Skip to content

Sword of Coming 291

บทที่ 291 กลบฝังลงดินอย่างสงบ

ตรงเอวของศพไร้หัวของมือกระบี่ชุดแดงมีแสงสีทองอ่อนจางเส้นหนึ่งที่ยากจะสังเกตเห็นพุ่งผ่านไป

และตรงหว่างคิ้วของศีรษะที่กลิ้งตกไปอยู่จุดอื่นก็มีเลือดสดหยดหนึ่งที่ค่อยๆ หลั่งมารวมตัวกัน

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองลู่ไถที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ ฝ่ายหลังเลิกคิ้วขึ้น ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาหมุนเบาๆ มีวัตถุน้อยสีทอง ‘เส้นหนึ่ง’ ล้อมวนอยู่รอบนิ้วของลู่ไถอย่างเชื่องช้า หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันสายตาดีมากก็คงไม่สังเกตเห็น

ชุดคลุมอาคมสีทอง ‘จินหลี่’ บนร่างของเฉินผิงอันที่เพิ่งจะ ‘เผยโฉมหน้าแท้จริง’ ตรงไหล่ที่ฉีกขาดเพราะแสงกระบี่ของอาจารย์กระบี่ได้ซ่อมแซมตัวเองจนไร้ความเสียหายนานแล้ว

วัตถุที่เซียนห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งทิ้งไว้ถูกเจียวเฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดเอาไปสวมใส่ตลอดทั้งปี ย่อมไม่ใช่ชุดคลุมอาคมธรรมดา ‘ป่าไผ่หมึก’ ชุดคลุมอาคมที่ข้ารับใช้ขอบเขตก่อกำเนิดบนเกาะกุ้ยฮวาสวมใส่ก็ยังเป็นรองเสื้อจินหลี่ชิ้นนี้อยู่ไม่น้อย

มันเหมือนสาวงามที่ออกมาให้คนเห็นแค่แวบเดียวก็หลบเร้นไปซ่อนตัวอยู่หลังฉากบังลม อำพรางรูปโฉมที่งามเลิศล้ำของตัวเองเอาไว้ ดังนั้นเวลานี้เฉินผิงอันจึงเปลี่ยนกลับไปสวมชุดคลุมสีขาวอีกครั้ง

ยันต์บ่อแห้งสองแผ่นระเบิดโพล๊ะอยู่กลางอากาศ

ชูอีกับสืออู่กระบี่บินสองเล่มจึงหลุดพ้นจากพันธนาการมาได้

เฉินผิงอันสามารถสัมผัสได้ถึงความแค้นเคืองของชูอีอย่างชัดเจน นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะขนาดสืออู่ที่มีนิสัยอ่อนโยนว่าง่าย อารมณ์ที่ถ่ายทอดมาให้เขาจากจิตที่เชื่อมโยงกันก็ยังเต็มไปด้วยไฟโทสะ

เฉินผิงอันจึงได้แต่พูดในใจว่า “พวกเจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน ไม่แน่ว่าศัตรูอาจมีแผนอื่นไว้รอรับมือ”

กระบี่บินชูอีพุ่งไปพุ่งมาอยู่กลางอากาศอย่างกำเริบเสิบสาน พาให้เกิดรุ้งกระบี่สีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าที่ชวนให้คนมองอกสั่นขวัญผวา

กระบี่บินสืออู่สีเขียวไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด มันบินวนรอบตัวเฉินผิงอันอย่างเชื่องช้าด้วยความฉงนสนเท่ห์

แน่นอนว่าพวกมันคือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่โดดเด่นเป็นอันดับต้นๆ ของโลกใบนี้

แต่พวกมันกลับไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอัน

ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความสัมพันธ์เหมือนกษัตริย์กับขุนนาง หรือนายกับบ่าว แต่เหมือนเฉินผิงอันพาเด็กน้อยที่เพิ่งรู้ประสาสองคน คนหนึ่งนิสัยเอาแต่ใจ อีกคนหนึ่งอ่อนโยนว่าง่ายออกมาเที่ยวก็เท่านั้น

แต่เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ไม่เลว

บรรยากาศในผืนป่าหนักอึ้งและแปลกประหลาด

มือกระบี่ชุดแดงที่เป็นดั่งเสาค้ำมหาสมุทรได้ตายไปแล้ว ตายอย่างรวดเร็วฉับไวไม่มีอืดอาด หากไม่เป็นเพราะจำแลงกายเป็นสายรุ้งพุ่งมาอย่างเหี้ยมหาญ หลังจากนั้นก็จ้วงกระบี่แทงไปที่หว่างคิ้วของฝ่ายตรงข้ามอย่างสง่างาม ทุกคนคงเข้าใจผิดคิดว่าไอ้หมอนี่คือนักต้มตุ๋นในยุทธภพที่สร้างชื่อเสียงหลอกลวงคนไปทั่วแล้ว

ดวงตาสีเงินของชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่อัญเชิญเทพเข้าสิงร่างเริ่มหม่นแสง จนกระทั่งกลับคืนมาเป็นปกติ

ก่อนหน้านี้คนผู้นี้มีพลังอำนาจน่ากริ่งเกรงมากที่สุด โดดเด่นอย่างที่ใครก็มิอาจทัดเทียม แต่เวลานี้เขากลับหน้าขาวซีด ริมฝีปากสั่นระริก ทำท่าอยากจะพูดแต่พูดไม่ออก ดูแล้วน่าสงสารยิ่ง

เขาชำเลืองตามองแส้สองชิ้นที่อยู่ห่างไปไกล แต่ความกล้าที่จะขยับออกจากที่ยังไม่มี ไหนเลยจะกล้าไปหยิบมันมา กลัวยิ่งนักว่านาทีถัดมาตัวเองจะถูกกระบี่บินแทงทะลุหัวใจ

สีหน้าของอาจารย์กระบี่วัยกลางคนเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน ในใจเริ่มคิดจะถอยแล้ว

มือทั้งสองข้างของเขาห้อยตกแนบลำตัว แสงสว่างที่อัดเต็มชายแขนเสื้อก่อนหน้านี้ไม่เหลือภาพปรากฎการณ์พิเศษอีก

มีเพียงกระบี่เล่มเล็กเหมือนใบหลิ่วที่ใช้ปิ่นหยกแทนฝักกระบี่ซึ่งตอนนี้ลอยอยู่เหนือไหล่ของเขาเท่านั้นที่คล้ายสุนัขเฝ้าประตูผู้ซื่อสัตย์ คอยปกป้องเจ้านาย

การล้อมโจมตีครั้งนี้ที่เดิมทีนึกว่าไม่ต่างจากการเที่ยวเล่นชานเมืองในฤดูใบไม้ร่วงกลับกลายเป็นสภาพอเนจอนาถที่คนบาดเจ็บและล้มตายอย่างดาษดื่น

ส่วนคนหนุ่มต่างถิ่นสองคนนั้น คนหนึ่งพลังการต่อสู้ไม่ถดถอย อีกคนที่อยู่บนต้นไม้ก็ยิ่งไร้ร่องรอยบาดเจ็บเสียหาย

นาทีนี้ความหวาดกลัวที่มีต่อตระกูลเซียนบนภูเขาแผ่ขึ้นมาปกคลุมจิตใจของเหล่าผู้ฝึกตนอิสระที่พอจะสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ตามใจชอบในถิ่นของตัวเองอีกครั้ง

อาจารย์คุมทัพหมดอาลัยตายอยาก ขาดอีกแค่นิดเดียวค่ายกลก็จะจัดวางได้สำเร็จ ผลกลับกลายเป็นว่าถูกเจ้าปรมาจารย์กระบี่ที่สมควรโดนแทงพันครั้งคนนั้นทำลายจนสิ้น

ขโมยไก่ไม่สำเร็จต้องเสียข้าวสารอีกหนึ่งกำมือ ศิษย์ที่ภาคภูมิใจสองคนต้องมาตายคาที่ เด็กดวงซวยสองคนนั้นไม่ได้มีพรสวรรค์เลิศล้ำ แต่เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เรียกใช้ได้ดังใจต้องการทุกเรื่อง

อาจารย์คุมทัพควักไข่มุกวิเศษที่เก็บใส่ชายแขนเสื้อไปแล้วออกมาอีกครั้ง ทยอยจัดวางค่ายกล ค่ายกลเล็กๆ จึงรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกลใหญ่คุ้มกันกาย

ตั้งมั่นพร้อมรับมือกับศัตรู

ผู้ฝึกลมปราณที่ฝึกวิชาไม้ของห้าธาตุเงียบงันอยู่ตลอดเวลา

ผู้ฝึกลมปราณที่ได้ทั้งรุกและรับอย่างเขา นอกจากสามารถย้ายภูเขาถอนต้นไม้แล้ว ยังสามารถเลี้ยงบุปผาและแมลง เลี้ยงภูตพืชหญ้าให้เป็นประหนึ่งกำลังเสริมในสนามรบ นอกจากนี้ก็ยังเชี่ยวชาญวิชาด้านการรักษาบาดแผลและถอนพิษ พวกเขามักจะเป็นผู้ฝึกลมปราณที่ไม่สามารถตัดสินสถานการณ์ในการต่อสู้ได้ แต่กลับเป็นที่ยอมรับของผู้คน

หากสามารถเลือกสหายร่วมเดินทางได้สามคน ถ้าเช่นนั้นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังพิฆาตรุนแรงที่สุด อยู่ยงคงกระพันมากที่สุด ผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่ฆ่าไม่ตาย บวกกับปรมาจารย์โอสถสำนักกสิกรรม ลูกศิษย์พรรคโอสถนอกของลัทธิเต๋า หรือผู้ฝึกลมปราณวิชาไม้ ก็เรียกได้ว่าเป็นการรวมกลุ่มที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการออกหาประสบการณ์ทั่วทิศ บุกตะลุยทั่วใต้หล้าอย่างที่แทบไม่มีอะไรมาทัดเทียมได้

ไม่มีใครเต็มใจเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน

ต่างคนต่างก็มีความคิดต่างกันไป

เฉินผิงอันคว้าจับปลายกระบี่ยาวที่มือกระบี่ชุดแดงทิ้งไว้ ก้มหน้าลงมองสำรวจ

ตัวกระบี่เหมือนน้ำใสสะอาดที่พอแสงอาทิตย์ส่องลอดผ่านแมกไม้ลงไปก็เกิดเป็นประกายน้ำระยิบระยับ

ต้องเป็นกระบี่ที่ดีเล่มหนึ่งอย่างแน่นอน

แค่ไม่รู้ว่ามีค่ามากเท่าไหร่

ผู้ฝึกตนลัทธิมารคือคนเดียวที่มีการกระทำที่ใจกล้ามากที่สุด เขาแอบเอื้อมมือไปด้านหลังอย่างลับๆ ล่อๆ กลางฝ่ามือประคองขวดกระเบื้องสีเงินใบหนึ่งที่สูงหนึ่งฉื่อ ปากแคบร่างใหญ่ พื้นผิวภายนอกของขวดกระเบื้องมีใบหน้าดุร้ายว่ายวนไปมา ราวกับนี่คือคุกกักขังวิญญาณที่ทารุณแห่งหนึ่ง

คนผู้นี้ท่องคาถาเงียบๆ หมายจะใช้อาวุธวิเศษที่อยู่ในมือแอบเก็บเอาดวงวิญญาณของมือกระบี่ที่ตายไปมาไว้ นี่คือโอกาสหายากที่พันปีกว่าจะได้พานพบ หากทำสำเร็จ พลังของตนจะเพิ่มพูนขึ้น ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตหกขั้นสูงสุดคนหนึ่ง ระดับความหนาข้นของดวงวิญญาณนั้น ขอแค่มานำมาหลอมเป็นทหารหยินแม่ทัพหยินตนหนึ่งได้สำเร็จ เลี้ยงบำรุงอย่างเหมาะสม จากนั้นก็นำไปปล่อยไว้ที่สุสานไร้ญาติหรือไม่ก็สมรภูมิรบโบราณ ปล่อยให้มันดูดซับปราณหยินที่อึมครึมเยือกเย็นมาอย่างต่อเนื่อง ไม่แน่ว่าอาจสามารถกลับคืนสู่ขอบเขตหก หรือถึงขั้นมีหวังที่จะสร้างวิญญาณวีรบุรุษตนหนึ่งขึ้นมาได้

ถึงเวลานั้นตนยังจะต้องคอยมองสีหน้าของคนอื่นอีกหรือ?

เกรงว่าพวกจักรพรรดิของแคว้นเล็กๆ ต่างหากที่ต้องคอยมองสีหน้าของตน

ลู่ไถมองการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของผู้ฝึกตนลัทธิมารคนนั้นออกในทันที จึงคำรามอย่างเดือดดาล “กล้าขโมยของใต้เปลือกตาข้าเชียวรึ?!”

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่มีขนาดใหญ่มหึมาเกินจะเปรียบ แต่กลับมีชื่อว่า ‘เจินเจียน’ (ปลายเข็ม) มาปรากฎอยู่กลางอากาศเหนือศีรษะของผู้ฝึกตนลัทธิมารแล้วพุ่งดิ่งลงมา

ผู้ฝึกตนลัทธิมารรีบเผ่นหนีเป็นพัลวัน ขณะเดียวกันก็เก็บขวดกระเบื้องสีเงินที่เป็นสมบัติตกทอดจากตระกูลชิ้นนั้นลงไป จำต้องล้มเลิกความคิดที่จะเก็บดวงวิญญาณมา ใช้วัตถุหยินที่รวบรวมไว้ในหม้อดินเผาสีดำมาต้านทานการไล่ฆ่าที่น่ากลัวของกระบี่บินเล่มนั้น แต่ไม่ว่าผู้ฝึกตนลัทธิมารจะหลบเลี่ยงเบี่ยงหนีอย่างไร กระบี่บินเจินเจียนก็ยังคงตามติดเหมือนดั่งเงา

การล้อมโจมตีในครั้งนี้ ถ้าหากนับรวมหม่าว่านฝ่าที่เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง และถ้าหากค่ายกลของอาจารย์คุมทัพถูกจัดวางได้สำเร็จ รวมไปถึงถ้าหากมือกระบี่ชุดแดงไม่ได้ตายคาที่ เมื่อมวลชนสมัครสมานสามัคคีย่อมแข็งแกร่งดุจกำแพงเมือง ถ้าอย่างนั้นการรับมือกับผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองย่อมเหลือเฟือ ถ้าหากทุกคนไม่กลัวตาย เกรงว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองสองคน มาเจอกับพวกเขาก็ไม่มีทางได้เปรียบแม้แต่น้อย

เพียงแต่บนโลกนี้ไม่มีคำว่าถ้าหากมากมายขนาดนั้น

ถอยไปพูดหนึ่งก้าว คนกลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันด้วยผลประโยชน์ เมื่อเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ละคนย่อมดุดันเหมือนพยัคฆ์ แต่หากเสียเปรียบเมื่อไหร่ จิตใจคนก็แตกซ่าน กลายเป็นพวกหัวมังกุท้ายมังกร

ชายฉกรรจ์ที่เป็นม้าตีนปลายแล้วพลันมีสีหน้าตกตะลึงระคนยินดี รีบตะโกนเสียงดังว่า “นายท่านบ้านข้าบอกแล้วว่าอีกไม่นานเขาจะมาถึง จะรับมือกับสองคนนี้ด้วยตัวเอง! ทุกท่าน นอกจาก ‘ชือซิน’ (จิตที่หลงใหล) ซึ่งเป็นกระบี่พกประจำกายของโต้วจื่อจือแล้ว วัตถุฟางชุ่นชิ้นที่เดิมทีรับปากว่าจะมอบให้โต้วจื่อจือ บวกกับทรัพย์สมบัติส่วนตัวของโต้วจื่อจือ ล้วนจะนำมามอบให้เป็นส่วนแบ่งทุกท่าน!”

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำแผดเสียงด้วยความตื่นเต้นถึงขีดสุด “แสวงหาความร่ำรวยท่ามกลางอันตราย จะกลับไปเป็นหนูที่ขุดรูอยู่ หรือจะกลับไปเป็นคนที่มีคุณสมบัติได้นั่งทัดเทียมกับคนบนภูเขา ก็อยู่ที่การตัดสินใจในครั้งนี้แล้ว!”

อาจารย์กระบี่วัยกลางคนสีหน้าเย็นชา แผ่ปราณสังหารท่วมท้น พูดเสียงหนักว่า “ข้าเห็นด้วย เจ้าเด็กสองคนนี้สมควรตาย!”

จากนั้นเขาก็บิดข้อมือหนึ่งครั้ง แสงสีเขียวปรากฏขึ้นในชายแขนเสื้อ ตั้งท่าพร้อมรับมือ

อาจารย์คุมทัพยิ้มบางๆ “ค่ายกลย้ายภูเขาใกล้จะสำเร็จแล้ว สามารถต่อสู้ได้ แค่ช่วยถ่วงเวลาให้ข้าสักพักหนึ่ง อย่างมากสุดคือครึ่งก้านธูป!”

นักพรตลัทธิมารที่ถูกกระบี่บินไล่ฆ่าจนหัวหูยุ่งเหยิง หน้าตามอมแมมตะโกนขึ้นว่า “รวมข้าไปด้วยอีกคน! ตกลงกันก่อนว่า นอกจากแบ่งผลกำไรกันใหม่แล้ว ข้าผู้อาวุโสยังต้องการวิญญาณของตาเฒ่าโต้วด้วย ใครก็อย่าคิดจะมาแย่งกับข้า!”

ผู้ฝึกลมปราณวิชาไม้ทำเพียงแค่พยักหน้ารับ ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง ยื่นมือไปกระชากแส้เหล็กสองเส้นมาไว้ในมือ แล้วเดินอาดๆ เข้าหาเฉินผิงอันก่อนใคร

ก่อนหน้านี้นายท่านของเขาส่งข้อความเสียงอย่างลับๆ มาบอกว่าจะเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเอง ต้องสังหารแพะอ้วนสองตัวนี้ให้จงได้

จากนั้นแทบจะเวลาเดียวกัน อาจารย์กระบี่วัยกลางคนก็โบกชายแขนเสื้อ แล้วหมุนตัวเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว

อาจารย์คุมทัพใช้ยันต์ย่อพื้นที่ แถมยังไม่ใช่แค่แผ่นเดียว ทุกครั้งร่างของเขาจะไปปรากฏตัวอยู่ไกลสิบกว่าจั้ง กะพริบตาไม่กี่ครั้งร่างก็ผลุบหายเข้าไปในผืนป่า แล้วก็ไม่เห็นแม้เงา

ผู้ฝึกลมปราณวิชาไม้ดีดปลายเท้าเอนตัวไปด้านหลัง ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ว่าร่างของเขาชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แต่จู่ๆ กลับหายวับไป

มีเพียงผู้ฝึกตนลัทธิมารคนนั้นที่ยังวิ่งเข้าหาเฉินผิงอัน

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำอึ้งงันอยู่กับที่ สบถว่ามารดามันเถอะหนึ่งคำ แล้วก็ไม่กล้าขยับเดินหน้าพาตัวไปตายอีก

ความสามารถเล็กน้อยของตนจะเพียงพอได้อย่างไร

ที่เขาทำเช่นนี้ก็แค่โยนอิฐล่อให้หยกออกมาเท่านั้น (อุปมาว่าใช้ความคิดเห็นที่ตื้นๆ เพื่อล่อให้คนอื่นแสดงความคิดเห็นที่ลึกซึ้งและเฉียบแหลมออกมา)

เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปก่อน แต่แล้วก็โล่งใจ นี่ต่างหากถึงจะสมเหตุสมผล

และตนก็ได้เรียนรู้เพิ่มมากขึ้นอีกนิด

ลู่ไถสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “ผู้บงการคนนั้นเพิ่งจะหนีไป ข้าจะไล่ตามเขาไป ทางฝั่งนี้เจ้าน่าจะรับมือได้ อีกเดี๋ยวข้าก็กลับมา”

ลู่ไถเก็บกระบี่บินเจินเจียนที่รูปร่างไม่สมชื่อเล่มนั้นลงไปก่อน

ตรงข้อมือทั้งสองและข้อเท้าทั้งสองของเขาต่างก็มีภาพดอกบัวตูมสีม่วงทองรอเบ่งบานปรากฎขึ้น

ลู่ไถเอ่ยเสียงเบา “ดอกไม้ผลิบาน”

ดอกบัวสีม่วงทองสี่ดอกที่มีชีวิตชีวาเสมือนจริงพลันเบ่งบานทันใด

ลู่ไถกัดฟัน กระโดดขึ้นสูง จากนั้นก็ทะยานลมจากไปไกล

ร่างของเขาโน้มไปด้านหน้า หรี่ตามองไปทิศไกล ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่พองโป่ง สะบัดส่งเสียงดังพึ่บพั่บ เส้นผมตรงจอนหูปลิวไสวยุ่งเหยิง

เขาเหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นก็เล็งไปยังตำแหน่งหนึ่งแล้วพุ่งตัวไป

ผู้ฝึกตนลัทธิมารกลืนน้ำลายลงคอ มือหนึ่งถือหม้อดินเผาที่บรรจุวิญญาณร้ายไว้จนเต็ม อีกมือหนึ่งกลับทำมือเป็นท่าคารวะของหลวงจีน ยิ้มประจบพูดว่า “คุณชายเซียนกระบี่ท่านนี้ ครั้งนี้เป็นข้าที่ล่วงเกินท่าน เสียมารยาทแล้วๆ คราวหน้าที่พบเจอกันข้าจะต้องเป็นฝ่ายหลบลี้หนีห่างให้ไกลแน่นอน หากถึงเวลานั้นคุณชายมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อะไรจะมอบหมายให้กับข้าน้อย ข้าจะไม่มีทางปฏิเสธแน่”

ระหว่างที่พูดผู้ฝึกตนลัทธิมารก็คอยสังเกตสีหน้าและท่าทางของเด็กหนุ่มชุดขาวอยู่ตลอดเวลา ร่างถอยกรูดไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว

คนผู้นี้ก็เป็นคนที่เด็ดขาดมากเหมือนกัน ก่อนจะเผ่นหนีไปจึงบีบหม้อดินเผาสีดำที่เลี้ยงวิญญาณใบนั้นให้แหลกละเอียด ควันดำพลันแผ่ตลบอบอวล

จิ้งจกหางขาด (กล่าวถึงจิ้งจกเวลาที่เจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าจะกัดหางตัวเองให้ขาดแล้วหนีไป หางที่ขาดยังขยับได้อยู่ จึงเป็นการดึงดูดความสนใจของศัตรู ส่วนมันก็ฉวยโอกาสนี้หนีเอาตัวรอด)

แสงสีทองเล็กบางเส้นหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางควันดำที่กลิ้งหลุนๆ สามารถมองเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าควันที่มืดทะมึนดุจน้ำหมึกเหนียวข้นสลายหายไปอย่างรวดเร็ว

แต่กว่าที่ควันสกปรกเหล่านี้จะสลายหายไปอย่างสิ้นเชิงได้นั้นยังต้องใช้เวลาอีกครู่หนึ่ง

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว เดินไปข้างหน้าหลายก้าว ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนยอดบนสุดของต้นไม้ใหญ่

เรือนกายของคนผู้หนึ่งพลันกลายเป็นควันสีเทาบางเบาเผ่นหนีไปไกลในผืนป่าอย่างรวดเร็ว

ชูอีไล่ตามไปด้วยตัวเองก่อนแล้ว

จิตของเฉินผิงอันเคลื่อนไหวเล็กน้อย สืออู่จึงไล่ตามไปติดๆ

เฉินผิงอันพลิ้วกายกลับลงมาบนพื้น ก่อนจะสัมผัสกับพื้นดิน เขาพลิกหมุนข้อมืออยู่กลางอากาศ สลับด้านถือกระบี่ตระกูลเซียนของโต้วจื่อจือมือกระบี่ชุดแดงด้วยท่าจับกระบี่ปกติ

แม้ว่ามันจะหนักกกว่ากระบี่ไม้ไหวไม่น้อย แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่าเบาเกินไป

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางที่ลู่ไถหายตัวไปก่อนหน้านี้ สุดท้ายก้มหน้าลงมองแส้เหล็กในมือแล้วยิ้มขื่น

ในใจรู้ดีว่าวันนี้ต้องตายอย่างแน่นอน

ความอาฆาต ผิดหวัง เจ็บแค้นล้วนมีครบหมด พวกมันทยอยกันลอยขึ้นมาในใจ ก่อนจะทยอยกันเจือจางหายไป

ชาตินี้มีชีวิตอย่างอัดอั้นน่าสมเพช แต่ตอนจะตายได้ตายอย่างผู้กล้ากับเขาสักครั้ง

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำขว้างแส้เหล็กลงบนพื้นอย่างแรง เริ่มอัญเชิญเทพลงมาเป็นครั้งที่สาม ชายฉกรรจ์กระทืบเท้าหนักๆ มือทั้งคู่ประกบเข้าหากัน ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ใบหน้าซีดขาว หัวเราะเสียงดังอย่างสาสมใจ “กล้ารออีกสักครู่ ให้ข้ารบอย่างเต็มคราบอีกสักครั้งหรือไม่?!”

เฉินผิงอันขว้างกระบี่ ‘ชือซิน’ เล่มนั้นออกไป

มันแทงทะลุผ่านหัวใจของชายฉกรรจ์ร่างกำยำไปโดยตรง

กระบี่ยาวปักตรึงอยู่บนลำต้นของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

หลังจากทะลุผ่านหัวใจของชายฉกรรจ์ได้สำเร็จ เฉินผิงอันก็เห็นได้ชัดเจนว่าตัวของกระบี่มีแสงสีแดงเปล่งวาบผ่านไป ประหนึ่งคนหิวโหยได้กินอาหารอิ่มหนึ่งมื้อ เสมือนผีขี้เหล้าที่ได้กินดื่มอย่างเต็มคราบ

เฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าจะหาท่าเรือตระกูลเซียนหรือไม่ก็ร้านค้าเทพเซียนบนภูเขาร้านหนึ่งแล้วขายกระบี่เล่มนี้ออกไป

แสงสีทองพร่างพราวเส้นนั้นยังคงสลายควันดำอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

ไม่เสียแรงที่เป็นสมบัติอาคมชั้นยอดที่สร้างมาจากหนวดยาวของเจียวเฒ่า

แค่หนวดสองเส้นก็มีพลานุภาพยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าแส้ปัดฝุ่นของเจียวหลงเจินจวินที่อยู่บนภูเขาห้อยหัวควรจะมีอานุภาพไร้เทียมทานสักแค่ไหน

เฉินผิงอันหยุดความคิดทั้งหมดลง ลังเลอยู่ชั่วขณะก็เก็บกระบี่ยาวกลับมา หยิบกิ่งไม้ที่ใหญ่เท่าแขนขึ้นมาหนึ่งกิ่ง ใช้กระบี่เหลามันให้แหลม จากนั้นก็เริ่มขุดหลุมใหญ่หลายหลุมอย่างเงียบเชียบ นำศพของมือกระบี่ชุดแดง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำและลูกศิษย์สองคนของอาจารย์คุมทัพฝังลงดิน สุดท้ายเอาดินกลบหลุม พยายามปกปิดร่องรอยให้แนบเนียนมากที่สุด คนที่เดินทางผ่านมาทางนี้จะได้ไม่พบเบาะแสอย่างง่ายดาย

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนกิ่งไม้สูง รอคอยให้ชูอี สืออู่และลู่ไถกลับมาอย่างอดทน

วางฝักกระบี่ ‘ชือซิน’ ที่เพิ่มขึ้นมาเล่มนั้นพาดขวางไว้บนหัวเข่า

ห่างออกไปไกล ควันดำวิญญาณหยินโรมรันอยู่กับแสงสีทองอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องถอยร่นไม่ขาดระยะ เพราะถึงแม้จะสูญเสียสติปัญญาไปนานแล้ว แต่สัญชาติญาณรักตัวกลัวตายนั้น ต่อให้เป็นวัตถุหยินที่ตายไปแล้วก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ทันใดนั้นก็มีควันดำที่ซัดตลบกลุ่มใหญ่เตรียมจะหนีเข้าไปในป่าลึก

เฉินผิงอันพลันนึกขึ้นมาได้ว่าห่างไปไกลยังมีคฤหาสน์อยู่อีกหลังหนึ่ง

หากเป็นคนในยุทธภพที่ไม่คุ้นเคยกับเวทคาถา เกรงว่าคงปล่อยให้คนอื่นโดนร่างแหเดือดร้อนไปด้วยนานแล้ว

เฉินผิงอันถือกระบี่ลุกขึ้นยืน เขากวาดตามองไปรอบๆ ก่อน หลังจากแน่ใจว่าไม่มีความผิดปกติแล้วถึงได้กรอกจิตและปณิธานลงไปในเสื้อคลุมอาคมจินหลี่ พริบตาเดียวกายธรรมมายาสูงจิบกว่าจั้งที่โฉมหน้าพร่าเลือน แต่ส่องแสงสีทองอร่ามจับตาก็ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน มายืนขวางอยู่เบื้องหน้าควันดำกลุ่มนั้นพอดี สะบัดแขนเสื้อกว้างใหญ่หนึ่งครั้ง วิญญาณหยินพวกนั้นก็ถูกหอบเข้ามาในชายแขนเสื้อ วิญญาณหยินเหมือนเข้าไปในบ่อสายฟ้า ส่งเสียงซี่ๆ เพียงไม่นานก็ระเหยเป็นไอลอยหายไป

เฉินผิงอันกลับไปนั่งที่เดิม สีหน้าซีดขาว ปวดหัวราวศีรษะจะระเบิดแตก

ครั้งนี้เผยอานุภาพของชุดคลุมอาคมจินหลี่อย่างไม่กักเก็บพลังเอาไว้ เผาผลาญลมปราณที่แท้จริงของเขาไปหนึ่งเฮือกเต็มๆ อีกทั้งยังมีวี่แววว่ายากจะยืนหยัดได้ต่อด้วย

หากต่อสู้อยู่กับคนอื่น ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ ก็ไม่ควรใช้วิธีนี้ง่ายๆ โดยเด็ดขาด เพราะถ้าอีกฝ่ายมีความสามารถในการปกป้องชีวิตที่เหนือความคาดฝัน นั่นก็เท่ากับว่าเฉินผิงอันใช้สองมือประคองศีรษะของตัวเองส่งไปให้อีกฝ่าย

แต่บอกตามตรง ความรู้สึกที่จิตวิญญาณล่องลอยออกไปจากร่างนั้นช่างมหัศจรรย์จริงๆ

อยู่ที่สูงหลุบตามองต่ำมายังภูเขาและแม่น้ำ

เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาลูบชุดคลุมอาคมสีทองเบาๆ เนื้อสัมผัสนิ่มละเอียดเย็นฉ่ำ ผ่านการเข่นฆ่าสังหารครั้งใหญ่ที่ต้องอกสั่นขวัญหายอยู่ตลอดเวลา แทบจะเผาผลาญพลังใจจนหมดสิ้น ตอนนี้เฉินผิงอันจึงรู้สึกง่วงเล็กน้อย เขาเอนหลังพิงลำต้นไม้ใหญ่ เริ่มหลับตาทำสมาธิ

ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันก็ทำจิตใจให้สงบนิ่ง ลมหายใจกลับมาราบรื่นได้อีกครั้ง

บนข้อมือของเฉินผิงอันมีเชือกสีทองเส้นหนึ่งที่หลอมมาจากเชือกพันธนาการปีศาจผูกไว้

เพียงไม่นานก็มีแสงสีขาวสว่างจ้าและสีเขียวสดปลั่งบินพรวดกลับมา รวดเร็วราวสายฟ้าแลบ แม้ว่ากระบี่บินทั้งสองเล่มจะเล็กบางอย่างถึงที่สุด แต่ริ้วแสงสองเส้นยาวสิบกว่าจั้งที่ถูกลากมาตามหลังพวกมันกลับสะดุดตาอย่างยิ่ง แล้วแสงทั้งสองก็พากันผลุบหายเข้าไปในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่

สัมผัสถึงความรู้สึกของพวกมันที่ส่งผ่านมาจากในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่

น่าจะสังหารศัตรูได้อย่างราบรื่น

เฉินผิงอันจึงวางใจลงได้

นี่เป็นครั้งแรกที่ชูอีกับสืออู่ออกห่างจากเฉินผิงอันไปไกลขนาดนี้

แต่นี่ก็ทำให้เขาได้ข้อสรุปอย่างหนึ่ง นั่นคือความสามารถในการเข่นฆ่าศัตรูของผู้ฝึกตนอิสระอาจจะเทียบกับลูกศิษย์ตระกูลเซียนบนภูเขาไม่ได้เสมอไป แต่เรื่องการเผ่นหนีเอาชีวิตรอดนั้นกลับเชี่ยวชาญกันทุกคน

ตนก็เป็นแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?

ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ เฉินผิงอันจึงเริ่มนั่งฝึกท่าเจี้ยนหลู

สะพายกระบี่คือการฝึกตน สวมใส่อาภรณ์ก็คือการฝึกตน

ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่เคยติดตามเซียนท่านหนึ่งนานร้อยปีหรืออาจถึงพันปี สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้วคือถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่สามารถรวบรวมปราณวิญญาณได้

แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งแล้ว จินหลี่ย่อมเป็นยันต์คุ้มกันกายที่หาได้ยากยิ่ง แต่ก็มีความยุ่งยากเล็กๆ นั่นคือจำเป็นต้องคอยต้านทานปราณวิญญาณที่หลั่งไหลเข้าหาจินหลี่อย่างต่อเนื่อง อย่างไรซะผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวก็ต้องสลายปราณวิญญาณทั้งหมดในช่องโพรงลมปราณตั้งแต่แรกอย่างเด็ดเดี่ยว ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ถึงจะถือว่าเดินขึ้นไปบนเส้นทางของวิถีวรยุทธ์อย่างแท้จริง

อยู่ที่ภูเขาห้อยหัว เนื่องจากปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้น การต้านทานจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก ออกจากปลาวาฬกลืนสมบัติ เดินทางอยู่ในป่าเขาจึงผ่อนคลายขึ้นเยอะมาก เพราะถึงอย่างไรป่าเขาทั่วไปก็มีปราณวิญญาณเบาบางซึ่งสามารถมองข้ามไปได้

เฉินผิงอันรอมาเกือบหนึ่งชั่วยาม ลู่ไถที่เดินอาดๆ อยู่บนทางภูเขาถึงได้รีบเร่งรุดกลับมาหาเฉินผิงอัน ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยฝุ่นมอมแมม ยังดีที่ไม่มีรอยเลือด

อีกอย่างดูจากท่าทางแล้วเหมือนคนที่ได้ผลเก็บเกี่ยวกลับมาเต็มไม้เต็มมือ

เขาเดินมาทางต้นไม้ใหญ่ที่เฉินผิงอันอยู่พลางเก็บธงค่ายกลมากมายที่อาจารย์คุมทัพจัดวางไว้รอบด้านเข้าชายแขนเสื้อไปด้วย ลู่ไถเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้านี่มีจิตใจดุจพระโพธิสัตว์จริงๆ ทำไมไม่ปล่อยให้ศพพวกนั้นตากแดดแห้งเหี่ยว ปล่อยให้สัตว์ป่ากัดแทะ นกกาจิกกินไปเล่า นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดจบที่พวกเขาสมควรได้รับ เจ้าจะสงสารคนพวกนี้ไปทำไม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ได้สงสารพวกเขา ข้าแค่สนใจเรื่องที่ว่า ‘คนตายสำคัญกว่า ฝังกลบลงดินเพื่อความสงบ’ เท่านั้น”

ลู่ไถส่ายหน้า คร้านจะคิดให้มากความ แต่แล้วจู่ๆ ก็หมุนตัวกลับวิ่งไปยัง ‘หลุมฝังศพ’ ที่มีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นมากที่สุด ถามตำแหน่งหลุมศพของคนเหล่านั้นคร่าวๆ จากนั้นลู่ไถก็สาบถสาบานว่า อีกเดี๋ยวจะเติมดินกลับให้ดีดังเดิม ไม่รอให้เฉินผิงอันตอบรับ ลู่ไถก็ฟาดฝ่ามือลงไปหนึ่งครั้ง ฝุ่นผงคละคลุ้ง แล้วเขาก็วิ่งเข้าไปเริ่มทำการพลิกค้นศพ แม้แต่ลูกศิษย์สองคนของอาจารย์คุมทัพเขาก็ไม่ละเว้น ยากจะจินตนาการได้ว่าคนที่ชอบผัดแป้งแต่งหน้าอย่างเจ้าหมอนี่จะขุดหลุมศพได้คล่องแคล่วถึงเพียงนี้ แถมยังไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเลยแม้แต่น้อย

เลี่ยงไม่ได้ที่บนร่างของลู่ไถจะเปรอะเปื้อนเลือดและคราบดิน เพียงแต่ว่าพอสมบัติอาคมที่เป็นเชือกห้าสีเส้นนั้นล้อมพันข้อมือ แค่ไม่นานทั่วร่างของเขาก็ถูกจัดการเสียจนสะอาดเอี่ยม สมบัติอาคมของตระกูลเซียนมีความมหัศจรรย์มากมายจนน่าเหลือเชื่ออย่างนี้เอง

ลู่ไถที่อยู่ตรงนั้นบ่นพึมพำกับตัวเอง “จะดีจะชั่วก็เป็นถึงปรมาจารย์ท่านหนึ่งในยุทธภพ แต่เจ้ามันเป็นผีอนาถาจริงๆ ! ดูสิเนี่ย ในวัตถุฟางชุ่นของหม่าว่านฝ่ามีแต่ภูเขาเงินภูเขาทอง หันกลับมามองเจ้า เจ้าควรอับอายจนกลับมามีชีวิตแล้วก็ตายซ้ำอีกครั้งซะจริง”

“เฮ้อ ข้าก็ไม่ได้อยากตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เมื่อเทียบกับเจ้านายของเจ้าแล้ว ทรัพย์สมบัติแค่นี้บนร่างเจ้ามันช่างน่าเวทนาเหลือเกิน มีเพียงตั๋วเงินปึกนี้ที่พอจะคลี่คลายสถานการณ์เร่งด่วนของพวกเราได้บ้าง เพราะถ้าซื้อของด้านล่างภูเขาแล้วมอบเงินเกล็ดหิมะให้พวกเขา เจ้าของร้านต้องลงไม้ลงมือตีคนแน่…”

“ยวนยางโชคร้ายอย่างพวกเจ้าสองคน ชาติหน้าไปเกิดใหม่ก็จงจำไว้ว่าหาอาจารย์ที่ดีหน่อย ต่อให้ความสามารถจะด้อยไปบ้างก็อย่าได้หาอาจารย์แบบนี้อีกเลย”

เฉินผิงอันไม่ได้รบกวนลู่ไถที่ง่วนอยู่กับงานตรงหน้า

เพียงแค่มองแผ่นหลังนั้นด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง

สุดท้ายลู่ไถเติมดินกลับเข้าไปอีกครั้ง ปัดมือ มองพื้นดินที่ราบเรียบด้วยความรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย

“คนบงการเบื้องหลังผู้นี้ซี้แหงแก๋ไปแล้ว ทุกอย่างล้วนราบรื่นเป็นมงคล!”

ลู่ไถเดินกลับมายังใต้ต้นไม้ที่เฉินผิงอันอยู่ ให้ตายก็ไม่ยอมขึ้นไป เขาเงยหน้ากวักมือเรียก “ได้เวลาแบ่งสมบัติแล้ว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!