บทที่ 284 ควันธูปหมุนเป็นเกลียวอ้อยอิ่ง
นครมังกรเฒ่า
ลมฟ้าลมฝนกำลังจะมาเยือน
โดยเฉพาะตระกูลฟางหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่เหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
เพราะดูเหมือนว่ามีลูกหลานในตระกูลคนหนึ่งที่ความสามารถที่จะทำให้งานสำเร็จนั้นมีไม่พอ แต่ความสามารถที่จะทำลายงานนั้นมีอยู่เหลือเฟือได้ไปทำร้ายเด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่ง
เดิมทีเรื่องนี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไร เพราะคนที่ลงมือไม่ใช่คนประเภทที่ทำเรื่องเลวร้ายแล้วจะต้องชั่วร้ายให้ถึงที่สุด ถึงขั้นที่ต้องกำจัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก แต่เป็นเพราะตระกูลฟางมีเงิน แล้วก็ยินดีที่จะจ่ายเงิน หากใช้เงินแล้วสามารถแก้ไขปัญหาได้ ไม่ว่าจะปัญหาเล็กหรือปัญหาใหญ่ก็ล้วนไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเด็กสาวที่ตายอย่างกะทันหันผู้นี้มีความเกี่ยวข้องเล็กน้อยกับร้านยาฮุยเฉิน ร้านยาคือกิจการของตระกูลฟ่าน แต่ปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้นอยู่ที่ แค่ความสัมพันธ์บางเบาเล็กน้อยเท่านี้ คนผู้นั้นกลับคิดเอาจริงเอาจัง คิดเอาเรื่องขึ้นมาจริงๆ
และคนผู้นั้นก็คือแขกสูงศักดิ์ที่ตระกูลฟ่านให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด
ตระกูลโหวและตระกูลติงมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลฟางมาหลายรุ่นหลายสมัย ช่วงที่ผ่านมานี้ทั้งสามตระกูลไปมาหาสู่กันบ่อยขึ้น มีความเคลื่อนไหวถี่ขึ้น
ส่วนตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่าที่กำลังจะแต่งหญิงสาวสกุลเจียงอวิ๋นหลินเข้าตระกูลกำลังง่วนอยู่กับการต้อนรับแขกส่งแขก ยุ่งวุ่นวายมาก จึงคร้านที่จะสนใจเรื่องเละเทะประเภทนี้
ส่วนตระกูลซุนที่มีคนหนุ่มซุนเจียซู่เป็นเจ้าประมุขกลับนิ่งดูดายต่อเรื่องนี้ คงจะเป็นเพราะอยากนั่งดูไฟชายฝั่ง
บ้านบรรพบุรุษสกุลซุน ซุนเจียซู่เพิ่งจะได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง
ผู้ฝึกลมปราณสำนักใบถงที่ช่วยต่อชีวิตให้กับตระกูลติงท่านนั้น ตอนนี้ได้พาหญิงสาวสกุลติงกลับคืนมายังนครมังกรเฒ่า เพราะคนผู้นี้มีฐานะสูงส่งในสำนักใบถง ในบรรดาผู้ติดตามของเขาจึงมีเซียนพสุธาขอบเขตก่อกำเนิดอยู่ท่านหนึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีคนผู้นี้ก็คือหนึ่งในเซียนพสุธาอยู่แล้ว อีกทั้งยังเล่าลือกันว่าการที่ลูกหลานเสเพลของตระกูลฟางคนนั้นกล้าทำเรื่องที่กำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ก็เพราะบรรพบุรุษมีสหายเป็นผู้ฝึกลมปราณใหญ่คนหนึ่ง ส่วนคนผู้นั้นเป็นใคร เด็กแซ่ฟางก็ดี หรือบิดาของเขาก็ช่าง ล้วนไม่มีใครกล้าพูดอย่างชัดเจน
ดังนั้นแทบทุกคนจึงรู้สึกว่าสถานการณ์โดยรวมมั่นคงดีแล้ว
ตอนนี้ซุนเจียซู่ชอบมานั่งตกปลาตรงสถานที่ที่เด็กหนุ่มต้าหลีเคยมา ขอแค่ไม่มีกิจในตระกูลที่สำคัญ ซุนเจียซู่ก็มักจะแอบอู้งานมานั่งอยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง
เขารู้สึกลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าคราวนี้ควรจะเดิมพันดีหรือไม่ หากเดิมพันแล้ว แล้วควรจะเดิมพันมากเท่าไหร่?
ช่วงนี้ซุนเจียซู่ได้พบกับยอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่งที่ไปมาอย่างไร้ร่องรอย เพียงแค่เอ่ยคำเดียวก็ทำให้สภาพจิตใจที่มีจุดด่างพร้อยเล็กน้อยของเขากลับคืนมาเป็นปกติ อีกทั้งยังพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น
คนผู้นั้นแค่ยิ้มถามด้วยประโยคเดียวว่า “เจ้าซุนเจียซู่แน่ใจได้อย่างไรว่าตัวเองต้องเป็นฝ่ายผิด?”
ประหนึ่งวิธีการใช้ไม้กระบองตีหรือตวาดเสียงดังของศาสนาพุทธ (หนึ่งในวิธีที่สำนักพุทธนิกายเซนใช้ต้อนรับผู้ที่เพิ่งเข้าสู่นิกาย หากถามคำถามแล้วอีกฝ่ายตอบไม่ถูกต้องก็จะใช้กระบองตี หรือไม่ก็ตวาดเสียงดัง เพื่อทดสอบความฉลาดเฉลียว บ้างก็เพื่อบอกเป็นนัยและชี้นำให้แก่อีกฝ่าย สามารถใช้เปรียบเทียบถึงการตักเตือนให้ผู้อื่นตื่นมีสติ)
แต่วิธีนี้จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นเป็นคนที่มีรากฐานของความฉลาดเฉลียว อีกทั้งยังสั่งสมสติปัญญาไว้มากพอจนถึงขั้นที่บรรลุได้ หาไม่แล้วต่อให้เกิดเสียงดังสักกี่ร้อยกี่พันครั้งก็ไม่มีประโยชน์
ซุนเจียซู่เก็บคันเบ็ดตกปลา ปล่อยปลาทั้งหมดที่ตกมาได้แล้วเก็บไว้ในข้องปลาคืนสู่แม่น้ำ
สุดท้ายซุนเจียซู่ตัดสินใจว่าจะไม่เดิมพันในครั้งนี้
……
เหนือทะเลเมฆของนครมังกรเฒ่า หญิงสาวกระโปรงเขียวคนหนึ่งเล่นกระโดดข้ามช่องสี่เหลี่ยมเบาๆ ตอนที่พลิ้วกายลงบนพื้น เมฆหมอกก็กระเพื่อมกระเซ็นเป็นระลอก บางครั้งนางจะหยิบไข่มุกแก้วขนาดเท่ากำปั้นเม็ดหนึ่งออกมาโยนเล่น
สุดท้ายนางจะเล็งตำแหน่งบางแห่งของทะเลเมฆแล้วพุ่งตัวออกไป ก่อนที่นางจะเอามือสองข้างวางแนบไว้กับด้านนอกต้นขา ขาสองข้างประกบชิดติดกัน จากนั้นก็ทิ้งร่างทิ้งดิ่งลงมายังมุมใดมุมหนึ่งของเมืองฝั่งในนครมังกรเฒ่า
คล้ายกับมีต้นหอมสีเขียวต้นหนึ่งหล่นลงมาจากฟ้า……
ด้วยความเร็วสูงสุด หนึ่งเค่อก่อนจะกระแทกลงสู่พื้นดิน หญิงสาวนามว่าฟ่านจวิ้นเม่าก็พลิ้วกายลงบนพื้นเบาๆ
ตำแหน่งที่นางพลิ้วกายลงมาก็คือเรือนด้านหลังของร้านยาฮุยเฉิน
เจิ้งต้าเฟิงเถ้าแก่ร้านกำลังนั่งสูบยาอยู่บนขั้นบันได
ฟ่านจวิ้นเม่าถาม “ว่ายังไง?”
ควันยาสูบลอยขโมงอบอวลจนมองเห็นใบหน้าของเจิ้งต้าเฟิงได้ไม่ชัด ได้ยินแต่เสียงชายฉกรรจ์พูดเนิบช้าว่า “ติดหนี้ใช้หนี้ ติดค้างชีวิตใช้คืนด้วยชีวิต ข้ากับหลี่เอ้อร์ไม่เหมือนกัน เขาเล่นงานแต่กับคนแก่ ส่วนข้าจะคนแก่หรือเด็กก็ไม่มีเว้น”
ฟ่านจวิ้นเม่ามองชายฉกรรจ์ที่เดิมทีชอบเฮฮาสนุกสนานทั้งวันด้วยสายตาคลุมเครือ
สุนัขเปลี่ยนนิสัยกินอาจมไม่ได้
ผ่านไปตั้งกี่ปีแล้วก็ยังมีนิสัยเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเคร่งขรึมมาทั้งชีวิต มีแค่เพียงครั้งนั้นครั้งเดียวที่จริงจัง
ห่างไปไกลแสนไกล ประตูสวรรค์สี่แห่ง ขุนพลเทพสามท่านต่างก็ละทิ้งหน้าที่ด้วยเหตุผลที่ต่างกันออกไป เปิดทางให้กับ ‘กองทัพกบฏ’ ที่บุกมาด้วยพลังอำนาจเกินต้านทาน มีเพียงขุนพลเทพที่อยู่ทางทิศตะวันออกซึ่งถูกมองว่ารักตัวกลัวตายมากที่สุดและทำตัวเอ้อระเหยลอยชายมากที่สุดท่านนั้นที่ไม่ยอมเปิดทาง ต่อให้ตายก็ไม่ยอมถอย
แน่นอนว่าผลลัพธ์ของการที่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมถอยก็คือ ตาย
เขาถูกคนใช้หนึ่งกระบี่ปักตรึงตายคาที่อยู่บนเสาใหญ่ของประตูสวรรค์
ไม่ว่าจะฝั่งศัตรูหรือฝั่งของตัวเอง ทุกคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจ
การรนหาที่ตายของขุนพลเทพผู้นี้ทำให้ผู้คนคิดหาเหตุผลไม่ออกจริงๆ
ฟ่านจวิ้นเม่าถอนหายใจอยู่ในใจหนึ่งครั้ง นางไม่ได้อยากรู้เลยสักนิด น่าเสียดายที่กลับต้องมารับรู้
……
อริยะหร่วนฉงเปิดสำนักตั้งพรรคอยู่บนภูเขาใหญ่ทางฝั่งทิศตะวันตกอย่างเป็นทางการ และลูกศิษย์ที่รับไว้อย่างเป็นทางการตอนนี้ก็ยังมีแค่สามคน
ร้านกระบี่ริมลำธารหลงซวียังคงเปิดอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ปิดกิจการ หร่วนฉงทิ้งเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในลูกศิษย์เปิดสำนักเอาไว้ที่นั่น นางขาดนิ้วโป้งที่จะจับกระบี่ ดังนั้นจึงห้อยกระบี่ไว้ทางเอวฝั่งขวา เปลี่ยนมาถือกระบี่ด้วยมือซ้ายแทน
ตอนที่แม่นางหร่วนซิ่วบุตรสาวคนเดียวของหร่วนฉงย้ายไปอยู่ที่ภูเขาเสินสิ่ว ได้ยินว่านางถือกรงใส่ไก่ไปด้วยกรงหนึ่ง พอนางหิ้วอยู่ในมืออย่างนั้นก็ทำให้เทพเซียนจากฝ่ายต่างๆ พากันหันมามองอย่างอดไม่อยู่ เข้าใจผิดนึกว่ามันเป็นสัตว์วิเศษที่ร้ายกาจอะไร ภายหลังผู้ฝึกลมปราณบางส่วนที่เคยไปเยือนภูเขาเสินซิ่วพูดถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่ก็ล้วนรู้สึกขบขันกันทั้งนั้น ที่แท้นั่นเป็นแค่แม่ไก่และลูกเจี๊ยบฝูงหนึ่ง เป็นแค่สัตว์เลี้ยงที่พบเห็นได้ทั่วไปของชาวบ้านร้านตลาดเท่านั้น
ดังนั้นตระกูลเซียนทั้งหลายที่อยู่บนภูเขาใกล้เคียงจึงรู้สึกว่าจิตใจที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาของแม่นางหร่วนซิ่วต่างหากที่ถึงจะเป็นจิตแห่งมรรคาที่แท้จริง
พวกเขาเอาจริงเอาจังอย่างมาก เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนอายุน้อยบางส่วนที่เพิ่งย้ายมาอาศัยที่จวนใหม่เอี่ยมเริ่มใคร่ครวญความรู้ที่แฝงอยู่ในเรื่องนี้ ด้วยรู้สึกว่าต้องมีความหมายที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่
ไม่เสียแรงที่เป็นแม่นางซิ่วซิ่ว ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกตนมีพรสวรรค์ที่ศาลลมหิมะเคยฝากความหวังยิ่งใหญ่ไว้ให้
ไม่ว่าทำเรื่องใดก็ล้วนมองทะลุปรุโปร่งถึงความลี้ลับ ทุกเรื่องล้วนสอดคล้องกับมหามรรคา
พอเด็กหนุ่มคิ้วยาวแซ่เซี่ยได้ยินเรื่องนี้ก็รู้สึกสนใจ จึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้พี่ซิ่วซิ่วฟังเป็นเรื่องตลก ตอนนั้นหร่วนซิ่วกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กสีเขียวมรกต มองแม่ไก่ที่เดินยืดอกเชิดหน้านำฝูงลูกเจี๊ยบกลุ่มน้อยจิกหาอาหารไปทั่ว นางพูดแค่ประโยคเดียวว่า อย่างนี้เองหรือ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
เด็กหนุ่มแซ่เซี่ยผู้มีวาสนามองพี่ซิ่วซิ่วที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางนี้ทำให้คิ้วของเขายิ่งยาวเข้าไปอีก
หร่วนฉงคือผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ อีกทั้งยังมีศาลลมหิมะ ‘บ้านเดิม’ ช่วยหนุนหลัง แล้วก็เพราะเรื่องที่เขาเชี่ยวชาญการหลอมกระบี่ทำให้เขามีสหายกว้างขวาง ชื่อสำนักของเขาจึงสามารถใส่คำว่าสำนัก (จง) เข้าไปได้ โดยตั้งชื่อเป็นสำนักกระบี่หลงเฉวียน (หลงเฉวียนเจี้ยนจง จงแปลว่าสำนัก/ดั้งเดิม สำนักที่สามารถใช้คำว่าสำนักในชื่อจึงมีอักษรจงอยู่ด้วย)
อันที่จริงแรกเริ่มหร่วนฉงอยากตั้งชื่อแค่ว่า ‘สำนักกระบี่’ (เจี้ยนจง) เท่านั้น เพราะฟังแล้วดูมีบารมีและพลังอันยิ่งใหญ่ แต่หนึ่งเพราะทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีสำนักกระบี่อยู่ก่อนแล้ว นี่จึงไม่สอดคล้องกับกฎที่ลัทธิขงจื๊อตั้งไว้ สองก็เพราะสหายสนิทที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีได้เกลี้ยกล่อมหร่วนฉงเป็นการส่วนตัวว่า การที่เขาตั้งสำนักอยู่ในเขตพื้นที่ของต้าหลีก็ถือว่าเป็นต้นไม้ใหญ่ที่เรียกลมมากพอแล้ว อย่าสิ้นเปลืองพละกำลังกับเรื่องนี้อีกเลย
แม้ว่าสุดท้ายหร่วนฉงจะตัดสินใจใช้ชื่อสำนักเป็น ‘สำนักกระบี่หลงเฉวียน’ แต่ลึกๆ ในใจกลับไม่ใคร่จะพอใจนัก ไม่ว่าจะขึ้นเขาหรือลงเขาก็ล้วนไม่ชอบเดินผ่านซุ้มประตูตรงตีนเขาที่แขวนกรอบป้ายชื่อสำนักเอาไว้ เขาบอกให้นักโทษสกุลหลูที่ทางการต้าหลีนำตัวมาเปิดเส้นทางเล็กๆ ให้เขาอีกเส้นหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อย เพราะรู้สึกว่านี่ไม่ใช่การเริ่มต้นที่ดี นี่ไม่เท่ากับว่าหลีกเลี่ยงไม่เดินทางสายใหญ่ (มหามรรคา) แต่เลือกที่จะเดินทางฝั่งข้างที่ไม่ตรงประตู (นอกรีตนอกรอย) หรอกหรือ?
แต่หร่วนซิ่วและลูกศิษย์ทั้งสามคนของเขาต่างก็รู้สาเหตุ
หร่วนฉงทิ้งประโยคหนึ่งไว้ให้กับคนทั้งสี่ว่า ในอนาคตใครสามารถตัดสองคำว่าหลงเฉวียนออกจากชื่อสำนักกระบี่หลงเฉวียนได้อย่างถูกทำนองคลองธรรม คนผู้นั้นก็คือเจ้าสำนักคนถัดไป
เวลานี้สำนักกระบี่หลงเฉวียนมีชื่อเสียงและหน้าตามากที่สุดในต้าหลีอย่างที่ใครก็ไม่อาจทัดเทียมได้
เว้นจากภูเขาเสินซิ่วซึ่งเป็นภูเขาหลักของสำนักที่สกุลซ่งต้าหลีมอบให้เป็นของขวัญเปิดสำนักแล้ว ภูเขารอบด้านอย่างภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาเฟิงอวิ๋น และภูเขาเซียนฉ่าวสามลูกนี้ เฉินผิงอันให้อริยะหร่วนฉงเช่าเป็นเวลาสามร้อยปี จึงถือว่าอยู่ในอาณาเขตของสำนักกระบี่หลงเฉวียนมานานแล้ว
นี่คือการค้าขายที่ดีมากครั้งหนึ่ง
คนอื่นถือหัวหมูไม่เจอศาลเจ้า เข้าประตูไปแล้วคิดจะจุดธูปไหว้ให้สำเร็จอย่างแท้จริงก็ยิ่งยาก
ดังนั้นการค้าครั้งนี้จึงคุ้มค่ามากสำหรับเฉินผิงอันที่ตบะต่ำต้อยจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง แต่กลับได้เป็นเจ้าของที่ดินเขตการปกครองหลงเฉวียน
บวกกับที่เว่ยป้อเทพแห่งขุนเขาเหนือซึ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่เคยพาเฉินผิงอันเดินสำรวจพื้นที่รอบด้าน นี่จึงถือเป็นยันต์คุ้มกันกายสีทองอร่ามอีกชิ้นหนึ่งของเขา
ได้ยินว่าเด็กรับใช้สองคนของเขาก็แขวนป้ายสุขสงบปลอดภัยซึ่งราชสำนักต้าหลีจะแจกจ่ายให้กับผู้ฝึกลมปราณที่มีความดีความชอบ นี่ก็คือยันต์คุ้มกันกายอีกชิ้น
มียันต์คุ้มกันกายสามชิ้นนี้ อยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนอย่าว่าแต่เดินเตร่เลย เฉินผิงอันที่โชคดีผู้นั้นคิดจะเดินกร่างก็ยังไม่เป็นปัญหา
น่าเสียดายก็แต่เด็กหนุ่มคนนั้นหายตัวไป ว่ากันว่าเขาออกเดินทางไกล
น่าจะเป็นเพราะเขาเป็นพวกเสวยสุขไม่เป็น
ด้านหนึ่งของภูเขาเสินซิ่วคือหน้าผากเงื้อมชะโงกขนาดใหญ่
มีอักษรโบราณสี่คำสลักอยู่บนหน้าผา เป็นคำว่า ‘สวรรค์สร้างเสินซิ่ว’ หลังจากที่หร่วนฉงตั้งสำนัก จะต้องมีผู้ฝึกลมปราณทะยานลมมาที่นี่แทบทุกวันเพื่อชื่นชมความงามของตัวอักษรใหญ่สี่คำนี้ ด้วยรู้สึกว่าหร่วนฉงเลือกภูเขาเสินซิ่วเป็นภูเขาหลักของสำนัก ไม่แน่ว่าอาจทำตามบัญชาสวรรค์ที่ลึกลับอะไรสักอย่างอยู่ก็เป็นได้
แต่หร่วนซิ่วไม่เคยไปร่วมความครึกครื้นที่นั่น ดูเหมือนว่าจะไม่เคยไปเยือนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
และหร่วนซิ่วที่ไม่ชอบไปไหนมาไหนก็คล้ายว่าจะสูงขึ้นเล็กน้อย อ้วนขึ้นอีกนิด ปลายคางกลมมนมากขึ้น
หร่วนฉงรู้สึกว่าแบบนี้ดีมาก
อันที่จริงคนเป็นบิดาส่วนใหญ่ในใต้หล้าก็มักรู้สึกว่า ไม่ว่ามองอย่างไรบุตรสาวของตัวเองก็ดีไปหมด
มีบางครั้งหร่วนซิ่วจะไปที่ศาลาบนยอดเขาเสินซิ่ว เลือกวันที่อากาศดีท้องฟ้าสดใสทอดสายตามองไปไกล มองธารน้ำที่คดเคี้ยว สุดท้ายไปรวมตัวกันเป็นลำคลองหลงซวี แล้วค่อยไหลซัดกรากกลายไปเป็นแม่น้ำเถี่ยฝู
หร่วนซิ่วไม่ได้ชอบแม่น้ำลำธารพวกนี้ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ นางรู้สึกว่าพวกมันขวางหูขวางตาอย่างมาก
พ่อปู่แม่ย่าลำธาร องค์เทพแห่งสายน้ำ เทพพิรุณ มารดาแห่งเมฆ ฯลฯ ขอแค่เป็นเทพที่เกี่ยวข้องกับน้ำ นางก็ไม่ชื่นชอบมาตั้งแต่เด็กแล้ว ได้ยินคำเรียกขานยศตำแหน่งพวกนี้ก็จะหงุดหงิดใจ
นางอยากจะใช้ค้อนทุบพวกมันให้จบๆ กันไปเหมือนตอนทุบกระบี่เล่มใหม่ที่เพิ่งออกจากเตาหลอม
วันนี้หร่วนซิ่วนอนฟุบอยู่บนราวระเบียงของศาลา อ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน
นอกศาลามีเสียงซอยฝีเท้าเร่งร้อนระลอกหนึ่งดังขึ้นมา หร่วนซิ่วหันหน้ากลับไปมอง เห็นว่ามีคนสี่คนจับกลุ่มเดินมาไกลๆ ทุกคนล้วนสวมชุดลัทธิขงจื๊อ บนศีรษะสวมหมวกผ้าโพก
หร่วนซิ่วรู้จักพวกเขาทุกคน เจ้าเมืองอู๋ยวน คือชายหนุ่มคนหนึ่งที่เลื่อนขั้นในวงการขุนนางเร็วมาก ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของราชครูชุยฉานแห่งต้าหลี
ขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผาคนปัจจุบันที่แซ่เฉา และยังมีอีกคนที่แซ่ยวน ทั้งแซ่เฉาและยวนล้วนเป็นแซ่สกุลของเสาหลักค้ำยันแคว้น เทวรูปที่ตั้งบูชาในศาลบุ๋นบู๊ซึ่งสร้างขึ้นบนภูเขาเครื่องปั้นและสุสานเทพเซียนก็คือบรรพบุรุษของสองคนนี้
คนสุดท้ายคือรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาพีอวิ๋น มีชาติกำเนิดเป็นซือหลางเฒ่าแห่งแคว้นหวงถิง มีนามแฝงว่าเฉิงสุ่ยตง แต่ในความเป็นจริงแล้วคือเจียวเฒ่าตัวหนึ่ง
หร่วนซิ่วลุกขึ้นยืน เดินออกมาจากศาลา ยกตำแหน่งชมวิวที่ดีที่สุดให้กับพวกเขา
คนทั้งสี่หันมามองหน้ากันเองแล้วยิ้ม ไม่มีใครคิดประจบเอาใจแสดงความเป็นมิตรเกินเหตุ เพราะถึงอย่างไรหร่วนซิ่วก็คือสตรีคนเดียวที่อยู่ตรงนี้ พวกเขากระตือรือร้นมากเกินไปคงไม่ดี
หากเปลี่ยนไปเป็นผู้ฝึกลมปราณคนอื่น อย่างน้อยต้องเอ่ยขอบคุณหร่วนซิ่วสักคำ หลังจากนั้นก็แนะนำตัว หวังให้เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของนาง
คนทั้งสี่นัดหมายกันมาเล่นหมากล้อมที่นี่ อู๋ยวนต้องการจะประชันฝีมือกับรองเจ้าขุนเขาเฉิง ชุยฉานอาจารย์ของอู๋ยวนคือนักเล่นหมากล้อมอันดับหนึ่งของแคว้นต้าหลีที่สมชื่ออย่างแท้จริง ตอนที่อู๋ยวนเรียนรู้จากชุยฉาน ความสามารถในการเล่นหมากล้อมของเขาจึงพัฒนามากขึ้น ถือเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง เฉาหยวนสองคนแค่มาชมศึกเท่านั้น
บรรพบุรุษของตระกูลเฉาและตระกูลหยวนคือสหายที่สนิทกันมาก คือหยกคู่แห่งต้าหลี ทว่าหลายร้อยปีต่อมา ทั้งสองแซ่กลับไม่ถูกกันเหมือนน้ำกับไฟ เฉาหยวนสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันแทบจะไม่มองสบตากันเลยด้วยซ้ำ
ตอนนี้ต้าสุยกับต้าหลีเป็นพันธมิตรกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ลงนามเป็นพันธมิตรแห่งขุนเขาที่ภูเขาพีอวิ๋นต้าหลีและที่ภูเขาตงซานต้าสุย ทั่วทั้งแถบทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป แทบจะเรียกได้ว่าต้าหลีคือผู้พิชิตเพียงหนึ่งเดียว ตอนนี้แคว้นใต้อาณัติหลายแห่งของต้าสุยซึ่งรวมถึงแคว้นหวงถิงต่างก็เริ่มหันมาเรียกตัวเองเป็นขุนนางคอยส่งบรรณการให้แก่สกุลซ่งต้าหลีแล้ว แน่นอนว่าระหว่างนี้ก็มีอุปสรรคอยู่บ้าง เนื่องจากตระกูลสูงศักดิ์มากมายต่างก็รู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการทรยศหักหลังซึ่งไร้คุณธรรม จากนั้นเสียงกีบเท้าม้าของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็เริ่มดังขึ้น หลังจากที่เสียงกีบม้าหยุดลง ศีรษะของคนมากมายที่แต่เดิมสวมหมวกขุนนางสูง หรือไม่ก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงล้วนพากันหลุดออกจากบ่า
ทั่วทั้งราชสำนักของต้าสุย บนภูเขาและในยุทธภพต่างก็เริ่มตกสู่บรรยากาศอึมครึมที่น่าประหลาด
ต้าสุยที่ยิ่งใหญ่ ผู้สืบทอดสายบุ๋นที่แท้จริงทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป กองกำลังแห่งแคว้นแข็งแกร่งรุ่งโรจน์ กลับยอมยกธงขาวทั้งที่ยังไม่ได้สู้ ยอมยกที่ดินให้ฝ่ายตรงข้ามเพื่อแสวงหาความปรองดอง!
ผู้มีชื่อเสียงในแวดวงปัญญาชนคนหนึ่งดื่มเหล้าเมามายเดินขึ้นไปบนยอดเขาสูง ก่อนที่จะกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย ได้ทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้ว่า “นับตั้งแต่สกุลเกาต้าสุยก่อตั้งแคว้นมา ปัญญาชนได้รับความอัปยศที่สุดในยุคสมัยนี้ มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้”
นักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นคนหนึ่งของต้าสุยที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปครึ่งทวีปถึงกับผ่าโต๊ะหมากล้อมที่ตัวเองรักที่สุดเอามาทำเป็นฟืนเผาไฟ
คนในราชสำนักของเมืองหลวงต้าสุยทยอยกันลาออกไม่ขาดสาย มีตั้งแต่ขุนนางตำแหน่งสูงไปจนถึงขุนนางที่ยังไม่ได้รับบรรจุอย่างเป็นทางการ จำนวนมากถึงร้อยกว่าคน ว่ากันว่าที่ว่าการหกกรมในเมืองหลวงว่างโล่งไปครึ่งหนึ่งในเวลาเพียงชั่วพริบตา
ไม่ว่าอย่างไร กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีก็เริ่มเดินทางลงใต้แล้ว
ความโกลาหลเริ่มเกิดขึ้นในแจกันสมบัติทวีป
เสียงวางตัวหมากชัดแจ๋วดังมาจากทางศาลาเป็นระยะ
หร่วนซิ่วเดินมาหยุดอยู่ใต้ต้นสนโบราณริมหน้าผา เดินเก็บก้อนหินจากพื้นมาตลอดทาง จากนั้นก็โยนมันไปนอกหน้าผาเบาๆ
ไอเมฆหมอกเหมือนสายน้ำที่ไหลรินผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฟ้าดินกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
นางพลันโยนหินก้อนที่เหลืออยู่ในมือทิ้งไป
วันนี้ยังต้องช่วยท่านพ่อตีเหล็กนี่นา จบกันๆ ไปสายขนาดนี้ คืนนี้ต้องไม่ได้กินเนื้อเค็มตุ๋นหน่อไม้แน่เลย
ครอบครัวสามคนครอบครัวหนึ่งโดยสารเรือข้ามฟากจากใต้มาเหนือ ในที่สุดก็มาถึงเป้าหมายในอุตรกุรุทวีปอย่างตระกูลเซียนที่มีชื่อว่ายอดเขาราชสีห์เสียที
ในกลุ่มพวกเขามีนายบ่าวอายุน้อยเพิ่มมาคู่หนึ่ง คนหนึ่งคือคุณชายสูงศักดิ์ที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งตำรา เด็กหนุ่มที่เป็นข้ารับใช้ช่วยจูงม้าตัวหนึ่งให้ บนหลังม้าใส่อานสีทองและสีเงินของทางการอันเป็นเอกลักษณ์ของราชวงศ์ฮวาหลิง เด็กรับใช้อารมณ์ไม่ใคร่จะดีนักจึงหน้าบูดบึ้งไปตลอดทาง แต่คุณชายของตนดึงดันจะนำทางให้คนอื่น เขาจึงพูดอะไรมากไม่ได้
ครอบครัวสามคนนั้นเหมือนคนบ้านนอกบ้านนา ประเด็นสำคัญคือดวงตาไม่มีแววแม้แต่น้อย แม้ชายฉกรรจ์และสตรีแต่งงานแล้วที่หยาบกระด้างอย่างถึงที่สุดคู่นี้จะให้กำเนิดบุตรสาวที่หน้าตาไม่เลว แต่ต่อให้นางจะสวยงามแค่ไหนก็ยังไม่คู่ควรกับคุณชายของตนอยู่ดี ราชวงศ์ฮวาหลิงคือราชวงศ์ใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของอุตรกุรุทวีป แม้ว่าฮ่องเต้จะแซ่หาน แต่ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าคนในราชสำนักที่ได้สวมหมวกขุนนาง หากนับกันขึ้นมาจริงๆ ก็มีคนสกุลเดียวกับคุณชายของตนอยู่ถึงครึ่งหนึ่ง?
อีกอย่างแม้คุณชายของตนจะไม่ใช่บุตรโทน แต่เด็กรุ่นนี้ของตระกูลก็มีแค่คุณชายกับพี่ชายใหญ่ของเขาสองคนเท่านั้น พี่ชายใหญ่คือบุตรอนุภรรยา แต่คุณชายกลับเป็นบุตรภรรยาเอก ดังนั้นต่อให้คุณชายจะแต่งองค์หญิงมาภรรยาก็ยังไม่ถือว่าเป็นธรรม แล้วเหตุใดต้องมาพัวพันอยู่กับเด็กสาวบ้านป่าไร้อารยธรรมคนหนึ่งด้วย?
ครอบครัวหนึ่งที่มาจากสถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีปไม่คู่ควรกับความกระตือรือร้นถึงขั้นนี้จากคุณชายเลยจริงๆ
ตลอดทางที่เดินมาเด็กรับใช้หนุ่มโมโหจนน้ำตาแทบหยดอยู่หลายครั้ง แต่อย่างมากสุดคุณชายก็แค่ปลอบใจเขาไม่กี่คำ แล้วก็ยังคงติดตามคนทั้งสามไปที่ยอดเขาราชสีห์อยู่ดี
แม้ว่าเจ้าของยอดเขาราชสีห์จะเป็นคนตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียงมาก แต่จะอย่างไรเล่า?
เมื่อพบท่านปู่ของคุณชายก็ยังต้องทำตัวสงบเสงี่ยมสำรวมอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
ขนาดเขาเป็นแค่เด็กรับใช้เป็นสหายร่วมเรียนคนหนึ่ง ตลอดหลายปีมานี้อาศัยบารมีของคุณชายก็ยังเคยได้เห็นพวกเซียนกระบี่พสุธาที่ทะยานลมขี่เมฆตัวเป็นๆ มากถึงหนึ่งมือนับ
เพียงแต่ว่าถึงแม้เด็กรับใช้หนุ่มที่หัวสูงมากเป็นพิเศษผู้นี้จะเห็นเซียนกระบี่ตัวจริงมาไม่น้อยก็จริง แต่เขากลับยังรู้สึกดูแคลนเจ้าของยอดเขาราชสีห์ผู้นั้นอยู่ดี แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเซียนดินก่อกำเนิดขอบเขตสิบ แต่เดิมทีเซียนดินของอุตรกุรุทวีปก็มีแต่มูลค่า ไม่มีความสามารถที่แท้จริง เว้นเสียจากว่าไปเป็นเซียนอิสระใช้ชีวิตอย่างเสรีตามป่าเขา หาไม่แล้วก็ยากที่จะหยัดยืนได้อย่างมั่นคง
โดยเฉพาะท่านผู้นี้ของยอดเขาราชสีห์ที่เป็นคนต่างถิ่น ทว่าในเวลาสั้นๆ เพียงสองร้อยปีก็อาศัยพละกำลังของตัวเองคนเดียวเล่นงานให้ตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของราชสำนักฮวาหลิงที่ในชื่อมีคำว่าสำนัก (จง) ถึงกับจนปัญญา มากพอจะพิสูจน์ได้ว่าพลังการต่อสู้ของคนผู้นี้เลิศล้ำ
นอกจากนี้ก็เป็นคนประเภทที่เป็นยอดฝีมือซึ่งถือกำเนิดในกุรุทวีป คนประหลาด คนไร้เหตุผล รวมไปถึงคนที่มีครบทั้งสามที่กล่าวมาข้างต้น
ดังนั้นการที่ได้นั่งบัญชาการณ์อยู่บนภูเขาของกุรุทวีปจึงง่ายที่จะเรียกหายนะให้มาหามากที่สุด
เพราะมักจะมีผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่แค่ไม่ชอบขี้หน้าสำนักของเจ้าก็วิ่งโร่มาหาเรื่องสร้างความวุ่นวาย หากสู้ไม่ได้ก็หนี แต่ถ้าฝีมือเก่งกาจกว่าก็ถึงขั้นทำให้เจ้าต้องรื้อกรอบป้ายชื่อสำนักทิ้ง
นี่ก็คือกุรุทวีปที่แย่งคำว่า ‘อุตร’ มาจากธวัลทวีปซึ่งๆ หน้า ขนบธรรมเนียมแกร่งกร้าว ผู้คนเหี้ยมหาญ คนทั้งราชสำนักต่างก็เลื่อมใสในฝ่ายบู๊ ผู้ฝึกตนเชี่ยวชาญการทำสงคราม อีกทั้งยังชอบทำสงคราม มีลูกหลานตระกูลเซียนที่สูงศักดิ์หลายคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพัง หลังลงจากภูเขาแล้วก็แสร้งทำตัวเป็นผู้ฝึกตนอิสระ นั่นก็เพื่อให้ตัวเองลงมือได้อย่างสาแก่ใจมากขึ้น
ที่นี่ ผู้ฝึกกระบี่มีมากดุจก้อนเมฆ
สุดยอดมือกระบี่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วยุทธภพเหล่านี้มีวิชากระบี่สูงส่ง ถึงขั้นสามารถงัดข้อกับเซียนดินบนภูเขาได้
ดังนั้นเมื่อเทียบกับสถานที่แห่งอื่นแล้ว ภูมิหลังของอริยะสำนักศึกษาสามแห่งของลัทธิขงจื๊อในกุรุทวีปจะเป็นบัณฑิตที่มีพลังการต่อสู้สูงมาก ส่วนความรู้จะสูงหรือไม่นั้น สามารถยอมกันได้ เพราะถ้าไม่มีฝีมือก็จะไม่สามารถสยบผู้คนได้
เดิมทีชื่อเสียงของอริยะรุ่นนี้ของสำนักศึกษาอวี๋ฝู (ชื่อฮ่องเต้ในสมัยโบราณ) ไม่ได้โด่งดัง มักจะเก็บตัวอยู่ในสำนักศึกษาอย่างสันโดษ ในสายตาของผู้ฝึกตน กษัตริย์หรืออัครเสนาบดีที่เกิดและโตขึ้นมาในกุรุทวีปมักมองว่าคนผู้นี้ชอบโอ้อวดความรู้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนเท่าใดนัก ทว่ากระต่ายถูกบีบให้ร้อนใจก็ยังกัดคนได้ แล้วนับประสาอะไรกับอริยะคนหนึ่งที่ก่อนจะออกเดินทางจากสถานศึกษาในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อาจารย์ผู้มีพระคุณได้มอบสองคำว่า ‘ระงับโทสะ’ ไว้ให้เขา ผลคือมีครั้งหนึ่งที่ไฟโทสะของเขาพุ่งสูงมาก เพราะมีคนกล่าวโทษอย่างกำเริบเสิบสานว่าความรู้และคุณธรรมที่อริยะผู้นี้สั่งสอนตรรกะพังพินาศเหมือนตูดหมาไม่ทะลุ (เป็นคำด่าว่าคำพูดหรือบทประพันธ์ติดขัด ไม่ได้เรื่อง) ตอนนั้นอริยะท่านนี้อยู่ห่างจากสำนักศึกษาอวี๋ฝูไม่มาก พอได้ยินก็แค่ก้าวอาดๆ จากไป คนในตระกูลเซียนของกุรุทวีปที่คล้อยตามกับเรื่องนี้ก็มีค่อนข้างมาก
สำนักศึกษาเงียบเหงาอยู่นาน ในที่สุดก็มีวันหนึ่งที่อริยะออกไปจากสำนักศึกษา เวลาเพียงหนึ่งเดือนเขาซ้อมก่อกำเนิดสองคน หยกดิบหนึ่งคนให้หน้าเขียวจมูกบวมติดๆ กัน ได้ยินว่าทุกครั้งที่ถึงช่วงท้าย อริยะจากลัทธิขงจื๊อท่านนี้จะต้องเขกมะเหงกลงบนศีรษะคนอื่นพลางตะโกนถามเสียงดังด้วยว่า “ตอนนี้ทะลุปรุโปร่งแล้วหรือยัง?” แน่นอนว่าคนทั้งสามได้แต่พูดว่าทะลุปรุโปร่งแล้ว ผลคืออริยะท่านนี้ตอบกลับซ้ำไปซ้ำมาว่า “ทะลุกะผีเจ้าน่ะสิ!”
กลายเป็นเรื่องตลกขบขันที่ผู้คนเอามาพูดถึง
และเจ้าขุนเขาของยอดเขาราชสีห์ก็คือหนึ่งในเซียนดินที่อริยะแห่งสำนักศึกษาอวี๋ฝูถูกชะตาด้วยอย่างที่หาได้ยาก
เพียงแต่ว่าเรื่องวงในพวกนี้ เด็กรับใช้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งไม่มีทางสัมผัสได้ถึง
พอไปถึงประตูตรงตีนยอดเขาราชสีห์ เด็กรับใช้ก็คิดว่าในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว จะดีจะชั่วก็ควรไปขอผู้อื่นดื่มชาสักถ้วย แต่คุณชายกลับดื้อดึงขึ้นมาอีกครั้ง พูดกับคู่สามีภรรยาและเด็กสาวคนนั้นว่าส่งท่านพันลี้ย่อมต้องถึงเวลาแยกจาก แล้วก็พาเขาเดินหันกลับ เด็กรับใช้น้อยใจจนเกือบจะร้องไห้อีกครั้ง
พเนจรอยู่ข้างนอกมาเกือบครึ่งปี ได้กลับจวนคือเรื่องดี แต่พวกเขากลับไม่มีมาดอันสง่างามเลยแม้แต่น้อย
หลังจากขึ้นเขามาแล้ว สตรีแต่งงานแล้วก็พูดคุยซุบซิบอยู่กับลูกสาวเป็นนาน ซึ่งไม่พ้นพูดว่าลูกหลานคนรวยผู้นี้ดูแล้วไม่เลวเลยทีเดียว มีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น หน้าตาก็ไม่ธรรมดา อีกอย่างแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นบัณฑิตมีความรู้ เมื่อเทียบกับน้ำครึ่งถัง (เปรียบเปรยถึงคนที่รู้งูๆ ปลาๆ รู้ไม่จริง) อย่างหลินโส่วอีและต่งสุ่ยจิงแล้ว ดูมีความรู้กว่ามาก น่าเสียดายที่บุตรสาวของนางทั้งไม่พยักหน้ารับและไม่ส่ายหน้าปฏิเสธ ทำเอาสตรีแต่งงานแล้วโมโหจนใช้นิ้วจิ้มบุตรสาว ด่าด้วยรอยยิ้มว่า “เด็กโง่ไร้ไหวพริบ” นางที่ไม่ถือว่าเป็นเด็กสาวแล้วยิ้มอย่างอ่อนหวาน และเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต
ไม่เคยโกรธ ไม่เคยหัวเราะเสียงดัง เว้นจากน้องชายที่ชื่อว่าหลี่ไหวแล้วก็ไม่เคยใส่ใจผู้ใดอีก
สตรีแต่งงานแล้วมักจะพูดว่านางคือก้อนแป้งนุ่มนิ่ม ไม่ว่าใครก็หยิบขึ้นมาปั้นได้ตามใจชอบ วันหน้าถ้าแต่งงานออกเรือนไปต้องลำบากแน่
แน่นอนว่าความหมายที่สำคัญที่สุดของสตรีแต่งงานแล้วก็คือ นางยังรู้สึกว่านิสัยอ่อนโยนนิ่มนุ่มเช่นนี้ของลูกสาว วันหน้าหากแต่งงานเป็นภรรยาของผู้อื่นต้องไม่สามารถปกครองบ้านเรือน ไม่อาจสยบบ้านฝั่งสามีได้แน่นอน ถ้าอย่างนั้นจะช่วยเหลือน้องชายอย่างไร?
สตรีแต่งงานแล้วไม่เคยปกปิดความลำเอียงของตัวเอง
ยังดีที่สามีของนาง ชายฉกรรจ์หยาบกระด้างที่ชื่อว่าหลี่เอ้อร์ไม่ได้รักลูกชายชังลูกสาว เพราะไม่ว่าจะลูกชายหรือลูกสาว เขาก็ล้วนรักทั้งหมด
น่าเสียดายก็แต่ฐานะของเขาในบ้านต่ำต้อยที่สุด คำพูดของเขาไม่มีน้ำหนักมากที่สุด
ส่วนหลี่หลิ่วก็คงเพราะมีนิสัยยอมรับความยากลำบากโดยไม่ขัดขืนมาตั้งแต่เกิด จึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง
คราวนี้สตรีแต่งงานแล้วได้ยินมาว่าประมุขยอดเขาราชสีห์อะไรนี่มีความสัมพันธ์กับอาจารย์ไม่เอาไหนของผู้ชายของตน บุรุษรับรองว่าเมื่อมาถึงที่นี่ คนทั้งสามจะไม่ต้องเป็นทุกข์เรื่องการกินอยู่ สตรีแต่งงานแล้วที่ระเหเร่ร่อนข้ามน้ำข้ามทะเลมาตลอดทางจึงด่าหยางเหล่าโถวน้อยลงสองสามคำ รู้สึกว่าหลายปีที่หลี่เอ้อร์เป็นลูกศิษย์ของเขา ในที่สุดก็พอมีประโยชน์บ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นหากครั้งหน้านางกลับบ้านเกิดแล้วหยางเหล่าโถวยังไม่ตาย นางจะต้องไปดักรอที่ประตูเรือนหลังร้านยาทุกวัน จะด่าให้ตาแก่นั่นไม่ต้องล้างหน้าเลยทีเดียว
สตรีแต่งงานแล้วเดินไปเดินมาก็นึกถึงลูกชายสุดที่รักซึ่งเวลานี้ไร้คนดูแล และคงต้องได้รับความยากลำบากอย่างแสนสาหัส นางที่โมโหจึงบิดแขนลูกสาวที่เดินอยู่ข้างๆ อย่างอดไม่ได้ “คุณชายแซ่ประหลาดคนนั้นไม่ดีตรงไหน เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าหากแต่งงานกับเขา พวกเราที่อยู่ยอดเขาราชสีห์อะไรนี่ก็ไม่ต้องคอยดูสีหน้าคนอื่นแล้ว ให้คนแซ่ซือถูนั่นหามแปดเกี้ยวแต่งเจ้าเข้าบ้านก่อน จากนั้นพวกเราก็จะได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของเขาอย่างเปิดเผย แล้วค่อยรีบรับตัวหลี่ไหวมาอยู่ด้วยกันสี่คนพ่อแม่ลูก จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที”
หลี่หลิ่วหัวเราะจนดวงตาโค้งลง คล้ายกำลังยอมรับผิด แล้วก็คล้ายกำลังออดอ้อน
สตรีแต่งงานแล้วทนเห็นท่าทางแบบนี้ของลูกสาวไม่ได้มากที่สุด อารมณ์โกรธพลันหายวับไป นางบิดแขนหลี่หลิ่วอีกที เพียงแต่ว่าคราวนี้แรงบิดเบามาก “เจ้ามันคนใจดำ ไม่รู้จักสงสารน้องชายตัวเองเสียบ้าง ข้าเลี้ยงเจ้ามานานหลายปีขนาดนี้นับว่าเสียเปล่าจริงๆ ……”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีแต่งงานแล้วที่เปลี่ยนมาเป็นใจดีก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ยื่นมือมาบีบแก้มบุตรสาวเบาๆ “หน้าตาของนังหนูดื้อคนนี้เหมือนข้าจริงๆ ดูดวงหน้าเล็กๆ นี่สิว่าน่ารักงดงามเพียงใด อวบอิ่มจนเค้นน้ำออกมาได้แล้ว”
หลี่เอ้อร์ที่สะพายสัมภาระห่อใหญ่ยิ้มกว้าง
แต่แล้วสตรีแต่งงานแล้วก็กล่าวอย่างกลัดกลุ้มอีกครั้ง “กว่าจะทนอยู่มาจนยายเฒ่าตรอกซิ่งฮวาผู้นั้นตายได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นังจิ้งจอกตรอกหนีผิงก็ย้ายบ้านไปแล้ว หากไม่ได้ออกจากเมืองเล็กก็คงดี เพราะไม่มีใครเถียงชนะข้าได้อีกแล้ว”
ตลอดทางที่ขึ้นเหนือมานี้ นางเดินทางอย่างหวาดหวั่น สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกว่าตนมีความสามารถเต็มตัว แต่กลับไม่มีที่ให้แสดงฝีมือ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
หน้าตางดงามของหลี่หลิ่ว ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหมือนมารดาของนาง
แต่นิสัยเก่งแต่ในผ้าห่มของหลี่ไหวนั้นเหมือนมารดาของเขาอย่างแน่นอน
บนยอดเขาราชสีห์ เจ้าขุนเขายืนอยู่เคียงข้างชายชราลักษณะเหมือนเศรษฐีคนหนึ่ง ฝ่ายหลังมีใบหน้ากลมเกลี้ยงอิ่มเอิบ หากไม่ได้ปรากฏตัวที่นี่ ไม่ได้มีผู้ฝึกตนเซียนดินท่านหนึ่งยืนอยู่เคียงข้างอย่างนอบน้อม คงถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าเขาคือเถ้าแก่ร้านเล็กๆ ในตลาดล่างภูเขา หรือไม่ก็พวกคนมีอำนาจในสถานที่ที่ชาวบ้านยากแค้นถูกรังแก
ตรงข้อมือของผู้เฒ่าร่างอ้วนฉุผูกเชือกสีเขียวมรกตไว้เส้นหนึ่ง เขาจุ๊ปากพูดว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าหยางช่างใจกว้างจริงๆ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า สตรีปากคอเราะร้ายแบบนี้ได้กลับไปเกิดใหม่พันแปดร้อยรอบนานแล้ว”
ผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ข้างเศรษฐีมีกลิ่นอายและมาดที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของเทพเซียนในใจชาวบ้านอย่างยิ่ง ได้ยินคำสัพยอกจากแขกท่านนี้ก็ไม่ได้รับคำ เพียงแค่ยิ้มบางๆ ตามมารยาท
ผู้เฒ่าร่างอ้วนยิ้มตาหยีถามว่า “ไม่พูดถึงโอสถทองไร้ค่า เอาแค่เซียนดินเหมือนเจ้า พันปีที่ผ่านมานี้มีคนเดินออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูสักกี่คน? ตอนนี้เจ้ากับข้าเป็นพันธมิตรกัน เรื่องเล็กแค่นี้ คงไม่ต้องทำหลบๆ ซ่อนๆ หรอกกระมัง?”
เซียนซือเฒ่าค้อมตัวลงเล็กน้อย กล่าวขออภัยว่า “เซียนกระบี่ใหญ่เฉา โปรดอภัยที่ผู้น้อยไม่อาจพูดได้มากนัก”
ที่แท้เศรษฐีท่านนี้ก็คือเฉาซีเซียนกระบี่จากนาตยทวีปที่เดินทางมาเป็นผู้พิทักษ์มรรคาหลี่หลิ่วตามข้อตกลง
เฉาซีถามอีกว่า “แล้วเหตุใดหลี่หลิ่วถึงถ่วงเวลามาเนิ่นนานไม่ยอมฝึกตนเสียที? นี่เป็นเพราะสาเหตุใด?”
เซียนซือเฒ่าที่เป็นเจ้าขุนเขายอดเขาราชสีห์กล่าวอย่างจนใจว่า “ท่านเซียนกระบี่สามารถถามจากบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตระกูลของข้าได้”
เฉาซีอึ้งตะลึง “นี่นางเป็นถึงบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งสายของเจ้าที่กลับชาติมาเกิดใหม่อย่างนั้นหรือ? ยอดเขาราชสีห์เพิ่งสืบทอดกันมาได้กี่ปีเอง พวกเจ้าตามหานางพบได้อย่างไร?”
เซียนซือเฒ่าลังเลเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะเคยได้รับคำสั่งมาก่อน หลังจากใคร่ครวญดูเล็กน้อยก็กล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ย่อมต้องมีวิชาลับ อีกอย่างก็ไม่ใช่แค่บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งของเราเท่านั้น”
เฉาซีถามคำถามที่เป็นประเด็นสำคัญที่สุด “ตัวหลี่หลิ่วเองรู้หรือไม่?”
เซียนซือเฒ่าเพียงยิ้มตอบรับ
นี่ก็คือคำตอบแล้ว
เฉาซีจุ๊ปากพูด “เก็บได้สมบัติซะแล้ว”
หลังจากนั้นหลี่เอ้อร์สามคนครอบครัวก็มาพักอยู่ที่ยอดเขาราชสีห์ พ่อบ้านวัยชราคนหนึ่งของยอดเขาราชสีห์เป็นผู้มาต้อนรับ เขาถือเป็นญาติห่างๆ ของร้านยาตระกูลหยางในนาม รับผิดชอบดูแลงานจิปาถะบางส่วนในยอดเขาราชสีห์ เขาจัดหาที่พักธรรมดาให้คนทั้งสาม ยังไม่มอบหมายงานอะไรให้สตรีแต่งงานแล้วทำชั่วคราว บอกแค่ว่าต้องรออีกสักพักถึงจะได้คำตอบ กฎระเบียบของยอดเขาราชสีห์เข้มงวดมาก ห้ามรบกวนการฝึกตนของเซียนซือ ห้ามเดินเตร่ส่งเดช หากก่อเรื่องขึ้น เขาก็ไม่สามารถช่วยได้
สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกว่าคำพูดพวกนี้อีกฝ่ายพูดให้นางฟังคนเดียว จึงรู้สึกกระวนกระวายอย่างมาก
แน่นอนว่านางไม่รู้ว่า หลังจากผู้คุมกฎอาวุโสแห่งยอดเขาราชสีห์ท่านนี้เดินออกจากห้องแล้วก็ต้องรีบปาดเหงื่อทิ้ง งานนี้ที่เจ้าขุนเขามอบให้เขาช่างน่าอกสั่นขวัญแขวนเสียจริง ผู้เฒ่าถึงขั้นไม่กล้ามองสตรีที่ชื่อว่าหลี่หลิ่วสักครั้ง
ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน สตรีแต่งงานแล้วก็ทนอยู่นิ่งเฉยไม่ไหว บอกว่าจะไปหางานทำที่เมืองเล็กข้างยอดเขาราชสีห์ หลี่เอ้อร์จึงไปขอยืมเงินจากคนอื่น คิดจะลงทุนเปิดร้านสักร้าน หลังจากนั้นยอดฝีมือยอดเขาราชสีห์บางคนก็ ‘บังเอิญ’ ค้นพบว่าหลี่หลิ่วมีพรสวรรค์ในการฝึกตน หลี่หลิ่วจึงต้องฝึกตนอยู่เพียงลำพังบนภูเขา
สตรีแต่งงานแล้วเป็นพวกสายตาตื้นเขิน นางรู้สึกว่าหลี่หลิ่วควรแต่งงานให้กับคนมีเงินถึงจะเรียกว่ามีวาสนา นางจึงไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก หากเป็นเซียนซือที่ฝึกตนขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้พบหน้ากันหลายปีหรืออาจหลายสิบปี แล้วจะยังช่วยหลี่ไหวได้อย่างไร?
แต่สุดท้ายสตรีแต่งงานแล้วก็ยังไปเมืองเล็กกับหลี่เอ้อร์ เช่าบ้านหลังหนึ่ง เดินหาร้านที่เหมาะสมไปทั่ว ในที่สุดก็ถือว่าได้ลงหลักปักฐานแล้ว
ตอนนั้นหลี่หลิ่วมาส่งพ่อแม่ที่ตีนเขา รอจนเงาร่างของคนทั้งสองหายไปจากเส้นทางเบื้องหน้าแล้ว ด้านหลังหญิงสาวก็มีก่อกำเนิดและโอสถทองทั้งหมดของยอดเขาราชสีห์รวมถึงเจ้าขุนเขามาปรากฎตัว แต่ละคนมีท่าทางนอบน้อมยำเกรง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ภายใต้การนำพาของเจ้าขุนเขา ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ขอต้อนรับท่านบรรพบุรุษกลับภูเขา”
หลี่หลิ่วไม่สนใจแม้แต่น้อย นางเดินอยู่บนภูเขาเพียงลำพัง ไม่อนุญาตให้ใครติดตามมา จนกระทั่งไปถึงหน้าถ้ำแห่งหนึ่งที่ถูกปิดตายมานาน จึงก้าวยาวๆ เข้าไปข้างใน
ตราผนึกหนาชั้นที่แม้แต่เซียนดินก็ยากจะทำลายไม่อยู่ในสายตาของหลี่หลิ่ว หรือควรจะพูดว่ามันไม่เป็นอุปสรรคต่อหลี่หลิ่วแม้แต่นิดเดียว
รอจนนางเดินออกมาจากถ้ำ ตรงเอวก็ห้อยตราประทับราชสีห์สีทองอร่ามไว้ชิ้นหนึ่ง
เฉาซีมายืนรออยู่ตรงหน้าปากถ้ำนานแล้ว ในมือถือกระบี่สั้นเล่มหนึ่งที่มีขนาดเหมือนกริช ยกมือข้างที่รัดเชือกมรกตเส้นเล็กขึ้นมา เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ก่อนหน้าที่จะชุบหลอมแม่น้ำสายหนึ่งเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต กระบี่สั้นเล่มนี้เคยติดตามข้าออกรบถึงสามร้อยปี ภายหลังปราณกระบี่ได้รับบำรุงด้วยความอบอุ่นและเพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง รอจนเจ้าเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางเมื่อไหร่ก็จะสามารถใช้มันได้ตามใจปรารถนา สามารถปล่อยกระบี่ได้สิบครั้ง อานุภาพของมันมากพอจะทัดเทียมกับการโจมตีอย่างเต็มกำลังครั้งหนึ่งของเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ หากรอจนเจ้าได้เป็นโอสถทองหรือก่อกำเนิด ปล่อยปราณกระบี่ครั้งเดียวก็เท่ากับการปล่อยกระบี่ของเซียนกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินแล้ว”
หลี่หลิ่วยิ้มอ่อนหวาน ยกมือข้างหนึ่งขึ้น กระบี่สั้นก็บินเข้ามาในมือของนาง นางชักมันออกจากฝักแล้วฟันออกไปนอกภูเขาเบาๆ หนึ่งครั้ง
รุ้งยาวปราณกระบี่ผ่าออกไปดังครืนครั่น พลานุภาพนั้นราวกับจะแหวกฟ้าผ่าดิน ทำเอาผู้ฝึกตนทุกคนบนยอดเขาราชสีห์ตกใจ บรรยากาศตกสู่ความเงียบ
หลี่หลิ่วที่อยู่ดีๆ ก็เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางในก้าวเดียวพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริงด้วย”
เฉาซีทอดถอนใจ “ผีหลอกซะแล้ว”
เฉาซีนึกถึงเฉาจวิ้นหลานชายไม่เอาไหนของตนซึ่งตอนนี้อยู่ในกองทัพต้าหลีอย่างหาที่ได้ยาก
เฮ้อ มองลูกหลานบ้านคนอื่น แล้วพอหันมามองลูกหลานบ้านตัวเอง น่าโมโหจริงๆ
ภูเขาเจินอู่
ในฐานะหนึ่งในสองปฐมสำนักของสำนักการทหารแจกันสมบัติทวีป เมื่อเทียบกับศาลลมหิมะที่มีจอมยุทธ์พเนจรมากกว่าแล้ว เขาเจินอู่มีผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมกองทัพเยอะอย่างถึงที่สุด
หนึ่งปีที่ผ่านมาผู้ฝึกตนด้านล่างภูเขามีมากขึ้นเรื่อยๆ ครึ่งหนึ่งเดินทางไปยังต้าหลีที่อยู่ทางทิศเหนือ ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งไล่ตามโชควาสนาของตัวเอโดยเลือกที่จะสวามิภักดิ์ต่อแคว้นต่างๆ ที่อยู่แถบภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป
ช่วงที่ผ่านมาภูเขาเจินอู่ที่ค่อนข้างเงียบสงบจึงเริ่มครึกครื้น
สมาชิกใหม่นิสัยกำเริบเสิบสานที่เพิ่งขึ้นเขามาได้ไม่กี่ปีอย่างหม่าขู่เสวียนได้ก่อเรื่องใหญ่เทียมฟ้าขึ้นอีกครั้ง เขาลงมือสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่ง รายละเอียดและสาเหตุเป็นอย่างไร ทางภูเขาเจินอู่ไม่ได้ป่าวประกาศแก่ภายนอก รู้แค่ว่าไม่ได้ลงมือเพราะเป็นศัตรูคู่แค้น ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตเจ็ดคนนั้นไม่เคยไปมาหาสู่กับหม่าขู่เสวียน ต่อให้เกิดความขัดแย้งกัน อย่างมากก็แค่ด่ากันเท่านั้น ย่อมต้องเป็นหม่าขู่เสวียนที่จิตใจอำมหิตจงใจสังหารเขาอย่างแน่นอน
ต่อให้บุรพาจารย์สองท่านจะช่วยพูดขอร้อง แต่สุดท้ายหม่าขู่เสวียนก็ยังถูกจับขังในตำหนักเสินอู่ด้านหลังภูเขา ห้ามออกไปไหนเป็นระยะเวลาหนึ่งปี
ในตำหนักเสินอู่บูชาบรรพจารย์หลายรุ่นของภูเขาเจินอู่และองค์เทพไร้นามหลายสิบองค์ ว่ากันว่าในประวัติศาสตร์เคยมีหายนะใหญ่ที่เกี่ยวพันกับทั้งสำนัก ช่วงเวลาที่เผชิญกับวิกฤตคับขัน เจ้าสำนักภูเขาเจินอู่ในยุคสมัยนั้นใช้เวทลับที่ไม่อาจแพร่งพรายอัญเชิญองค์เทพร่างทองที่เสพสุขควันธูปอยู่ในตำหนักใหญ่มานานหลายพันปี ให้มาช่วยกันลงเขาไปสังหารศัตรูด้วยพลังอำนาจอันน่าครั่นคร้าม สุดท้ายกำจัดตระกูลเซียนสิบกว่าแห่งได้ในรวดเดียว
แต่การถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักเสินอู่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่สุขสบายแน่นอน มีเพียงผู้ฝึกตนของภูเขาเจินอู่ที่ทำความผิดมหันต์เท่านั้นถึงจะถูกกักขังอยู่ที่นี่ สุดท้ายไม่มีใครสามารถเดินออกไปจากที่นี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่สักคน ว่ากันว่าองค์เทพทั้งหลายที่ตั้งบูชาไว้ในตำหนักเสินอู่จะ ‘ฟื้นตื่น’ ขึ้นมาในวันถือศีลกินเจของยุคบรรพกาลซึ่งขาดการสืบทอดไปแล้ว เพื่อสอบถาม ฟาดโบย หรือแม้แต่กลืนกินดวงวิญญาณของผู้ฝึกตน
จวนเทพเซียนแห่งหนึ่งบนภูเขาเจินอู่ซึ่งมีปราณแห่งเซียนล้อมวน บุรพาจารย์สำนักการทหารคนหนึ่งที่มีวัยวุฒิสูงมากระเบิดอารมณ์เต็มที่ “ลงโทษหม่าขู่เสวียนเช่นนี้ไม่เข้มงวดไปหน่อยหรือ?!”
คนที่อยู่ตรงข้ามคือคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา นิ้วมือเรียวบางขาวนวลเหมือนมือของสตรี เขากำลังนั่งเล่นหมากล้อมอยู่กับตัวเอง เผชิญหน้ากับการซักไซ้ที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าไร้มารยาทของศิษย์น้องคนนี้ บุรุษไม่สะทกสะท้าน ถึงขั้นไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความสักคำ
ผู้เฒ่าฟาดฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ “หม่าขู่เสวียนคนนี้คือผู้มีพรสวรรค์ที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต เป็นคนมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง หากเจ้าทำลายเขา ข้าจะไม่จบเรื่องกับเจ้าง่ายๆ แน่!”
บุรุษเพิ่งจะคีบตัวหมากขึ้นมาเม็ดหนึ่ง ได้ยินประโยคนี้ก็ปล่อยมันกลับล่องไปในโถเก็บเม็ดหมาก ขมวดคิ้วกล่าวว่า “อันที่จริงโศกนาฎกรรมที่พรรคหรือตระกูลซึ่งในชื่อได้ใช้คำว่าสำนัก (จง) ถูกทำลายด้วยน้ำมือของผู้มีพรสวรรค์ มีไม่มากนัก”
ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “แต่สำนักที่ลุกผงาดเจริญรุ่งเรือง หมดสิ้นข้อเสียด้วยฝีมือของคนคนเดียวกลับมีมากกว่า!”
บุรุษส่ายหน้ากล่าวว่า “การฝึกตนต้องให้ความสำคัญกับสองคำว่าถูกผิดก่อน หาไม่แล้วหากต้องทำลายกฎที่บรรพบุรุษหลายท่านตั้งเอาไว้เพียงเพื่อคนหนึ่งคนหรือสองคน หวังให้ได้รับความเจริญรุ่งเรืองในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ไม่ต่างจากการสร้างหอเรือนกลางอากาศ อีกอย่างตอนนี้โชคชะตาของภูเขาเจินอู่เป็นไปเองตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยเหลือ ศิษย์น้องหลิว ข้าขอแนะนำเจ้าสักคำ เจ้าให้ความสำคัญกับหม่าขู่เสวียน ต่อให้จะยินดีมอบสมบัติอาคมทุกชิ้นให้แก่เขา หรือถึงขั้นแอบช่วยอย่างลับๆ ให้เขาได้รับโชควาสนาครั้งนั้น แต่ถึงอย่างไรแล้วนี่ก็เป็นเรื่องของเจ้าคนเดียว ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก เพราะนี่ไม่ได้ผิดต่อกฎของภูเขาเจินอู่เรา”
ผู้เฒ่ามอง ‘คนหนุ่ม’ ที่สีหน้าเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ บุรพาจารย์สำนักการทหารที่เดิมทีใส่อารมณ์หัวฟัดหัวเหวี่ยงก็เริ่มร้อนตัว แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “หม่าขู่เสวียนมีค่ามากพอให้ภูเขาเจินอู่ละเมิดกฎเกณฑ์บางอย่างเพื่อเขา ศาลลมหิมะมีเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียน พวกเรามีใคร?”
บุรุษยิ้มบางๆ กล่าวว่า “มีข้าไงล่ะ”
ประโยคนี้ทำเอาผู้เฒ่าสะอึกอึ้ง นานพักใหญ่ก็ยังพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ดูเหมือนบุรุษจะรู้สึกได้ว่าบรรยากาศแข็งทื่อเกินไป ในที่สุดก็เค้นรอยยิ้มออกมา “เอาละ ลูกหลานย่อมต้องมีวาสนาของลูกหลาน แล้วนับประสาอะไรกับที่หม่าขู่เสวียนไม่ใช่ลูกหลานของเจ้า จะร้อนใจไปทำไม เพื่อกิจการใหญ่ของสำนัก? พอเถอะน่า เจ้านิสัยเป็นอย่างไรข้ายังไม่รู้อีกหรือ? พูดไปพูดมาก็ไม่ใช่เพื่อให้หม่าขู่เสวียนไปช่วยแก้แค้นศาลลมหิมะแทนเจ้าในวันหน้าหรือไง?”
บุรพาจารย์สำนักการทหารที่ชื่อเสียงด้านความฉุนเฉียวอารมณ์ร้ายเป็นที่เลื่องลือกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ความตั้งใจเดิมเป็นอย่างนี้ก็จริง แต่อยู่ด้วยกันนานวันเข้า ยิ่งนานข้าก็ยิ่งถูกชะตากับหม่าขู่เสวียน ลูกหลานที่ไม่เอาถ่านของบ้านข้า จะคนเดียวหรือหมื่นคนก็สู้หม่าขู่เสวียนไม่ได้เลยสักคน”
บุรุษพยักหน้ารับคล้อยตามผู้เฒ่าอย่างที่หาได้ยาก “อืม ลูกกระต่ายลูกตะพาบกลุ่มนั้นของบ้านเจ้า ปีนั้นเจ้าไม่ควรให้กำเนิดพวกเขามาเลยจริงๆ แต่จะว่าไปแล้วก็ต้องโทษตัวเจ้าเองที่ควบคุมนกเขาในกางเกงตัวเองไม่อยู่”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าเป็นถึงเจ้าสำนักภูเขาเจินอู่ พูดจาแบบนี้ไม่อายปากตัวเองบ้างหรือไง?!”
บุรุษคลี่ยิ้ม เอ่ยสัพยอกว่า “ได้ยินว่าช่วงนี้สายรัดกางเกงของเจ้าผูกไม่แน่นอีกแล้วรึ? ถึงได้หาอนุภรรยาที่เป็นคนธรรมดาหน้าตางดงามมาอีกคนหนึ่ง?”
ไฟโทสะของผู้เฒ่าลดฮวบลงทันที พูดเสียงเบาว่า “ข้าชอบผู้หญิงคนนั้นจริงๆ น่ารักไร้เดียงสา เทพธิดาเย่อหยิ่งทั้งหลายบนภูเขาเห็นแล้วเอียน”
บุรุษกล่าวอย่างอ่อนใจว่า “แค่เจ้าชอบก็พอ”
ผู้เฒ่าพลันเกิดความขุ่นเคืองขึ้นมาในใจ “ภูเขาเจินอู่ต้องเปลี่ยนขนบธรรมเนียมแล้วจริงๆ โดยเฉพาะพวกลูกศิษย์ที่รับมาในช่วงร้อยปีล่าสุดที่สภาพจิตใจย่ำแย่สุดขีด แค่หม่าขู่เสวียนคนเดียวก็ทำให้จิตแห่งมหามรรคาของพวกเขาปั่นป่วนวุ่นวายเหมือนไก่บินหมาวิ่งเตลิด แต่ละคนพูดเสียดสีเย้ยหยันลับหลังหนักยิ่งกว่าพวกผู้หญิงปากตลาดเสียอีก!”
บุรุษโบกมือ “ไม่ใช่ว่าจิตแห่งมหามรรคาปั่นป่วน เดิมทีจิตแห่งมรรคาของคนพวกนี้ก็แย่แบบนั้นอยู่แล้ว”
ผู้เฒ่าถามอย่างสงสัย “แล้วเจ้าไม่คิดจะสนใจสักหน่อยรึ?”
บุรุษถามกลับ “ถ้าอย่างนั้นข้าต้องสนเรื่องกินดื่มขี้เยี่ยวของพวกเขา สนเรื่องสายรัดกางเกงของเจ้าด้วยหรือเปล่า?”
ผู้เฒ่ามองค้อน
“วางใจเถอะ หม่าขู่เสวียนไม่ตายหรอก”
บุรุษโบกมือแล้วเริ่มเล่นหมากล้อมอีกครั้ง
บุรพาจารย์สำนักการทหารหัวเราะฮ่าๆ พลันลุกขึ้นยืน “ศิษย์พี่ท่านนี่ก็จริงๆ เลยนะ ถ้าพูดประโยคนี้ตั้งแต่แรก ข้าจะต้องมาบ่นให้ท่านฟังเป็นครึ่งๆ วันทำไมกัน!”
บุรุษกล่าวโดยไม่เงยหน้า “สายรัดกางเกงของเจ้าหลวมแล้ว”
ผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ “ศิษย์พี่ชอบล้อเล่นแบบนี้เสมอ……”
ร้องโอ๊ะหนึ่งครั้ง แล้วผู้เฒ่าก็รีบร่ายเวทอย่างลนลาน ก่อนจะหายตัววับไป
ที่แท้ระหว่างที่บุรุษโบกมือก็ทำให้สายรัดกางเกงของเซียนพสุธาก่อกำเนิดคนหนึ่งแตกสลายโดยที่ฝ่ายหลังไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
หากเขามีใจคิดสังหารคนเล่า?
ในสายตาของคนแจกันสมบัติทวีป ภูเขาเจินอู่แข็งแกร่งในเรื่องของอิทธิพลที่มีต่อราชวงศ์ในโลกมนุษย์ หากพูดถึงตบะและพลังการต่อสู้ส่วนบุคคล เทพเซียนผู้เฒ่าสำนักการทหารหลายคนของศาลลมหิมะถือว่าแข็งแกร่งกว่าภูเขาห้อยหัวมากนัก
เคยมีคนกล่าวหยอกเย้าไว้ว่า ปฐมสำนักของสำนักการทหารทั้งสองแห่ง หากต่างฝ่ายต่างส่งคนสิบคนมาเข่นฆ่ากันเอง ศาลลมหิมะที่มีผู้แข็งแกร่งมากมายเหมือนต้นไม้ในป่าคงอัดให้ภูเขาเจินอู่ที่มีประสบการณ์ทางโลกอย่างลึกซึ้งร้องเรียกหาบรรพบุรุษอย่างแน่นอน
บุรุษวางตำราหมากล้อมเล่มเก่าที่ท่องขึ้นใจมานานแล้วเล่มนั้นลง ชื่อตำราคือ ‘รวมกวานจื่อ’ ในตำราบันทึกช่วงเล่นกวานจื่อ (คำศัพท์ในวงการหมากล้อม ระหว่างที่แข่งขันกันบนกระดาน ต่างฝ่ายต่างยึดฐานที่มั่นของตัวเองได้แล้ว ยังไม่มีการวางเม็ดหมากลงไปบนที่ว่างรอยต่อของกันและกัน หากวางเม็ดหมากลงไปในเวลานี้จะเรียกว่ากวานจื่อ) ที่มีชื่อเสียงมากมายในประวัติศาสตร์ กระดานที่บุรุษกำลังเล่นอยู่ตอนนี้มีชื่อเรียกว่ากระดานเมฆหลากสี สองฝ่ายที่ประชันฝีมือกัน คนหนึ่งคือเจ้านครจักรพรรดิขาว อีกคนหนึ่งคืออดีตลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง
บุรุษถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที
ในตำหนักเสินอู่ด้านหลังภูเขา
หม่าขู่เสวียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนศีรษะของเทวรูปขนาดสูงองค์หนึ่ง และแมวดำตัวหนึ่งก็นั่งอยู่บนหัวของเขาอีกที
หนึ่งคน หนึ่งแมว หนึ่งเทวรูป
แมวดำยื่นกรงเล็บข้างหนึ่งออกมาเกาหัวของหม่าขู่เสวียนเบาๆ
หม่าขู่เสวียนไม่ถือสา เขากับแมวดำตัวนี้มีชีวิตพึ่งพากันและกันมาตั้งแต่เขายังเด็ก หลังจากที่ท่านย่าจากไปก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
ในดวงตาเทวรูปไม้สลักร่างทองทางฝั่งซ้ายมือพลันมีประกายแสงสีทองเปล่งวาบขึ้นมา ก่อนจะขยับเสียงดังครืนครั่น เทวรูปขนาดใหญ่ยักษ์เดินลงจากแท่นบูชาช้าๆ กวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายมองเห็นหม่าขู่เสวียนที่นั่งอยู่บนศีรษะของเทวรูปหนึ่งในนั้น เทวรูปเดินไปหยุดอยู่ใจกลางห้องโถง หันหน้าไปทางเด็กหนุ่มและแมว ก่อนที่เทวรูปร่างสูงสามจั้งจะคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น
หม่าขู่เสวียนเหมือนเห็นเป็นเรื่องปกติ แค่เอ่ยเสียงเตือนอย่างที่เคยทำในอดีต “กลับไปแล้วจงจำไว้ว่าต้องปิดปากให้สนิท”
เทวรูปไม้สลักองค์นี้พยักหน้ารับเบาๆ พอลุกขึ้นก็ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า เหยียบขึ้นไปบนแท่นบูชา ยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิม เพียงไม่นานดวงตาประกายสีทองก็หายไป ร่างแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิกอีกครั้ง
ประตูของตำหนักสูงและใหญ่มาก เส้นแสงลอดทะลุช่องว่างของหน้าต่างเข้ามาสาดส่องอยู่ในตำหนักใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงมองเห็นได้แม้กระทั่งฝุ่นผง
หม่าขู่เสวียนพลันเอ่ยเย้ยตัวเอง “สมบัติอาคมมีมากเกินไป โชควาสนาหนาหนักเกินไปก็เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจเหมือนกันนะ”
แมวดำยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาเลียฝ่าเท้าเบาๆ อย่างอ่อนโยน
หม่าขู่เสวียนเอนตัวนอนหงายไปด้านหลัง แมวดำกระโดดผลุงขึ้น พอหม่าขู่เสวียนนอนลงแล้ว มันก็พลิ้วกายลงบนหน้าอกของเขาพอดี แล้วขดตัวนอนหลับฝันหวานอย่างสบายใจ
แมวดำคอยเปลี่ยนท่านอนที่สบายตัวอยู่เป็นระยะ
หม่าขู่เสวียนยกขาไขว่ห้าง มือข้างหนึ่งลูบขนที่อ่อนนุ่มของแมวดำ นึกถึงถ้อยคำระคายหูและพวกคนที่ชอบประจบแอบอิงผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย หม่าขู่เสวียนก็ให้รู้สึกเบื่อหน่าย “พวกเจ้าไม่ชอบข้า แล้วเกี่ยวอะไรกันด้วย? ข้าเองก็ไม่ชอบพวกเจ้าเหมือนกันนี่นา”
บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ตกอยู่ในสภาวะล่องลอยลี้ลับ
มีเพียงเสียงกรนเบาๆ ของหนึ่งคนหนึ่งแมว
เทวรูปร่างทองเหล่านั้นยังคงยืนเรียงราย คล้ายกำลังปกป้องจักรพรรดิที่อยู่สูงส่งเหนือหัวอย่างจงรักภักดี เป็นอย่างนี้มาปีแล้วปีเล่า นานนับพันปีหมื่นปี
……
โจวจวี่นักปราชญ์แห่งสำนักศึกษากวานหูไม่ได้ติดตามอริยะผู้เป็นอาจารย์ของตนไปพบเทียนจวินลัทธิเต๋าจากกุรุทวีปท่านนั้นด้วย
เขากลัวว่าตัวเองจะอดใจไม่ไหวพูดจาไม่ยำเกรงเจ้าคนที่ชื่อเซี่ยสือผู้นั้น แบบนั้นมีแต่จะทำให้อาจารย์ของตนลำบากใจ
อาจารย์ออกไปจากสำนักศึกษาต้องเอาชนะเทียนจวินเซี่ยสือไม่ได้อย่างแน่นอน แล้วก็ไม่สามารถมองเห็นตนถูกเซี่ยสือตบตายด้วยฝ่ามือเดียว จะให้เขาเอ่ยขอโทษคนนอกแทนลูกศิษย์ตัวเองน่ะหรือ?
ดังนั้นโจวจวี่จึงมายังภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากตำแหน่งที่เรือคุนภูเขาต่าเจี้ยวร่วงลงมา
จากที่ระบุไว้ในบันทึก ปราณกระบี่ที่ทะยานขึ้นฟ้าพุ่งมาจากตำแหน่งนี้ พวกมันโจมตีเรือคุนที่เดินทางลงใต้ไปยังนครมังกรเฒ่าลำนั้น คนบาดเจ็บและล้มตายกันไปมาก ผู้โดยสารที่ขอบเขตต่ำกว่าห้าขอบเขตกลางแทบจะไม่มีใครที่โชคดีรอดชีวิต
โจวจวี่ตามหาอยู่บนภูเขาก็ไม่พบเบาะแส ไม่มีร่องรอยใดเหลืออยู่แม้แต่น้อย และนี่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว
เพราะหายนะครั้งนี้ ขนาดคนตาบอดยังมองออกว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังวางแผนมาเป็นอย่างดี เพื่อยัดเยียดความผิดให้กับราชวงศ์ใหญ่ที่แข็งแกร่งซึ่งมีศักยภาพมากที่สุดของแจกันสมบัติทวีป
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่โจวจวี่ไม่เข้าใจ ผู้นำลัทธิเต๋าของกุรุทวีปที่ยิ่งใหญ่ เหตุใดถึงเต็มใจลดตัวเข้ามาเหยียบในน้ำขุ่นบ่อนี้? ถึงขั้นยอม ‘ประจัญหน้า’ กับสำนักกวานหูโดยไม่เสียดาย? หากสถานการณ์ยังดำเนินต่อไป มีความเป็นไปได้มากว่าเทียนจวินเซี่ยสือจะกลายเป็นศัตรูที่มีร่วมกันของผู้ฝึกลมปราณทั้งหมดในแจกันสมบัติทวีป
หรือเซี่ยสือคิดว่าตัวเองคือลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋าจริงๆ ?
โจวจวี่ไม่คิดว่าสกุลซ่งต้าหลีจะเชื้อเชิญเทียนจวินจากทวีปอื่นมาได้
โจวจวี่ที่หลายวันมานี้นอนกลางดินกินกลางทรายตัดสินใจลงจากภูเขาแล้ว
อาจารย์เคยพูดให้ฟังว่าช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ สถานที่สามแห่งอย่างนาตยทวีป ใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปมีสมบัติอาคมไร้เจ้าของที่หายสาบสูบไปนานปรากฏขึ้นเป็นจำนวนมาก ถึงขั้นมีอาวุธกึ่งเซียนหลายชิ้นปะปนอยู่ด้วย ก่อให้เกิดความครึกโครมครั้งใหญ่ ผู้ฝึกตนอิสระจำนวนนับไม่ถ้วนกรูกันไปเยือน ตระกูลเซียนและตระกูลผู้สูงศักดิ์ที่มีรากฐานลึกล้ำก็ยิ่งไม่พลาดโอกาสยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ชั่วพริบตาปลาและมังกรก็ปะปนกัน หมาป่าและหมาในจับคู่เป็นสหาย (เปรียบเปรยถึงคนดีและคนเลวปะปนกัน และคนชั่วที่สมคบคิดกันทำชั่ว)
โจวจวี่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้
และเขาก็ยิ่งไม่สนใจวิถีทางโลกในอนาคต
เพราะโชคชะตาถูกกำหนดมาแล้วว่า บัณฑิตที่คิดจะเล่าเรียนหนังสืออย่างสงบสุขจะยิ่งเป็นเรื่องยาก
แบบนี้ไม่ดีเลย
โจวจวี่เงยหน้าขึ้นมองทิศไกลบนท้องฟ้าสูง
ข้าโจวจวี่ โจวจวี่หรันนักปราชญ์ตัวเล็กๆ ของสำนักศึกษากวานหูยังพบเบาะแส แล้วพวกเจ้าที่มีตำแหน่งสูงส่งยิ่งกว่าอาจารย์ของข้าเล่า?
โจวจวี่ลงจากภูเขาอย่างเซื่องซึม เดี๋ยวก็ทะยานลม เดี๋ยวก็เดินเท้าไปอย่างเกียจคร้าน สุดท้ายไปถึงตลาดที่ครึกครื้นแห่งหนึ่ง ดื่มน้ำแกงต้มยำร้อนกรุ่นหนึ่งชาม
โจวจวี่พลันคลี่ยิ้ม เรื่องหงุดหงิดใจใดๆ ล้วนหายไปสิ้น
แม่ค้าสาวแผงลอยที่อยู่ในวัยกำลังเจริญพันธ์ แม้ว่าผิวจะคล้ำเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับเปล่งปลั่งแข็งแรง นางแอบชำเลืองตามองโจวจวี่อยู่หลายครั้ง
ที่บ้านเกิดนางมีบัณฑิตไม่มาก บัณฑิตที่หน้าตาดีแบบนี้ก็ยิ่งมีน้อย
นางรู้สึกว่ามองได้นานหน่อยก็ถือเป็นเรื่องดี
ดังนั้นโจวจวี่จึงดื่มน้ำแกงเพิ่มอีกชาม