Skip to content

Sword of Coming 286

บทที่ 286 ชาดหนึ่งตลับ

เฉินผิงอันมาที่หอสูงใจกลางทะเลสาบแห่งหนึ่ง กวาดตามองไปรอบด้านก็เห็นน้ำทะเลสาบสีเขียวมรกต คลื่นน้ำกระเพื่อมแผ่เป็นวงกว้าง ไอหมอกลอยกรุ่น เหนือทะเลสาบมีหอเรือนร้อยกว่าแห่งลอยตัวอยู่ ระหว่างหอเรือนมีเส้นทางสายเล็กเชื่อมโยงพวกมันเข้าด้วยกัน หอเรือนแต่ละหลังผูกเรือแจวสองสามลำไว้รอให้คนล่องไปชมทัศนียภาพของทะเลสาบ

สี่ด้านแปดทิศของหอสูงมีเด็กสาวชุดกระโปรงสีเขียวหุ่นอรชรอ้อนแอ้น ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยสิบสามสิบสี่ปี แต่ละคนหน้าตาโดดเด่น คอยทำหน้าที่ชี้นำทางให้แก่ผู้โดยสาร

หอเรือนที่เฉินผิงอันพักอาศัยมีชื่อว่า ‘เรือนภูเขาร่มเงา’ ตอนที่ซื้อป้ายหยก อีกฝ่ายแนะนำว่าหอเรือนแห่งนี้สูงสามชั้น สามารถอยู่อาศัยร่วมกับคนอื่นได้หลายคน ประหยัดได้มากกว่าเดิม เฉินผิงอันใคร่ครวญดูแล้วก็เลือกที่จะปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม

ทางฝ่ายของเรือข้ามฟากปลาวาฬกลืนสมบัติไม่รู้สึกว่ามีอะไรประหลาด ผู้ที่บำเพ็ญตนมักชอบไปไหนมาไหนเพียงลำพัง นี่เป็นเรื่องที่ปกติมาก แต่หากเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่หาเงินได้อย่างยากลำบากมักจะเคยชินกับการคิดคำนวณอย่างรอบคอบ จึงเต็มใจที่จะพักอาศัยร่วมกับคนแปลกหน้า เพราะไม่แน่ว่าอาจเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ใหม่ๆ ขึ้นมา บนมหามรรคา มีสหายมากหน่อย ต่อให้จะเป็นเพียงความสัมพันธ์ผิวเผินที่แค่เคยผงกศีรษะทักทายกันก็ไม่ใช่เรื่องร้าย ไม่แน่ว่าวันใดโชคดีก็อาจได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่

หลังจากหญิงสาวชุดกระโปรงสีเขียวของทะเลสาบน้ำมรกตช่วยบอกทิศทางให้ เฉินผิงอันก็ลงจากหอสูง เดินช้าๆ ไปบนทางสายเล็กสายหนึ่งที่อยู่เหนือทะลสาบ สองฝั่งข้างกายหรือไม่ก็เหนือศีรษะมีเซียนซือขี่กระบี่ บ้างก็ทะยานลมผ่านไปเป็นระยะ เฉินผิงอันเดินไปได้ไม่นานเท่าไหร่ ด้านหลังก็มี ‘สาวงาม’ ยกชายกระโปรงวิ่งเหยาะๆ ตามมาด้วยท่าทางน่ารักซุกซน

เฉินผิงอันคือคนที่ไม่กลัวความลำบาก ตั้งแต่ตอนที่เป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกรซึ่งต้องทำงานหนักคอยรองรับคำด่า ไปจนถึงตอนที่คุ้มกันพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวไปส่งที่สำนักศึกษาต้าสุย ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ล้วนเป็นเฉินผิงอันที่คอยให้การดูแลอย่างใส่ใจ เฉินผิงอันไม่กลัวความลำบากประเภทนี้ก็จริง แต่เขากลับกลัวความลำบากอีกชนิดหนึ่งที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้อย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นนักพรตสำนักหยินหยางที่ชื่อว่าลู่ไถคนนี้ แม้ลางสังหรณ์ของเฉินผิงอันจะไม่เกิดความรู้สึกที่ไม่เหมาะสมใดๆ ไม่ได้รู้สึกกดดันและอึมครึมเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับฝูหนันหัวหรือชุยฉานในช่วงแรกๆ แต่หากยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเรื่องหนึ่งจะดีหรือเลว เฉินผิงอันก็เคยชินที่จะทำให้ตัวเองแน่ใจก่อนว่าเรื่องนั้นๆ ‘ไม่เลว’

ที่ภูเขาห้อยหัว มีคนมากน้อยแค่ไหนที่แม้แต่ตอนหลับฝันก็ยังปรารถนาจะได้ข้ามธรณีประตูจวนหยวนโหรวของตระกูลหลิว?

แต่เฉินผิงอันที่หลังจากได้ยินคำกล่าวว่า ‘หอจิ้งเจี้ยนที่อยู่ข้างจวนหยวนโหรว’ และพอจะแน่ใจน้ำหนักของตระกูลหลิวในธวัลทวีปคร่าวๆ แล้ว เรื่องแรกที่เขาทำก็คือขีดเส้นความสัมพันธ์กับหลิวโยวโจวที่สร้างความประทับใจไม่เลวแก่เขาคนนั้นทันที อาจเป็นเพราะส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันเอนเอียงเข้าหาความรู้สึกที่ได้ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังอย่างโดดเดี่ยวในถ้ำสวรรค์หลีจูมากกว่า เนื่องจากความรู้สึกนั้นได้ฝังลึกตรึงอยู่ในใจเขามาเนิ่นนานแล้ว

ลูกหลานสกุลลู่จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่บอกว่าตัวเองชื่อลู่ไถเดินเคียงบ่าไปกับเฉินผิงอัน หันหน้ามามองใบหน้าด้านข้างของเฉินผิงอันแล้วยิ้มหวานพูดว่า “โกรธหรือ? เป็นผู้ชายจะใจแคบแบบนี้ได้อย่างไร ต้องใจกว้างหน่อย เมื่อใจกว้างแล้วก็สามารถรองรับโชควาสนาได้มากตามไปด้วย เจ้าคงจะเคยได้ยินคำว่าวิญญูชนมิใช่เครื่องใช้ภาชนะของลัทธิขงจื๊อมาบ้างกระมัง?”

เฉินผิงอันหยุดเดิน หันหน้ามามองคนประหลาดผู้นี้ “เจ้าคอยมาอยู่ข้างกายข้าเพราะคิดจะทำอะไรกันแน่? คำทำนายมหามงคลนั่นของเจ้าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าสักหน่อย……”

ลู่ไถยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร ข้าใช้เงินฝนธัญพืชเหรียญที่เจ้ามอบให้ข้ามาทำนายเชียวนะ เกี่ยวกับเจ้ามากเลยล่ะ ในโชควาสนาครั้งนี้เจ้าก็คือคนที่……”

คราวนี้เป็นเฉินผิงอันบ้างที่ตัดบทคำพูดของเขา “เงินฝนธัญพืชไม่ได้ให้เจ้า ให้ยืม”

ลู่ไถขมวดคิ้วที่โก่งงอนเรียวบางเหมือนสตรี ตั้งใจคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “พูดถึงแต่เรื่องเงินจะทำลายความสัมพันธ์เอาได้ ไม่สู้พวกเรามาทำการค้าเล็กๆ กันสักครั้ง ข้าจะเอาสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งที่ข้ารักมาแลกเปลี่ยนกับเงินฝนธัญพืชจากเจ้า?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ติดไว้ก่อนเถอะ”

ลู่ไถพูดเหมือนน้อยใจ “ทำไมเจ้าต้องกลัวข้าขนาดนี้ด้วย? ทำไมต้องมองข้าเป็นดั่งภัยพิบัติชั่วร้าย? เจ้าคิดดูนะ บนเส้นทางของการฝึกตน เมื่อได้พบเจอคนที่ถูกชะตา จับมือกันท่องเที่ยวหาประสบการณ์ ชื่นชมภูเขาและแม่น้ำไปด้วยกัน นั่นจะเป็นเรื่องที่งดงามขนาดไหน?”

เฉินผิงอันรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันที

ที่แท้ใต้หล้านี้ก็มีเรื่องที่ใช้เหตุผลมาพูดไม่ได้จริงๆ เขาไม่รู้แล้วว่าควรจะเปิดปากอธิบายอย่างไร

คนทั้งสองเดินหน้าไปด้วยกันเงียบๆ เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ส่วนลู่ไถเหลียวซ้ายแลขวา พูดพึมพำกับตัวเองว่า “พื้นที่ลับแห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของถ้ำสวรรค์น้อยฉุยฮวา เทพธิดาสาวท่านหนึ่งที่ชอบเก็บรวบรวมน้ำพุในโลกเป็นผู้ครอบครอง น่าเสียดายก็แต่สุดท้ายนางล้มเหลวตอนขอบเขตบินทะยาน ไม่เพียงแต่ร่างดับมรรคาสลาย ยังถูกวิถีสวรรค์แว้งกลับมาโจมตี เดือดร้อนให้ถ้ำสวรรค์ฉุยฮวาแตกสลายตามไปด้วย ชิ้นส่วนส่วนใหญ่สลายหายไปท่ามกลางฟ้าดิน ทะเลสาบน้ำมรกตแห่งนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง เพราะน้ำทะเลสาบในรัศมีสามร้อยลี้นี้ล้วนเป็นหนึ่งในน้ำพุมีชื่อเสียงที่เทพธิดาสาวเก็บรวบรวมเอาไว้ในปีนั้น ขอแค่เจ้าคว้าจับสายน้ำเล็กๆ เส้นหนึ่งซึ่งมีแก่นของน้ำพุซ่อนอยู่มาได้ ก็เหมาะที่จะนำมาต้มชาดื่มมากที่สุด”

เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว หลังจากเดินไปได้ประมาณสี่ห้าลี้ก็เห็นเรือนภูเขาร่มเงาที่สูงสามชั้นแห่งนั้น รอบด้านของหอเรือนคือระเบียงทางเดินที่อยู่ใต้ชายคาซึ่งโอบล้อมด้วยราวระเบียงหยกขาว ยังมีท่าเรือเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีเรือแจวสองลำจอดเทียบท่า บริเวณใกล้เคียงกับเรือนภูเขาร่มเงามีดอกบัวชูช่อเป็นผืนใหญ่ หญิงสาวเก็บดอกบัวคนหนึ่งกำลังพายเรือลอดไปตามช่องว่างพลางคลอบทเพลงพื้นบ้านอยู่ในลำคอ เป็นภาพที่นุ่มนวลน่าประทับใจ

เฉินผิงอันหยุดเดินแล้วเอ่ยเตือนว่า “ข้าถึงแล้ว”

ลู่ไถพยักหน้ารับ

เฉินผิงอันเห็นว่าเขาแกล้งไขสือก็ถามเข้าประเด็นโดยตรง “วันนี้ข้าคงไม่เชิญเจ้าเข้าไปนั่งข้างในแล้ว หากว่างเมื่อไหร่ข้าจะไปหาเจ้าแล้วกัน เจ้าพักอยู่ในหอเรือนใด?”

ลู่ไถชี้ไปที่เรือนภูเขาร่มเงา

เฉินผิงอันยิ้มจืดชืด “คุณชายลู่เลิกล้อเล่นเถอะ”

ลู่ไถชูสองมือขึ้นทำท่าว่ามีเงินร้อนน้อยอยู่ในมือกอบใหญ่ “เมื่อครู่ตอนอยู่หอสูงใจกลางทะเลสาบ ด้วยจำต้องหาทางเอาชีวิตรอด แล้วก็คิดว่าพวกเราสนิทกันขนาดนี้ ถึงอย่างไรเจ้าก็น่าจะยอมให้ข้าพักด้วย เลยขายที่พักของข้าให้กับเทพเซียนคนหนึ่งที่มีเงินมากไปแล้ว”

สีหน้าของเฉินผิงอันไม่ค่อยน่ามองนัก

บนโลกมีคนที่หน้าด้านเกาะติดคนอื่นเหนียวหนึบยิ่งกว่าตังเมแบบนี้ได้อย่างไร?

ลู่ไถพลันหัวเราะ “ก็ได้ๆ ข้าจะบอกกับเจ้าตามตรงก็แล้วกัน การเดินทางไปใบถงทวีปในครั้งนี้ นอกจากข้าจะทำนายได้เซียมซีดีเยี่ยมว่า ‘แต่งตั้งโหว’ แล้ว อันที่จริงยังทำนายได้ด้วยว่าโชควาสนาครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่วัตถุล้ำค่า แต่อยู่ที่ ‘ขึ้นดาดฟ้าพิศมรรคา’ ห้าคำนี้ เดินทางร่วมกับเจ้า อาศัยสภาพจิตใจของเจ้า ไม่ว่าจะดีเลวหรือสูงต่ำก็ล้วนสามารถขัดเกลาจิตแห่งเต๋าของข้าได้ นี่เรียกว่าใช้หินของภูเขาลูกอื่นมาเกลาเป็นหยก……”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่ไถก็หัวเราะหึหึแล้วรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “ผิดแล้วๆ ต้องพูดว่าอาศัยหยกของภูเขาคนอื่นมาตีหิน!”

เฉินผิงอันไม่ได้ถือสาคำพูดของลู่ไถ แต่พอลู่ไถเอ่ยสองคำว่า ‘พิศมรรคา’ (ตรงกับคำว่ากวานเต๋าของอารามกวานเต๋าที่เฉินผิงอันกำลังตามหา) ออกมา เฉินผิงอันก็ทั้งกังวลใจและทั้งวางใจ

วางใจเพราะลู่ไถน่าจะไม่ได้พูดจาส่งเดช ดังนั้นจึงไม่ได้มีแผนการร้ายที่หมายเล่นงานเขาเฉินผิงอันโดยเฉพาะ กังวลก็เพราะตนต้องไปตามหาอารามกวานเต๋าและนักพรตเฒ่า แล้วนี่ดันมีลู่ไถที่ไม่รู้ชาติกำเนิดเพิ่มมาคนหนึ่ง ไม่เรียกว่าปัญหาแทรกซ้อนจะเรียกว่าอะไร?

ลู่ไถลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะกัดฟันพูดเหมือนเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ “หากเจ้าระแวดระวังข้าทุกเรื่องขนาดนี้ต้องส่งผลกระทบต่อวาสนาการ ‘พิศมรรคาแต่งตั้งโหว’ ของข้าอย่างแน่นอน ข้าสามารถช่วยพยากรณ์อย่างจริงจังให้เจ้าได้หนึ่งครั้ง ขอแค่ไม่ได้เกี่ยวพันกับบุคคลใหญ่ที่ร้ายกาจจนเกินไป การทำนายของข้าก็นับว่าแม่นยำอยู่เหมือนกัน แต่หากเกี่ยวพันกับเทพเซียนห้าขอบเขตบน ข้าก็ต้องลำบากแน่ ลำบากยิ่งกว่านอนอยู่บนเรือลำเล็กอะไรนั่นนับร้อยนับพันเท่า! เฉินผิงอัน โอกาสหาได้ยาก อย่าได้พลาดเด็ดขาดเชียว!”

ดูเหมือนลู่ไถกลัวว่าเฉินผิงอันจะไม่เชื่อจึงจ้องหน้าเฉินผิงอันเขม็ง “ไม่ได้หลอกเจ้า!”

เฉินผิงอันถอนหายใจ โบกมือปฏิเสธคำแนะนำของลู่ไถ พูดแค่ว่า “เจ้าพักอยู่ในเรือนภูเขาร่มเงานี่ไปเถอะ แต่หลังจากนี้เจ้ากับข้าต่างคนต่างฝึกตน น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง”

ลู่ไถมีสีหน้าประหลาด เหม่อมองแผ่นหลังของเฉินผิงอันอยู่พักหนึ่งก็พลันคืนสติ สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นโล่งอก รีบเดินเร็วๆ ตามไป

สุดท้ายเฉินผิงอันพักอาศัยอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ลู่ไถเลือกชั้นสาม ตรงกลางมีชั้นสองกางกั้น

ลู่ไถนอนอยู่บนเตียงที่ชั้นสามอย่างสบายอารมณ์ ใบหน้าเกียจคร้านและพึงพอใจ เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวหัวเราะร่า ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดจริงๆ

ในเมื่อมาแล้วก็ควรพักอยู่ที่นี่อย่างสงบ

เฉินผิงอันไม่สนใจลูกศิษย์สำนักหยินหยางที่ลึกลับเหมือนมีเมฆหมอกปกคลุมผู้นั้นอีก นอกจากกระบี่ยาวที่สะพายไว้ข้างหลังและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ห้อยไว้ตรงเอวแล้ว เขาก็ไม่มีของนอกกายอย่างอื่นอีก เดินทางเพียงลำพังสบายตัวอย่างมาก อย่างเดียวที่ไม่ดี แน่นอนว่าคือลู่ไถที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในชีวิต

เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะติดกับหน้าต่าง หยิบเอาตำราปึกหนึ่งออกมาจากวัตถุฟางชุ่นสืออู่ได้แก่ ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ซึ่งเป็นตำราเทพเซียน หนังสือสองเล่มที่สอนภาษาทางการของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและของใบถงทวีป รวมไปถึงบันทึกภูเขาและแม่น้ำหลายเล่มที่ได้มาจากแคว้นไฉ่อี ทั้งหมดถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นก็หยิบแผ่นไม้ไผ่ล้ำค่าที่มาจากภูเขาชิงเสินถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ คิดว่านอกจากจะอ่านหนังสือแล้วจะถือโอกาสสลักตัวอักษรลงไปด้วย

ทุกวันตอนเช้าจะฝึกวิชาหมัดเขย่าขุนเขา ตอนบ่ายฝึก ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ตอนกลางคืนอ่านหนังสือ เรียนรู้ภาษาทางการของสองทวีป

ที่น่าประหลาดมากก็คือ ทั้งๆ ที่เป็นแค่พื้นที่ลับที่ปริแตก ที่ทะเลสาบน้ำมรกตแห่งนี้กลับยังมีภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขึ้นและตกอยู่เหมือนเดิม แล้วก็มีการแบ่งแยกกลางวันกับกลางคืน ไม่รู้ว่าเป็นเวทอำพรางตาชั้นเยี่ยมของเซียน หรือคือกฎอันเป็นเอกลักษณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหลังถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลปริแตกแล้ว?

เวลาที่เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งจะต้องวนรอบระเบียงวงกลมที่ล้อมอยู่รอบหอเรือน

ลมเย็นพัดโชย กลิ่นหอมของดอกบัวลอยมาปะทะจมูก ยังคงได้ยินเสียงบทเพลงพื้นบ้านของหญิงสาวเก็บดอกบัวดังลอยมาแว่วๆ เด็กหนุ่มชุดขาวออกหมัดอย่างเชื่องช้า

ฝึกกระบี่ตอนกลางวัน เฉินผิงอันจะอยู่แค่ในชั้นหนึ่งที่กว้างขวางเท่านั้น ไม่ได้ออกไปที่ระเบียงนอกหอเรือน แล้วก็ยังคงทำท่าจับกระบี่มายา

เพราะ ‘ปราณกระบี่’ กระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังสามารถหล่อหลอมจิตวิญญาณได้ เดิมทีก็ถือเป็นการฝึกตนอย่างหนึ่งอยู่แล้ว ต่อให้นอนหลับตอนกลางคืน เฉินผิงอันก็ไม่ได้ปลดมันลงมา แต่เลือกที่จะนอนหลับด้วยท่าตะแคงข้าง

น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แขวนสูงไว้ด้านหน้าเตียง ตอนนี้เขาไม่ได้ดื่มเหล้าบ่อยๆ อีกแล้ว จึงไม่ได้เอามันมาห้อยไว้ที่เอวเป็นประจำ จิตใจของเขาเชื่อมโยงกับสองบรรพบุรุษน้อยอย่างชูอีและสืออู่นานแล้ว ตลอดระยะทางนับพันนับหมื่นลี้ที่ผ่านมา ได้อยู่ด้วยกันนานวันเข้าก็ยิ่งรู้ใจกันมากขึ้น การสื่อสารยิ่งราบรื่น ดูเหมือนว่าสติปัญญาของกระบี่บินทั้งสองเล่มเริ่มสุกงอมเหมือนผู้ใหญ่มากขึ้นแล้ว

หลังจากที่เฉินผิงอันนอนหลับก็มอบหน้าที่ให้พวกมันช่วยดูแลบ้านให้ ชูอีไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ส่วนสืออู่ที่อ่อนโยนว่าง่ายมากกว่ากลับ ‘พยักหน้าตกลง’ อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างยินดี

ตอนกลางคืนระหว่างที่อ่านหนังสือ เฉินผิงอันก็จะหยิบ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ เล่มนั้นออกมาจากสืออู่ชั่วคราว หลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ เขาค้นพบว่าตัวเองสามารถวาดยันต์เพิ่มขึ้นได้อีกสองชนิด ชนิดหนึ่งคือ ‘ยันต์คำสั่งกระบี่แม่น้ำภูเขา’ ภูเขาในที่นี้แบ่งเป็นสามภูเขา แต่คือสามภูเขาใดบ้าง ในหนังสือกลับไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด การอธิบายคำว่าแม่น้ำของยันต์นี้ก็กว้างและคลุมเครืออย่างมาก พูดแค่ว่ามีเทพพิทักษ์แม่น้ำ ทำหน้าที่ ‘กำจัดความชั่วร้ายทำลายความเลวทราม’ ชอบ ‘เขมือบกลืนหมื่นวิญญาณ’

ยันต์คำสั่งกระบี่คือยันต์ประเภทที่ใช้คุ้มกันกาย ส่วนยันต์ประเภทที่สองคือ ‘ยันต์ขอฝน’ มีความหมายตรงกับชื่อ ว่าเมื่อ ‘ฟ้าดินมืดอึมครึม ฝนห่าใหญ่ไหลท่วมทับ’ ยันต์นี้ถือเป็นหนึ่งในยันต์ที่ใช้ทำพิธีบวงสรวง เป็นยันต์ที่พระอาจารย์ผู้ทำพิธีที่มีวิชาสูงส่งส่วนใหญ่เชี่ยวชาญ เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกสนใจเท่าใดนัก

เมื่อเทียบกับยันต์ปราณหยางส่องไฟ ยันต์กำจัดคราบสกปรกและยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแล้ว ระดับขั้นของยันต์สองชนิดนี้สูงกว่าเล็กน้อย เฉินผิงอันค่อนข้างให้ความสำคัญกับยันต์คำสั่งกระบี่ จึงเอากระดาษสีเหลืองที่ธรรมดาที่สุดมาเขียนเป็นยันต์หนึ่งแผ่น เขาเขียนได้สำเร็จอย่างถูไถ หลังจากที่เฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตหลอมลมปราณของผู้ฝึกยุทธ์แล้ว จิตวิญญาณก็ยิ่งมั่นคงและแน่นหนามากขึ้น ตอนที่สามจิตแล่นผ่านทะเลสาบหัวใจ เขาก็มักจะได้ยินเสียงน้ำหยดดังมาแว่วๆ เสมอ

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมองออกว่าพลังจิตในการเขียนยันต์คำสั่งกระบี่แผ่นนี้ไม่มากพอ เพียงแต่ว่าอานุภาพที่แน่นอนจะมีมากเท่าไหร่ เพราะชั้นบนมีลู่ไถอาศัยอยู่ด้วยจึงไม่มีโอกาสได้พิสูจน์

ผ่านไปสิบวัน บางครั้งจะได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่ชั้นสอง แต่จำนวนครั้งไม่มากนัก ลู่ไถไม่เคยลงมารบกวนเฉินผิงอันเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เฉินผิงอันจึงพอจะวางใจได้บ้างเล็กน้อย

โชควาสนาที่พุ่งมาหาตนอย่างไร้สาเหตุ ไม่ได้คาดหวังให้เป็นบุญสัมพันธ์ ขอแค่ไม่ใช่กรรมสัมพันธ์ก็พอแล้ว

คืนวันนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะเขียนยันต์คำสั่งกระบี่แผ่นที่สองเสร็จ เขาก็ยังคงไม่พอใจเท่าไหร่นัก

นี่ก็เหมือนการขึ้นรูปเผาเครื่องปั้น ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปสองชิ้นที่มองดูเหมือนคล้ายกันมาก แต่หากผู้เชี่ยวชาญมองอย่างละเอียดก็สามารถมองออกถึงความต่างราวฟ้ากับเหวในปราดเดียว

หรือว่าจะต้องไปตามหาวิญญาณวีรบุรุษที่ยังคงเข่นฆ่าสังหารไม่หยุดในซากปรักของสนามรบโบราณแห่งหนึ่งจริงๆ ถึงจะสามารถทำให้ขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์มีแนวโน้มว่าจะสมบูรณ์แบบได้? ถึงเวลานั้นถึงจะสามารถควบคุมยันต์คำสั่งกระบี่แผ่นนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว?

เฉินผิงอันขมวดคิ้วครุ่นคิดลึกซึ้ง แล้วจู่ๆ ก็หันขวับไปมอง เห็นเพียงว่าลู่ไถเดินลงบันไดมา พอหยุดเดินแล้วก็ยื่นมือไปเคาะผนังเหมือนแขกที่เคาะประตู จากนั้นเขาก็นั่งลงบนขั้นบันได ส่งยิ้มมาให้ แต่ไม่ได้เดินลงมาที่ชั้นหนึ่ง

เฉินผิงอันกำลังคิดว่าจะเอา ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ปิดทับยันต์คำสั่งกระบี่แผ่นนั้น ลู่ไถกลับหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ขึ้นมาเสียก่อน “จะปกปิดอำพรางไปทำไม แค่ยันต์โบราณที่หายสาบสูญไปแล้วแผ่นเดียวเท่านั้น แถมระดับขั้นก็ไม่ได้สูง แค่มีดีที่ความบริสุทธิ์เพราะกลับคืนสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิมที่แท้จริงเท่านั้น เมื่อครู่นี้ข้าชำเลืองมองไปแวบหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจก็เจ็บปวดจนหัวใจสั่นไปหมด จนถึงตอนนี้ยังปวดหัวใจอยู่เลย”

เฉินผิงอันถาม “หมายความว่าอย่างไร?”

ลู่ไถชี้ไปยังยันต์คำสั่งกระบี่แผ่นนั้น “ยันต์คุ้มกันกายชิ้นนี้มีที่มายิ่งใหญ่มาก ตลอดทั้งตระกูลลู่ คนที่อายุพอๆ กับข้า เกรงว่าคงไม่มีใครสามารถมองรากฐานของมันออก ดังนั้นการที่ข้าเจ็บปวดหัวใจก็เพราะหนึ่ง เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว เขียนยันต์โบราณบริสุทธิ์ออกมาได้แย่ขนาดนี้ ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก……”

เฉินผิงอันอดพูดแทรกไม่ได้ “ผู้ฝึกยุทธ์เขียนยันต์ถึงจะไม่สมเหตุสมผลมากกว่ากระมัง?”

ลู่ไถกระตุกมุมปาก “อ้อ แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นบันทึกในตำราตระกูลลู่ของข้าก็คงมีข้อผิดพลาด หรือไม่ก็เป็นข้าที่ความรู้ตื้นเขิน”

ลู่ไถไม่อยากลงลึกในหัวข้อนี้ จึงแค่พูดต่อว่า “สอง การวาดยันต์ของเจ้า ส่วนใหญ่แล้วล้วนอาศัยพู่กันด้ามนั้น ไม่ใช่อาศัยความรู้ความเข้าใจที่เจ้ามีต่อยันต์แผ่นหนึ่งว่าลึกซึ้งเท่าไหร่ อืม อาจจะเป็นประมาณว่าเจ้ามองเห็นทัศนียภาพที่แท้จริง แต่เส้นทางที่เจ้าเดินไปยังทัศนียภาพแห่งนั้นบิดๆ เบี้ยวๆ ดังนั้นยันต์ที่วาดออกมาจึงใช้ได้ แต่แค่ใช้ไม่ได้ผลมากนัก สาม ระดับขั้นของกระดาษยันต์แผ่นนี้ดีมาก แต่กลับถูกเจ้านำมาทำเป็นการค้าแค่ครั้งเดียวก็ยิ่งสิ้นเปลืองของดี สำหรับเรื่องนี้จะพูดแค่ว่าเป็นการกระทำนอกรีตนอกรอยไม่ได้ ต้องพูดว่าทำผิดอย่างร้ายแรงด้วยซ้ำ เพราะหากให้ยอดฝีมือสำนักมหายันต์ลัทธิเต๋ามาเห็นเข้า ต้องคิดอยากจะทุบเจ้าให้ตายด้วยหมัดเดียวแน่นอน”

เฉินผิงอันขมวดคิ้วแน่น ขบคิดคำพูดของลู่ไถอย่างละเอียด ต้องการแยกแยะให้ได้ก่อนว่าจริงหรือเท็จแล้วค่อยตัดสินว่าดีหรือเลว แต่ว่าลู่ไถเป็นคนลึกลับเกินไป จึงยากที่เฉินผิงอันจะได้ข้อสรุป

ลู่ไถถามยิ้มๆ “ช่วยยกยันต์แผ่นนั้นขึ้นมาให้ข้าดูเนื้อวัสดุอย่างละเอียดได้หรือไม่ ก่อนหน้านี้มองแค่ปราดเดียว ยังไม่ค่อยกล้ายืนยัน”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังคีบยันต์แผ่นนั้นขึ้นมา เพียงแต่ว่าให้ลู่ไถได้ดูแค่ด้านหลังของแผ่นยันต์เท่านั้น

ลู่ไถยิ้มบางๆ ไม่ได้ถือสากับท่าทางระแวดระวังของเฉินผิงอัน มองอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้ากล่าวว่า “เป็นวัสดุล้ำค่าของยันต์คืนวสันต์จริงๆ ด้วย ยันต์ที่เขียนลงไปบนวัสดุประเภทนี้สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้อีกครั้ง ยันต์แผ่นหนึ่งที่วาดสำเร็จ ระดับขั้นสูงหรือต่ำ อานุภาพมากหรือน้อย กระดาษยันต์ดีหรือร้ายเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ยันต์ที่ดีอย่างแท้จริงในโลกใบนี้ หากไม่นับประเภทที่แสวงหาอานุภาพยิ่งใหญ่อย่างสุดโต่ง ส่วนใหญ่ก็ล้วนเอากลับมาใช้ซ้ำได้อีกครั้ง หากเอ่ยตามคำพูดที่มีอารมณ์ขันของบุรพาจารย์ท่านหนึ่งของสำนักมหายันต์ อย่างเจ้าน่ะเรียกว่าความเยาว์ร่วงโรย ใบไม้ปลิดปลิว อืม สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็คือ ‘รั้งไว้ไม่อยู่’ เฉินผิงอันเจ้าว่ามันน่าเสียดายหรือไม่ล่ะ? กระดาษยันต์ โดยเฉพาะกระดาษยันต์คืนวสันต์นั้นเผาผลาญเงินอย่างมาก อืม อย่างข้าน่ะถือว่าเจ็บปวดใจเสียดายแทนเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าเฉินผิงอันก็มีตระกูลใหญ่โตมีกิจการยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นต้องสนใจเงินเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้”

เฉินผิงอันมองลู่ไถแวบหนึ่ง แล้วก็หันมามองยันต์คำสั่งกระบี่ที่วางไว้บนโต๊ะอีกครั้ง

ลู่ไถรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยกสองมือเท้าแก้ม มองไปยังเด็กหนุ่มท่าทางหงุดหงิดที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะแล้วถามยิ้มๆ “คนที่มอบกระดาษยันต์ล้ำค่าพวกนี้ให้เจ้าไม่เคยพูดให้ฟังหรือ? คนนำทางที่สอนเจ้าวาดยันต์ไม่เคยบอกเจ้าหรือไงว่า นักเขียนยันต์ครึ่งๆ กลางๆ อย่างเจ้าควรต้องประหยัดเอาไว้?”

เฉินผิงอันถอนหายใจหนักๆ หนึ่งที

ลู่ไถกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตเจ็ดแปดเก้าน่าจะสามารถเขียนยันต์ที่ไม่เลวออกมาได้แล้ว อาศัยลมปราณที่แท้จริงหนึ่งเฮือก เขียนให้เสร็จในรวดเดียว น่าเสียดายที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่พอมาถึงขั้นนี้ แต่ละคนที่ก้าวเดินขึ้นสู่ยอดเขาล้วนมีจิตใจที่แข็งแกร่งปานเหล็กกล้ามานานแล้ว ใครจะยังหันไปวาดยันต์อยู่อีก? เจ้าเองก็เพราะโชคดี ได้ครอบครองกระดาษยันต์และพู่กันเขียนยันต์ที่ล้ำค่าขนาดนี้ สุดท้ายถึงสามารถวาดยันต์ที่ไม่เลวออกมาได้ ไม่อย่างนั้นการวาดยันต์ทุกแผ่นก็เท่ากับว่าต้องเผาตั๋วเงินปึกใหญ่ อืม เจ้าดีขึ้นมาหน่อย แค่เท่ากับว่าเผาตั๋วเงินครึ่งปึกเท่านั้น”

เฉินผิงอันถลึงตาดุดันใส่เจ้าคนที่สาดเกลือลงบนแผลสดของเขาผู้นี้

ลู่ไถหัวเราะร่า “เฉินผิงอัน เจ้านี่ก็น่าสนใจจริงๆ ผู้ฝึกยุทธ์วาดยันต์ แถมยังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และกระบี่บิน ที่เกินเหตุสุดๆ ก็คือยังตั้งใจเรียนหนังสือทุกวันด้วย? เจ้าไม่กลัวว่าไม่ทำเรื่องที่ควรทำแล้วจะส่งผลต่อการฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์ กลายเป็นคนประเภทหัวมังกุท้ายมังกร ทำอะไรไม่สำเร็จสักเรื่องงั้นหรือ?”

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจคำพูดเยาะเย้ยเสียดสีของเขา เขาเก็บยันต์คำสั่งกระบี่ แล้วเริ่มเปิด ‘จารึกภูเขาและทะเล’ เล่มนั้นออกอ่าน

ลู่ไถลุกขึ้นกลับไปยังที่พักบนชั้นสามอย่างเงียบเชียบ

หลังจากนั้นลู่ไถก็เริ่มออกจากเรือนภูเขาร่มเงา บ้างก็ไปพายเรือชมทะเลสาบน้ำมรกต หรือไม่ก็ไปเที่ยวชมคลังสมบัติที่ปลาวาฬกลืนสมบัติทุกตัวต้องมี การที่ปลาวาฬกลืนสมบัติมีชื่อเรียกเช่นนี้ก็เพราะท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน มันจะต้องกลืนเรือใหญ่ที่จมอยู่ใต้มหาสมุทรลงท้อง และเรือข้ามฟากที่สามารถข้ามทวีปได้ก็มักจะถูกเรียกว่า ‘เรือสมบัติ’ ดังนั้นในท้องของปลาวาฬกลืนสมบัติทุกตัวจึงต้องมีสมบัติล้ำค่าแปลกประหลาดมากมายนับไม่ถ้วน

หรืออาจถึงขั้นซุกซ่อนร่างทองที่ถูกลอกคราบทิ้งไว้ของเซียนที่ตายไปในสนามรบ

ตอนบ่ายของวันหนึ่ง ลู่ไถเริ่มนำอุปกรณ์ชงชาชุดหนึ่งที่เรียกได้ว่ายิบย่อยมากชิ้นออกมาจากวัตถุฟางชุ่น ใช้วิชาลับดึงเอาแก่นของน้ำพุที่อยู่ในทะเลสาบน้ำมรกตออกมา แล้วเริ่มชงชาอย่างสบายอารมณ์อยู่บนระเบียงทางเดินของชั้นหนึ่ง

กลิ่นหอมของชาทำให้จิตใจคนสงบปลอดโปร่ง

เฉินผิงอันไม่ได้ขอชาจากอีกฝ่ายดื่ม แค่ฝึกวิชากระบี่อยู่ในห้องของตัวเอง

หลังจากนั้นลู่ไถก็จะต้องมาชงชาทุกวัน ดื่มชาชมทัศนียภาพอยู่เพียงลำพัง และมักจะนั่งนานตลอดบ่าย

ใกล้เที่ยงของวันหนึ่ง เฉินผิงอันใกล้จะฝึกเดินนิ่งเสร็จก็เห็นว่าลู่ไถพายเรือแจวลำเล็กกลับมาจากทิศไกลด้วยตัวเอง

ผูกเรือแจวลำเล็กเรียบร้อยแล้ว ลู่ไถก็กระโดดขึ้นมาบนระเบียงแล้วยืนอยู่ที่เดิม ตอนที่เฉินผิงอันซึ่งฝึกหมัดเดินผ่านข้างกายเขาไป เขาชูมือขึ้นสูง กลางฝ่ามือมีตลับชาดหลายตลับวางทับซ้อนกันอยู่ น่าจะกำลังอวดให้เฉินผิงอันเห็นถึงผลเก็บเกี่ยวของเขาในวันนี้ ห่างจากหอสูงใจกลางทะเลสาบน้ำมรกตไปไม่ไกล มีเรือนหลายหลังซึ่งเป็นแหล่งผลาญเงินที่เรือข้ามฟากนำสินค้ามาขายโดยเฉพาะ เฉินผิงอันเคยไปเยือนแค่หนึ่งเดียว รู้สึกว่าพวกเขาใจดำเกินไป เขาลองเลือกดูสินค้าที่คล้ายกันมาสองสามชิ้นก็ค้นพบว่าราคาที่ตั้งไว้สูงเกินจริงยิ่งกว่าที่ภูเขาห้อยหัว จึงหมดอารมณ์ที่จะซื้อของจากที่นั่นอย่างสิ้นเชิง

ลู่ไถเขย่งปลายเท้า จากนั้นกระโดดไปข้างหลังเบาๆ หนึ่งครั้ง นั่งลงบนรั้วระเบียงหยกขาว เปิดตลับเครื่องประทินโฉมหนึ่งในนั้นออก หยิบกระจกบานเล็กออกมา เม้มปาก งอนิ้วข้างหนึ่ง ใช้ท้องนิ้วปาดคิ้วยาวของตัวเองเบาๆ ท่าทางนุ่มนวลและพิถีพิถัน

เฉินผิงอันเพียงแค่ฝึกหมัดเลียบไปตามระเบียงต่อไป ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ชำเลืองตามาแลเลยสักครั้ง

ตอนที่เฉินผิงอันเดินผ่านข้างกายไปอีกครั้ง ลู่ไถที่นั่งเขียนคิ้วอยู่บนรั้วก็ขยับกระจกบานนั้นเบี่ยงออกเล็กน้อย ถามด้วยรอยยิ้มว่า “สวยหรือไม่?”

เฉินผิงอันไม่ได้มองลู่ไถที่กำลังผัดแป้งแต่งหน้า แล้วก็ไม่ได้ตอบคำถาม

จากนั้นทุกครั้งที่เฉินผิงอันเดินนิ่งผ่านไป ลู่ไถจะต้องถามคำถามที่แตกต่างกันไปทุกครั้ง

“เฉินผิงอัน เจ้าว่าสีแก้มของข้าแดงเกินไปหรือเปล่า?”

“คิ้วนี่ควรจะวาดให้เรียวกว่านี้หน่อยดีไหม?”

“ใช้ปิ่นเรียวเล็กของเรือนฮวาลู่คู่กับตลับชาดที่เลือกออกมาจากกล่อง ดูแล้วเป็นธรรมชาติมากกว่าจริงๆ ด้วย เจ้าคิดว่าไง?”

เฉินผิงอันแค่เดินไปเงียบๆ ตามแผนการเดิมที่วางไว้ เมื่อถึงเวลาแล้วค่อยหยุดฝึกวิชาหมัด

ครั้งสุดท้ายลู่ไถไม่ได้สอบถามเฉินผิงอัน เพียงแค่เอากระจกบานเล็ก ปิ่นและชาดหลายตลับวางไว้บนรั้วข้างตัว หันหน้าไปมองใบบัวสีเขียวมรตบานสะพรั่ง สายตาบนใบหน้าที่ถูกประทินโฉมงดงามเลื่อนลอย

เฉินผิงอันกำลังคิดว่าจะเดินกลับไปยังประตูหน้าของชั้นหนึ่ง ลู่ไถก็เปิดปากถามขึ้นอีกครั้งโดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับมา “เจ้าคิดใช่ไหมว่าบุรุษอย่างข้า……น่าหัวเราะเยาะมาก? หรือถึงขั้นที่ลึกๆ ในใจรู้สึกสะอิดสะเอียนด้วย?”

เฉินผิงอันหยุดเท้า หมุนตัวเดินไปทางลู่ไถ หยุดอยู่ห่างจากเขาประมาณห้าหกก้าว เขานั่งลงบนรั้วระเบียงโดยหันหน้าเข้าหาน้ำ หันหลังให้ระเบียง

ลู่ไถที่ไม่ได้รับคำตอบไม่ได้อารมณ์เสีย กลับยังยิ้มหวานอยู่กับตัวเอง เลือกชาดมาหนึ่งตลับ รู้สึกว่าสีของมันไม่ดีนัก ไม่สมกับชื่อเสียง วันหน้าจะไม่ใช้มันแล้ว เลยทำท่าจะโยนมันทิ้งลงน้ำ

เฉินผิงอันพลันถามว่า “ชาดตลับนี้ขายเท่าไหร่?”

ลู่ไถอึ้งตะลึง ก่อนจะหันตัวกลับมานั่งหันหน้าเข้าหาทะเลสาบเช่นกัน เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่ถือว่าแพงมาก ทุกตลับขายหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย เพิ่งออกใหม่ของปีนี้ โด่งดังเป็นที่นิยมมาก เทพธิดาที่มีชื่อเสียงหลายคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางต่างก็ชอบใช้มัน เฮ้อ แต่ดูท่าแล้วคงจะเป็นอุบายของลูกหลานสำนักการค้าที่ถูกความโลภบังตาเสียมากกว่า ข้าถูกพวกเขารวมหัวกันหลอกซะแล้ว”

เฉินผิงอันทอดถอนใจ “หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย นั่นก็เท่ากับหนึ่งร้อยเงินเกล็ดหิมะ หนึ่งแสนตำลึงเงิน ข้ารู้สึกว่า……”

หยุดชะงักไปชั่วครู่ เฉินผิงอันที่ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้าก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ทองพันชั่งก็ยากจะซื้อของที่ใจรัก เจ้าซื้อมัน อาจจะรู้สึกว่าไม่แพง แต่คนบางคนที่พอได้ยินราคาแล้วต้องอึ้งงันแน่นอน ตีให้ตายก็ไม่มีทางเชื่อว่าบนโลกจะมีเครื่องประทินโฉมที่ดีเลิศขนาดนี้”

ลู่ไถสงสัยเล็กน้อย “หืม?”

เงียบไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะวางมือสองข้างไว้บนหัวเข่า เล่าเรื่องชายฉกรรจ์ที่เป็นกะเทยในเตามังกรบ้านเกิดให้ลู่ไถฟัง

เฉินผิงอันไม่ได้เล่าให้ดูร้ายแรง น้ำเสียงไม่หนัก สีหน้าไม่จริงจัง เล่าเรื่องชีวิตที่น่าสงสารของคนคนหนึ่งซึ่งตายไปแล้วให้บุรุษข้างกายฟัง

เขาที่อยู่ข้างกาย ตรงเอวรัดเข็มขัดหลากสี สีหน้าสดใสร่าเริง คือคนในกลุ่มของเทพเซียน งดงามยิ่งกว่าหญิงสาวที่แท้จริงในโลกเสียอีก

ส่วนบุรุษในบ้านเกิดคนนั้นกลับมีเรือนกายผอมบาง แถมยังมีตอหนวดอยู่บนใบหน้า หน้าตาไม่ได้ดีไปกว่าสตรีแต่งงานแล้วในหมู่ชาวบ้านเลยสักนิด ต่อให้ทุกวันตอนเช้าเขาจะจัดการตัวเองจนสะอาดเอี่ยมเรียบร้อย แต่ถึงเวลาเลิกงาน ขี้ดินดำสกปรกก็อุดเต็มเล็บมืออยู่ดี ดังนั้นเวลาที่บุรุษผู้นั้นจีบนิ้วจึงไม่มีอะไรชวนให้น่าหวั่นไหวแม้แต่น้อย

อีกทั้งเขายังไม่รู้จักน้ำค้างบำรุงผิวหน้า ผงดอกท้ออะไรทั้งหลาย ยิ่งไม่รู้จักประเภทของเครื่องประทินโฉมที่แยกกันใช้ทาปาก ปัดแก้มหรือเขียนคิ้ว

สุดท้ายเฉินผิงอันมองไปยังทิศไกลด้วยความรู้สึกเศร้าเล็กน้อย “ถึงท้ายที่สุด ข้าก็ยังรู้สึกว่าเขาเป็นคนประหลาดมาก ทั้งๆ ที่เป็นผู้ชาย แต่ทำไมถึงชอบแต่งกายให้ตัวเองเหมือนผู้หญิง แต่วันนั้นก่อนที่เขาจะใช้กรรไกรแทงตัวเองตายและใช้ผ้าห่มปิดทับ เคยขอร้องข้าเรื่องหนึ่ง ทว่าข้าไม่ได้รับปาก และข้าก็เสียใจมาจนถึงทุกวันนี้ หากข้ารู้ว่าเขาจะทำอย่างนั้น ข้าต้องรับปากเขาแน่นอน”

“วันนั้นเขาพูดคุยกับข้าเยอะมาก สุดท้ายยิ้มพูดว่าเขาจะไม่ทำตัวให้เหมือนผู้หญิงอีกแล้ว ดังนั้นหวังว่าข้าจะช่วยเก็บชาดตลับนั้นเอาไว้ เขาจะได้ข่มใจตัวเองไม่ให้ใช้มันได้”

“ตอนนั้นข้าหรือจะยอมรับปากกับเรื่องแบบนี้ ให้ตายก็ไม่ยอมรับ เขาโน้มน้าวข้าอยู่สองครั้งก็ไม่พูดอะไรอีก”

“พอเขาตายไป ไม่ว่าใครก็ไม่ได้เห็นชาดตลับนั้น และอันที่จริงก็ไม่มีใครสนใจด้วย”

เฉินผิงอันหันหน้าไปยิ้มให้ลู่ไถที่งดงามดั่งโฉมสะคราญงามล่มเมือง “ชาดที่แพงขนาดนี้จะโยนทิ้งไปทำไม?”

ลู่ไถเอียงศีรษะ ปิ่นไข่มุกงามประณีตชิ้นนั้นจึงเอนเอียงตามไปด้วย ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่อย่างนั้นข้ายกให้เจ้าดีไหม? วันหน้าเมื่อเจ้ากลับไปบ้านเกิดก็เอาชาดตลับนี้ไปที่หลุมศพของคนผู้นั้น บอกกับเขาว่า เขาได้มีชาดแต่งหน้าที่ดีถึงขนาดนี้ บอกให้ชาติหน้าเขาไปเกิดในครอบครัวที่ดี ได้เป็นสตรีสมดังใจ เอาชาดทาหน้าตัวเองให้เต็มที่ มีกี่จินก็ทาลงไปเท่านั้น ไม่ต้องเสียดายเงินอีกต่อไปแล้ว……”

เฉินผิงอันหันหน้ากลับ มองไปยังทิศไกล ส่ายหน้าเบาๆ “แม้แต่หลุมศพของเขาข้าก็ยังหาไม่พบ จะเอาของสิ่งนี้ไปให้เขา ไปพูดแบบนี้กับเขาได้อย่างไร”

เด็กหนุ่มชุดขาวที่หน้าตาสะอาดสะอ้านสอดสองมือรองไว้ท้ายทอยแล้วไม่เอ่ยคำใดอีก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!