บทที่ 296 มองไกลๆ
แสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วงอ่อนโยน วันนี้ลู่ไถเล่นหมากล้อมกับตัวเองเพียงลำพังในลานบ้านอีกครั้ง ส่วนเฉินผิงอันก็ฝึก ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ อยู่ด้านข้าง
นับตั้งแต่ที่คราวก่อนลู่ไถจับได้ว่าลูกศิษย์ของป้อมอินทรีบินมาแอบดู ทางฝ่ายของป้อมอินทรีบินก็ไม่ได้ส่งคนมาล่วงเกินพวกเขาอีก
ลู่ไถฉวยโอกาสจังหวะที่เฉินผิงอันหยุดกระบวนท่ากระบี่ถามขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ให้ข้าสอนเจ้าเล่นหมากล้อมดีไหม?”
เฉินผิงอันยังบิดหมุนข้อมือหาท่วงท่าจับกระบี่ที่เหมาะสมและราบรื่นที่สุดเวลาพลิกแพลงเปลี่ยนกระบวนท่า หากคิดจะออกกระบี่ได้อย่างรวดเร็วก็ต้องให้มีการเปลี่ยนแปลงในจุดที่เล็กละเอียดที่สุดอย่างต่อเนื่อง นี่คือหลักการเดียวกับวิธียกมีดที่สูงส่งที่สุดในการเผาเครื่องปั้น มองปราดๆ เหมือน ‘ไม่ขยับ’ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่
พอได้ยินข้อเสนอของลู่ไถก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “อย่าดีกว่า ข้าเคยเรียนมาก่อน แต่เล่นไม่เก่ง ครั้งแรกที่ออกจากบ้านเดินทางไกล ข้าเคยเห็นยอดฝีมือเล่นหมากล้อมมาแล้ว และข้าก็ชอบดูคนอื่นเล่นมากกว่า”
หลินโส่วอี เซี่ยเซี่ย อวี๋ลู่ ราชครูเด็กหนุ่มที่เปลี่ยนชื่อเป็นชุยตงซาน แต่ละคนมีความสามารถในการเล่นหมากล้อมที่ลึกล้ำยิ่งกว่าคนอื่นๆ เฉินผิงอันมักจะมองพวกเขาเล่นหมากล้อมบ่อยๆ แต่กลับไม่สามารถมองออกถึงความดีร้าย ใกล้ไกลและตื้นลึกของหมากบนกระดาน ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ในการเล่นหมากล้อม
ก็เหมือนการมองลู่ไถต้มชาที่ทำให้คนมองรู้สึกสบายตาสบายใจ การได้มองดูหลินโส่วอีเล่นหมากล้อมกับเซี่ยเซี่ยระหว่างที่เดินทางไปยังต้าสุยก็ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกชื่นชมเลื่อมใสได้เช่นกัน
การประลองบนกระดานหมากล้อม ผู้เล่นมักจะอยู่ในสภาวะลืมจิตตน เฉินผิงอันรู้สึกว่าเป็นอะไรที่งดงามอย่างยิ่ง
ลู่ไถเองก็ไม่ตื๊อ แค่ถามยิ้มๆ ว่า “รู้หรือไม่ว่าขอบเขตที่สูงที่สุดของการเล่นหมากล้อมคืออะไร?”
เฉินผิงอันย่อมไม่รู้อยู่แล้ว
ลู่ไถคีบเม็ดหมากขึ้นมาหนึ่งเม็ด ดวงตาฉายประกายเร่าร้อน “ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “อืม”
คราวนี้เป็นลู่ไถที่ต้องแปลกใจบ้าง เงยหน้าขึ้นเหล่ตามองเฉินผิงอัน “เจ้าเข้าใจจริงๆ รึ?”
เฉินผิงอันก้าวเดินช้าๆ อยู่ในลานบ้าน ลมปราณดิ่งสู่จุดตันเถียน ปณิธานหมัดไหลพรั่งพรู มองปราดๆ ไม่สะดุดตา ที่แท้เขาก็อยู่ในขอบเขตที่เรียกว่าน้ำลึกไร้เสียงแล้ว เขาเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “มีกระบี่ของคนคนหนึ่ง และยังมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ช่วยปูรากฐานวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสามให้แก่ข้า หมัดของเขาให้ความรู้สึกเช่นนี้ นั่นคือเป็นอย่างที่เจ้าบอกว่า ‘ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน’”
ลู่ไถอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย
แม้ว่าเขาจะเคยได้พบเห็นคนมหัศจรรย์และภาพงดงามมามากมาย เคยเห็นคนที่ทานอาหารด้วยจอกสามขาคลอดนตรีบรรเลง ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อ พัดขนนกโพกแพรพรรณ ดื่มน้ำค้างทานแสงอรุโณทัย
มองเฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดก็คือการเสวยสุขอย่างหนึ่ง
แต่ลู่ไถรู้สึกว่าเฉินผิงอันยังทำได้ดียิ่งกว่านี้
เขาลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
เห็นเพียงว่าระหว่างจมูกและหูของเขามีไอสีขาวสี่กลุ่มลอยออกมา ไม่ได้ลอยห่างไปไหน แล้วก็ไม่ได้สลายหายไป แต่เป็นเหมือนงูขาวตัวเล็กบางที่พลิกคว่ำหน้า
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมลู่ไถถึงทำเช่นนี้
ลู่ไถเดินไปยังใจกลางของลานบ้าน เอ่ยเนิบช้าว่า “ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวหลอมลมปราณ ผู้ฝึกลมปราณก็ต้องเลี้ยงและหลอมลมปราณเช่นกัน การหายใจเข้าออกล้วนหนีไม่พ้นคำว่า ‘ลมปราณ’ ลมปราณเหมือนเส้นใยที่ล่องลอย หากไปอยู่บนร่างของคนธรรมดา คือใช้บรรยายว่าคนผู้นั้นมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่หากปรากฎบนตัวของกระบี่จะเป็นอีกสภาพการณ์ที่แตกต่างออกไป”
ลู่ไถพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง ลมปราณรวมตัวกลายเป็นเส้นใย สุดท้ายเปลี่ยนมาเป็นกระบี่เล็กจิ๋วเล่มหนึ่งต่อหน้าเขา เขาเป่ามันเบาๆ หนึ่งที
หัวใจของเฉินผิงอันหดรัดตัว เบี่ยงหน้าอย่างรวดเร็ว แสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งออกไปจากหูของเขา จากนั้นแสงสีขาวที่เล็กบางอย่างถึงที่สุดเส้นนั้นก็บินฉวัดเฉวียนไปทั่วลานบ้านอย่างว่องไว ลากเอาประกายแสงพร่างพราวเส้นแล้วเส้นเล่าที่คงอยู่นานไม่จางหาย ถักทอให้เรือนทั้งหลังคล้ายกลายเป็นกรงขังปราณกระบี่ เป็นบ่อสายฟ้าที่อัดแน่นไปด้วยปราณกระบี่เฉียบคม
ลู่ไถกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ก็หายวับไป
แล้วลู่ไถก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “แม้ข้าจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว แต่ก็ยังพอจะเข้าใจหลักการอยู่บ้าง เจ้าเฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดอย่างบ้าคลั่ง แค่กระบวนท่าหมัดท่าหนึ่งที่ธรรมดาอย่างถึงที่สุดก็ต้องฝึกตั้งหนึ่งล้านครั้ง ดังนั้นปณิธานหมัดจึงกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่แท้จริงแล้วเจ้ากลับไม่เข้าใจสัจธรรมของมัน”
ลู่ไถหันหน้าเข้าหาเฉินผิงอัน มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งยื่นฝ่ามือแบมาด้านหน้า “กระบวนท่าหมัดบนโลกใบนี้ นอกจากจะเสริมสร้าง เอ็น กระดูกและเลือดลมให้แข็งแกร่ง บำรุงจิตวิญญาณด้วยความอบอุ่นแล้ว ความลี้ลับที่แท้จริงอยู่ที่ลมปราณแท้จริงที่ ‘ไม่ยืมใช้กำลังของฟ้าดิน กลับกันคือต้องออกคำสั่งแก่ฟ้าดิน’ ทุกอย่างนี้เชื่อมโยงต่อกันอย่างแนบแน่นก็เพื่อให้ออกหมัดได้เร็วอย่างไร้เหตุผล!”
ลู่ไถปล่อยหมัดออกมาโดยตรง เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว พายุหมัดระเบิดก่อนจะส่งเสียงเหมือนผ้าทอถูกฉีกขาด
ลู่ไถปล่อยหมัดอีกครั้ง คราวนี้เอนเอียงเล็กน้อย หนึ่งวาดหนึ่งไถล แต่จุดหมายปลายทางที่หมัดปล่อยออกไปกลับยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม แม้ว่าจะเงียบเชียบ แต่อากาศที่หมัดแตะไปโดน ลมปราณกลับระเบิดแตก พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามอย่างยิ่ง
ลู่ไถเอ่ยอธิบาย “สองหมัด ข้าใช้พละกำลังและจิตวิญญาณที่เหมือนกัน หมัดหนึ่งปล่อยออกไปตรงๆ มองดูเหมือนเป็นระยะทางที่สั้นที่สุด แต่ก็คล้ายการข้ามน้ำข้ามภูเขา หนทางที่เร็วที่สุดคือหาตีนเขาให้เจอ แล้วล่องไปตามกระแสน้ำ เจ้าเดินตรงไปตามทาง กลับกลายเป็นว่าไม่ได้เร็วที่สุด เล่าลือกันว่าขอบเขตปลายทางที่แท้จริงของวิถีวรยุทธ์คือขอบเขตสิบ ขยับขึ้นไปอีกก็คือขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ นั่นต่างหากถึงจะเป็นทัศนียภาพบนสวรรค์ที่ขนาดผู้ฝึกลมปราณก็ยังอิจฉาและหวาดกลัว”
ลู่ไถเก็บหมัด ถอนหายใจ เงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า สายตาฉายแววเลื่อนลอย “กลียุคของใต้หล้าเริ่มต้นขึ้นแล้ว เฉินผิงอัน เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป หากสามารถยืนหยัดอยู่ไปได้จนถึงท้ายที่สุด ก็คือ…”
เลือดสดซึมลงมาจากมุมปากของลู่ไถ แต่เขาก็ยังพูดต่อไปว่า “เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ยืนหยัดเฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งหนึ่ง อย่าได้ถูกหอบเข้าไปในสถานการณ์ใหญ่ ต้องอยู่เพื่อเป็นเสาหลักของที่นั่น เมื่อถึงเวลาฟ้าดินจะร่วมแรงให้ความช่วยเหลือ เฉินผิงอัน อย่าคิดช่วงชิงผลได้ผลเสียเพียงแค่ชั่วครู่ชั่วยาม ข้าเชื่อว่าเจ้าจะเดินไปได้ไกลยิ่งกว่าเฉาสือผู้นั้น จะสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาได้ใหม่ จะต้องได้เป็นเซียนกระบี่ใหญ่…”
ความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย
สำหรับผู้ฝึกลมปราณทั่วไปแล้ว นี่อาจเป็นประโยคหนึ่งที่พูดติดปากไปเรื่อยเปื่อย
แต่สำหรับสำนักหยินหยางแล้ว กลับไม่เหมือนกัน
คนที่เชี่ยวชาญการดูดวง ทำนายชะตาและการดูดาวมักจะไม่ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา หรืออาจจะมีข้อยกเว้นเป็นบางคน แต่ก็อย่าหวังว่าจะได้สร้างบุญกุศลไว้ให้แก่ลูกหลาน ซ้ำร้ายอาจถึงขั้นต้องเบิกบุญเก่ามาใช้ล่วงหน้า เมื่อบรรพบุรุษไร้คุณธรรมย่อมเป็นภัยต่อคนรุ่นหลัง
เฉินผิงอันมองออกว่าท่าไม่ดีจึงตวาดเบาๆ “ลู่ไถ พอได้แล้ว!”
ลู่ไถพยักหน้ารับ ยื่นมือมาเช็ดคราบเลือด นั่งกลับลงไปที่ข้างโต๊ะหิน พูดพร้อมยิ้มเจิดจ้า “ในเมื่อข้าหาที่แห่งนี้พบ เจอดาดฟ้าที่ป้อมอินทรีบินแล้ว ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้เจ้าก็ต้องเดินทางเพียงลำพังแล้วนะ”
เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ข้างกายเขาพยักหน้ารับ “เมื่อเรื่องของที่แห่งนี้ยุติลง ข้าจะเดินทางขึ้นเหนือเพียงลำพัง เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
ลู่ไถถาม “มีแผนการยังไง?”
“ย่อมต้องมีอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “ระยะใกล้ ก็คือหาซากปรักของสนามรบโบราณแห่งหนึ่ง เพื่อตามหาวิญญาณวีรบุรุษที่ต่อให้ตายไปแล้ววิญญาณหยินก็ยังรวมตัวกันไม่สลายไปไหน นำมาหล่อหลามสามจิต เสริมสร้างรากฐานของวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ให้แน่นหนา ระยะไกลคือหลังจากกลับไปถึงบ้านเกิดแล้วจะเรียนวิชาหมัดกับท่านผู้เฒ่าต่อ แต่ละก้าวที่เดินไปต้องมั่นคงมากขึ้น ความเป็นไปได้ที่จะเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดก็จะมากกว่าเดิม”
ลู่ไถพยักหน้ารับ “ไม่ต้องสนใจข้า ข้าไม่เป็นไร วิถีสวรรค์แว้งกลับเล็กน้อยแค่นี้ สำหรับลูกศิษย์สำนักหยินหยางแล้วก็ไม่ต่างจากข้าวที่ต้องกินทุกวัน”
หลังจากเฉินผิงอันแน่ใจแล้วว่าลู่ไถไม่ได้แค่แกล้งพูดเพื่อให้ตนสบายใจก็วางใจลงได้ สอดสองมือรองใต้ท้ายทอย พูดอย่างสบายอารมณ์ว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ก่อนหน้านี้เคยคิดไว้ แต่ไม่ทันได้ทำ นั่นคือปูทางเส้นหนึ่งให้กับบ้านเกิด เส้นทางแบบที่ทุกๆ ระยะสามลี้ห้าลี้จะมีศาลาริมทางอยู่หนึ่งหลังนั่นแหละ ต่อให้ต้องจ่ายเงินมากเท่าไหร่ ข้าก็ไม่เสียดาย”
ลู่ไถกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็แค่ทางเส้นหนึ่งเท่านั้น จะต้องจ่ายเงินสักกี่แดงกันเชียว”
มิน่าเล่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของเจ้าหมอนี่ถึงชื่อว่าเจินเจียนและม่ายกวาง ดูท่าคงชอบต่อปากต่อคำเอาชนะคนอื่นมาตั้งแต่เกิด
เฉินผิงอันไม่คิดจะโต้เถียงกับเขา แค่พูดต่อไปว่า “เมื่อไปถึงที่บ้านเกิดแล้ว จะพยายามจัดการร้านสองร้านในตรอกฉีหลงด้วยตัวเอง ขอแค่ได้เงินมา ต่อให้แต่ละวันจะมีเงินเข้าบัญชีแค่ไม่กี่เหรียญก็ถือว่ายังดี”
“อีกอย่างก็คือที่สุสานเทพเซียนและเทวรูปที่ผุพังเหล่านั้น แม้ว่าครั้งก่อนที่กลับบ้านเกิดจะลงมือทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ด้วยการสร้างเพิงไว้เป็นจำนวนมาก ซ่อมแซมเทวรูปบางส่วน แต่ก็ยังไม่พอ ยังต้องสร้างร่างทองให้พวกมันใหม่อีกครั้งอย่างเป็นทางการ”
“นี่ก็คือเหตุผลที่เจ้าซื้อตำราการสร้างรูปปั้นมาหลายเล่ม?”
“อืม พยายามรู้ข้อห้ามและกฎเกณฑ์ให้ได้มากที่สุด จะได้ไม่กลายเป็นว่าหวังดีแต่ดันทำพัง”
ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “ดูท่าจะยุ่งมากเลยนะเนี่ย”
เฉินผิงอันทอดสายตามองทิศไกลอยู่ตลอดเวลา “ส่วนระยะไกลยิ่งกว่านั้น เจ้ายังอยากฟังไหม?”
“พูดมาเถอะ หากพูดผิดไป ระคายหูข้า ข้าก็จะกระโดดลงไปล้างหูในบ่อน้ำเอง”
เฉินผิงอันไม่สนใจคำเหน็บแนมจากเขา “บนภูเขาลั่วพั่วของที่บ้านเกิด นอกจากเรือนไม้ไผ่แล้ว ข้ายังอยากสร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ เพิ่มอีก เริ่มจากที่ตีนเขา…อย่าดีกว่า เริ่มจากกึ่งกลางภูเขา ไล่ขึ้นไปยังยอดบนสุด มีกระเบื้องเชิงชายคา น้ำหยด ชายคาแบบตวัดงอน ฝ้าเพดานลายเหลี่ยมงดงาม รูบากและเดือยสวมอย่างที่เจ้าเล่าให้ฟัง มีครบทั้งหมด”
เฉินผิงอันพูดมาถึงตรงนี้ก็ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาทำไม้ทำมือประกอบ
ลู่ไถเหลือกตามองบน “ช่างเป็นปณิธานยิ่งใหญ่ที่น่ากลัวยิ่งนัก”
เฉินผิงอันทำท่าท้อแท้เล็กน้อย
ลู่ไถรีบชูสองมือขึ้น “ก็ได้ๆๆ เจ้าพูดต่อเถอะ ข้าไม่ล้อเจ้าแล้วก็ได้”
เฉินผิงอันถึงได้พูดต่อว่า “ข้าจะซื้อตำรามาเยอะๆ อริยะสามลัทธิ เมธีร้อยสำนัก ผลงานของนักปราชญ์ ล้วนต้องเก็บสะสมเอาไว้สักหน่อย ก่อนหน้าที่ถ้ำสวรรค์หลีจูจะแตกสลาย ชาวบ้านร้านตลาดอย่างตรอกหนีผิงบ้านของข้า แค่หนังสือสักเล่มยังหาได้ยาก เจ้าคงจินตนาการไม่ออกเป็นแน่ เมื่อเทียบกับได้เห็นเศษเม็ดเงินสักเม็ดหนึ่งยังยากกว่ามาก”
“ข้าต้องการให้หอเรือนเล็กใหญ่บนภูเขามีอาวุธวิเศษและสมบัติอาคมวางไว้มากมาย และยังมีของพิเศษเฉพาะถิ่นจากแคว้นต่างๆ ทั่วหล้าที่ถูกเก็บรวบรวมเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นพรมผ้าทอและแก้วไก่ชนของแคว้นไฉ่อี ข้าจะเลี้ยงพวกภูติร่าเริงน่ารักที่ช่วยหวีผมแต่งหน้าให้คน เจ้าตัวจิ๋วที่ยืนคารวะต้อนรับแขกที่มาเยือนอยู่บนกิ่งก้านบอนไซ พืชพรรณบุปผาประหลาดแปลกตา ภูเขาสูงน้ำไหล หอเรือนศาลา ป่าไผ่ป่าไม้เขียวขจี ทุกวันจะต้องมีทะเลเมฆหมอกลอยผ่านหน้าผาเหมือนแม่น้ำสายหนึ่ง…”
“หลี่เป่าผิง หลี่ไหวสามารถอ่านหนังสืออยู่ที่นั่นอย่างเงียบสงบ หลินโส่วอีก็สามารถตั้งใจฝึกตน อวี๋ลู่สามารถเดินขึ้นไปบนยอดเขา ขอความรู้ด้านวิชาหมัดจากผู้เฒ่าแซ่ชุย เซี่ยเซี่ยที่อยู่ที่นั่นก็…ไม่ต้องถูกชุยตงซานรังแก เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่อยู่ที่นั่นหากอยากฝึกตนก็ฝึกตน อยากขี้เกียจก็ขี้เกียจ แม่นางคนหนึ่งที่ชื่อหร่วนซิ่วก็สามารถมาเป็นแขกที่บ้านข้าได้บ่อยๆ ข้าจะนำขนมที่ร้านของตัวเองออกมารับรองนาง…”
“ทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือนจะต้องมีชาวบ้านมากมายไปจุดธูปกราบไหว้ศาลเทพภูเขาบนภูเขาลั่วพั่ว ข้าจะทำทางบนภูเขาให้กว้างๆ ปูด้วยหินกระเบื้องสีเขียวเหมือนที่ถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ เวลาฝนตกก็ไม่ต้องกลัวว่าดินโคลนจะเปื้อนรองเท้า เตรียมงอบและเสื้อกันฝนไว้ที่ศาลเทพภูเขาเยอะๆ ต่อให้ฝนตกลงมากะทันหัน พวกชาวบ้านก็ไม่ต้องกังวล ตอนจะลงจากภูเขาสามารถยืมไปใช้ได้ คราวหน้าที่มาจุดธูปค่อยเอามาคืน”
“ไม่ว่าใต้หล้าจะเป็นอย่างไร คนด้านล่างภูเขามีวิธีใช้ชีวิตแบบไหน บนภูเขาของที่อื่นเป็นอย่างไร ข้าแค่หวังว่าเมื่ออยู่ที่บ้านของข้า ทุกคนจะอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ใช้ชีวิตในแต่ละวันไปอย่างผ่อนคลายมีความสุข ข้าไม่ต้องการให้ตัวเองและคนอื่นเป็นเหมือนเมื่อครั้งของหลิวเสี้ยนหยางที่ไม่ว่าอะไรก็ทำไม่ได้ และหากตอนที่พวกเราเป็นฝ่ายมีเหตุผล แต่คนอื่นไม่ยอมฟัง ก็ต้องทำให้พวกเขาฟังให้ได้ ไม่ว่าจะอาศัยหมัดหรืออาศัยกระบี่ก็ตาม…”
ลู่ไถรับฟังอย่างสงบอยู่ตลอดเวลา
เหมือนกำลังมองเฉินผิงอันปั้นตุ๊กตาหิมะของตัวเองในฤดูร้อน
–จบภาคสี่–
ภาค 5 เต๋ามองเต๋า
ตอนนั้นลู่ไถชี้ไปที่ประตู บอกว่ายันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นนั้น นอกวงการคือวรยุทธ์ แต่ในวงการกลับเป็นบนภูเขาแล้ว
เขาพูดซะจนเฉินผิงอันนึกอยากจะดื่มเหล้า
หลังจากนั้นป้อมอินทรีบินก็ครึกครื้นขึ้นมา ความครึกครื้นทำให้มีชีวิตชีวา เมื่อเทียบกับความเงียบสงบที่ใกล้เคียงคำว่าเงียบเป็นป่าช้าก่อนหน้านี้ ป้อมอินทรีบินในเวลานี้ทำให้คนสบายใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เพราะมียอดฝีมือต่างถิ่นสองคนมาเยือนป้อมอินทรีบิน ไม่ใช่จอมยุทธ์ที่ท่องพเนจรไปทั่วทิศ หรือปรมาจารย์สำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงอย่างที่ป้อมอินทรีบินคุ้นเคย แต่เป็นคนประเภทที่ท่าทางลึกลับ เมื่อเทียบกับผู้เฒ่าแซ่เหอที่แปลกประหลาดมากพอแล้ว สองคนนี้กลับทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกใหม่ได้ยิ่งกว่า
ชายวัยกลางคนที่เจ้าประมุขของป้อมอินทรีบินเชื้อเชิญมา กำลังเดินจูงม้าสีขาวไปตามตรอกเล็กใหญ่ สองข้างของอานม้าห้อยกิ่งต้นสนและกิ่งต้นไป่ไว้สองมัดใหญ่ ทุกครั้งที่คนและม้าหยุดเดิน บุรุษที่ถือแส้ปัดฝุ่นไว้ในมือจะต้องเผากิ่งไม้หนึ่งกิ่ง ก็ไม่เห็นว่าเขาจะใช้หินจุดไฟ เพียงแค่ใช้สองนิ้วถู กิ่งต้นสนและกิ่งต้นไป่ก็ติดไฟลุกไหม้ด้วยตัวเอง แผ่กลิ่นหอมสดชื่นเป็นระลอกให้ลอยอวลไปในอากาศ
คนของป้อมอินทรีบินที่มามองดูอยู่ไกลๆ หนึ่งในนั้นคือผู้เฒ่าผมขาวที่เชี่ยวชาญด้านปฏิทินเหลือง พอเห็นภาพนี้ก็เริ่มโอ้อวดความรู้ บอกว่านี่เรียกว่าเปลวไฟในศาล คือวิชาตระกูลเซียนที่ร้ายกาจมากวิชาหนึ่ง สามารถขับไล่ความชั่วร้ายและสิ่งสกปรก เพราะต้นสนคือต้นไม้แห่งความอายุยืน ถูกขนานนามว่าสือปากง ตำแหน่งเทียบเท่ากับท่านกั๋วกงในราชสำนัก ส่วนต้นไป่นั้นก็คือท่านโหวที่ตำแหน่งรองลงมาจากต้นสน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นต้นสนและต้นไป่จากขุนเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงบางแห่งก็จะยิ่งสูงศักดิ์ ดังนั้นเมื่อเผากิ่งสนกิ่งไป่ รวมกับการท่องคาถาของตระกูลเซียนจึงสามารถช่วยให้สื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้
เมื่อเทียบกับแส้ปัดฝุ่นและม้าขาวของบุรุษร่างสูงใหญ่แล้ว ผู้เฒ่าอีกคนที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมจึงดูบ้านๆ กว่ามาก รูปร่างหน้าตาสู้คนในวงการเดียวกันอีกคนไม่ได้ วิธีการที่ใช้ก็ดูเหมือนวิธีการของคนบ้านนอก ดังนั้นคนของป้อมอินทรีบินที่มามุงดูจึงมีไม่มากนัก กล่าวกันว่าตัวตนของผู้เฒ่าคืออาจารย์ของนักพรตหนุ่มหวงซ่าง คือนักพรตที่อาศัยอยู่บนภูเขาท่านหนึ่ง เป็นสหายที่รู้จักกันบนยุทธภพของอดีตเจ้าประมุข คราวนี้ผู้เฒ่าที่อยู่บนภูเขานับนิ้วทำนาย ผลคำทำนายบอกว่าป้อมอินทรีบินประสบเคราะห์กรรม ถึงได้ลงจากภูเขามาช่วยขจัดภัยให้กับที่นี่
ผู้เฒ่ามอซอไม่ได้สวมชุดคลุมของนักพรตเต๋า ทั้งไม่ได้วาดยันต์เดินเหยียบพายุลมกรด แค่บอกให้คนไปจับไก่ตัวผู้มาเจ็ดแปดตัว แล้วเอาไปแขวนไว้ตามสถานที่ต่างๆ อย่างประตูใหญ่ของป้อมอินทรีบิน หน้าประตูศาลบรรพชน บ่อน้ำ สนามฝึกวรยุทธ์ เป็นต้น จากนั้นก็คอยจับตามองไก่ตัวผู้เหล่านั้นตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตรงเอวห้อยถุงเล็กๆ ใบหนึ่งที่บรรจุข้าวเหนียวไว้เต็มถุง แล้วยังมีน้ำสะอาดอีกหนึ่งกา เอาไว้คอยป้อนให้กับไก่ตัวผู้ทั้งหลาย แต่น้ำในกากลับไม่ได้เอามาจากในบ่อน้ำที่ป้อมอินทรีบินใช้กินดื่มกันทุกวัน แต่เป็นน้ำพุที่ให้หวงซ่างลูกศิษย์ไปเอามาจากภูเขาลึกที่ห่างออกไป
เฉินผิงอันกับลู่ไถแยกย้ายกัน ลู่ไถชอบดูเซียนซือจากไท่ผิงซานผู้นั้นแสร้งแกล้งผีหลอกเจ้า ส่วนเฉินผิงอันกลับไปสังเกตดูวิธีการของผู้เฒ่า คนวงนอกมองเห็นเป็นเรื่องสนุก คนวงในมองเห็นเคล็ดลับวิธีการ เฉินผิงอันอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายนี้ แม้จะมองที่มาของวิธีการที่ผู้เฒ่าใช้ไม่ออก แต่ก็แน่ใจได้ว่าทุกสถานที่ที่แขวนไก่ตัวผู้เอาไว้ ลมหยินเยียบเย็นและปราณชั่วร้ายเจือจางลงไปหลายส่วน เหมือนสองกองทัพที่คุมเชิงกัน ฝ่ายหนึ่งหลบเลี่ยงประกายแหลมคมของอีกฝ่าย แต่การถอยหนีเช่นนี้กลับไม่มีใครบาดเจ็บและล้มตาย เป็นการหลบไปซ่อนในที่มืดเพื่อรอจังหวะให้ลงมือเท่านั้น
ตอนที่ผู้เฒ่าป้อนข้าวเหนียวและน้ำสะอาดให้กับไก่ตัวผู้ จากสีหน้าเป็นกังวลของเขาพอจะมองออกได้ว่านักพรตเฒ่าเองก็มองเบาะแสออก อารมณ์จึงไม่ผ่อนคลายเท่าใดนัก
ส่วนบุรุษถือแส้ที่เดินอาดๆ โอ้อวดตนไปทั่วตรอกซอกซอยนั้นกลับมีสีหน้าผ่อนคลาย ราวกับว่าแค่ดีดนิ้วครั้งเดียว เสนียดจัญไรและผีร้ายทั้งหลายก็จะแหลกลาญสิ้นซาก
สองพี่น้องหลวนฉางและหลวนซูรับผิดชอบคอยเปิดทางให้คนผู้นี้
เถาเสียหยางที่สีหน้าซีดขาว ไออยู่บ่อยๆ ได้แต่เดินตามหลังนักพรตเฒ่าไปพร้อมกับหวงซ่าง
ลู่ไถไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าสองคนนี้ใครมีตบะสูงต่ำ บอกแค่ว่าบุรุษคนนี้ต้องไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณจากไท่ผิงซานของใบถงทวีปอะไรนั่นแน่นอน ส่วนผู้เฒ่ามอซอคือนักพรตบนภูเขาจริงสมชื่อ ชื่นชอบความสันโดษ มีจิตใจเมตตารักสงบ เห็นภูเขาและแม่น้ำเป็นดั่งเพื่อนบ้าน
ไท่ผิงซานคือสำนักใหญ่อันดับหนึ่งของภาคกลางใบถงทวีป เมื่อเทียบกับสำนักฝูจีแล้วมีแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่มีด้อยกว่า เพียงแต่ว่าเก็บตัวจากโลกภายนอกจนแทบจะเรียกได้ว่ารังเกียจโลกภายนอก น้อยครั้งนักที่จะมีผู้ฝึกตนลงมาจากภูเขา เป็นสถานที่รวมตัวกันของผู้ที่ประสบความสำเร็จด้านวิชาโอสถในและโอสถนอก ขนาดลู่ไถที่อยู่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังเคยได้ยินชื่อมาก่อน เพียงแต่ว่าชื่อเสียงในโลกเทียบกับสองสำนักอย่างใบถงและกุยหยกไม่ติด
วันเวลาที่เงียบสงบและสันติสุขผ่านไปอีกสองวัน
ต่อให้เป็นชาวบ้านของป้อมอินทรีบินที่อาศัยอยู่ตามตรอกซอกซอยก็ยังสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของสีท้องฟ้า
รุ่งอรุณที่เดิมทีดวงอาทิตย์ควรจะลอยขึ้นฟ้า อากาศเหนือป้อมอินทรีบินกลับเต็มไปด้วยก้อนเมฆมืดทะมึนซ้อนเรียงกันหนาชั้น ราวกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังแสยะเขี้ยวกางกรงเล็บใส่ป้อมอินทรีบิน ความรู้สึกหนักอึ้งกดทับจิตใจของทุกคน ผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาที่รับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือประกาศแล้วว่าวันนี้ไม่มีการเรียนการสอน ให้พวกนักเรียนรีบกลับบ้าน นี่ทำให้เด็กๆ ชอบใจกันยกใหญ่ ระหว่างทางที่กลับบ้านจึงจับกลุ่มกัน ชี้ไม้ชี้มือใส่เมฆดำเหล่านั้น บอกว่านั่นคือตะขาบตัวหนึ่ง บางคนก็บอกว่าคือควายตัวหนึ่ง สุดท้ายเห็นก้อนเมฆสีดำเป็นเหมือนใบหน้าของหญิงสาวที่แสยะยิ้มอย่างดุดัน ทำเอาพวกเด็กๆ ตกใจวงแตก รีบวิ่งกลับบ้านใครบ้านมันทันที
เฉินผิงอันที่ฝึกวิชาหมัดในลานบ้านสังเกตเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้มานานแล้ว ลู่ไถนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินขยับนิ้วทำมุทราพยากรณ์ สีหน้าผ่อนคลายเป็นปกติ
เช้าตรู่ที่ดวงอาทิตย์ควรส่องแสง ท้องฟ้ากลับมืดดำราวกับยามค่ำคืน แสงอาทิตย์ไม่อาจส่องลอดมาถึงป้อมอินทรีบินได้แม้แต่เสี้ยวเดียว
เฉินผิงอันได้ยินเสียงหัวเราะชวนขนลุกลอยแว่วผ่านไปในซอยด้านนอกอีกครั้ง
เขาจึงหยุดการฝึกหมัด วิ่งไปเปิดประตู หมุนตัวเงยหน้าขึ้นมอง ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่เขียนลงบนกระดาษยันต์ธรรมดาแผ่นนั้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายวัน ปราณวิญญาณที่อยู่ในยันต์ก็ไหลหายไปอย่างต่อเนื่อง จึงกลายมาเป็นหม่นมัวไร้ประกายแสง กระดาษยันต์สีเหลืองที่เดิมทีใหม่เอี่ยมอ่องกลับเหมือนกลอนคู่ที่แปะอยู่หน้าประตูมานานเกินครึ่งปี สีสันซีดเซียว รอยยับย่นเต็มไปหมด และยังมีหลายจุดที่มีก้อนหมึกสีดำแทรกซึมเข้ามา มิน่าเล่าผีร้ายพวกนั้นจึงกล้าปรากฎตัวมาท้าทายอีกครั้ง
ลู่ไถที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อเดินออกจากประตูบ้านมายืนเคียงไหล่กับเฉินผิงอัน มองอักษรมหัศจรรย์สีชาดที่มีแนวโน้มว่าจะเสื่อมสภาพแผ่นนั้นแล้วพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ในยุคสมัยที่ห่างไกลจากปัจจุบันนี้ไปนานมาก ยันต์ที่คนที่มีตบะเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดวาดออกมาก็แค่ถือว่ามีความรู้อย่างผิวเผินเท่านั้น ยันต์ที่คนซึ่งมีศักยภาพเท่ากับขอบเขตเก้าเป็นผู้วาดถึงจะเรียกได้ว่ามีความชำนาญอย่างแท้จริง ดังนั้นยันต์ในยุคสมัยนั้นจะมีอานุภาพมากเท่าไหร่ แค่คิดก็พอจะรู้ได้ และหนึ่งในนั้นยังมี ‘อาจารย์ซานซานจิ่วโหว’ ที่คลุมเครือยากจะเข้าใจ ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น ‘สำนักยันต์ดั้งเดิม’ น่าเสียดายก็แต่พอมาถึงคนรุ่นหลังอย่างพวกเรากลับไม่รู้เลยว่าคำกล่าวนี้หมายถึงคนคนหนึ่ง หรือเป็นแค่คำเรียกขานอย่างหนึ่งกันแน่”
เฉินผิงอันเขย่งปลายเท้าปลดยันต์ชิ้นนั้นลงมาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ
รอบด้านพลันมีเสียงตีกลองดังอึกทึกขึ้นมาทันที ไอน้ำผุดขึ้นมาจากถนนดินของตรอกเล็กแล้วแผ่อบอวลไปอย่างรวดเร็ว ทีแรกไอน้ำสูงเท้าตาตุ่ม จากนั้นก็สูงเท่าหัวเข่า แล้วเลยมาถึงเอวอย่างรวดเร็ว
ราวกับว่าเฉินผิงอันเปิดฝาหม้อออกแล้วไอน้ำลอยขึ้นมา เพียงแต่ว่าไอน้ำที่ลอยจากเตาไฟมักจะเป็นกลิ่นหอมของข้าวและอาหารร้อนกรุ่น แต่ไอน้ำในตรอกแห่งนี้กลับชื้นแฉะเหนียวเหนอะ แผ่กลิ่นคาวจางๆ
เฉินผิงอันหันหน้ามองไป ยังดีที่ไอน้ำนี้ไม่ได้กรูไปตามบ้านเรือนของชาวบ้านในรวดเดียว เพียงแต่ว่าภาพเทพทวารบาลรูปแบบต่างๆ ที่แปะไว้บนประตูบ้านแต่ละหลัง ไม่ว่าจะเป็นอริยะฝ่ายบู๊หรือเทพโชคลาภบุ๋นบู๊อะไรทั้งหลายแหล่ ล้วนส่งเสียงซี่ๆ ดังแผ่วเบา ปราณวิญญาณน้อยนิดที่เดิมทีก็สลายไปจนเหลือเพียงบางเบา เวลานี้ก็ยิ่งลอยหาย ไม่อาจปกป้องคนในบ้านได้อีก
ท่ามกลางการมองเห็นของเฉินผิงอัน คนโตและเด็กที่สวมชุดไว้ทุกข์สีขาวคู่นั้นปรากฎตัวที่สุดปลายของตรอกเล็กอีกครั้ง เด็กน้อยยังคงหันมาจับจ้องเฉินผิงอัน ดวงตาสีแดงสดมีเลือดซึมออกมาอย่างต่อเนื่อง ไหลรินเป็นสายบนใบหน้าขาวซีด เพียงแต่ว่าเลือดพวกนั้นกลับไม่หยดหายไปจากใบหน้า แต่เหมือนไส้เดือนที่เลื้อยกลับขึ้นไปผลุบเข้าผลุบออกอยู่ในดวงตาทั้งคู่ ราวกับเห็นว่าดวงตาของเด็กน้อยเป็นรังของพวกมัน
บนใบหน้าผู้ใหญ่ที่จูงเด็กน้อยกลับไม่มีเครื่องหน้า ราวกับสวมผ้าขาวผืนหนาทับลงไป ทำให้คนมองไม่เห็นหูคิ้วตาจมูกปาก
มีวัตถุหยินสกปรกน่าสะพรึงกลัวมากมายพากันเดินเข้ามาหาบ้านที่ตั้งอยู่สุดตรอกหลังนี้ มีหญิงชราคนหนึ่งที่ดวงตาเหมือนดวงตาปลาตาย มือและเท้าสัมผัสพื้นไต่อยู่บนกำแพงอย่างว่องไว ปากก็พร่ำพูดใส่เฉินผิงอันว่าจะกินเนื้อ
และยังมีเด็กหลายคนที่นั่งยองพิงกำแพง สองแขนกอดเข่า ศีรษะซบลงบนหัวเข่า ส่งเสียงสะอื้นลอดไรฟันอย่างน่าขนลุก เดี๋ยวดังเดี๋ยวหาย ล่องลอยไปตามสายลม คล้ายต้องการฟ้องถึงความทุกข์ในใจ เพียงแต่ว่าอายุน้อยเกินไปจึงพูดจาไม่เป็นคำ คนฟังจึงได้ยินไม่ชัดเจน
แม้ว่าเฉินผิงอันจะเชื่อเรื่องผีและเทพเจ้ามาตั้งแต่เด็ก แต่เขากลับไม่เคยกลัว
ลองจินตนาการดู เด็กชายคนหนึ่งอายุแค่สี่ห้าขวบก็กล้าวิ่งไปที่สุสานเทพเซียนเพียงลำพัง จะลมหรือฝนก็ไม่อาจขัดขวางเขาได้ และหลังจากฝึกวิชาหมัดมา หากนับรวบใบถงทวีปนี้ นี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาได้ออกเดินทางไกล ความแปลกประหลาดแห่งภูเขาและแม่น้ำที่พบเจอมาตลอดทางมีให้เห็นนับไม่ถ้วน มีหรือจะมาตกใจกลัวการข่มขู่แบบนี้
เด็กที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดสดเหมือนใยแมงมุมจ้องมองเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา ตอนที่มันเบี่ยงหน้าจ้องตากับเฉินผิงอันก็เปิดปากพูดว่า “เนื้อของเจ้าหอมมาก ขอให้ข้ากินสักสองสามคำได้หรือไม่? ข้าแค่ต้องการหัวใจของเจ้าครึ่งดวง ได้ไหม?”
เด็กคนนี้พูดช้ามาก อีกทั้งเท้ายังก้าวเดินไปข้างหน้าไม่หยุด รอจนสองคำว่า ‘หัวใจ’ หลุดออกมาจากปากก็หันหลังให้เฉินผิงอันแล้ว แต่หัวของมันกลับไม่ได้หมุนตาม ยังคง ‘จ้องตา’ อยู่กับเฉินผิงอัน มันยังแลบลิ้นสีดำสนิทมาเลียคราบเลือดตรงมุมปากด้วย
หญิงชราที่ไต่อยู่บนกำแพงลงมือโจมตีเป็นคนแรก มันกระโดดขึ้นสูงแล้วกระโจนเข้าหาเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเองก็ไม่คิดจะมอง เดินออกไปก้าวหนึ่ง ลงจากบันได ไม่รอให้รองเท้าหุ้มแข้งสัมผัสพื้นของตรอกก็ปล่อยหนึ่งหมัดออกไปอย่างง่ายๆ โจมตีเข้าที่ศีรษะของหญิงชราคนนั้น หญิงชราวัตถุหยินถูกต่อยจนกระเด็นไปยังกำแพงฝั่งตรงข้ามที่อยู่ข้างหลัง แล้วร่างก็ระเบิดแตกดังปัง มันไม่ทันได้ส่งเสียงร้องโหยหวนเลยด้วยซ้ำ
พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ วัตถุหยินที่อยู่ในตรอกก็ระเบิดความดุร้าย ควันดำพากันกรูเข้ามา วัตถุหยินที่เกิดจากการรวมตัวกันของความอาฆาตแค้นหลังจากตายไปพุ่งเข้าใส่เฉินผิงอันอย่างบ้าคลั่ง
มือข้างหนึ่งที่ไพล่หลังของเฉินผิงอันสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ใช้มือขวารับมือศัตรูแค่มือเดียว
ปณิธานหมัดยังคงถูกกะประมาณได้อย่างพอดี ไหลรินผ่านแขนขวาเท่านั้น พายุลมปราณที่รวมตัวกันก็ไม่กระจายออกไปข้างนอก ทว่าทุกครั้งที่ปล่อยหมัดออกไปล้วนต่อยให้วัตถุหยินที่พุ่งมาอย่างดุร้ายร่างแหลกสลาย
ปณิธานหมัดเพียงเท่านี้ สำหรับเฉินผิงอันในเวลานี้แล้วก็เหมือนการดึงเอาน้ำหนึ่งถังออกมาจากในบ่อลึกหนึ่งบ่อเท่านั้น
ในสายตาของวัตถุหยินกลุ่มนั้น แขนข้างนั้นของเด็กหนุ่มชุดขาวเหมือนกับ ‘แสงแดด’ เล็กๆ ร้อนแรงแสบตาที่แหวกม่านรัตติกาลเข้ามา
เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วกะพริบตา วัตถุหยินในตรอกเล็กที่บุกโจมตีอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรก็หายไปแล้วถึงเจ็ดแปดในสิบส่วน
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ลู่ไถไปนั่งอยู่บนธรณีประตู ยิ้มตาหยีมองดูเฉยๆ โดยไม่ให้ความช่วยเหลือ
เด็กที่บอกว่าจะกินหัวใจของเฉินผิงอันสลัดมือจากผู้ใหญ่ที่จับอยู่ พุ่งตัวหายวับไป ก่อนจะมาปรากฏอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน ทำฝ่ามือเป็นดาบแทงเข้าหาหัวใจด้านหลังของเขา พยายามจะให้มือดาบคว้านจากแผ่นหลังทะลุไปถึงหัวใจ
มือดาบพุ่งมาว่องไว เพียงแต่ว่าชั่วขณะที่เด็กน้อยคิดว่าตัวเองจะทำสำเร็จนั้นเอง มันพลันร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ที่แท้เมื่อนิ้วทั้งห้าของมันสัมผัสเข้ากับชุดคลุมสีขาวก็รู้สึกเหมือนหิมะพุ่งชนใส่เตาไฟแล้วหลอมละลาย ไม่ทันได้หดมือกลับมา มือเกินครึ่งก็หายไปทั้งอย่างนี้
มือซ้ายที่ไพล่หลังของเฉินผิงอันยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว หางตาคอยจับจ้องวัตถุหยินที่ไม่มีเครื่องหน้าทั้งห้านั้นอยู่ตลอดเวลา เขาแค่ขยับมาด้านหลัง ชนเข้ากับเด็กวัตถุหยิน พอชุดคลุมอาคมจินหลี่สัมผัสโดนฝ่ายหลัง ร่างของเด็กน้อยก็เหมือนเปลวเทียนที่หลอมละลาย กลายเป็นควันดำที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งกลุ่มหนึ่ง เตรียมจะเผ่นหนีไปไกล แต่เฉินผิงอันกลับหันตัวกลับมา บิดหมุนข้อมือ เหวี่ยงหมัดต่อยเป็นวงโค้งแนวขวาง ต่อยจนควันดำกลุ่มนั้นไม่เหลือร่องรอย
ลู่ไถเอ่ยสัพยอก “แบบนี้เรียกว่ารังแกคนอื่นแล้วนะ”
เฉินผิงอันเบ้ปาก “ใช่คนเสียที่ไหน”
เฉินผิงอันพลันหันตัวกลับ มองไปยังสุดปลายอีกฝั่งของตรอกเล็ก
ที่แท้บ่อน้ำที่อยู่ติดกับถนนบ่อนั้นมีน้ำในบ่อไต่ขึ้นมา อาศัยไอน้ำที่ปกคลุมอยู่บนถนนไหลออกจากบ่ออย่างว่องไว แล้วพุ่งเข้าหาเฉินผิงอัน ตอนที่ไหลผ่านปากตรอกเข้ามา ‘เห็น’ ภาพที่เฉินผิงอันกำราบวัตถุหยินเด็กตนนั้นพอดี หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย น้ำในบ่อก็ถอยกรูดกลับไปด้านหลัง
เฉินผิงอันยื่นมือขวาออกมาจากชายแขนเสื้อ เห็นเพียงว่าปลายนิ้วคีบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจใหม่เอี่ยมออกมาอีกแผ่นหนึ่ง ในใจเรียกหาสืออู่ กระบี่บินเล็กจิ๋วสีเขียวมรกตพุ่งออกจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ วาดผ่านด้านหลังของเฉินผิงอันมาแล้ว ปลายกระบี่ของสืออู่ก็ปักตรึงยันต์สีเหลืองแผ่นนั้น เพียงชั่วพริบตาก็ลากพายันต์สีเหลืองที่ส่องแสงสีทองพุ่งไปไกลด้วยกัน
ยันต์แผ่นนี้เดิมทีควรใช้รับมือกับวัตถุหยินที่จูงมือเด็กคนนั้น แต่พอประมือกันมาได้ครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็แน่ใจแล้วว่าแค่หมัดก็เพียงพอ
ในเมื่อสิ่งประหลาดของบ่อน้ำเป็นฝ่ายวิ่งเข้ามาหาด้วยตัวเอง เฉินผิงอันจึงให้สืออู่พายันต์สยบปีศาจไปสยบบ่อน้ำ ตัดขาดทางถอยของน้ำในบ่อ
น้ำในบ่อถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ไหนเลยจะเร็วเท่าความเร็วของกระบี่บินสืออู่
สืออู่ไปถึงด้านข้างของบ่อน้ำที่ราวกับมีสตรีแต่งงานแล้วกำลังส่งเสียงสะอื้นร่ำไห้ ปลายกระบี่ทิ่มเข้าไปในปากบ่อ ตรึงยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่ส่องสีทองอร่ามแผ่นนั้นลงไปตรงริมขอบบ่อ
จากนั้นมันก็ค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ บินวนไปรอบบ่อ
น้ำในบ่อที่ปีนออกมาจากก้นบ่อแผ่นองไปรอบด้าน กระเพื่อมไหวเป็นระลอก เผยให้เห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของหญิงสาวหลายคนที่แสดงความอาฆาต พยาบาทและเคียดแค้น ระหว่างนี้ยังมีน้ำสายหนึ่งแยกออกมาแล้วพุ่งไปที่ปากบ่ออย่างไม่ยอมแพ้ แต่ไม่นานก็ระเหยกลายเป็นควันทั้งหมด เป็นอย่างนี้อยู่สามครั้งห้าครั้ง ยันต์ที่แปะอยู่บนปากบ่อก็ยังไม่สะทกสะท้าน แสงศักดิ์สิทธิ์ยังคงเต็มเปี่ยม น้ำในบ่อที่พยายามพุ่งไปหาบ่ออย่างต่อเนื่องถึงได้ยอมตัดใจ พวกมันมารวมตัวกัน สุดท้ายกลายมาเป็นวัตถุหยินรูปคนที่พอจะเห็นได้ลางๆ ว่ามีสองแขนสองขา สูงหนึ่งจั้ง น้ำบ่อที่อยู่บนร่างกระเพื่อมเคลื่อนไหวไม่หยุด ทำให้คนมองโฉมหน้าที่แท้จริงไม่ออก
กระบี่บินสืออู่มองมันเป็นศัตรูโดยอัตโนมัติ พุ่งทะลุผ่านศีรษะของวัตถุหยินน้ำในบ่อตนนั้นแล้วพลันชะงักนิ่ง ก่อนจะบินทะลุมาจากหัวใจด้านหลังอีกครั้ง ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาอย่างสนุกสนานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
บางทีอาจเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าปณิธานกระบี่ของกระบี่บินเล่มนี้จะเปี่ยมล้น น้ำบ่อที่เพิ่งจำแลงร่างเป็นคนก็พลันสลายพรวด กลับคืนมาเป็นผืนน้ำที่นองไปทั่วผืนดินแล้วเริ่มซัดหลุนๆ เผ่นหนี
สืออู่ไม่สนใจลูกเล่นพวกนี้ เอาแต่จิ้มแทงกระบี่ลงไปในน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
ทางฝ่ายของตรอกเล็ก บุรุษวัตถุหยินที่เดิมทีหวังให้น้ำบ่อมา ‘รวมร่าง’ เผยความหวาดกลัวออกมาให้เห็น ไม่เพียงแต่ไม่มีความคิดจะประมือกับเฉินผิงอัน กลับยังบินไปทางกำแพงที่อยู่สุดตรอก
เฉินผิงอันก้าวออกไป ชิงเอามือฟาดลงบนกำแพงของทางตันเส้นนี้ก่อน
แปะยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจลงไปอีกหนึ่งแผ่น
กำแพงแถบนั้นพลันเผยสภาพดั้งเดิมที่แท้จริง โครงกระดูกอัดกันแน่น ระหว่างนั้นยังมีโครงกระดูกของเด็กเล็กสอดแทรกอยู่เป็นจำนวนมาก และยังมีบางส่วนเป็นทารกที่คล้ายถูกคนคว้านออกมาจากท้อง น่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้
เมื่อกำแพงแห่งนี้ปรากฏ พวกเด็กๆ ที่นั่งซุกหัวกอดเข่าอยู่ตรงกำแพงก็พากันร้องไห้คร่ำครวญทันที
ภาพนี้ทำให้เฉินผิงอันเคียดแค้นอย่างยิ่ง
บุรุษผู้นั้นเตรียมจะทะยานขึ้นกลางอากาศหนีไปจากตรอกแห่งนี้ แต่กลับถูกเฉินผิงอันที่หมุนตัวกลับด้วยความเดือดดาลสุดขีดยื่นฝ่ามือไปคว้าใบหน้าที่ไร้เครื่องหน้าทั้งห้านั้น นิ้วทั้งห้าเป็นดั่งตะขอ ชายแขนเสื้อของชุดคลุมอาคมจินหลี่โบกสะบัด แผ่ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ราวกับได้เสพสุขจากควันธูปมานับพันปีออกมาเป็นระลอก วัตถุหยินตนนั้นส่งเสียงร้องอ้อนวอนมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ มือขวาของเฉินผิงอันขยุ้มวัตถุหยิน มือซ้ายต่อยไปที่หัวใจของมัน แขนทั้งแขนระเบิดแสงสีทองสว่างจ้า มีทั้งพายุหมัดของตัวเขาเอง และมีทั้งปราณวิญญาณจากจินหลี่
เฉินผิงอันหมุนมือขวาแหวกทะลุหัวใจของวัตถุหยินจนเกิดเป็นช่องโพรงขนาดใหญ่
แล้วก็ยังไม่เลิกราง่ายๆ เฉินผิงอันยังพยายามจะกระชากดึงจิตวิญญาณทั้งหมดของวัตถุหยินให้แหลกละเอียด อีกทั้งยังจงใจควบคุมพละกำลัง ค่อยๆ ดึงออกมาทีละเส้นทีละเส้นเหมือนการสาวไหม คล้ายการลงทัณฑ์ถลกหนังดึงเส้นเอ็น กระชากวิญญาณเข้ามาในชายแขนเสื้อของเสื้อคลุมอาคมจินหลี่ทีละนิด ด้วยต้องการให้วัตถุหยินตนนี้ทนรับความเจ็บปวดของการถูกแร่เนื้อเถือหนังอย่างที่คนเป็นๆ ได้รับ
ลู่ไถลุกขึ้นยืน เอ่ยเตือนเสียงเบา “เฉินผิงอัน พอเถอะ”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง คลายนิ้วทั้งห้าของมือซ้ายออก ดึงมือขวาออกมาจากหัวใจวัตถุหยิน แล้วปล่อยหมัดต่อยให้วัตถุหยินแหลกสลาย สะบัดชายแขนเสื้อแรงๆ เก็บรวมเศษซากทั้งหมดของมันเข้ามาในชายแขนเสื้อชุดอาคมจินหลี่ เศษเสี้ยวควันสีเทายิบย่อยจึงพากันไหลกรูเข้าไป
เฉินผิงอันมองไปเบื้องหน้า วัตถุหยินเด็กที่นั่งอยู่ใต้กำแพงพวกนั้นไม่ได้หนีไปไหน เพียงแต่ตัวสั่นสะท้านรุนแรงมากขึ้น พวกมันยังคงกอดเข่าแน่น นั่งนิ่งๆ รอความตาย ทุกตนต่างก็ส่งเสียงร้องฮือๆ ไม่รู้ว่ากำลังบอกเล่าอะไรอยู่ แต่คล้ายว่าจะได้รับความเจ็บปวดและทรมานมหาศาล
เฉินผิงอันหันไปมองยันต์ที่แปะไว้บนกำแพงโครงกระดูกแผ่นนั้นแล้วรีบดึงมันลงมา
พอเก็บยันต์สยบปีศาจแล้ว เฉินผิงอันเดินหนึ่งก้าวก็ขยับไปเจ็ดแปดจั้ง ย่อตัวนั่งลงข้างกายวัตถุหยินเด็กที่นั่งซุกหัวกอดเข่าตนหนึ่งที่เป็นร่างวิญญาณอายุแค่ประมาณสองสามปี เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไป แม้ว่าจะพยายามเก็บปณิธานหมัดและปราณวิญญาณของจินหลี่ไว้สุดกำลัง พยายามทำให้เสื้อคลุมอาคมเปลี่ยนมาเป็นไม่ต่างจากเสื้อคลุมทั่วไป แต่เด็กคนนั้นก็ยังตัวสั่นอย่างรุนแรง
เฉินผิงอันรีบม้วนชายแขนเสื้อสองข้างขึ้น ม้วนไปจนแทบจะถึงไหล่ ก่อนจะลูบศีรษะของเด็กคนนั้นเบาๆ
เฉินผิงอันไม่พูดอะไร
บนโลกนี้มีความยากลำบากหลากหลายรูปแบบ แม้ว่าผลกรรมในอดีตชาติเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็น่าจะรอให้เด็กๆ โตขึ้นจนรู้ความก่อนกระมัง?
เฉินผิงอันรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ถูก แบบนี้ไม่ดี
เพราะเขาสามารถรับรู้ความรู้สึกนี้ได้ดีที่สุดเหมือนเผชิญด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันดึงมือกลับ ใช้หลังมือเช็ดดวงตา หันหน้าไปมองลู่ไถแล้วถามว่า “มีวิธีหรือไม่?”
ลู่ไถเดินมาหาช้าๆ ไม่ได้มีท่าทางผ่อนคลายสบายใจอย่างก่อนหน้านี้อีก พยักหน้ารับกล่าวว่า “เจ้ามียันต์ปราณหยางส่องไฟไม่ใช่หรือ ขอแค่วาดยันต์นี้ย้อนกลับก็จะกลายมาเป็นยันต์ปราณหยินนำทาง จากนั้นข้าก็จะวาดยันต์ข้ามฟากสู่ยมโลกอีกแผ่นหนึ่ง ก็จะถือว่าช่วยโปรดสัตว์เจ้าเด็กน้อยพวกนี้ ยันต์แผ่นนั้นที่เจ้าวาดก็เพื่อโน้มน้าววัตถุหยินที่ยังไม่มีสติปัญญาเหล่านี้ ให้พวกมันอาศัยสัญชาตญาณลุกขึ้นมาเดินด้วยตัวเอง ส่วนยันต์แผ่นนั้นของข้าก็เพื่อเปิดประตูบานหนึ่งให้กับพวกมัน พวกมันจะได้มีทางให้เดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง”
ในใจเฉินผิงอันเรียกกระบี่บินสืออู่กลับมาเบาๆ
มันจึงพุ่งกลับมาจากอีกฝั่งหนึ่งของตรอก
เฉินผิงอันเอากระดาษยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งและเหล็กหมาดหิมะออกมาจากวัตถุฟางชุ่น แล้วจึงนั่งลงขัดสมาธิ มือหนึ่งถือพู่กัน อีกมือหนึ่งวางกระดาษไว้กลางฝ่ามือ เริ่มทดลองวาดยันต์ปราณหยางส่องไฟย้อนกลับตามการชี้นำของลู่ไถ แต่เป็นเพราะจิตใจไม่นิ่ง สุดท้ายจึงล้มเหลว ลู่ไถเองก็ไม่ได้พูดอะไร เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หยิบกระดาษยันต์ออกมาอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ผล สำหรับเฉินผิงอันที่ได้ฝึกวิชาหมัดแล้ว นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างถึงที่สุด
ขนาดตัวเฉินผิงอันเองยังรู้สึกเลื่อนลอย
ลู่ไถถอนหายใจหนึ่งครั้ง
เพราะเศษเสี้ยวหนึ่งบนกระจกหัวใจของเฉินผิงกำลังสั่นไหว
ลู่ไถเอาพัดไม้ไผ่ออกมาโบกเบาๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ โดยไม่ได้แม้แต่จะมองเฉินผิงอัน “อย่าเอาตัวเองไปวางไว้ในทุกเรื่องและทุกคน ต้องหัดเรียนรู้ที่จะทำตัวเป็นคนนอกบ้าง”
“ไม่ต้องรีบร้อนวาดยันต์ ทนลำบากมาได้ตั้งหลายปีขนาดนี้ เจ้าตัวน้อยพวกนั้นคงไม่ถือสาหากต้องรออีกสักครู่หนึ่ง”
ลู่ไถพัดลมเย็นสดชื่น ช่วยให้ตรอกที่อบอวลไปด้วยปราณหยินและลมชั่วร้ายแห่งนี้ได้รับแสงอาทิตย์ที่มองไม่เห็นซึ่งแทรกซอนลงมาผ่านเมฆดำเหนือศีรษะ เอ่ยเนิบช้าว่า “รอให้เรื่องของทางฝั่งนี้คลี่คลาย ข้าจะไปหาฮูหยินของเจ้าประมุขที่หอหลักโดยตรง เฉินผิงอัน เจ้าไม่ต้องตามข้าไป เพราะข้าต้องการให้เจ้าช่วยสลายควันดำรวมไปถึงพวกวัตถุหยินที่แอบซ่อนอยู่ในที่มืด ตบะอาจจะไม่ต่ำนัก ทางฝ่ายของข้า เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
ลู่ไถเงยหน้ามองฟ้า “พอจะแน่ใจในความจริงได้คร่าวๆ แล้ว การที่ป้อมอินทรีบินมีธาตุหยินรุ่งโรจน์ธาตุหยางเสื่อมโทรมมาตลอดหลายสิบปีนี้ เป็นเพราะเกิดจากความตั้งใจของใครบางคน เพื่อให้ฮูหยินของเจ้าประมุขที่เกิดมาก็มีธาตุหยินเข้มข้นคนนั้นตั้งครรภ์ทารกผีที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบสักครั้ง ซึ่งจะถือกำเนิดขึ้นมาในช่องโพรงหัวใจของหญิงสาว ไม่ใช่การตั้งท้องสิบเดือนเหมือนสตรีทั่วไป จำเป็นต้องใช้เวลาหลายปี กินเลือดลมและพลังต้นกำเนิดของหญิงสาวเป็นอาหาร คำสุภาษิตที่บอกว่าผีร้ายถือกำเนิดขึ้นในใจก็หมายถึงสถานการณ์เช่นนี้ ฮูหยินคนนั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตน ดังนั้นพลังต้นกำเนิดจึงไม่มากพอ นี่จึงเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดมากมายขึ้นในป้อมอินทรีบิน ก็เพื่อช่วยต่อชีวิตให้หญิงสาว เมื่อใดที่ทารกผีแหวกหัวใจนางออกมา นั่นก็คือเวลาตายของนาง และนี่ยังเป็นการสร้างบาปกรรมที่ลึกล้ำอย่างยิ่ง เมื่อสตรีผู้นั้นตายไป ก็อย่าได้หวังว่าวิญญาณของนางจะได้รับความสงบสุข ตอนมีชีวิตอยู่ อยู่ไม่สู้ตาย พอตายไปก็ตายไม่สู้อยู่ น่าเวทนายิ่งนัก”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วแน่น
ลู่ไถเอ่ยช้าๆ “ตามคำบันทึกในตำราลัทธิเต๋าที่เก็บไว้ในหอหนังสือของบ้านข้า หากสิ่งสกปรกเช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นมา ก็จะมีตบะขอบเขตหก รับมือได้ยากยิ่ง เพราะเดี๋ยวมันก็รวมร่างเดี๋ยวก็แยกย้าย เว้นเสียจากว่าจะฆ่าให้ตายด้วยการโจมตีเดียว หาไม่แล้วก็ยากที่จะกำจัด มันชอบกินอวัยวะภายในของมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ หากไม่มีใครจัดการกับมัน ไม่ต้องถึงหนึ่งร้อยปี ขอแค่ให้มันกินคนหลายแสนคนในหลายๆ เมืองก็จะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิดได้อย่างราบรื่น เดิมทีทารกผีก็จับตัวได้ยากมากอยู่แล้ว ถ้าเป็นทารกผีขอบเขตเซียนดินตนหนึ่ง เกรงว่าหากไม่มีเซียนดินสามท่านร่วมมือกันสังหาร ก็อย่าได้หวังว่าจะถอนรากถอนโคนมันได้ ถ้าผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งเป็นฝ่ายเดินเข้าหามันเพียงลำพัง ก็มีแต่จะตกเป็นเหยื่อของมันเท่านั้น”
ลู่ไถหัวเราะเสียงเย็น “วิธีการเช่นนี้ไม่นับเป็นอะไรได้ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แต่หากมาอยู่ที่ใบถงทวีปก็ถือว่าลงทุนอย่างมากแล้ว”
จากนั้นลู่ไถก็ไม่พูดอะไรอีก มือโบกพัด ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า
เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าสามารถวาดยันต์ต่อได้แล้ว”
ลู่ไถชำเลืองตามองเฉินผิงอันที่อยู่ข้างกายแล้วคลี่ยิ้ม
ครั้งนี้ในที่สุดก็ทำสำเร็จ! เฉินผิงอันปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วเตรียมจะเก็บยันต์ปราณหยินนำทางชิ้นนั้นลง ลู่ไถมีสีหน้ามึนงง “นี่เจ้าจะทำอะไร?”
เฉินผิงอันตอบ “วัสดุที่ใช้วาดยันต์ไม่สูงมากพอ ข้าแค่เอามาฝึกเขียนเท่านั้น…”
ลู่ไถแย่งยันต์แผ่นนั้นไป พูดเสียงขุ่น “เจ้าโง่หรือไง แค่เจ้าตัวน้อยกลุ่มเดียวเท่านั้น ยันต์แผ่นนี้แผ่นเดียวก็เหลือเฟือ หากดีกว่านี้ ไม่แน่ว่าอาจชักนำให้พวกมันเกิดความละโมบ เลือกที่จะเป็นผีเร่ร่อนอยู่ระหว่างโลกมนุษย์และยมโลกต่อไป นั่นกลับจะทำให้เรื่องเลวร้าย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ส่งเหล็กหมาดหิมะด้ามเล็กให้กับลู่ไถก่อน ก่อนจะหยิบแผ่นยันต์ออกมาก็ถามว่า “ถึงอย่างไรยันต์ข้ามฟากสู่ยมโลกแผ่นนั้นของเจ้าก็ต้องแหวกเส้นแบ่งระหว่างหยินและหยาง ไม่เหมือนกับยันต์นำทางที่เรียบง่ายแผ่นนี้ของข้า ดังนั้นวัสดุที่ใช้วาดยันต์ยิ่งดีเท่าไหร่ก็ยิ่งศักดิ์สิทธิ์มากเท่านั้นใช่หรือไม่?”
ลู่ไถขยับปากจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันรู้คำตอบแล้ว จึงหยิบกระดาษยันต์สีทองแผ่นหนึ่งออกมา
ลู่ไถไม่ได้รับมา แต่ถามว่า “คุ้มแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ลู่ไถกลับส่ายหน้า “ข้ารู้สึกว่าไม่คุ้ม”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเด็กน้อยที่นั่งเรียงกันสองแถวใต้กำแพงแล้วหันกลับมายิ้มกว้างให้ลู่ไถ สายตาเด็ดเดี่ยว “เจ้าใช้กระดาษยันต์แผ่นนี้ให้วางใจเถอะ แต่อย่าวาดผิดเด็ดขาดเชียว”
ลู่ไถถอนหายใจหนึ่งที หลับตากลั้นหายใจทำสมาธิอย่างจริงจังก่อนครู่หนึ่งแล้วถึงลืมตาขึ้น กำเหล็กหมาดหิมะไว้แน่น ครั้นจึงวาดยันต์ข้ามฟากลงบนกระดาษสีทอง นี่เป็นยันต์เฉพาะของสกุลลู่สำนักหยินหยางทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ภาพที่วาดคือเรือแจวหนึ่งลำ บนเรือมีผู้เฒ่าถือไม้พาย สองข้างของแผ่นยันต์ต่างก็มีตัวอักษรโบราณเรียงกันฝั่งละแถว
เฉินผิงอันเชื่อมั่นในยันต์ที่ลู่ไถวาด เขาหันหน้าไปมองเด็กกลุ่มนั้น
เคยมีคนผู้หนึ่งได้ยินสามคำว่า ‘ไม่คุ้มค่า’ ในร้านตระกูลหยาง
เฉินผิงอันมองเด็กเหล่านั้นก็เหมือนมองเห็นตัวเองหลายสิบคนที่กำลังรอคอยคำตอบ
ครู่หนึ่งต่อมา ลู่ไถก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทำสำเร็จแล้ว!”
ลู่ไถคืนเหล็กหมาดหิมะมาให้ หลังจากนั้นคนทั้งสองก็ลุกขึ้นยืน เฉินผิงอันคีบยันต์ปราณหยินนำทางขึ้นมา พอกรอกปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งเข้าไปแล้ว ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ไหลวนไปทั่วยันต์ เส้นแสงนั้นบอบบางอ่อนโยน เมื่อเทียบกับยันต์ปราณหยางส่องไฟแล้วก็เป็นภาพเหตุการณ์สองอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แล้วก็จริงดังคาด หลังจากที่ยันต์นำทางปรากฏตัว เด็กๆ ที่นั่งอยู่ตรงกำแพงต่างก็พากันเงยหน้าขึ้นอย่างมึนงง มองยันต์ในมือของเฉินผิงอันด้วยสายตาเหม่อลอยที่เต็มไปด้วยความคิดถึงและชื่นชอบ
ลู่ไถโยนยันต์ข้ามฟากสู่ยมโลกกระดาษสีทองแผ่นนั้นไปยังกำแพงที่ก่อขึ้นจากโครงกระดูกซึ่งตั้งอยู่สุดตรอก ยันต์แนบติดไปบนกำแพง กรอบสี่ด้านของยันต์ต่างก็มีเส้นสีทองเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น ส่วนพื้นที่ตรงใจกลางของยันต์ก็เริ่มหายไป เส้นสีทองขยายกว้างออกไปด้านนอกอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายกลายมาเป็นกรอบประตูสีทองบานหนึ่ง
ลู่ไถบอกให้เฉินผิงอันที่ถือยันต์นำทางเดินไปทางประตูใหญ่บานนั้น และต้องเดินอย่างเชื่องช้า
เหล่าวัตถุหยินเด็กน้อยพากันลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามเฉินผิงอันที่นำทางอยู่ด้านหน้า เดินไปยังปลายทางของตรอก
ลู่ไถนั่งอยู่บนขั้นบันไดหน้าบ้าน มือข้างหนึ่งเท้าคางมองแผ่นหลังของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันทำตามคำสั่งของลู่ไถโดยการนำยันต์ปราณหยินนำทางไปวางในประตูใหญ่ และเมื่ออยู่เหนือธรณีประตูพอดี ยันต์นั้นก็หยุดลอยนิ่งไม่ขยับอีก
เด็กน้อยวัตถุหยินหลายสิบตนพากันทยอยเดินเข้าไปข้างใน บ้างตนก็กระโดดโลดเต้น บางตนก็เดินโยกร่าง และยังมีเด็กที่โตบางตนจูงมือเด็กที่อายุน้อยกว่า
หลังจากพวกมันทยอยกันเดินเข้าไปในประตูใหญ่แล้ว ทันใดนั้นศีรษะทั้งหมดที่เบียดกันอยู่ด้านหลังธรณีประตูก็หันมาส่งยิ้มให้กับเด็กหนุ่มชุดขาวที่ยืนอยู่นอกประตู
แม้ว่าพวกมันจะเป็นวัตถุหยิน แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มในเวลานี้กลับสดใสไร้เดียงสายิ่งนัก
ลู่ไถมองไม่เห็นสีหน้าของเฉินผิงอัน
นางที่สวมชุดสีเขียวของบุรุษ แท้จริงแล้วชื่อจริงคือ “ลู่ไถ” ไถที่แปลว่ายกขึ้นสูง (ตรงข้ามกับไถเดิมที่บอกว่าหมายถึงแท่น/ดาดฟ้า) ราวกับต้องการจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับ “ลู่เฉิน” (เฉินของชื่อลู่เฉินแปลว่าจมลง/ลึก/หนักหน่วง) ผู้เป็นบรรพบุรุษอย่างไรอย่างนั้น
นางเห็นแค่ว่าเฉินผิงอันโบกมืออำลาเด็กๆ พวกนั้น