว ก็ใช้ชีวิตอยู่ได้ทั่วทุกหนแห่ง’”
บุรุษพลันสังเกตเห็นสีหน้าแปลกประหลาดของเฉินผิงอันจึงถามว่า “มีอะไรรึ?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างขัดเขินเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ว่าควรจะชุบหลอมสมบัติอาคมอย่างไร”
บุรุษกล่าวกลั้วยิ้มอย่างฉุนๆ “เฉินผิงอัน เจ้ากำลังพูดเรื่องตลก หรือเจ้าคิดว่าข้าปั่นหัวได้ง่ายกันแน่? กระบี่บินสองเล่มในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้น หากไม่เป็นเพราะชุบหลอมได้สำเร็จ……”
ไม่เสียแรงที่บุรุษคือเซียนกระบี่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ สีหน้าเขาเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด ชำเลืองตามองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอันอยู่หลายครั้งแล้วพยักหน้า ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้อีก ยิ่งไม่ซักไซ้ไล่เรียง เพียงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะสอนบทท่องพื้นๆ ในการชุบหลอมสมบัติอาคมให้แก่เจ้าหนึ่งบท วางใจเถอะ ไม่ต้องคิดว่าติดค้างอะไรข้า บทท่องนี้เป็นบทที่คนในกำแพงเมืองปราณกระบี่ใช้กันให้เกร่อ เจ้าก็คิดซะว่าซื้อหนึ่งแถมหนึ่งแล้วกัน อีกอย่างใช้บทนี้หล่อหลอมวัตถุ ข้อดีคือเอามาใช้ได้ง่าย ข้อเสียก็คือหากใช้บทท่องนี้มาชุบหลอมเชือกพันธนาการปีศาจให้จำแลงเป็นภาพมายา แล้วถูกเซียนพสุธาบังคับช่วงชิงเอาไป ก็ง่ายที่อีกฝ่ายจะทำลายตราผนึกของเจ้า และเพียงไม่นานมันก็จะกลายไปเป็นของในกระเป๋าผู้อื่น”
บุรุษเอ่ยยิ้มๆ “ดังนั้นวันหน้าถ้าพบเจอเผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งในใต้หล้าไพศาล หากไม่จำเป็นจริงๆ หนีได้ก็หนีไป แล้วก็ไม่ต้องเอาของสิ่งนี้ออกมาด้วย อย่าคิดหวังว่าจะใช้มันทำให้ศัตรูล่าถอย จะได้ไม่ต้องกลายเป็นกุมารแจกสมบัติไปซะ เอาล่ะ ข้าอยู่นานไม่ได้ ข้าจะใช้เสียงทางใจถ่ายทอดบทท่องและเรื่องที่ควรระวังบางเรื่องให้กับเจ้า หากรอบเดียวจำไม่ได้ ข้าจะพูดให้ฟังสองรอบ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ทะเลสาบในหัวใจกระเพื่อมเล็กน้อย น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนของเซียนกระบี่ดังขึ้นในหัวใจอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันตั้งใจจดจำเอาไว้
ผู้ฝึกกระบี่ถาม “จำได้กี่ส่วน?”
เฉินผิงอันตอบไปตามตรง “จำได้ทั้งหมด แต่ท่านผู้อาวุโสเซียนกระบี่โปรดพูดอีกรอบด้วยเถอะ”
เซียนกระบี่เอ่ยยิ้มๆ “เจ้านี่ไม่เกรงใจกันเลยจริงๆ นะ”
เซียนกระบี่ไม่ได้รู้สึกยุ่งยากใจอะไร กลับกันยังรู้สึกชื่นชมความตรงไปตรงมาเช่นนี้ของเฉินผิงอันด้วย เขาจึงถ่ายทอดบทท่องซ้ำอีกรอบ เมื่อเทียบกับครั้งแรก คราวนี้เขาเสริมความเข้าใจที่บรรลุมาจากการยืนอยู่บนที่สูงของตนเข้าไปด้วย เฉินผิงอันในเวลานี้ย่อมสัมผัสไม่ถึง เขาได้แต่ท่องจำให้ขึ้นใจเท่านั้น
บุรุษไม่ใช่คนนิสัยยืดยาดอืดอาด ท่องคาถาจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วจากไป เพียงแต่ก่อนจะเดินออกจากห้องยังหันมาพูดกับเฉินผิงอันว่า “คนรุ่นหนิงเหยามีพรสวรรค์ดีเยี่ยมยิ่งนัก ดีจนถึงขั้นที่ทำให้ตาแก่ทุกคนยิ้มหวานได้แม้แต่ในความฝัน อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ห้าคนสิบคน แต่มากถึงสามสิบกว่าคน ดังนั้นใต้หล้าแห่งนั้นย่อมไม่อยู่เฉยรอความตายแน่นอน อีกอย่างปีศาจใหญ่อายุน้อยที่เอาชนะข้าได้ตนนั้นก็มีชื่อเสียงมาก ไม่แน่เสมอไปว่ามันจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เจอกับช่วงปียิ่งใหญ่ที่พันปียากจะพานพบสักครั้ง หลายร้อยปีมานี้หลังจากการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าของเผ่าปีศาจ ทำให้ข้าค้นพบว่ามีเรื่องที่ประหลาดมากอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่ฝีมือเป็นรองแม่หนูหนิงแค่ครึ่งขั้นหรือหนึ่งขั้นของทางฝั่งนั้นกลับพากันหลบเลี่ยงซ่อนตัว นี่ไม่สมเหตุสมผลอย่างมาก ดังนั้นข้าเลยเป็นกังวล รู้สึกว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างกำลังวางแผนการที่ยิ่งใหญ่อะไรบางอย่าง ศึกสิบสามก็เป็นแค่การเปิดฉากเท่านั้น”
เห็นว่าเฉินผิงอันตั้งใจฟัง บุรุษก็เอ่ยเยาะตัวเอง “พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์อะไร เจ้าฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไปเถอะ”
เฉินผิงอันยืนกรานจะไปส่งผู้อาวุโสเซียนกระบี่ท่านนี้ที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยให้ได้ พอไปถึงตรอกนอกโรงเตี๊ยม เซียนกระบี่ก็กล่าวอย่างจนใจว่า “เมื่อครู่นี้บอกว่าเจ้าไม่เกรงใจ ตอนนี้กลับเกรงใจกันขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจล่ะนะ”
เซียนกระบี่กลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่พุ่งทะยานจากผืนดิน มุ่งหน้าไปยังตีนเขาเดียวดาย พริบตาเดียวปราณกระบี่ที่แผ่กลิ่นอายยิ่งใหญ่ไพศาลก็จากไปไกลในเสี้ยววินาที
เฉินผิงอันรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย แล้วก็จริงดังคาด คนหลายคนที่อยู่ตรงโรงเตี๊ยมหันมามองหน้ากันเอง ส่วนเถ้าแก่หนุ่มที่ยืนดีดลูกคิดอยู่หลังโต๊ะคิดเงินเสียงดังต๊อกแต๊ก มองดูเหมือนไม่ได้สนใจใยดี แต่อันที่จริงมุมปากกลับยกยิ้ม
ลูกค้าที่มาพักในโรงเตี๊ยมของตนมีที่มาไม่ธรรมดาย่อมไม่ใช่เรื่องร้ายอยู่แล้ว เพราะนี่เป็นการเพิ่มเกียรติยศหน้าตาให้กับทางโรงเตี๊ยม
ตอนที่เฉินผิงอันเดินกลับโรงเตี๊ยม ต่อให้ห้องโถงจะกว้างขวางมากพอ แต่เหล่าเทพเซียนบนภูเขาที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโดดเด่นในภูเขาห้อยหัวเพราะไม่อย่างนั้นก็คงไม่มาพักโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้กลับพากันเปิดทางให้เขาตามจิตใต้สำนึก เฉินผิงอันจึงได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น กลับไปที่ห้องตัวเองแล้วเริ่มใช้คาถาที่เซียนกระบี่ถ่ายทอดให้ชุบหลอมเชือกพันธนาการปีศาจ นี่ก็เหมือนการวาดยันต์ เขายังคงไม่สามารถบังคับสมบัติอาคมชั้นสูงชิ้นนั้นได้เป็นเวลานาน ทุกอย่างล้วนอยู่ที่ปราณแท้จริงซึ่งต้องทำให้สำเร็จใน ‘รวดเดียว’ เฮือกนั้นของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว
ปราณยาวพละกำลังก็มาก
แต่นี่ต่างจากกการวาดยันต์แผ่นหนึ่งตรงที่ว่า สำหรับเฉินผิงอันที่สะพานแห่งความเป็นอมตะขาดแล้ว การใช้เชือกพันธนาการปีศาจถือว่าลำบากกว่ามาก ยังดีที่หลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ การผลัดเปลี่ยนลมปราณของเขาว่องไวและอำพรางตัวได้มิดชิดยิ่งกว่าเดิม ใหม่เก่าสับเปลี่ยนกันได้เร็วกว่าตอนอยู่ขอบเขตสามมาก ดังนั้นการนำเชือกพันธนาการปีศาจมาใช้จึงพุ่งเป้าไปที่เผ่าปีศาจสามขอบเขตของห้าขอบเขตกลางอย่างถ้ำสถิต ชมมหาสมุทรและประตูมังกร ถือเป็นท่าไม้ตายก้นกรุ ใช้จู่โจมกะทันหันขณะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว หลังจากพันธนาการศัตรูได้แล้วก็ค่อยใช้วิชาหมัดที่รุนแรงที่สุดโจมตีศัตรูในเวลาที่สั้นที่สุด
แน่นอนว่าเชือกพันธนาการปีศาจก็ใช้กับผู้ฝึกลมปราณทุกคนได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าหากใช้รับมือกับเผ่าปีศาจจะยิ่งได้ผลดีมากขึ้นก็เท่านั้น
หากนำเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนี้มาใช้ร่วมกับยันต์ที่วาดขึ้นโดยอิงตามสภาพท้องถิ่น หรือความแตกต่างของบุคคล บวกกับวิชาหมัดสังหารศัตรู เฉินผิงอันก็รู้สึกมั่นใจขึ้นอีกไม่น้อย
เฉินผิงอันใช้เวลาสามชั่วยามเต็มถึงจะค่อยๆ หล่อหลอมเชือกพันธนาการปีศาจได้สำเร็จ ก่อนจะทำสำเร็จ เหงื่อก็แตกท่วมไปทั่วตัวเขาอยู่นานแล้ว ยังดีที่ในห้องมียันต์ชำระสิ่งสกปรกที่ใช้กี่ครั้งก็ได้ผลทุกครั้งอยู่ จึงลดความยุ่งยากไปได้มากมาย
ภายหลังเฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงจากเอว เอามันวางไว้ข้างๆ แล้วนั่งเหม่อมองมัน
เกี่ยวกับศึกสิบสามครั้งนั้น หนิงเหยาเล่าให้เขาฟังทุกเรื่องอย่างไม่มีปิดบัง
และหนิงเหยาก็เต็มใจจะเล่าอย่างละเอียด อีกทั้งยังมีท่าทางที่สบายๆ
เฉินผิงอันจึงตั้งใจฟังนางโดยที่ไม่กล้าถามอะไรแม้แต่น้อย ได้แต่แสร้งทำเป็นว่ากำลังฟังเรื่องเล่าที่ชวนให้จิตใจคนฮึกเหิมเท่านั้น
หนิงเหยายังถึงขั้นพูดต่อหน้าเขาว่า “ท่านพ่อท่านแม่จากไปแล้ว ข้าเสียใจมาก แต่นี่ก็เป็นแค่เรื่องที่ข้าต้องสังหารศัตรูด้วยมือของตัวเองเพื่อแก้แค้นก็เท่านั้น ข้าไม่ได้คิดมากไปกว่านี้ เจ้าเองก็ไม่ต้องคิดมาก”
ตอนที่กล่าวประโยคนี้จบ หนิงเหยาก็แหงนหน้ากระดกเหล้าดื่ม ส่วนมือข้างหนึ่งกุมไว้ตรงหน้าอกเบาๆ
ในใจของเฉินผิงอัน นาทีนั้นประกายเฉียบคมของหนิงเหยาเจิดจ้าพร่าตายิ่งกว่าตอนที่เขาได้เห็นนางขี่กระบี่เป็นครั้งแรกเสียอีก
มีเพียงครั้งเดียวที่พอจะทัดเทียมได้ก็คือตอนที่อยู่ในเมืองเล็กบ้านเกิด หนิงเหยาประกบสองนิ้วยันไปที่หว่างคิ้วตัวเองเหมือนจะเบิกเนตรสวรรค์ ป่าวประกาศให้รู้ว่าจะฟาดฟันฟ้าดินอย่างถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนี้ให้เปิดอ้า แสงสีทองเส้นหนึ่งแทรกซึมออกมา อีกนิดเดียวกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของนางก็จะเผยกายขึ้นในโลก
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงตัดสินใจว่าจะฝึกกระบี่
จะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่
และสักวันหนึ่งเขาจะสลักตัวอักษรลงไปบนหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึก เก็บน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มารัดไว้ตรงเอว อันที่จริงช่วงที่ผ่านมานี้เฉินผิงอันไม่ได้ดื่มเหล้าแล้ว
ในเมื่อตัดสินใจว่าจะฝึกกระบี่ อีกทั้งยังมี ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ เล่มนั้นอยู่ ด้านหลังยังแบก ‘ปราณยาว’ ที่เซียนกระบี่ผู้เฒ่าให้เขายืมใช้ เฉินผิงอันจึงใคร่ครวญถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง ถึงขั้นเอาจริงเอาจังยิ่งกว่าตอนตัดสินใจจะฝึกเดินนิ่งของ ‘ตำราเขย่าขุนเขา’ ให้ได้หนึ่งล้านหมัดเสียอีก
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน หลับตาลง เดินวนไปรอบโต๊ะช้าๆ
เซียนกระบี่ใช้กระบี่ มือกระบี่ในยุทธภพก็ใช้กระบี่ แต่ระดับความสูงต่ำของทั้งสองฝ่ายกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว
ตอนนั้นเว่ยจิ้นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบแห่งศาลลมหิมะจูงลาเดินจากไปก็จริง แต่ภาพท่วงท่าของเขายามที่ฟาดฟันหนึ่งกระบี่กลับติดตาเฉินผิงอันมาจนถึงทุกวันนี้
ผู้อาวุโสซ่งอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วยุทธภพของหนึ่งแคว้นก็ดี หรือจะเป็นเทพกระบี่แคว้นไฉ่อีที่ตายด้วยน้ำมือหม่าขู่เสวียนก็ช่าง ต่อให้ชื่อเสียงของพวกเขาจะเลื่องลือแค่ไหน เวทกระบี่สูงส่งเท่าไหร่ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา โดยเฉพาะผู้ฝึกกระบี่ก็ล้วนยากที่จะต้านทานได้
ก่อนหน้านี้ที่เฉินผิงอันคิดอยากไปฝึกประสบการณ์ที่กุรุทวีปก็เพราะได้ยินมาว่าวิชากระบี่ของมือกระบี่ในยุทธภพกุรุทวีปสูงกว่าของแจกันสมบัติทวีปมากนัก ที่นั่นมีมือกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ต่อให้พวกเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่อยู่ด้านล่างภูเขาก็ยังสามารถงัดข้อกับผู้ฝึกลมปราณได้
คิดอยากจะเป็นเซียนกระบี่ก็ต้องมีสะพานอมตะเสียก่อน สะพานแห่งเก่าซ่อมแซมไม่ได้ ต่อให้ซ่อมได้ การประสบความสำเร็จก็มีขีดจำกัด ถ้าอย่างนั้นก็สร้างสะพานแห่งใหม่ แล้วจะทำได้อย่างไร? ไปที่อารามกวานเต๋าทะเลบูรพาของใบถงทวีป ตามหานักพรตเฒ่าที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ชื่อแซ่ผู้นั้น ในเมื่อขนาดเซียนกระบี่เฒ่ายังนึกถึงนักพรตเฒ่าผู้นี้ คิดดูแล้วเขาก็น่าจะเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่ร้ายกาจคนหนึ่ง แต่อีกฝ่ายจะยอมพบตนหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง
เฉินผิงอันเดินวนรอบโต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่า มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกจากเอวโดยไม่ทันรู้ตัว เกือบจะดื่มเหล้า ยังดีที่กลิ่นหอมของสุรามอมเมาใจคนซึ่งโชยมาแตะจมูกได้เตือนเฉินผิงอันทางอ้อม เขาจึงรีบรัดมันไว้ที่เอวทันที
หลังจากไปถึงใบถงทวีป ‘ปราณยาว’ ของเซียนกระบี่ผู้เฒ่าจะบอกทิศทางให้แก่เขาคร่าวๆ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเลือกขึ้นแผ่นดินของใบถงทวีปจากภาคกลาง ให้แน่ใจก่อนว่าจะไปเหนือหรือใต้ จากนั้นค่อยเสาะหาเป้าหมายที่ต้องการ
ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังคิดถึงรายละเอียดการเดินทางไปยังใบถงทวีปก็มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมาที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย บอกว่าต้องการพบเฉินผิงอัน บอกว่าเป็นคนรู้จักของเด็กหนุ่ม
อยู่ที่ภูเขาห้อยหัว ทำร้ายคนอื่นมีโทษถึงตาย กฎข้อนี้ใช้ได้ผลอย่างยิ่ง แม้ว่าจะมีวิชาลับสูงส่งลึกล้ำอยู่มากมายที่สามารถปกปิดอำพรางตาผู้อื่นได้ แต่หากมีการตรวจสอบแล้วถูกจับได้ขึ้นมา ต่อให้เป็นคดีเก่าที่ผ่านมาแล้วหลายสิบปีหรือหลายร้อยปี นักพรตซือเตาแห่งภูเขาห้อยหัว หรือแม้แต่เจียวหลงเจินจวินก็ยังต้องออกหน้าด้วยตัวเอง ดังนั้นภูเขาห้อยหัวจึงถือเป็นสถานที่ที่สะอาดบริสุทธิ์และสันติสุขอย่างหาได้ยากยิ่ง
เถ้าแก่หนุ่มพาสองสามีภรรยามาหยุดตรงระเบียงใกล้กับห้องพักของเฉินผิงอัน จากนั้นก็แค่บอกทาง ไม่ได้ติดตามไปด้วย
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยขอบคุณเขา เถ้าแก่หนุ่มยิ้มพลางตอบว่าเป็นเรื่องที่เขาสมควรทำอยู่แล้ว แล้วจึงจากไปอย่างวางใจ เพียงแต่ว่าตอนที่เดินผ่านหัวเลี้ยว เถ้าแก่หนุ่มอดหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจไม่ได้ สองสามีภรรยามีหน้าตาธรรมดา ลักษณะท่าทางสุภาพอ่อนโยน แต่เถ้าแก่หนุ่มกลับรู้สึกว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติ ทว่าเขาก็ส่ายหน้า ไม่คิดให้มากความอีก หากโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยคิดจะกลับมาเจริญรุ่งเรือง กลับมามีอนาคตยาวไกลอีกครั้ง ทุกวันก็มีเรื่องจุกจิกกองเป็นพะเนินรอให้เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจไปทำ
บุรุษยืนบ่นอยู่นอกประตูห้องพักของเฉินผิงอัน “โผล่เข้าไปอยู่ในห้องเจ้าเด็กนี่ตรงๆ ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากแบบนี้ด้วย”
สตรีแต่งงานแล้วถลึงตาใส่ “จะทำตัวไม่มีมารยาทแบบนั้นได้อย่างไร ลูกสาวเรามีนิสัยเป็นแบบนั้นไปคนหนึ่งแล้ว แล้วยังมามีเจ้าอีกคน หากข้าก็ยังเป็นไปด้วย เจ้าคิดว่าเฉินผิงอันคือพระโพธิสัตว์ที่ใครก็รังแกได้ง่ายจริงๆ หรือไง? ทำไม แค่เพราะว่าลูกสาวโชคดีได้พบเจอเด็กดีคนนี้ก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินแล้วอย่างนั้นรึ?”
บุรุษพูดอย่างขุ่นเคือง “ก็มีแต่เจ้านั่นแหละที่ถูกชะตากับเขาที่สุด! เขาได้มาพบลูกสาวที่รักของพวกเราก็ไม่ยิ่งโชคดีกว่าหรอกหรือ? หากเขามีศาลบรรพชน รีบจุดธูปใหญ่ร้อยดอกกราบไหว้ก็ยังไม่มากเกินไปเลย”
สตรีแต่งงานแล้วก็เป็นคนดื้อรั้นเช่นกัน พอได้ยินบุรุษเอ่ยประโยคนี้ นางจึงหยุดมือที่ทำท่าจะเคาะประตู ตัดสินใจแล้วว่าจะงัดข้อกับบุรุษของตัวเองให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย ตอนที่เข้าไปข้างในอีกฝ่ายจะได้ไม่พูดจาส่งเดชจนนางแก้สถานการณ์ไม่ทัน
ถึงอย่างไรคนของใต้หล้าไพศาลที่นอกเหนือจากภูเขาห้อยหัวก็ไม่ใช่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เคยชินกับความเป็นความตาย คำพูดสามารถทำร้ายจิตใจคน โดยเฉพาะคำพูดที่เอ่ยโดยไม่มีเจตนาที่ยิ่งทำร้ายคนอย่างแสนสาหัส
บุรุษของตนหยาบกระด้าง ไม่พิถีพิถันเรื่องพวกนี้ แต่นางเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว จะไม่ใส่ใจเลยได้อย่างไร
บุรุษรีบยอมรับผิด “ได้ๆๆ ทุกอย่างล้วนฟังเจ้า”
สตรีแต่งงานแล้วถลึงตาใส่บุรุษของตัวเองอย่างดุดันหนึ่งที ฝ่ายหลังจึงกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ”
สตรีแต่งงานแล้วถึงได้เคาะประตูเบาๆ เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เฉินผิงอัน?”
เฉินผิงอันที่อยู่ในห้องรีบหยุดเดิน ตื่นเต้นสุดขีดจนหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมา รีบตะโกนกลับไปว่า “รอสักครู่ ข้าจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้”
ครู่หนึ่งต่อมาเด็กหนุ่มก็เปิดประตู
เขาเปลี่ยนมาสวมชุดใหม่เป็นชุดคลุมอาคมสีทองตัวนั้น หากขอบเขตต่ำกว่าเซียนพสุธาจะมองเห็นเป็นเสื้อคลุมยาวสีขาวหิมะ
ในที่สุดก็สลัดรองเท้าแตะที่สวมมาชั่วนาตาปีทิ้งไปได้ เปลี่ยนมาสวมรองเท้าหุ้มแข้งคู่ใหม่ซึ่งเป็นสีขาวเหมือนกัน
‘ปราณยาว’ ที่สะพายหลังไว้ก่อนหน้านี้ถูกวางไว้บนโต๊ะ ตรงเอวไม่มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หรือ ‘เจียงหู’ ที่ใช้บรรจุเหล้า บนโต๊ะก็ไม่มีเพราะถูกเด็กหนุ่มเอาไปซ่อนไว้แล้ว
สตรีแต่งงานแล้วหันหน้ามามองกันเองแล้วคลี่ยิ้ม
ดูท่าคงจะเดาตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาออกแล้ว
สองสามีภรรยาเดินข้ามธรณีประตู เฉินผิงอันปิดประตูห้องเบาๆ แล้วถามว่า “จะดื่มชาหรือไม่?”
สตรีแต่งงานแล้วนั่งลงเรียบร้อย ได้ยินคำถามก็ยิ้มส่ายหน้า จากนั้นจึงชี้ไปยังม้านั่งตัวหนึ่ง “เฉินผิงอัน เจ้าก็นั่งด้วยเถอะ ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หอจิ้งเจี้ยน พวกเราสองสามีภรรยาอำพรางรูปโฉมเพราะมีความจำเป็น ถึงอย่างไรภูเขาห้อยหัวก็ไม่ใช่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ที่นี่มีกฎระเบียบเป็นของตัวเอง หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
เฉินผิงอันนั่งอย่างสำรวมอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ หมัดสองข้างที่กำแน่นวางไว้บนหัวเข่า พยักหน้ารับอย่างแรง
บุรุษชำเลืองตามองเด็กหนุ่มที่มีท่าทางระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง ยิ่งมองก็ยิ่งโมโห เหตุใดถึงไม่ใจกว้างผ่าเผย ไม่สง่างามถึงขนาดนี้นะ มองอย่างไรก็ไม่คู่ควรกับบุตรสาวของตน
ผลคือบุรุษถูกสตรีแต่งงานแล้วกระทืบหลังเท้าแรงๆ หนึ่งที เขาจึงได้แต่หลุบตาลงมองปลายจมูก ปล่อยให้สตรีแต่งงานแล้วเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง
หลังจากที่สตรีแต่งงานแล้วถอดเวทอำพรางตาออก บุรุษก็ทำตามด้วย คนทั้งสองจึงเผยโฉมหน้าที่แท้จริง
หญิงสาวงดงามเพริศพริ้ง บุรุษหล่อเหลาคมคาย
นี่กระมังถึงจะเรียกว่าคู่รักเทพเซียนที่แท้จริง
ถึงได้มีบุตรสาวที่งดงามน่าประทับใจอย่างหนิงเหยา
สตรีแต่งงานแล้วแนะนำตัวเองซึ่งดูเหมือนจะเกินความจำเป็นไปสักนิด “เจ้าน่าจะรู้แล้ว ข้าคือแม่ของหนิงเหยา ส่วนเขาก็คือพ่อของหนิงเหยา อันที่จริงพวกเราสองคนรบตายอยู่ทางใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว แต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าได้เก็บดวงวิญญาณที่เหลืออยู่เอาไว้ แม้ว่าจะขัดต่อขนบธรรมเนียมของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่คนก็ตายไปแล้ว จะยังสนใจเรื่องพวกนี้ไปอีกทำไม เข่นฆ่าสังหารมาชั่วชีวิต ตายไปแล้วก็ลอง ‘มีชีวิต’ เพื่อตัวเองดูสักครั้ง น่าจะไม่ถือว่ามากเกินไป ถึงอย่างไรตอนนั้นหนิงเหยาก็ยังเล็ก……”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีแต่งงานแล้วก็ไม่พูดต่ออีก
บุรุษจึงได้แต่รับคำต่อประโยคจากนาง “ครั้งแรกที่หนิงเหยาออกจากบ้าน พอกลับมา พวกเราก็รู้เลยว่ามีปัญหา……”
สตรีแต่งงานแล้วกระแอมเบาๆ หนึ่งที
บุรุษจึงได้แต่เปลี่ยนคำพูดใหม่ “ก็เลยรู้จักเจ้า อันที่จริงตอนนั้นลูกสาวของพวกเรายังไม่เข้าใจตัวเอง ภายหลังพอรู้ว่าเจ้าจะเอากระบี่มาส่งที่ภูเขาห้อยหัว ไม่ว่านางจะทำอะไรก็มักจะรอคอยเจ้าเสมอ”
หนิงเหยาชอบไปนั่งอยู่บนแท่นสังหารมังกรเพียงลำพัง
ทำเอาบุรุษที่เห็นอยู่ในสายตาปวดใจยิ่งนัก
บุรุษลังเลอยู่ชั่วขณะ สีหน้าเรียกว่าอ่อนโยนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย “เจ้าจะไม่ทำผิดต่อหนิงเหยาได้จริงๆ หรือ? เจ้าน่าจะรู้ดีว่าหนิงเหยาไม่เหมือนกับผู้หญิงทั่วไป แล้วก็ไม่เหมือนในทุกๆ ด้านด้วย”
แม้ว่าเฉินผิงอันจะตื่นเต้นจนเหงื่อหลั่งลงมาตามสันหลัง แต่ก็ยังพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าเคยคิดมาก่อน ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดคือหนิงเหยาจะเสียใจภายหลัง จะหันไปชอบคนอื่น หากคนผู้นั้นดีต่อนางมากกว่าข้า ข้าก็จะไม่มาพบหนิงเหยาอีก หากหนิงเหยาชอบข้าตลอดไป ข้าจะพยายามให้มากขึ้น ครั้งหน้าที่พบเจอกัน จะไม่เหมือนครั้งนี้ที่ได้แต่เป็นภาระให้นาง ไม่ว่านางจะอยู่ในเมืองทางทิศเหนือ อยู่บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หรืออยู่ในสนามรบทางทิศใต้ ข้าก็จะอยู่ข้างกายนาง จะพยายามสุดความสามารถเพื่อปกป้องนาง”
เหงื่อที่หลั่งลงมาทำให้การมองเห็นของเฉินผิงอันพร่าเลือน เขารีบเช็ดมันทิ้งแล้วพูดต่อว่า “หากเป็นช่วงเวลาที่ไม่ได้ทำสงคราม แต่อยู่ด้วยกันแค่สองคน การชอบคนคนหนึ่ง อาจจะรู้สึกว่าไม่ว่าอะไรนางก็ดีไปหมด แต่วันหน้าเมื่อได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็ต้องเรียนรู้ที่จะชอบความไม่ดีของนาง หลักการข้อนี้ ข้ารู้ดี ตอนที่ข้ายังเด็กมาก พ่อแม่ของข้าก็เคยทะเลาะกัน แต่ไม่เคยมาทะเลาะกันต่อหน้าข้า พอทะเลาะกันเสร็จแล้ว พ่อข้าจะไปนั่งเงียบๆ อยู่ในลานบ้าน วันต่อมาคนทั้งสองก็ดีกันแล้ว แม้ข้าจะรู้สึกว่าพ่อแม่ของข้าคือคนที่ดีที่สุดในโลก แต่ใต้หล้านี้จะมีคนที่ดีไปหมดทุกอย่างจริงๆ ได้อย่างไร ต้องไม่ใช่อย่างนั้นแน่ แต่ข้าก็จะพยายามแยกแยะให้รู้ว่าอะไรคือผิดถูก อะไรคือดีหรือไม่ดี จากนั้นก็มอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้กับหนิงเหยา”
บุรุษมีสีหน้าอึ้งงัน
ไอ้หนูเจ้าพูดทุกอย่างหมดแล้ว แล้วข้าจะยังมีอะไรให้พูดอีก?
อีกอย่างเจ้าเฉินผิงอันเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง ทำไมถึงได้เข้าใจหลักการพวกนี้ด้วย?
สตรีแต่งงานแล้วยกมือขึ้น ใช้หลังมือเช็ดน้ำตา จากนั้นก็ยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เฉินผิงอัน ตอนเด็กลำบากมากใช่ไหม?”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร
แต่อดกลั้นอยู่พักใหญ่ เฉินผิงอันก็ทำหน้ายับยุ่ง มุมปากสองข้างเบะลงด้านล่าง พูดเสียงสั่นว่า “ตอนที่ท่านแม่จากไป ข้าลำบากแทบตาย ตอนนั้นข้าอายุยังน้อยเกินไป เรื่องที่ข้าทำได้มีน้อยเกินไป แต่ท่านแม่ก็ยังจากไปอยู่ดี”
ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร เอาของในบ้านไปขายแลกเงิน ทำกับข้าว หาบน้ำ ต้มยา แอบไปขอพรที่สุสานเทพเซียน เก็บผลไม้ป่าหอบใหญ่ใส่ในตะกร้าไม้ไผ่สะพายขึ้นหลัง ตอนกลางคืนคอยเหน็บชายผ้าห่มให้ท่านแม่ ถามนางว่าวันนี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง……
ไม่มีประโยชน์ ล้วนไม่มีประโยชน์
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันแค่พูดประโยคนี้แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
นั่นคือประโยคที่เป็นดั่งการสรุปตอกปิดฝาโลงของเขา
อายุน้อยเกินไป ทำได้น้อยเกินไป
สตรีแต่งงานแล้วก้มหน้าลงพลางยกชายแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตาอีกครั้ง
บุรุษถอนหายใจ
ความยากลำบากมีมากมายบนโลกใบนี้ จะแปลกประหลาดตรงไหน?
เด็กคนใดก็ตามที่มีชาติกำเนิดยากจน ใครบ้างที่ไม่เคยพบเจอความยากลำบาก?
แต่ที่น่าแปลกก็คือ คำว่าลำบากนี้ เป็นความลำบากแบบไหน
ความทุกข์ยากลำบากในโลกมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย แต่ก็ควรเอื้อนเอ่ย
สตรีแต่งงานแล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง เงยหน้าขึ้น เค้นรอยยิ้มส่งให้ “เฉินผิงอัน วันหน้าคงต้องฝากหนิงเหยาให้เจ้าช่วยดูแลแล้ว หากมีเรื่องใดที่นางทำไม่ถูก เจ้าเป็นบุรุษต้องใจกว้างให้มาก”
เฉินผิงอันพูดเสียงสั่น “พวกท่านจะจากไปแล้วหรือ? พวกท่านจากไปแล้ว หนิงเหยาอยู่ตัวคนเดียวจะทำเช่นไร?”
สตรีแต่งงานแล้วลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หนิงเหยารู้ดี รู้หมดทุกอย่าง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าข้าคือแม่ของหนิงเหยาจึงพูดว่านางดี แต่เป็นเพราะแม่นางที่เจ้าเฉินผิงอันชอบนั้นดีมากจริงๆ”
เฉินผิงอันได้แต่พยักหน้ารับ
สตรีแต่งงานแล้วหันไปมองบุรุษที่ลุกขึ้นยืนพร้อมตน “เจ้ามีเรื่องจะพูดไหม?”
บุรุษพยักหน้ารับ
สตรีแต่งงานแล้วจึงกล่าวอย่างคนที่เข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี “ถ้าอย่างนั้นข้าไปรอเจ้าข้างนอก?”
บุรุษอืมรับหนึ่งที สตรีแต่งงานแล้วเดินออกจากห้องแล้วไปยืนรออยู่ตรงมุมเลี้ยวของระเบียง
บุรุษมองเด็กหนุ่ม พูดเสียงหนัก “เฉินผิงอัน!”
บุรุษที่ปฏิบัติต่อเฉินผิงอันอย่างไม่ร้อนไม่หนาวมาโดยตลอดพลันคลี่ยิ้ม เดินอ้อมโต๊ะ ยื่นฝ่ามือที่หนาใหญ่มาตบลงบนไหล่ของเด็กหนุ่มหนักๆ จากนั้นก็เก็บมือ เดินไปด้านหลังหนึ่งก้าว แต่ยังตั้งฝ่ามือหันเข้าหาเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันตะลึง ก่อนจะรีบยื่นมือออกไป ใช้ฝ่ามือตีกับมือของอีกฝ่าย
บุรุษกำฝ่ามือของเด็กหนุ่มไว้หนักๆ “เฉินผิงอัน วันหน้าบุตรสาวของข้าหนิงเหยา! ต้องมอบให้เจ้าดูแลแล้ว! เจ้าจะดูแลนางให้ดีได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพูดสะอื้นเสียงดัง “ต่อให้ตายก็ทำได้!”
บุรุษคลายมือ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ตายไม่ตายอะไรกัน ต้องมีชีวิตอยู่ให้ดี”
บุรุษมองประเมินเฉินผิงอันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าหนึ่งรอบ แล้วกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “อืม คู่ควรกับลูกสาวของข้า”
บุรุษหมุนตัวกลับ ก้าวยาวๆ จากไป เฉินผิงอันคิดจะเดินไปส่ง แต่บุรุษกลับยกมือขึ้นบอกเป็นนัยกับเฉินผิงอันว่าไม่ต้องตามมา
บุรุษยังคงเดินช้าๆ ไปที่ประตูโดยไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “คราวหน้าที่ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้หนิงเหยาพาเจ้าไปดื่มสุราคารวะที่หน้าหลุมศพของพวกเรา เพื่อบอกกล่าวให้รู้ว่าพวกเจ้าสบายดี”
หลังจากเดินข้ามธรณีประตูไป บุรุษพลันหันหน้ากลับมาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ดื่มเหล้าแล้วจะเป็นอะไรไป ไม่เห็นต้องซ่อนกาเหล้า เซียนกระบี่ที่สง่างามที่สุดในโลกล้วนชอบดื่มเหล้าด้วยกันทั้งนั้น”
บุรุษยื่นหมัดออกมา ชูนิ้วโป้งตั้งขึ้นแล้วชี้ไปที่ตัวเอง “ยกตัวอย่างเช่นพ่อตาของเจ้าอย่างข้า”
เฉินผิงอันยืนนิ่งอยู่ที่เดิมตลอดเวลา
……
วันนี้ท่าเรือที่หอซ่างเซียงจะมีเรือข้ามฟากปลาวาฬกลืนสมบัติลำหนึ่งออกเดินทางไปยังใบถงทวีป
ก่อนหน้าที่จะเดินทางไปยังท่าเรือ เฉินผิงอันไปที่ตีนภูเขาเดียวดายก่อน เพราะไม่มีแผ่นหยกข้ามด่านของภูเขาห้อยหัว จึงได้แต่มองประตูใหญ่บานนั้นอยู่นอกรั้วไกลๆ ริมฝีปากของเขาสั่นระริกคล้ายกำลังพึมพำอะไรกับตัวเอง
เวลากลางวันชายฉกรรจ์กอดดาบที่นั่งอยู่บนเสาผูกม้ายังคงนอนหลับอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เขากลับพึมพำออกมาสามคำ แค่เปลี่ยนจากอักษรคำว่า ‘ใกล้’ ในครั้งแรกเป็นคำว่า ‘ไกล’ เท่านั้น
เด็กหนุ่มอยู่ใกล้กับประตูบานนี้ ปราณกระบี่ก็ใกล้
เด็กหนุ่มอยู่ไกลจากภูเขาห้อยหัว ปราณกระบี่ก็ไกล
วันนี้เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวหิมะ แบกกระบี่ยาวไว้ข้างหลัง ตรงเอวรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ท่วงท่าสง่างาม
เด็กหนุ่มมีจิตใจบริสุทธ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ประทับใจคนมากที่สุด