Skip to content

Sword of Coming 29

บทที่ 29 ปีศาจจิ้งจอก

เด็กหนุ่มเดินราวกับปลิวมาตลอดทาง พอออกจากเมืองก็ตรงดิ่งไปที่ลำธารสายเล็ก แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่เฉินผิงอันกลับเดินได้ไม่ช้ากว่าตอนกลางวัน เฉินผิงอันจงใจอ้อมผ่านตำแหน่งของสะพานที่น้ำลึกที่สุด ระดับน้ำตรงจุดนั้นสูงกว่าจุดอื่นไปมาก เฉินผิงอันเลือกช่วงที่มีกระแสน้ำไหลถึงหัวเข่าเท่านั้น หลังจากเขาปลดกระบุงไม้ไผ่อันใหญ่บนหลังลงก็ก้มตัว หยิบเอาข้องไม้ไผ่เล็กๆ อันหนึ่งที่ซ่อนไว้ด้านในออกมารัดไว้ตรงเอว ถอดรองเท้าแตะ ม้วนขากางเกงขึ้น แล้วจึงลงไปคลำหาหินในน้ำ

บาดแผลตรงมือซ้ายของเขาที่ถูกเศษกระเบื้องบาดยังคงเจ็บปวด แน่นอนว่าจะโดนน้ำไม่ได้ เด็กหนุ่มทำได้เพียงใช้มือขวาควานหาไปมาในน้ำ อันที่จริงก้อนหินตรงช่วงที่น้ำแห้งขอดสามารถเก็บได้ง่ายที่สุด แต่ก็เหมือนที่หลิวเสี้ยนหยางบอกไว้ สีของมันจะอ่อนลงไปมาก ตอนนี้เมื่อเฉินผิงอันได้รู้ความนัยที่ซ่อนอยู่จากการบอกคร่าวๆ ของเด็กสาวชุดดำ เขาก็เข้าใจได้ไม่ยากนัก เขารู้สึกว่าแท้จริงแล้วหินพวกนี้ก็เหมือนดินบนภูเขาลูกต่างๆ ที่ในอดีตเขาเคยติดตามผู้เฒ่าเหยาเดินขึ้นเขาลงห้วยเพื่อไปชิม ดินที่มองดูเหมือนธรรมดา แต่บางสถานที่ที่ต่อให้จะมีภูเขากั้นขวางแค่ลูกเดียว พอเอาเข้าปากกลับรสชาติแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ผู้เฒ่าเหยาบอกว่านี่เรียกว่าต้นไม้เคลื่อนจึงตาย คนย้ายจึงรอด ดินที่อยู่ในกำมือ ขอแค่หลุดออกมาจากพื้นดินเดิม เพียงไม่นานก็จะเปลี่ยนรสชาติ

ธารเล็กสายนี้ไม่มีชื่อ ก้อนหินที่อยู่ในธารน้ำมีทั้งที่ใหญ่เท่ากำปั้น แล้วก็มีทั้งที่เล็กเท่านิ้วหัวแม่มือ สีสันหลากหลาย ทว่าชาวบ้านแต่ละยุคแต่ละสมัยกลับเคยชินที่จะเห็นพวกมันนอนนิ่งอยู่ในธารน้ำที่ใสกระจ่างมากกว่า แน่นอนว่าไม่มีใครรู้สึกว่ามันคือของหายากอะไร หากใครเอาหินพวกนี้ไปไว้ในบ้านต้องถูกคนมองเป็นคนโง่ที่ว่างงานไม่มีอะไรทำ ในเมื่อมีแรงเหลือ แต่ไม่เอาแรงไปทำไร่ไถนา กลับมาเก็บหินพวกนี้ ไม่เรียกว่าคนโง่แล้วจะเรียกว่าอะไร

เฉินผิงอันที่ก้มตัวอยู่เหนือน้ำใช้มือพลิกก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้น้ำออกอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เขาเก็บหินมาใส่ไว้ในข้องได้เจ็ดแปดก้อนแล้ว แต่ละก้อนสีสันต่างกัน บางก้อนก็มีสีเหมือนส้มสีทองที่ออกผลอยู่บนกิ่งไม้สูงในฤดูใบไม้ร่วง บางก้อนก็มีสีขาวนวลละเอียดเหมือนผิวเด็กทารก และบางก้อนก็เป็นสีดำสนิท ทั้งยังเป็นดำวาว และมีบางก้อนที่สีสดเหมือนดอกท้อแดงแจ๋ ส่วนสีเขียวเหมือนเปลือกกุ้งนั้นมีมากที่สุด นับไม่ถ้วน

หินที่ชาวบ้านเรียกกันง่ายๆ ว่าหินดีงูเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วขนาดไม่ใหญ่นัก ทว่าเมื่อเอามากำในมือกลับมีน้ำหนักมาก หากตอนกลางวันชูขึ้นสูงใต้แสงแดด หรือใช้แสงเทียนส่องยามค่ำคืน ลายเส้นด้านในหินจะปรากฏให้เห็นเหมือนเส้นใยที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใน แล้วก็ทั้งเหมือนไส้เดือนตัวเล็กๆ และหากเอาออกห่างจากสายตาสักเล็กน้อย มองไปจะเห็นว่าสีของมันส่องแสงแวววาวระยิบระยับเหมือนเกล็ดปลาเกล็ดงู

ใช้เวลาหมดไปเกือบหนึ่งชั่วยาม ข้องที่เอวของเฉินผิงอันก็เต็มแล้ว เขาเดินกลับมาทางเดิมที่ถอดรองเท้าแตะและวางกระบุงเอาไว้ ไปดึงต้นกก คื่นฉ่ายป่าและหญ้าหางสุนัขกำใหญ่มาจากตรงชายฝั่งก่อนเพื่อรองใต้กระบุง จากนั้นถึงได้เทก้อนหินในข้องใส่กระบุง หิ้วรองเท้าแตะมา รัดข้องเล็กไว้ที่เอว แบกกระบุงขึ้นหลัง เดินขึ้นไปบนชายฝั่ง พอมาถึงริมชายฝั่งที่ย้อนกลับมาก่อนหน้านี้ก็วางรองเท้าแตะและกระบุงไม้ไผ่ลงไป ก่อนจะเริ่มลงน้ำไปควานหาหินอีกครั้ง

พอเก็บได้ครึ่งกระบุง เฉินผิงอันก็ยืดตัวขึ้นตรง เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว หวังว่าจะได้เห็นดาวตกสักดวงพุ่งผ่านมา เพียงแต่ว่าคืนนี้เขาไม่มีโชคขนาดนั้น หลังจากคืนสติ เฉินผิงอันก็อาศัยแสงดาวอ่อนจางและสายตาที่ดีเยี่ยมเกินคนทั่วไปทำเรื่องที่คนเห็นแก่เงินสมควรทำ

ทุกครั้งที่เก็บหินขึ้นมาได้สำเร็จ เฉินผิงอันก็จะต้องเกิดความปิติยินดีขึ้นมา สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว หินทุกก้อนล้วนเป็นความหวังหนึ่งส่วน

โดยไม่ทันรู้ตัว เฉินผิงอันก็เก็บหินได้เกินครึ่งกระบุงแล้ว ลองนับคร่าวๆ น่าจะมีประมาณแปดสิบกว่าเม็ด เม็ดที่ใหญ่ที่สุดในนั้นใหญ่กว่ากำปั้นของเขาเสียอีก และสีก็สะดุดตาอย่างมาก เหมือนเลือดไก่ที่จับตัวกันเป็นก้อน อีกทั้งสีนี้ยังไม่ทำให้คนรู้สึกมองแล้วไม่สบายตา ก้อนหินใหญ่ขนาดนี้แต่แทบไม่มีตำหนิหรือรอยปริแตกเลย เวลานี้เฉินผิงอันเดินอยู่บนชายฝั่ง มุ่งหน้าไปยังช่วงแม่น้ำถัดไป ในมือก็พลิกหินดีงูขนาดกลางสีเขียวอ่อนเล่นไปมา เมื่อเทียบกับสีเขียวต้นเหมยของเครื่องเคลือบในเมืองแล้วถือว่าอ่อนจางกว่ามาก ก้อนหินนี้กลมเกลี้ยงเรียบรื่น น่ารักมากเป็นพิเศษ เห็นครั้งแรกเฉินผิงอันก็ชอบเลย

เฉินผิงอันเดินไปยังชะง่อนหินก้อนใหญ่สีเขียวริมชายฝั่ง ในช่วงฤดูร้อนเด็กๆ ในเมืองมักจะชอบมาอาบน้ำในแม่น้ำช่วงนี้ น้ำใต้ชะง่อนหินจะลึกมากเป็นพิเศษ หลุมที่ลึกที่สุดก็เทียบเท่ากับความสูงของเฉินผิงอันสองคน เป็นจุดที่น้ำลึกที่สุดของแม่น้ำสายนี้รองลงมาจากตรงสะพาน เด็กหนุ่มที่ว่ายน้ำเก่งชอบที่จะแข่งกันตรงนี้ว่าใครดำน้ำได้นานที่สุด

ที่เฉินผิงอันเลือกหลุมลึกนี้ก็เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เขากับหลิวเสี้ยนหยางมาอาบน้ำที่นี่ พบว่าหินดีงูใต้หลุมมีเยอะมาก มีครั้งหนึ่งที่เพื่อโอ้อวดว่าตัวเองว่ายน้ำเก่งเกินใคร หลิวเสี้ยนหยางถึงขั้นจงใจเอาหินดีงูเหน็บใต้รักแร้แล้วลอยตัวขึ้นมาบนผิวน้ำ เฉินผิงอันจำได้ว่าหินก้อนนั้นอย่างน้อยก็ใหญ่เท่าศีรษะของกู้ช่าน สีของหินเป็นสีขาวโปร่งใสเล็กน้อย ด้านในมีจุดสีแดงสดอยู่เต็มไปหมดเหมือนกลีบดอกท้อที่ถูกน้ำแข็งเกาะ

ตอนนั้นหลิวเสี้ยนหยางรู้สึกว่าการทำเช่นนั้นมีความหมายอย่างมาก จึงให้เฉินผิงอันช่วยเขาแบกหินก้อนใหญ่ขนาดนั้นกลับไปที่บ้าน ผลก็คือพอไปถึงในเมือง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้กลับรู้สึกเบื่อขึ้นมาจึงให้เฉินผิงอันหาวิธีจัดการหินก้อนนั้นเอง ครั้งนั้นเฉินผิงอันเพิ่งจะเดินเข้าไปในตรอกหนีผิงก็พบว่าจื้อกุยสาวใช้ข้างบ้านอยู่ดีๆ ก็มาเดินตามอยู่ด้านหลังตนเอง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เอาแต่จ้องก้อนหินที่อยู่ในอ้อมอกเขาเขม็ง สายตาพอๆ กับทุกครั้งที่เฉินผิงอันเห็นห่อเนื้อที่ขายอยู่ในตรอกซิ่งฮวา เฉินผิงอันทนสายตาหิวโหยของนางไม่ไหวจริงๆ จึงมอบหินก้อนนั้นให้แก่นาง ผลกลับกลายเป็นว่าตอนแรกนางแบกไม่ไหวจนเกือบจะทำหล่นกระแทกเท้าตัวเอง เฉินผิงอันจึงช่วยแบกไปไว้ในลานบ้านของซ่งจี๋ซินให้ ส่วนหลังจากนั้นหินก้อนนั้นมีจุดจบอย่างไร เฉินผิงอันก็ไม่อาจรู้ได้

ก้อนหินเป็นสีขาวใสดุจน้ำ ดอกท้อผลิบานอยู่ด้านใน

เหมือนดอกท้อในตรอกเถาเย่ที่เบ่งบานสดใสหลังถูกฝนชะ

ต่อให้ก่อนจะถึงวันนี้ เฉินผิงอันจะไม่รู้ความลี้ลับของหินชนิดนี้เลย แต่ในใจเขาก็รู้สึกมาโดยตลอดว่าหินใหญ่ก้อนนั้นสวยมากจริงๆ

เฉินผิงอันถอนหายใจ พลันชะงักฝีเท้า

ห่างออกไปสามสิบก้าว บนชะง่อนหินสีเขียวริมธารน้ำมีหญิงสาวชุดเขียวคนหนึ่งนั่งอยู่ แก้มของนางโป่งพองออกมา แต่นางก็ยังไม่หยุดยัดของกินเข้าปาก

ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของเฉินผิงอันก็คือ เด็กสาวคนนี้น่าจะเป็นผีหิวโหยกลับชาติมาเกิดกระมัง ดึกดื่นค่ำคืนถึงยังดูหิวโหยจนน่าสงสารขนาดนี้

เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ไม่เดินเข้าไปใกล้อีก ด้วยกลัวว่าจะรบกวนอารมณ์ตั้งใจกินอาหารยามดึกของเด็กสาว เพียงแต่ว่าก็ไม่ได้เดินย้อนกลับ เพราะอย่างไรซะเขาก็ตัดสินใจแล้วว่าคืนนี้จะต้องไปเสี่ยงดวงในหลุมน้ำนั่นให้ได้ และแต่ละครั้งเมื่อคว้าหินมาได้ก้อนสองก้อนก็จะขึ้นฝั่ง หากหลายครั้งเข้าก็ต้องสำเร็จจนได้ อีกอย่างหินดีงูในหลุมน้ำนี้ เมื่อเทียบกับจุดอื่นๆ ของธารน้ำแล้วมีขนาดใหญ่กว่า และสีสันก็เหมือนจะสดกว่าด้วย

เฉินผิงอันไม่ได้ว่ายน้ำเก่งกว่าหลิวเสี้ยนหยาง แต่ก็ไม่ได้แย่กว่ากันสักเท่าไหร่

เฉินผิงอันคิดไม่ถึงว่าเด็กสาวแปลกหน้ากินของอย่างหนึ่งหมดไปแล้วจะยังหยิบของอีกอย่างออกมาจากข้างกายโดยไม่มีการหยุดพัก แล้วก็ไม่มีเวลาใดที่แก้มของนางจะไม่พอง เฉินผิงอันแบกหินหนักอึ้งเกินครึ่งกระบุง พอคิดว่าเดี๋ยวถ้าลงไปงมหินในน้ำยังต้องใช้กำลังกายอีก จึงเบี่ยงตัวปลดกระบุงไม้ไผ่ลงวางกับพื้น

เฉินผิงอันประเมินความสามารถในการได้ยินของเด็กสาวชุดเขียวผิดไป ผลกลับกลายเป็นว่าเขาแค่วางลงเบาๆ เด็กสาวกลับทำหูตั้ง สายตาก็ตวัดผ่านมาในเสี้ยววินาที

เฉินผิงอันไม่อาจพูดได้ว่าแม่นางเจ้าค่อยๆ กินไปเถอะ จึงได้แต่ยิ้มอย่างพิพักพิพ่วน

เด็กสาวมีสีหน้ามึนงงเล็กน้อย นางเรอติดต่อกันถึงสองครั้ง หลังจากนั้นก็เหมือนว่านางจะสำลักจึงรีบยึดอกแล้วเอามือตบลงไปอย่างแรง

เฉินผิงอันถึงได้ค้นพบว่านางอายุไม่มาก แต่ภาพที่อยู่ต่ำกว่าลำคอลงไป เรียกได้ว่าตระการตาน่ามอง ไม่แพ้สตรีออกเรือนแล้วที่เคยเลี้ยงลูกมาก่อนเลย

เพราะสาบเสื้อตรงหน้าอกของนางรัดรึงแน่นจนแทบจะปริขาด

เฉินผิงอันรีบดึงสายตากลับมา แล้วก็ไม่ได้คิดชั่วร้ายอะไรไปไกล

เด็กสาวชุดเขียวเหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเอากาน้ำมาด้วย แล้วก็ไม่ลืมที่จะเบี่ยงตัวหันหลังให้เฉินผิงอัน ก่อนจะเงยหน้ากรอกน้ำเข้าปากคำใหญ่ ถึงได้หายใจหายคอคล่องขึ้น

เด็กหนุ่มที่หิ้วรองเท้าแตะคิดง่ายๆ แค่ว่า เนื้อผ้าที่ใช้ตัดชุดของแม่นางคนนี้ต้องไม่ใช่ของถูกแน่ๆ หาไม่แล้วคงต้านทานแรงดันมากมายขนาดนั้นไม่ได้

เด็กสาวชุดเขียวยังคงกินต่อไป แต่คราวนี้กลับสำรวมมากขึ้น อย่างน้อยแก้มก็ไม่ได้พองออกมามากเหมือนเดิม เพราะนางก้มหน้ากัดแค่คำเล็กๆ บางครั้งยังปรายหางตามามองเด็กหนุ่มท่าทางประหลาด ดวงตาเรียวยาวดุจดอกท้อคู่นั้นปลายหางตาตวัดโค้งขึ้นน้อยๆ ทำให้เด็กสาวคนนี้เหมือนปีศาจจิ้งจอกตัวน้อยตัวหนึ่ง

ดูเหมือนว่านางกำลังใช้สายตาถามเด็กหนุ่มว่า เจ้ามัวยืนทำอะไรอยู่ เดินต่อไปสิ

ใบหน้าของเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความจนใจ ได้แต่ชี้ไปยังลำน้ำนอกชะง่อนหินสีเขียวพลางตะโกนว่า “ข้าไม่ได้เดินผ่านทางมา ข้าต้องการจะลงไปในน้ำตรงที่เจ้านั่งอยู่”

นางเอาแต่มองเด็กหนุ่มผอมบาง ไม่ยอมพูด

เฉินผิงอันรีบหยิบหินก้อนหนึ่งออกมาจากในกระบุงไม้ไผ่แล้วอธิบายต่อไปว่า “ข้าจะไปเก็บหินพวกนี้จากในแม่น้ำ”

ดูเหมือนว่าจู่ๆ เด็กสาวจะนึกถึงเรื่องสำคัญอะไรได้จึงเอานิ้วชี้วางทาบบนริมฝีปาก บอกเป็นนัยไม่ให้เฉินผิงอันพูด จากนั้นนางก็ย้ายตำแหน่ง เห็นได้ชัดว่าให้เฉินผิงอันเดินไป นางจะไม่ขัดขวางการลงน้ำไปเก็บหินของเขา

เฉินผิงอันได้แต่แบกกระบุงไม้ไผ่แข็งใจเดินเข้าไป ยังดีที่ชะง่อนหินสีเขียวนี้ใหญ่มาก มีที่ว่างให้คนยืนได้สิบกว่าคน อีกทั้งเด็กสาวก็เป็นฝ่ายขยับไปนั่งตรงริมขอบ เปลี่ยนท่านั่งพับเพียบเรียบร้อย ไม่ได้นั่งยืดขาสองข้างอย่างตอนแรก บนเข่าของนางวางห่อกระดาษที่เปิดอ้า ด้านในมีขนมหลากหลายสีสันและรูปแบบอยู่เต็มไปหมดจนคล้ายภูเขาลูกย่อม เท่าที่เห็นในตอนนี้ ภูเขาลูกนั้นเพิ่งจะถูกเด็กสาวกินไปได้แค่ส่วนยอดเท่านั้น

เฉินผิงอันวางรองเท้าแตะ กระบุงไม้ไผ่และข้องไม้ไผ่ลง เดิมทีคิดว่ากลางค่ำกลางคืนแบบนี้จะถอดเสื้อลงน้ำ ตอนนี้คงไม่ต้องหวังแล้ว ข้างๆ มีคุณหนูแปลกหน้านั่งอยู่ด้วย อีกอย่างยังไม่ต้องพูดว่านางจะร้องหรือไม่ หากผู้อาวุโสในตระกูลของนางมาเห็นหรือได้ยิน เฉินผิงอันคาดว่าตนคงถูกคนลากไปตัดขาสองข้างโดยที่ตัวเองร้องทุกข์ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

เฉินผิงอันเดินมาอยู่ริมชะง่อนหินแล้วพุ่งหลาวลงไป ลงน้ำได้ก็ดำดิ่งไปที่ก้นแม่น้ำทันที

ไม่นานเขาก็หยิบหินขึ้นมาได้ก้อนหนึ่ง ขนาดเท่าฝ่ามือ น่าเสียดายที่ไม่ใช่หินดีงู จึงลูบหน้าตัวเองแล้วดำลงไปอีกครั้ง พอผ่านไปได้สามครั้ง ในที่สุดก็คลำเจอหินดีงูสีดำเข้มก้อนหนึ่ง เฉินผิงอันตัวเปียกซ่กปีนขึ้นมาบนชะง่อนหิน เอาหินใส่กระบุงไม้ไผ่ จากนั้นก็พุ่งลงน้ำต่ออีกครั้ง

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เด็กสาวยังคงนั่งหันหลังให้เขา เอาแต่ยุ่งอยู่กับการกินของตัวเอง

ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เฉินผิงอันก็งมหินขึ้นมาได้เจ็ดแปดก้อน นอกจากก้อนแรกที่สีค่อนข้างเข้มแล้ว หินก้อนที่เหลือล้วนมีสีสันสดใสทั้งสิ้น

สุดท้ายที่ดำลงไปกลับไม่ได้ขึ้นฝั่งมาพร้อมก้อนหิน แต่จับปลาเป็นๆ ยาวเท่าฝ่ามือมาได้หนึ่งตัว ในเมืองเรียกมันว่าปลาแผ่นหิน พอเจอคนก็จะชอบไปซ่อนตัวอยู่ใต้ก้อนหิน รสชาติดีเยี่ยม โดยทั่วไปแล้วจะยาวแค่นิ้วมือเท่านั้น น้อยครั้งนักที่จะเจอปลาแผ่นหินตัวใหญ่เท่าที่อยู่ในมือเฉินผิงอันตอนนี้ อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่ดำลงไปใต้น้ำ เฉินผิงอันก็คลำเจอในร่องหินอยู่หลายตัว เพียงแต่ว่าตอนนั้นเอาแต่อยากจะงมหินจึงปล่อยพวกมันไป คราวนี้จู่ๆ เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าหากจับปลาได้สักสิบกว่าตัว พรุ่งนี้เอาไปตุ๋นให้แม่นางหนิงกินก็ไม่เลวเลย

พอเฉินผิงอันขึ้นมาบนฝั่งก็โยนปลาลงในกระบุง

ครั้งที่สองที่จับปลาขึ้นมาบนฝั่ง เฉินผิงอันพลันค้นพบว่าเด็กสาวคนนั้นมานั่งยองๆ อยู่ข้างกระบุง จ้องมองข้องปลาที่มีปลาตัวหนึ่งนอนอยู่อย่างโดดเดี่ยว แล้วก็มองออกว่าสีหน้าสดใสของนาง พอๆ กับสีหน้าของจื้อกุยที่เห็นหินก้อนนั้นในปีนั้น

เฉินผิงอันโยนปลาแผ่นหินตัวที่สองลงไปในตะกร้าไม้ไผ่

เด็กสาวเงยหน้าขึ้นช้าๆ

เด็กชายที่เปลือยเท้าหมุนตัววิ่งเร็วๆ แล้วกระโดดลงน้ำไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว

พอเด็กสาวได้ยินเสียงเด็กหนุ่มกระโดดลงน้ำดังตูม จึงคว้าปลาตัวหนึ่งขึ้นมาจากในตะกร้าไม้ไผ่อย่างรวดเร็ว ก้มหน้ามองพวกมันที่ยังคงดิ้นกระแด่วๆ นางก็พยักหน้ากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ร้ายกาจ ร้ายกาจ!”

เด็กสาวชุดเขียวรู้ว่าในเมืองแห่งนี้มีเรื่องประหลาดมากมาย โซ่เหล็กที่แขวนอยู่ในบ่อน้ำของตรอกที่ชื่อซิ่งฮวาไม่รู้ว่ายาวเท่าไหร่ สะพานข้ามแม่น้ำที่อยู่ห่างไปไม่ไกล แท้จริงแล้วก่อนหน้านี้คือสะพานหินโค้งที่พาดผ่านธารน้ำเล็กๆ เมื่อสามพันปีก่อน ใต้สะพานมีกระบี่เหล็กเล่มหนึ่งที่ขึ้นสนิม ปลายกระบี่ชี้ไปยังบ่อน้ำมรกตแห่งหนึ่งที่ลึกจนมองไม่เห็นก้น ซุ้มประตูก้ามปูสิบสองเสา รูปปั้นเทพเจ้าที่แตกหักกองระเกะระกะอยู่ในพุ่มไม้นอกศาลเจ้า ทางทิศเหนือมีภูเขาเครื่องเคลือบอยู่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยเครื่องเคลือบหลายยุคหลายสมัยซึ่งถูกขุนนางผู้ตรวจสอบตัดสินให้เป็นของที่ไม่สมบูรณ์แบบ จึงถูกนำมาทุบทิ้งไว้ เป็นต้น

นางยังถึงขึ้นรู้สาเหตุของเหตุการณ์เหล่านี้เกินครึ่งด้วย

นางติดตามบิดาขึ้นเหนือล่องใต้มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นนางจึงถือว่าเป็นคนที่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อนอย่างแท้จริง

แต่เมื่อเฉินผิงอันจับปลาแผ่นหินขึ้นมาบนฝั่งเป็นครั้งที่สอง เด็กสาวที่สองมือว่างเปล่ายังคงนั่งยองๆ อยู่ข้างกระบุงไม้ไผ่ เพียงแต่ว่ามือทั้งสองข้างของนางกำลังแอบเช็ดชายเสื้อ นางเงยหน้ามองเด็กหนุ่มเปลือยเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ด้วยสายตาที่ชาวบ้านใช้มองเทพเซียน

เฉินผิงอันครั่นเนื้อครั่นตัวไปกับสายตาประหลาดที่นางมองมา จึงถามหยั่งเชิง “เจ้าต้องการปลาพวกนี้หรือ?”

เด็กสาวพยักหน้ารับโดยแรง

เฉินผิงอันยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นสามตัวนี้ยกให้เจ้าก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าไปจับเอาใหม่”

เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี ประดุจนางปีศาจจิ้งจอกที่งดงามล่อลวงใจคน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!