บทที่ 289 รับมือกับศัตรู
ลมฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็นพัดผ่านผืนป่าบนภูเขา
มิน่าเล่าชุยตงซานถึงบอกว่าฆ่าคนปล้นทรัพย์ได้รัดเข็มขัดทอง
อารมณ์ของเฉินผิงอันหนักอึ้ง การถูกไล่ล่าโอบล้อมครั้งนี้ทำให้เขาอดไพล่นึกไปถึงการซุ่มโจมตีในป่าของแคว้นซูสุ่ยครั้งนั้นไม่ได้ นักฆ่าหอหม่ายตู๋กับหลินกูซานปรมาจารย์แคว้นไฉ่อีร่วมมือกัน เสี่ยงอันตรายอย่างถึงที่สุด หากไม่เป็นเพราะเซียนกระบี่ไผ่เขียวซูหลางมาช่วยได้ทันเวลา สุดท้ายใครรอดใครตายก็คงบอกได้ยากจริงๆ
การเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ เฉินผิงอันระมัดระวังตัวมากพอแล้ว เขามักจะขึ้นภูเขามองไปยังทิศไกล ต่อให้ติดตามลู่ไถไปเดินเล่นในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ยังคอยระวังอยู่ตลอดเวลาว่ามีใครติดตามมาหรือไม่ ดังนั้นการที่คนกลุ่มนี้อำพรางร่องรอยเบาะแสได้อย่างมิดชิดก็สามารถอธิบายปัญหาได้อย่างชัดเจนแล้ว อีกฝ่ายมีเจตนาไม่ดี หากไม่มั่นใจย่อมไม่มีทางเปิดเผยร่องรอยอย่างแน่นอน
ศึกใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น ลู่ไถรู้สึกร้อนตัวเหมือนวัวสันหลังหวะ “เฉินผิงอัน เจ้าคงไม่ได้เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่จริงๆ หรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันตะลึงงัน ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงถามเช่นนี้ แต่ก็พยักหน้าตอบรับ “ย่อมต้องจริงอยู่แล้ว”
ลู่ไถยอมรับอย่างขลาดๆ “ข้านึกว่าเจ้าคือขอบเขตห้าแล้วจงใจอำพรางพลังที่แท้จริงต่อหน้าข้า นี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องปกติ ท่องอยู่ในยุทธภพ ใครบ้างที่ไม่มีเวทอำพรางตา ดังนั้นข้าก็เลยเพิ่มขอบเขตของตัวเองให้สูงอีกนิด อันที่จริงข้าไม่ใช่ขอบเขตประตูมังกร แต่เป็นขอบเขตที่หกชมมหาสมุทร”
เฉินผิงอันถลึงตาใส่เขา “เวลานี้แล้ว ยังจะมาเล่นลูกไม้อีกรึ?! เจ้าอยากตายหรือไง?”
ลู่ไถรู้ตัวว่าผิด จึงไม่ได้โต้เถียง แค่บ่นในใจไม่หยุดเท่านั้น
ลู่ไถเขย่งปลายเท้า กิ่งไม้โยกไหว ร่างทั้งร่างของเขาทะยานขึ้นไปบนยอดไม้สูงสุด สีหน้ามองดูเหมือนผ่อนคลาย แต่อันที่จริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาหุบพัดไม้ไผ่เล่มนั้นแล้วเอามาเคาะกับฝ่ามือเบาๆ
ถึงอย่างไรลู่ไถก็เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทร อีกอย่างยังได้รับการอบรมสั่งสอนจากตระกูลมาเป็นอย่างดี หนังสือที่เก็บสะสมไว้มีเยอะมาก อีกทั้งเขายังเป็นคนที่ชอบเรียนรู้นั่นนิดนี่หน่อย วิชาอาคมของทั้งร่างจึงค่อนข้างปะปนกันซับซ้อน เพียงแต่ว่าไม่มีวิชาใดที่เชี่ยวชาญที่สุดเท่านั้น แต่การ ‘รู้ทุกแขนงแต่ไม่เชี่ยวชาญสักแขนง’ นี้ก็เหมาะกับผู้ฝึกตนมีพรสวรรค์ที่ชาติตระกูลดีอย่างลู่ไถ เพราะเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนอิสระที่อาศัยวิชาลับครึ่งๆ กลางๆ จนได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือฝีมือของลู่ไถก็ล้วนสูงกว่าผู้ฝึกตนในขอบเขตเดียวกันไประดับใหญ่ เพียงแต่ว่าจะเอาข้อได้เปรียบเหล่านี้มาเปลี่ยนเป็นโอกาสในการคว้าชัยชนะที่แน่นอนได้หรือไม่ อันที่จริงกลับบอกได้ยากมาก
แม้ว่าผู้ฝึกตนอิสระที่เอาผ้ารัดเอวโพกหัวเหล่านั้นจะไม่ถือเป็นพวกเดนตายที่ไม่เสียดายชีวิต แต่หากตกอยู่ในอันตราย หรือผลประโยชน์ล่อลวงใจมากพอ การเลือกที่จะสู้สุดชีวิตของพวกเขาย่อมแตกต่างจากพวกลูกศิษย์ของสำนักที่ได้รับการสืบทอดอย่างมีระบบระเบียบ ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติมั่งคั่งอย่างสิ้นเชิง พวกเขาอำมหิต เจ้าเล่ห์ และยินดีใช้การบาดเจ็บแลกมาด้วยความตาย
เฉินผิงอันถามเบาๆ “ต้องให้ข้าถ่วงเวลาให้เจ้า เจ้าจะได้ลองตรวจสอบเบื้องลึกเบื้องหลังของพวกเขาก่อนหรือไม่? ข้ามีประสบการณ์ในการเข่นฆ่ากับผู้ฝึกลมปราณไม่มากพอ อีกอย่างพวกเราก็ไม่สนิทกันนัก จึงง่ายที่จะกลายเป็นตัวถ่วงของกันและกัน”
ลู่ไถตอบด้วยเสียงในใจ “ดี”
รวดเร็วฉับไว
ลู่ไถคงกลัวว่าเฉินผิงอันจะเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองจะนิ่งดูดาย จึงพูดเสริมไปว่า “หากข้ามีการค้นพบเมื่อไหร่ จะบอกให้เจ้ารู้ถึงที่มาของเวทลับ ควรป้องกันอย่างไรและวิธีทลายอาคมในทันที”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ คีบยันต์ย่อพื้นที่ชิ้นหนึ่งมาจากชายแขนเสื้อเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
เฉินผิงอันกล่าว “ศึกตัดสินเป็นตายจะทำเป็นเล่นไม่ได้”
ลู่ไถยิ้ม “ทราบแล้ว”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
ข้าเฉินผิงอันในปีนั้นยังไม่ทันฝึกวิชาหมัด อาศัยแค่กฎเกณฑ์และชัยภูมิที่เอื้ออำนวยของถ้ำสวรรค์หลีจูก็เกือบจะฆ่าทั้งไช่จินเจี่ยนและฝูหนันหัวไปพร้อมกันในตรอกเล็ก
แล้วคนอื่นอาศัยอะไรมาฆ่าเฉินผิงอันกับลู่ไถ?
เฉินผิงอันยังคงยืนอยู่บนกิ่งไม้ แม้การทำเช่นนี้จะง่ายต่อการตกเป็นเป้า แต่การมองเห็นเปิดกว้าง ในขณะที่สองกองทัพประจัญบานกัน ต้องพยายามรู้เขารู้เราให้ได้มากที่สุด เสี่ยงอันตรายเล็กน้อยพอให้เห็นสถานการณ์โดยรวม อย่างไรก็ดีกว่าเป็นแมลงวันไร้หัวที่พุ่งสะเปะสะปะไปทั่ว
พวกโจรดักปล้นกลางทางที่แอบติดตามพวกเขาอย่างลับๆ มาตั้งแต่ถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจีกลุ่มนี้ไม่ได้ปรากฎตัวทีเดียวทั้งหมด แต่จับกลุ่มกันกลุ่มละสองสามคน จำนวนคนที่เห็นได้ชัดๆ ก็มากถึงสิบกว่าคนแล้ว
ตกอยู่ในวงล้อมของฝูงหมาป่าหมาไน
เฉินผิงอันถามเสียงหนัก “ผู้ที่มาคือใคร?”
ไม่มีใครตอบ
การออกปล้นสะดม แสวงหาความมั่งคั่งไกลพันลี้ของเทพเซียนบนภูเขาไม่ได้เหมือนพวกอันธพาลตามตรอกซอกซอยที่ทะเลาะกันเป็นครึ่งๆ วันก็ยังไม่มีใครเลือดตกยางออก
ส่วนใหญ่มักจะป่าวประกาศชื่อแซ่ของตัวเองอย่างห้าวหาญ ง่ายที่จะเปิดเผยความสามารถของตระกูลและท่าไม้ตายของพรรคตัวเอง
โดยเฉพาะพวกคนที่ชอบจงใจตะโกนบอกชื่อแซ่และกระบวนท่าก่อนลงมือ นั่นไม่เรียกว่าหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองแล้วจะเรียกว่าอะไร?
ถ้าโชคไม่ดีก็อาจเป็นการรนหาที่ตาย
ยกตัวอย่างเช่นชื่อ ‘ร่มเงา’ ของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตโอสถทองบนเกาะกุ้ยฮวาที่แค่ฟังก็รู้ว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้เยือกเย็นค่อนไปทางธาตุหยิน ใกล้ชิดกับสายน้ำ
ดังนั้นหากใช้กระบวนท่าและสมบัติอาคมที่เปี่ยมไปด้วยปราณหยางก็จะสามารถสำแดงอานุภาพได้อย่างดีเยี่ยม
ลองจินตนาการดูว่าหากโอสถทองเฒ่าของเกาะกุ้ยฮวาพบเจอกับศัตรูคู่แค้นแล้วลงไม้ลงมือกันขึ้นมา เขาจะเป็นฝ่ายบอกชื่อร่มเงาซึ่งเป็นชื่อกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเองกับศัตรูคู่อาฆาตหรือไม่?
ต่อให้เฉินผิงอันไม่เคยเห็นกระบี่บินสองเล่มของลู่ไถกับตาตัวเองมาก่อน แต่พอได้ยินว่ามันชื่อเจินเจียน (ปลายเข็ม) และม่ายกวาง (รัศมีแสงเหนือรวงข้าวสาลี) ก็พอจะคาดเดาได้ว่ามันคือกระบี่บินประเภทที่พลังสังหารตรงจุด ไม่ใช่แค่ผิวเผินภายนอก
ลู่ไถใช้เสียงในใจบอกให้เฉินผิงอันรู้ถึงสถานการณ์ในเวลานี้
ในกองกำลังของศัตรู เบื้องหน้าของเฉินผิงอัน นอกจากชายฉกรรจ์ล่ำสันที่ถือแส้เหล็กไว้ในมือแล้ว คนที่ยืนอยู่ใกล้กับเขาก็ต้องระมัดระวังให้มาก
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้คืออาจารย์กระบี่ที่เลือกเดินบนทางเสี่ยงอันตราย ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ แต่ก็ไม่เหมือนกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสักเท่าไหร่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต เป็นพวกคนบ้าบิ่นในยุทธภพที่มีลูกเล่นในการใช้กระบี่ ใช้ลมปราณในการควบคุมกระบี่โดยเฉพาะ ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการบังคับกระบี่เหมือนผู้ฝึกกระบี่ เพียงแต่ว่าการลงมือของอาจารย์กระบี่จะทำให้ผู้ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกเหมือนเห็นกระบี่บินเล่มหนึ่ง
ส่วนชายฉกรรจ์ถือโซ่เหล็กที่ร่างกำยำบึกบึนผู้นั้น คือผู้ฝึกลมปราณที่อาศัยวิชาสายรองของสำนักการทหาร เน้นในการหล่อหลอมร่างกาย หรือเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวกันแน่ ยังไม่อาจแน่ใจได้ แต่ความเป็นไปได้ของฝ่ายหลังมีมากกว่า
กล้ามเนื้อทั่วร่างของชายฉกรรจ์แข็งโปนเป็นมัดๆ ร่างสูงเกือบเก้าฉื่อ พลังอำนาจดุดันน่าเกรงขาม ในมือถือแส้คู่ เขาแหงนหน้ามองผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้บางตามายังเฉินผิงอัน แค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “ไอ้หนูตัวดี ช่างเจ้าเล่ห์นัก ฝีเท้าตอนที่เดินจากสำนักฝูจีไปยังศาลาหยุดเดิน เจ้าจงใจทำให้หนักเบาไม่เท่ากัน ทำเอาข้าผู้อาวุโสเกือบจะมองพลาดนึกว่าเจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสาม ออกจากภูเขาฉุยซางมาได้หลายร้อยลี้ถึงได้สังเกตเห็นว่ารอยเท้าของเจ้าเบาแผ่วสม่ำเสมอกันถึงเพียงนี้ ไม่พูดถึงตบะ เอาแค่ไหวพริบและความระมัดระวังตัวนี้…”
ชายฉกรรจ์ชูแขนข้างซ้ายที่ถือโซ่เหล็ก หัวเราะเสียงเหี้ยม “ก็คู่ควรให้ข้าผู้อาวุโสใช้แส้ฟาดหัวของเจ้าให้เละแล้ว!”
เขาพูดภาษาทางการของใบถงทวีป
ลู่ไถไม่ใช่กะเทยอ้อนแอ้นรักสวยรักงามที่ชอบเครื่องประทินโฉมอีกต่อไป แล้วก็ไม่ใช่คุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์ผู้สง่างาม เขาบอกเล่าที่มาของศัตรูเหล่านั้นให้เฉินผิงอันฟังอย่างรวดเร็ว คำพูดกระชับชัดเจนและตรงประเด็น
ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้คือนักพรตเต๋าที่ใช้ยันต์คนหนึ่ง นี่น่าจะเป็นเพราะว่าไม่อาจเรียกตัวผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่แท้จริงมาได้ จึงถอยไปเลือกในระดับรองลงมา หวังใช้ยันต์ทำหน้าที่เป็นพลทหารราบเสี่ยงอันตราย หากมีหุ่นเชิดที่ใช้ศาสตร์กลไกของสำนักโม่เพิ่มขึ้นมาอีกสักตัวสองตัว อานุภาพในการเข่นฆ่าศัตรูของกระบี่บินพวกเราสองคนก็จะถูกลดทอนไปมาก ถึงอย่างไรวัตถุไร้ชีวิตสองอย่างนี้ หนึ่งยากจะทำลายความกล้าหาญ อีกหนึ่งยากจะหาแกนกลางสำคัญได้เจอ
เพียงแต่ไม่รู้ว่านักพรตท่านนี้มียันต์ที่ใช้รับมือกับผู้ฝึกกระบี่และกระบี่บินโดยเฉพาะหรือไม่ แต่ความเป็นไปได้ก็มีไม่มาก โดยทั่วไปแล้วมีเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองและก่อกำเนิดเท่านั้นถึงจะใช้ยันต์ล้ำค่าไม่กี่ชนิดที่ใช้รับมือกับผู้ฝึกกระบี่โดยเฉพาะได้ แต่หากพวกเราทั้งสองคนโชคไม่ดีก็คงบอกได้ยากแล้ว ยกตัวอย่างเช่นหากอีกฝ่ายมียันต์ชั้นเยี่ยมสองชนิดที่ชื่อว่า ‘ฝักกระบี่’ กับ ‘ผนึกภูเขา’ ซึ่งมีไว้เพื่อรับมือกับกระบี่บินที่ปรากฏตัวลับๆ ล่อๆ โดยเฉพาะ ก็จะทำให้กระบี่บินพาตัวไปติดร่างแห ถูกพันธนาการไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
หากผู้ฝึกกระบี่ไม่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ต่อให้เป็นแค่ช่วงเวลาไม่นาน พลังการต่อสู้ก็จะร่วงดิ่งลงสู่หุบเหวทันที
ดังนั้นที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจ้าและข้า กระบี่บินสี่เล่มที่รวมกัน ต้องระวังข้อนี้มากที่สุด ต่อให้จำเป็นต้องออกจากช่องโพรงมาสังหารศัตรู ก็ต้องคอยระวังความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ตรงชายแขนเสื้อทั้งสองข้างของนักพรตสำนักมหายันต์ตลอดเวลา
ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้คือผู้ฝึกลมปราณที่ศึกษาเวทไม้คนหนึ่ง น่าจะเป็นเขาที่คอยอำพรางร่องรอยทุกอย่าง ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะเลี้ยงปีศาจบุปผาหรือภูติดอกไม้เอาไว้ จำไว้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นต้องระวังพวกเถาวัลย์หรือพืชหญ้า เพราะว่าไม่สะดุดตา แต่จะอันตรายและรับมือได้ยากยิ่งกว่ากระบี่บินของอาจารย์กระบี่
เฉินผิงอันจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจเงียบๆ พลางจ้องมองชายฉกรรจ์และอาจารย์กระบี่ผู้นั้นไปด้วย ส่วนหางตาก็คอยชำเลืองตามองนักพรตของพรรคมหายันต์ แค่นเสียงเย็นพูดว่า “ในเมื่อข้ากับสหายกล้าทุ่มเงินมากมายต่อหน้าทุกคนตอนอยู่บนถนนเรียกสวรรค์ ก็หมายความว่าไม่เคยกังวลว่าจะทำให้ใครอิจฉาตาร้อน”
ชายฉกรรจ์หัวเราะขำไม่หยุด “เจ้าลูกกระต่ายน้อย อย่าได้คิดจะพูดปั่นหัวข้า คนต่างถิ่นสองคนที่แม้แต่ภาษาทางการของใบถงทวีปก็ยังพูดได้ไม่คล่อง ต่อให้พวกเจ้ามาจากสำนักใหญ่โตแล้วอย่างไร? มีอาจารย์เป็นเซียนดินแล้วอย่างไร? คิดว่าตัวเองร้ายกาจมากนักรึ?”
อาจารย์กระบี่ที่อยู่ข้างกายชายฉกรรจ์ร่างกำยำคือบุรุษสวมชุดคลุมยาวสีดำที่มีเรือนกายเพรียวบางคนหนึ่ง กรอบตาของเขาลึกโบ๋ ลักษณะเย็นชาอำมหิตอย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวกลั้วหัวเราะ “ย่อมต้องร้ายกาจอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่แส้ยาวฟาดมาไม่ถึง”
ชายฉกรรจ์พลันหัวเราะเสียงดัง อาจารย์กระบี่ก็หัวเราะตามไปด้วยอย่างรู้ใจกัน
คนทั้งสองที่สนิทสนมกันมากต่างก็มองไปยังลู่ไถที่อยู่สูงกว่า อาจารย์กระบี่วัยกลางคนถามว่า “ตลอดทางมานี้เห็นพวกเจ้าสองคนออดอ้อนกระหนุงกระหนิงกัน ทำเอาข้าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก เจ้าต้องรับผิดชอบ หากรู้อะไรควรไม่ควร ไม่แน่อาจจะรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้”
ลู่ไถไม่ได้สนใจคำท้าทายจากคนผู้นี้ เขายังคงอธิบายสถานการณ์ให้เฉินผิงอันฟังต่อไปด้วยสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ
ทางฝั่งทิศเหนือด้านหลังเจ้าและข้าคืออาจารย์คุมทัพสำนักหยินหยางคนหนึ่งที่กำลังจัดขบวนรบ บริเวณใกล้กันยังมีเด็กหนุ่มเด็กสาวอีกคู่หนึ่ง น่าจะเป็นลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจของคนผู้นี้ อันที่จริงอาจารย์คุมทัพคนนี้ต่างหากที่รับมือได้ยากมากที่สุด
เฉินผิงอัน หากมีโอกาสข้าจะฆ่าคนผู้นี้ก่อน
การที่พวกเขาไม่รีบร้อนลงมือตอนนี้ก็เพราะรอให้อาจารย์คุมทัพจัดขบวนย้ายขุนเขาเส็งเคร็งนั่นให้เสร็จสิ้นเสียก่อน วางใจเถอะ ข้าจะหาโอกาสเหมาะในการลงมือ จะไม่ปล่อยให้พวกเขาอาจารย์และศิษย์สามคนทำสำเร็จเด็ดขาด แต่ก่อนที่ข้าจะลงมือ เจ้าต้องเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขาเสียก่อน ต่อให้พวกเขาเสียสมาธิแค่แวบเดียวก็เพียงพอแล้ว
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างเงียบเชียบ
ลู่ไถจึงเปิดเผยความลับของฝ่ายตรงข้ามต่อไปอีกครั้ง
นอกจากอาจารย์คุมทัพและลูกศิษย์ของเขาสองคนแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนลัทธิมารอีกคนหนึ่ง จะคนก็ไม่ใช่จะผีก็ไม่เชิง ทั่วร่างมีปราณหยางที่ชั่วร้ายท่วมท้น ผู้ฝึกลมปราณประเภทนี้จะคอยป้วนเปี้ยนอยู่ระหว่างสุสานไร้ญาติตลอดทั้งปี พวกเขาสามารถจับดวงวิญญาณเร่ร่อนมากักขังอยู่ในภาชนะวิเศษ ใช้วิธีเลี้ยงกู่พิษมาบ่มเพาะให้เกิดผีร้ายไว้ให้ตัวเองเรียกใช้งาน
สองฝั่งซ้ายขวาของพวกเราที่อยู่ห่างไปยังมีคนยืนอยู่อีกสองคน แต่แค่มาเพื่อช่วยคุมท้ายขบวนเท่านั้น หากเจ้าและข้าหนีไปได้ พวกเขาก็จะเข้ามาขัดขวาง
เมื่ออนุมานตามนี้ พลังการต่อสู้หลักของอีกฝ่ายจึงอยู่ทางทิศใต้
อาจารย์กระบี่วัยกลางคนผู้นั้นเห็นว่าลู่ไถไม่สะทกสะท้าน นอกจากจะมีโทสะอยู่ในใจแล้วยังเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง จึงกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “พวกเจ้าสองคนเคยแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันฟังไม่เข้าใจเลยสักนิด คิดแค่ว่าอาจารย์กระบี่คนนั้นพูดภาษาของผู้เชี่ยวชาญบนภูเขา หรือไม่ก็เป็นคำพูดประหลาดที่ไม่จำเป็นต้องสนใจ
แต่เขากลับสัมผัสได้ว่าลู่ไถพลันเดือดดาลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ดังนั้นลู่ไถจึงไม่ใช้คำพูดในใจคุยกับเฉินผิงอันอีกต่อไป เขาเปลี่ยนความคิด หันมาจ้องอาจารย์กระบี่วัยกลางคนผู้นั้นเขม็ง แล้วพูดด้วยสีหน้ามืดทะมึน “เฉินผิงอัน หายนะครั้งนี้ เดิมทีก็เป็นข้าที่หาเรื่องใส่ตัว เจ้าเดินทางไปยังทิศเหนือต่อได้เลย ข้าจะจัดการกับพวกเขาเอง”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าตัวคนเดียวสามารถฆ่าพวกเขาทุกคนแล้วหนีรอดไปได้อย่างปลอดภัยงั้นรึ?”
ลู่ไถไม่ตอบ
เฉินผิงอันจึงพูดเสียงขุ่น “เจ้าชอบที่จะตายโดยไร้ที่ฝัง แม้แต่หลุมศพก็ยังหาไม่เจอขนาดนี้เชียวรึ?”
ลู่ไถร้องเพ้ยๆๆ อยู่หลายทีแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “เจ้าอย่าแช่งข้าสิ”
เฉินผิงอันยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิกอยู่ที่เดิม เงียบไปพักใหญ่กว่าจะตอบมาประโยคหนึ่งว่า “ถ้าอย่างนั้นก็พูดจาไร้สาระให้น้อย ฆ่าคนให้ได้มากๆ”
ลู่ไถพลันส่งเสียงทางจิตให้กับเฉินผิงอัน “ลงมือ!”
เฉินผิงอันไม่มีความลังเลใดๆ
เขาสะบัดยันต์ย่อพื้นที่ที่เขียนตามมหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาดซึ่งอยู่ในชายแขนเสื้อทันที
พริบตาเดียวร่างก็หายวับไป
หัวใจของอาจารย์กระบี่วัยกลางคนที่สวมชุดคลุมยาวสีดำชายแขนเสื้อกว้างหดตัวรัดเกร็ง รู้ได้ว่าท่าไม่ดีแล้ว
ยังดีที่ชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนนั้นได้เดินออกมาแล้วหนึ่งก้าว ไม่เพียงแต่ขวางอยู่เบื้องหน้าอาจารย์กระบี่ ยังฟาดแส้ไปท่ามกลางความว่างเปล่าเบื้องหน้าตัวเองอย่างรวดเร็วด้วย “น่าสนใจไม่น้อยเลย!”
เฉินผิงอันที่มาโผล่อยู่ตรงหน้าคนทั้งสองไม่เพียงแต่ไม่หลบเลี่ยงแส้เหล็กที่ฟาดมาอย่างดุดัน กลับยิ่งตัดสินใจได้อย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะต่อสู้ประชิดตัวกับอีกฝ่าย แต่เขาก็เอียงศีรษะหลบเล็กน้อย ค้อมตัวลง ใช้ ‘ปราณกระบี่’ กระบี่ยาวที่สะพายไว้ข้างหลังต้านรับแส้เหล็กนั้น ส่วนตัวเองก็ปล่อยหมัดกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าเข้าใส่หน้าอกของชายฉกรรจ์
หมัดหนึ่งปล่อยไปแล้วก็ย่อมตามด้วยสิบหมัด ร้อยหมัด
หากปณิธานเปี่ยมล้นมากพอ เมื่อพละกำลังหมัดแล้วหมัดเล่าของข้าทบซ้อนเท่าทวี ต่อให้เจ้าเป็นเซียนอรหันต์ร่างทอง หรือร่างทองมิพ่ายอย่างที่เล่าลือกันในตำนาน ข้าก็ยังต่อยให้ร่างของเจ้าพินาศวอดวายได้อยู่ดี!
อาจารย์กระบี่วัยกลางคนแค่สติหลุดไปชั่วขณะ แต่เพียงไม่นานแสงสีเขียวเส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากชายแขนเสื้อของเขา
เลือดสดพุ่งทะลักออกจากปากของชายฉกรรจ์ เขาเซถอยหลังไปห้าหกก้าว มือข้างที่ถือแส้เหล็กแกว่งสะบัดอยู่ตรงหน้าตัวเองจนแม้แต่น้ำสักหยดก็เข้าไปใกล้ไม่ได้ ขณะเดียวกันเขาก็คำรามสุดเสียงว่า “ปกป้องอาจารย์คุมทัพ!”
แทบจะเวลาเดียวกันนั้น จิตของเฉินผิงอันเคลื่อนไหว เอ่ยเรียกเบาๆ ว่า “สืออู่”
รุ้งกระบี่เล็กบางสีเขียวมรกตเส้นหนึ่งพุ่งพรวดออกไปจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ห้อยไว้ตรงเอว
นักพรตพรรคมหายันต์คนนั้นหัวเราะเสียงเย็น “คือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งจริงๆ ด้วย”
ชายฉกรรจ์รู้สึกเพียงว่าไหล่ข้างซ้ายปวดแปลบเหมือนเนื้อฉีกขาด หัวใจพลันสั่นสะเทือน เหตุใดถึงเร็วขนาดนี้?!
ระหว่างที่หนึ่งหมัดของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าโดนเป้าหมาย ปณิธานหมัดก็ชักนำไปถึงหมัดที่สาม
สืออู่เพิ่งออกจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ส่งเสียงดังเคร้ง แสงกระบี่ที่เพิ่งจะพุ่งไปหมายตัดเอวของอาจารย์กระบี่วัยกลางคนก็ถูกยันต์ที่เปล่งแสงวาบสีแดงปกคลุมไว้ภายใน สืออู่จึงพุ่งชนกำแพงไปทั่วอย่างสะเปะสะปะ
สีหน้าของอาจารย์กระบี่เหี้ยมเกรียม โบกชายแขนเสื้อใหญ่อีกครั้ง ก็มี ‘กระบี่บิน’ อีกเล่มบินออกมาจากชายแขนเสื้อ
เฉินผิงอันมองเมินฝีมือเชี่ยวชาญในการควบคุมกระบี่ของอาจารย์กระบี่ท่านนี้ หลังจากมาโผล่อยู่ด้านหลังชายฉกรรจ์อย่างที่แทบจะเรียกได้ว่าผีไม่รู้เทพไม่เห็นก็ปล่อยหมัดที่สามลงไปยังหัวใจด้านหลังของชายร่างกำยำหนักๆ เน้นๆ
หมัดที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังหนักหน่วงทะลุไปยังหัวใจของคนผู้นี้โดยตรง
หมัดที่สี่เลื่อนลงล่างขยับไปทางขวามือ ต่อยลงบนกระดูกสันหลังของชายผู้นี้จังๆ
นักพรตใช้ยันต์ลับล้ำค่ากักขัง ‘ชูอี’ ที่ออกมาสะบั้นฟันแสงสีเขียวของอาจารย์กระบี่อีกครั้ง
นักพรตสีหน้าเขียวคล้ำ หนังตากระตุกถี่ยิบ รู้สึกถึงเพียงเลือดที่หลั่งอยู่ในใจ เสียดายอย่างถึงที่สุด เจ้าตะพาบน้อยสารเลวผู้นี้มีกระบี่บินถึงสองเล่มเชียวรึ?!
หรือว่ากาเหล้าสีชาดที่ห้อยอยู่ตรงเอวของเด็กหนุ่มคือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่?
คิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของนักพรตก็ฉายประกายเร่าร้อน ดีๆๆ !
ไม่เสียแรงที่ข้าผู้เป็นนักพรตยอมสละสมบัติก้นกรุรวดเดียวถึงสองแผ่น ขอแค่ทำสำเร็จก็ยังได้กำไรมหาศาลอยู่ดี!
พอโดนหมัดที่สาม ลมปราณอันแกร่งกร้าวที่ปกป้องทั่วเรือนกายของชายฉกรรจ์ก็แตกฉานซ่านเซ็น ดังนั้นหมัดที่สี่นี้ของเฉินผิงอันจึงกระแทกลงบนกระดูกสันหลังของเขาเน้นๆ จังๆ
เกิดเสียงลั่นเปรี๊ยะเบาๆ ดังมาเป็นระลอก คนอื่นจะไม่ใส่ใจก็ได้ แต่ตัวชายฉกรรจ์เองกลับตกใจจนอกสั่นขวัญหายไปแล้ว
หากยังโดนอีกหมัด กระดูกสันหลังนี่อาจจะหักออกจากกันเข้าจริงๆ !
ชายฉกรรจ์ไม่กล้าอำพรางฝีมืออีกต่อไป เขากระทืบเท้าหนักๆ หนึ่งครั้ง มือซ้ายจับข้อมือของมือขวา มือขวาประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ตั้งท่าเหมือนพยัคฆ์สะบัดไหล่ ดวงตาของเขาพลันกลายมาเป็นสีขาวหิมะ เลือดลม เส้นเอ็นและกระดูกพลันแกร่งกร้าวไปทุกสัดส่วน…
ประหนึ่งองค์เทพเยื้องกรายลงมายังโลกมนุษย์
จากนั้นก็ถูกหมัดที่ห้าของเฉินผิงอันต่อยให้กระเด็นปลิวลิ่วออกไปเหมือนว่าวสายป่านขาด ก่อนจะกระแทกลงบนพื้นอย่างหนัก
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ แผ่นหลังที่ต้านรับแส้เหล็กของชายฉกรรจ์ไปหนึ่งที แม้ว่าจะกระแทกลงบน ‘ปราณยาว’ แต่ก็ยังมีกำลังถึงสี่ห้าส่วนที่กระแทกเข้ามาในร่าง
หลังจากนั้นชูอีกับสืออู่ก็ถูกนักพรตพรรคมหายันต์ใช้เวทลับกักตัวเอาไว้ ยังไม่อาจสลัดได้หลุด เพื่อปล่อยหมัดที่ห้าของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าออกไปได้สำเร็จ เขาต้องรับแสงกระบี่เส้นหนึ่งจากอาจารย์กระบี่วัยกลางคนที่แทงผ่านไหล่จนเลือดโชก
แต่พลังอำนาจของทั้งร่างเฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ลดลงต่ำ กลับยังเพิ่มขึ้นสูง จิตวิญญาณรวมตัวกันได้อย่างแน่นหนา ปณิธานหมัดพลุ่งพล่านจนแทบจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไม่มีวี่แววของคนที่ดิ้นรนก่อนตายแม้แต่น้อย หนำซ้ำพลังยังเพิ่มทะยานพรวดพราดขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
ราวกับพระอาทิตย์ขึ้นทางทะเลตะวันออกที่ไม่ช้าก็เร็วต้องลอยตัวสูงเด่นอยู่กลางนภา
เขาอดแสยะปากยิ้มไม่ได้
บาดแผลเล็กน้อยแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้