บทที่ 301 ยุทธภพชั่วร้าย
กว่าที่ทุกคนจะบุกสังหารเปิดทางเลือดผ่านมาถึงนอกศาลบรรพชนสกุลหลวนได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากที่ผู้เฒ่ามอซอร่ายเวทลับที่ได้รับการสืบทอดมาจากอดีตเจ้าประมุขของป้อมอินทรีบินใส่ถ้วยสองใบที่บรรจุเลือดสดของลูกหลานสกุลหลวนเอาไว้ ผู้เฒ่าก็รออยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับต้องทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น พึมพำอย่างตื่นตระหนก “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ไม่ควรเป็นอย่างนี้สิ…”
สองพี่น้องสกุลหลวนที่ทั่วร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีหน้าซีดขาว นักพรตหนุ่มพูดปากสั่น “ไม่รู้ว่าภูตผีปีศาจพวกนั้นใช้วิธีชั่วร้ายอะไร ถึงเผาผลาญปราณวิญญาณที่อยู่ในสิงโตหินสองตนจนหมดสิ้นไปนานแล้ว”
ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองทะเลเมฆทางสนามฝึกยุทธ์ ขุนเขาลดตัวลงต่ำ พายุหมัดพัดตะลุยรับศัตรู เหนือทะเลเมฆยิ่งมีปราณกระบี่ตัดสลับวนเวียน
ผู้เฒ่าพลันบังเกิดความหวังอันเลือนรางเสี้ยวหนึ่ง ดิ้นรนลุกขึ้นยืน พูดกับหนุ่มสาวทั้งสี่คนว่า “พวกเจ้าสี่คนรีบออกไปจากป้อมอินทรีบินซะ ก่อนหน้านี้เป็นพวกเจ้าที่ช่วยคุ้มกันข้ามาตลอดทาง ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าจะช่วยคุ้มกันพวกเจ้าไปส่งบ้างแล้ว พวกเจ้าจงคิดซะว่านี่เป็นการจากไปเพื่อเหลือสายเลือดของป้อมอินทรีบินเอาไว้ ไม่ต้องลังเลแล้ว รีบไปจากที่นี่ ไปไกลเท่าไหร่ยิ่งดี วันหน้าก็ไม่ต้องคิดจะแก้แค้น!”
เถาเสียหยางไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้นยืน เขาเงยหน้ามองสตรีสกุลหลวนที่ตัวเองปักใจรักมาเนิ่นนาน พูดด้วยเสียงแหบแห้ง “หลวนซู เจ้าไปกับหลวนฉางเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่ ขึ้นเหนือล่องใต้ท่องไปทั่วยุทธภพมานานหลายปี รู้สึกเหนื่อยแล้วจริงๆ วันนี้ข้าไม่ไปไหนแล้วล่ะ”
นักพรตหนุ่มกำลังจะเปิดปากพูด เถาเสียหยางกลับส่ายหน้าให้เขา “หวงซ่าง ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้าหรอก ข้าตัดสินใจดีแล้ว!”
นักพรตเฒ่าถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วพาลูกศิษย์กับสองพี่น้องสกุลหลวนบุกฆ่าไปตลอดทาง มุ่งหน้าสู่ประตูทิศเหนือของป้อมอินทรีบิน
เถาเสียหยางนั่งขัดสมาธิ หันหน้าเข้าหาประตูใหญ่ของศาลบรรพชน เริ่มใช้ชายแขนเสื้อเช็ดดาบยาว
หวงซ่างวิ่งตะบึงไปเบื้องหน้าพร้อมกับพวกอาจารย์ สายตาของเขาพร่าเลือน ไม่กล้าหันหลังกลับไปมองผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มคนนั้นแม้แต่ครั้งเดียว
หลวนซูพลันหันหน้ากลับไปมองแผ่นหลังที่สิ้นหวังของบุรุษที่ตัวเองคุ้นเคยดี ในใจเกิดความเวทนาสงสาร คำพูดนับพันนับหมื่นขึ้นมารออยู่ที่ปาก แต่สุดท้ายกลับสลายไปดั่งหมอกควัน
ระหว่างความเป็นความตาย นิสัยแท้จริงของคนมักจะเปิดเผยให้เห็นได้ดีที่สุด
หญิงสาวถูกพี่ชายกระชากให้วิ่งไปด้วยกัน ไม่มัวหยุดยืนเฉยอยู่อีก
เถาเสียหยางก้มหน้าลงจ้องมองใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนจากคมมีดแวววาว แล้วกระตุกมุมปาก ก็ยังไม่ชอบอยู่ดีสินะ
……
วินาทีที่ทารกผีถูกพัดไม้ไผ่ของลู่ไถแทงทะลุหัวใจตาย เสียงร้องโหยหวนก็ดังออกไปจากห้องโถงหลัก เหนือทะเลเมฆสีดำนอกหอเรือน ผู้เฒ่ากวานสูงไม่มัวมาสนใจการบินโจมตีฉวัดเฉวียนอย่างกำเริบเสิบสานจากกระบี่บินสองเล่มอีกต่อไป เขาเผยตัวอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ไม่น่ามองถึงขีดสุด โมโหจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง แม้แต่กวานสูงเหนือศีรษะก็ยังสั่นคลอนตามไปด้วย ทะเลเมฆที่เกือบจะกลบทับหลังคาสูงก็ยิ่งซัดตลบอบอวลเหมือนน้ำเดือดพล่าน
ผู้เฒ่าหันไปคำรามใส่หอหลักอย่างเดือดดาล “เศษสวะ เศษสวะ! จะเก็บเจ้าไว้ทำซากอะไร?!”
ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไปแล้วพลันบีบแน่น
บุรุษถือแส้ที่กำลังรับมือกับกระบี่บินสองเล่มอย่างยากลำบากอยู่ในห้องโถงใหญ่ ช่วงแรกเริ่มที่ฝากตัวเป็นศิษย์ เขาก็ถูกผู้เฒ่าใช้เวทลับของสำนักควบคุมไว้แล้ว เวลานี้อยู่ดีๆ หัวใจของบุรุษก็ระเบิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ จากนั้นจิตวิญญาณของเขาก็แหลกสลายในเสี้ยววินาที กระดูกและเนื้อแยกออกจากกัน เลือดสดก็ยิ่งถูกดูดดึงไปจนเกลี้ยง กลายมาเป็นลูกกลมสีแดงสดขนาดใหญ่ลูกหนึ่งที่พุ่งชนไปรอบด้านโดยไม่สนใจสิ่งใด การระเบิดแตกของมหาสมุทรลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งทำให้ยันต์ของลู่ไถที่เข้ายึดครองพื้นที่ระเบิดแตก สั่นสะเทือนราวกับจะร่วงกราวลงมา รอจนเลือดสดพุ่งออกไปด้านนอกก็เหมือนสกุณากลับคืนรังที่พยายามจะบินไปหาผู้เฒ่าบนทะเลเมฆด้านนอก
ลู่ไถขมวดคิ้ว เก็บเจินเจียนและม่ายกวางกลับมาเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เปรอะเปื้อนเลือดที่สกปรกเหล่านั้น เพราะหากโดนพวกมันขึ้นมา ถึงเวลานั้นย่อมไม่ได้ง่ายดายแค่เผาผลาญวัตถุดิบวิเศษอย่างเดียวเท่านั้น เขาไม่กรอกปราณวิญญาณใส่ยันต์เหล่านั้นอีก ดังนั้นเลือดสดจึงเหมือนแม่น้ำสายหนึ่งที่ไหลยาวจากห้องโถงใหญ่ไปยังผู้เฒ่ากวานสูงที่อยู่บนทะเลเมฆ ไหลกรูกันเข้าหาฝ่ามือของผู้เฒ่า
ผู้เฒ่าเหมือนคนหิวกระหายที่กินอิ่มหนำไปหนึ่งมื้อ ดวงตาทั้งคู่สาดประกายสีเลือด สะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง ลมปราณสีแดงฉานสองขุมก็พรั่งพรูออกจากชายแขนเสื้อใหญ่ ทันใดนั้นลมพายุก็พัดกระพือฮือโหมจนชูอีสืออู่สองกระบี่บินปลิวล่องลอยอยู่ในทะเลเมฆ
ผู้เฒ่ากวานสูงสีหน้าดุร้าย ก้มหน้าลงมองขุนเขากลางที่ยังไม่สัมผัสพื้นแล้วคำรามกร้าวอย่างเดือดดาล “ดิ้นรนก่อนตาย! เดิมทีนึกว่าเมื่อผีร้ายเพิ่งถือกำเนิด ย่อมไม่มีความอยากอาหาร จึงคิดจะใช้ขุนเขากดทับร่างเจ้า ค่อยๆ คั้นแก่นเลือดออกมาทีละนิด ในเมื่อตอนนี้เจ้าทำให้การใหญ่ของข้าผู้อาวุโสพังพินาศไปหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าผู้อาวุโสก็จะไม่มัวพิถีพิถันอยู่อีก! ไปตายซะ!”
ลู่ไถมายืนอยู่บนดาดฟ้าของหอหลักป้อมอินทรีบินแล้ว เขาควบคุมกระบี่บินสองเล่มให้พุ่งเข้าหาผู้เฒ่าที่อยู่บนทะเลเมฆ หัวเราะเสียงดังอย่าสาสมใจ “เจ้าโจรเฒ่า! ภูเขาไท่ผิง (*ขออนุญาตเปลี่ยนจากไท่ผิงซานเป็นภูเขาไท่ผิง) ของข้ารอวันนี้มานานมากแล้ว!”
สีหน้าของผู้เฒ่าแข็งค้าง แต่แล้วก็หัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง “ต่อให้วันนี้ข้าผู้อาวุโสต้องมาตายอยู่ที่นี่ ก็จะต้องให้ผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์ของภูเขาไท่ผิงอย่างพวกเจ้าสองคนตายตกไปตามกันให้จงได้!”
มือข้างหนึ่งของผู้เฒ่าโบกชายแขนเสื้อไม่หยุด พยายามขัดขวางการลอบสังหารจากกระบี่บินสี่เล่มอย่างชูอีสืออู่ ส่วนอีกมือหนึ่งกำเป็นหมัดต่อยลงไปด้านล่างสุดแรง “ไอ้เด็กเปรต จะตายหรือไม่ตาย?!”
สีหน้าของลู่ไถเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดในใจหนึ่งคำว่า “ไป” เข็มขัดหลากสีเส้นหนึ่งบินจากดาดฟ้า ร่วมมือกับเชือกพันธนาการปีศาจที่เป็นดั่งเจียวหลงสีทองรัดพันภูเขา พากันกระชากขุนเขากลางขึ้นไป จะปล่อยให้มันรวมกับขุนเขาอีกสี่ลูกที่ลงหลักปักฐานอยู่บนพื้นดินแล้วไม่ได้เด็ดขาด ถึงเวลานั้นหากห้าขุนเขารวมกันเป็นค่ายกลใหญ่ อย่าว่าแต่เฉินผิงอันคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่เลย ต่อให้เป็นร่างกายและจิตวิญญาณของขอบเขตหก เกรงว่าก็คงถูกบดขยี้กลายเป็นก้อนเนื้อเละๆ ทั้งเป็นเช่นกัน
ลู่ไถตวาดกร้าวอย่างเดือดดาล “จงขึ้นให้ข้า!”
ภูเขาเริ่มขยับขึ้นไปหลายฉื่อ
“ใครบ้างที่สู้สุดชีวิตไม่เป็น?!” ผู้เฒ่ากวานสูงคนนั้นไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระที่มีชื่อเสียงความดุร้ายเลื่องลือ เขาลุกขึ้นยืนพลางหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน หลังเก็บเบาะนั่งใบนั้นไปแล้ว ร่างกายครึ่งร่างก็แห้งเหี่ยวเหมือนไม้เฉาทันที อีกทั้งยังกลายเป็นเถ้าธุลีที่ลอยกระจายหายไปอย่างต่อเนื่อง ผู้เฒ่ายังคงไม่สนใจใยดี เขาพุ่งตัวไปยังขุนเขากลาง พอสองเท้าสัมผัสกับยอดเขาก็กระแทกร่างกดทับลงไป ทำให้ยอดเขาที่ถูกเข็มขัดห้าสีและเชือกพันธนาการปีศาจรั้งตัวไว้สัมผัสกับพื้นได้สำเร็จ!
เมื่อขุนเขากลางร่วงลงบนพื้น ตลอดทั้งป้อมอินทรีบินก็สั่นสะเทือนไม่หยุด เป็นเหตุให้เทือกเขานอกป้อมเริ่มแตกร้าว
เชือกพันธนาการปีศาจสีทองก็เลื่อนไถลลงไปเบื้องล่างอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ผู้เฒ่ากวานสูงหัวเราะฮ่าๆ แค่ยื่นมือไปคว้า เชือกพันธนาการปีศาจก็เข้ามาอยู่ในมือ
หลังจากที่ขุนเขาทั้งห้ารวมตัวกัน ค่ายกลใหญ่ก็ถูกจัดวางสำเร็จ ลู่ไถที่อยู่บนดาดฟ้ากระอักเลือดหนึ่งครั้ง เซถลาไปด้านหน้าหลายก้าว ก่อนจะลนลานคว้าจับราวระเบียงไว้ด้วยนิ้วมือที่สั่นระริก เปิดปากอย่างยากลำบาก “กลับมา…”
เข็มขัดห้าสีที่เดิมทีพันธนาการขุนเขากลางหมดประกายแสงเจิดจ้าอันงดงาม เริ่มกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมแล้วพุ่งตัวไปทางหอหลัก ดวงตาของผู้เฒ่าเป็นประกายจ้า ยื่นมือออกไปอีกครั้ง กระชากเข็มขัดเข้ามาอยู่ในมือ เพิ่งจะได้เชือกพันธนาการปีศาจมา คราวนี้ยังมาได้เข็มขัดห้าสีที่แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องเป็นสมบัติอาคมอย่างแน่นอนอีก สวรรค์ไม่เคยไร้ทางให้คนเดินจริงๆ แม้ว่าครั้งนี้จะยังขาดทุนอย่างหนัก แต่จะดีจะชั่วก็ไม่ถึงขั้นขาดทุนย่อยยับ
ผู้เฒ่ากลับไปนั่งขัดสมาธิดังเดิม เบาะรองนั่งปรากฎขึ้นมาจากความว่างเปล่า เมื่อผ่านศึกครั้งนี้ ปราณวิญญาณในกวานสูงห้าขุนเขาบนศีรษะจึงเบาบางเต็มที
ตรงทะเลเมฆเหนือศีรษะมีเพียงกระบี่สองเล่มหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กของผู้ฝึกกระบี่บนหอหลักที่ยังพยายามดิ้นรน ส่วนกระบี่จิ๋วสองเล่มก่อนหน้านี้ อันที่จริงผู้เฒ่ากวานสูงคอยจับสังเกตอย่างลับๆ อยู่ตลอดเวลา หลังจากที่ขุนเขากลางกดทับเด็กหนุ่มชุดทองคนนั้นได้สำเร็จ กระบี่บินก็ร่วงดิ่งลงไปบนพื้นในตรอกสองแห่งที่ห่างออกไป น่าจะสูญสลายไปแล้ว ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
แค้นใหญ่ในวันนี้ได้ชำระ ผู้เฒ่าสะใจไม่น้อย ข้อแรกเขาไม่จำเป็นต้องควบคุมค่ายกลใหญ่ที่เป็นรูปห้าขุนเขาอีกต่อไป สองคือต้องรีบไปเอาชุดคลุมอาคมสีทองบนศพของเด็กหนุ่มมา จากนั้นก็รีบหนีไปจากป้อมอินทรีบิน จะได้ไม่ต้องถูกพวกตะพาบเฒ่าจากสำนักฝูจีหรือภูเขาไท่ผิงมาดักสังหารกลางทาง ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นดั่งสุนัขไร้บ้านเหมือนอย่างในปีนั้นอีก
เรื่องมาถึงขั้นนี้ แต่ก็ยังไม่มีบุรพาจารย์ขอบเขตโอสถทองหรือก่อกำเนิดของภูเขาไท่ผิงลงมือ ดูท่าเด็กเปรตสองคนที่หนึ่งตายหนึ่งบาดเจ็บนี้คงประมาทเกินไป ถึงได้มอบโอกาสให้ตนจากไปอย่างปลอดภัย แต่เด็กหนุ่มสองคนนี้ต้องเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดระดับต้นๆ ของภูเขาไท่ผิงแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจเป็นลูกศิษย์ผู้ภาคภูมิใจของเจ้าขุนเขา ถึงได้กล้าเอาสมบัติอาคมที่มีอยู่เต็มตัวออกมาโอ้อวดผู้คนเช่นนี้
หากไม่เป็นเพราะตนกับภูเขาไท่ผิงผูกปมแค้นที่ไม่ตายก็ไม่ยอมเลิกราไว้นานแล้ว เกรงว่าป่านนี้ตนคงต้องหลบลี้หนีให้ห่างอีกฝ่ายไปแล้ว
ผู้เฒ่ากวานสูงท่องคาถา ‘เก็บภูเขา’ เงียบๆ ขุนเขาทั้งห้าก็พลันทะยานขึ้นสูงทันที ก่อนจะลดขนาดลงเรื่อยๆ สุดท้ายหวนกลับเข้าไปในกวานสูงห้าขุนเขาอีกครั้ง
ผู้เฒ่าด้านหนึ่งโบกชายแขนเสื้อควบคุมทะเลเมฆขัดขวางกระบี่บินสองเล่มของลู่ไถอย่างเจินเจียนและม่ายกวาง
อีกด้านหนึ่งก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะ หัวเราะพลางลดตัวลงต่ำไปยังสนามฝึกยุทธ์
บนพื้นมีแสงสีทองสว่างจ้าอยู่กลุ่มหนึ่ง คล้ายชุดสีทองตัวหนึ่งที่ตากอยู่บนราวไม้ไผ่แล้วไม่ทันระวังร่วงหล่นลงมาปูแผ่อยู่บนพื้น
ทั้งที่สมบัติอาคมอยู่ตรงหน้า แค่เอื้อมมือไปคว้าก็ถึง แต่ผู้เฒ่ากวานสูงกลับหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง มือทั้งคู่ตบเข้าหากันกลางอากาศ ทั้งคนและเบาะรองนั่งต่างก็ลอยพรวดขึ้นด้านบน ผ่านการต่อสู้มาพักใหญ่ รวมไปถึงปราณวิญญาณของตัวผู้เฒ่าเองก็ถดถอยลดน้อยไป ทะเลเมฆสีดำที่เหลือไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสิบจึงไหลกรูเข้าหาผู้เฒ่าอย่างรวดเร็ว
แสงสีทองกลุ่มนั้นที่อยู่บนพื้นสนามประลองยุทธ์กระโดดผลุงขึ้นมาจากหลุมใหญ่ใต้ดินที่พอให้คนคนหนึ่งนอน เสียงตะโกนดังขึ้น “ลู่ไถ ขอข้ายืมใช้เจินเจียนหน่อย!”
ลู่ไถไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแม้แต่นิด ดวงจิตขยับเพียงเล็กน้อย เจินเจียนกระบี่บินเล่มยักษ์ก็มาปรากฎอยู่ใต้เท้าของเฉินผิงอัน
ก่อนหน้านี้นับตั้งแต่ที่ชูอีสืออู่ ‘ร่วงลงพื้น’ อันที่จริงลู่ไถก็ค้นพบเบาะแสแล้ว เฉินผิงอันเคยบอกว่า พวกมันคือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต แต่กลับไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอัน ดังนั้นหากเฉินผิงอันตายจริงๆ ชูอีกับสืออู่มีแต่จะยิ่งทุ่มสุดชีวิตสังหารศัตรู มีเพียงเฉินผิงอันแกล้งตายเท่านั้นถึงจะจงใจให้กระบี่บินสองเล่มร่วมแสดงละคร
หลังจากนั้นเชือกพันธนาการปีศาจก็ ‘แกล้งตาย’ เช่นกัน ลู่ไถต้องอดทนอย่างยากลำบากถึงจะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้
วาดกระบวยตามรูปน้ำเต้า (อุปมาว่า ลอกแบบ/เลียนแบบ) ลู่ไถที่ความคิดดีๆ พลันบังเกิดจึงจงใจปล่อยให้เข็มขัดหลุดจากการควบคุม ปล่อยให้ผู้เฒ่ากวานสูงดึงเอาไป
ผู้เฒ่าหนีไปอย่างว่องไว แต่ชูอีกับสืออู่ที่แอบซ่อนตัวอยู่บริเวณใกล้เคียงมานานแล้วกลับเร็วยิ่งกว่า
หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา พวกมันแทงทะลุเบาะนั่งไปในเสี้ยววินาที เป็นเหตุให้ความเร็วในการเผ่นหนีของผู้เฒ่ากวานสูงติดขัดเล็กน้อย
อีกทั้งยังมีม่ายกวางกระบี่บินของลู่ไถมาขัดขวางอยู่กลางอากาศสูง
ที่สำคัญที่สุดคือเข็มขัดห้าสีของลู่ไถและเชือกพันธนาการปีศาจของเฉินผิงอันต่างก็มีชีวิตกลับคืนมา พวกมันพร้อมใจกันรัดพันแขนของผู้เฒ่ากวานสูง เหมือนมีงูหลามสองตัวรัดพันกายผู้เฒ่า
ส่วนเฉินผิงอันก็เหยียบอยู่บนกระบี่บินเจินเจียน บินทะยานไล่กวดผู้เฒ่ากวานสูงและทะเลเมฆไป
ขี่กระบี่บินเดินทางไกล!
แม้ว่าตอนที่ถูกขุนเขากดกำราบจะอาศัยเข็มขัดของลู่ไถถ่วงเวลาไว้ได้ บวกกับที่ตัวเฉินผิงอันเองได้เล็งหาหลุมที่ใหญ่ที่สุดไว้แล้ว ก่อนจะออกหมัด เขากระทืบเท้าให้พื้นดินปริแตกเพื่อสร้างหลุมใหญ่พอให้นอนได้ชั่วคราว หลบพ้นจุดจบที่ร่างเละกระดูกแหลกสลายมาได้ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกปราณยิ่งใหญ่ไพศาลของค่ายกลห้าขุนเขากดทับลงมาจังๆ หน้า เฉินผิงอันที่เหมือนนอนอยู่ในโลงปิดตายก็ไม่ได้รู้สึกดีสักนิดเลย ตอนนี้กระดูกซี่โครงของเขาหักไปหลายท่อน หากไม่เคยชินกับความทรมานมาตั้งแต่ตอนอยู่บนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วแล้วล่ะก็ เวลานี้คงได้แต่มองผู้เฒ่ากวานสูงเผ่นหนีไปคาตาเท่านั้น
ก่อนหน้าที่เฉินผิงอันจะเหยียบกระบี่ ‘บินทะยาน’ ก็ได้ใช้วิชาควบคุมกระบี่ของอาจารย์กระบี่เรียก ‘ชือซิน’ กระบี่ยาวที่ก่อนหน้านี้โยนไว้ด้านข้างมาไว้ในมือ
มีเข็มขัดหลากสีและเชือกพันธนาการปีศาจพันธนาการสองแขนของผู้เฒ่า อีกทั้งวัตถุสองชนิดนี้ยังสามารถแหวกการอำพรางของทะเลเมฆ ชักนำให้กระบี่บินสามเล่มทิ่มแทงเบาะรองนั่งได้อย่างแม่นยำ
นี่เป็นเหตุให้เฉินผิงอันที่แม้จะเพิ่งควบคุมกระบี่ครั้งแรกก็ยังสามารถไล่ตามผู้เฒ่าได้ทัน ครั้นจึงเงื้อกระบี่ฟันใส่ท้ายทอยของอีกฝ่าย
ผู้เฒ่าต้องทุ่มสุดชีวิตแก่ๆ หอบเอาทะเลเมฆพุ่งฉิวไปด้านหน้าถึงจะหลบกระบี่นั้นมาได้อย่างยากลำบาก ทว่าปราณกระบี่ที่เอ่อล้นออกมาก็ยังทิ้งร่องเลือดเส้นหนึ่งไว้บนศีรษะของผู้เฒ่ากวานสูงได้อยู่ดี
ทางฝั่งของดาดฟ้า ลู่ไถกัดฟันกล่าวสองคำว่า ‘บุปผาผลิบาน’ อีกครั้ง แล้วทะยานลมไล่ตามไป อาภรณ์สีเขียวปลิวสะบัดพัดไปตามลม
ความเร็วเหนือกว่ากระบี่บินเจินเจียน
ลู่ไถวาดเส้นโค้งเส้นหนึ่งอยู่กลางอากาศ เพียงแค่ชั่วกะพริบตาสิบกว่าครั้งก็ตัดขาดทางหนีของผู้เฒ่ากวานสูงขอบเขตประตูมังกรผู้นั้นได้
ผู้เฒ่าเคยมีบทเรียนมาก่อนแล้วจึงไม่กล้าฝืนบุกฝ่าออกไป เขาหมุนตัวกลับหมายบินอ้อม แต่กลับถูกเด็กหนุ่มชุดทองที่ออกกระบี่สองครั้งหลังช้าไปหนึ่งเสี้ยวปล่อยหนึ่งกระบี่แทงทะลุหัวใจ จนรู้สึกได้ว่าหัวใจตัวเองเย็นวาบ!
อีกทั้งกระบี่เล่มนี้ยังแปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด!
ทั้งพลังชีวิตและปราณวิญญาณต่างก็ไหลหายไป เพราะถูกกระบี่ยาวที่แทงทะลุร่างดูดดึง
ผู้เฒ่าหยุดชะงัก ทะเลเมฆที่อยู่ใต้เบาะรองนั่งก็หยุดค้างกลางอากาศตามไปด้วย
ก้มหน้าลงมองปลายกระบี่ แล้วยิ้มเศร้า
ผู้ที่เอาชีวิตของข้ากลับไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสี่เล่ม
ผู้ที่ช่วยกระบี่ยาวเล่มนี้เอาชีวิตข้ากลับเป็นแค่ยันต์ย่อพื้นที่ที่ตนดูแคลนแผ่นหนึ่ง
เหตุใดเดี๋ยวนี้พวกเด็กๆ จากตระกูลเซียนที่ในชื่อมีคำว่าสำนักถึงได้เจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งกว่าผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกข้าเสียอีก?
เดิมทีเฉินผิงอันคิดจะฉวยโอกาสปล่อยไปอีกหนึ่งหมัด ต้องต่อยให้ผู้เฒ่ากวานสูงหัวขาดถึงจะมั่นใจเต็มร้อยว่าไม่พลาด แต่ลู่ไถกลับส่งเสียงในใจที่แทบจะใกล้เคียงกับการตะโกนเอ่ยเตือนเฉินผิงอันว่าให้อาศัยกระบี่บินเจินเจียนรีบหนีไป ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี
ผู้เฒ่ากวานสูงจับประคองกวานห้าขุนเขาที่เอียงกะเท่เร่ แล้วก็ไม่คิดจะดึง ‘ชือซิน’ ที่แทงทะลุหัวใจออก แต่หันมามองลู่ไถด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
มือทั้งสองข้างยังคงถูกสมบัติอาคมสองชิ้นพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา พวกมันพยายามสร้างขีดจำกัดในการไหลเวียนลมปราณของผู้เฒ่าอย่างเต็มที่
เบาะรองนั่งขาดวิ่นไม่เหลือสภาพดี เพราะถูกกระบี่บินสามเล่มทิ่มแทงหลายสิบรูจนลมพัดผ่านได้เต็มที่
ลู่ไถยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้เฒ่ากวานสูง ในใจยังหวาดผวาไม่คลาย ตอนนั้นที่แกล้งทำเป็นลูกศิษย์ของภูเขาไท่ผิงก็เพราะอยากจะขู่ให้ตาแก่ผู้นี้ตกใจกลัวแล้วหนีไป ไหนเลยจะคิดว่าพอตนบอกว่ามาจากภูเขาไท่ผิง อีกฝ่ายจะเหมือนหมาบ้าที่กัดคนไม่เลือก อีกอย่างสภาพการณ์ของเฉินผิงอันในตอนนั้นก็เรียกว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายจริงๆ
ลู่ไถสงบจิตใจ พูดเสียงเรียบว่า “อันที่จริงพวกเราไม่ใช่ผู้ฝึกตนของภูเขาไท่ผิง”
ผู้เฒ่ากระตุกมุมปากยิ้มเสแสร้ง “เมื่อครู่ข้าผู้อาวุโสก็คิดจนกระจ่างแล้ว ภูเขาไท่ผิงไม่มีทางสอนคนให้เป็นเหมือนพวกเจ้าสองคนได้”
ทะเลเมฆรอบด้านค่อยๆ สลายหายไป กลับไปมือเปล่า หวนคืนสู่ฟ้าดิน
……
เทพเซียนตีกันมักจะอยู่บนสวรรค์
แต่การพบพรากในแบบที่ทั้งทุกข์และสุขกลับอยู่บนโลกมนุษย์
บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ของป้อมอินทรีบินแปลกประหลาดยิ่ง
หลวนหยางเจ้าปราสาทสามารถขยับตัวได้เป็นปกติแล้ว แต่เขากลับไม่แม้แต่จะชายตามองศพของสตรีที่อยู่บนเก้าอี้ข้างกัน
ผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาชำเลืองตามองฮูหยินเจ้าประมุขด้วยสายตาซับซ้อน ในใจพลันเกิดความเวทนาจึงขยับปากทำท่าจะพูด แต่กลับถูกหลวนหยางใช้สายตาเย็นชาคมปลาบมองกำราบมาเสียก่อน
หลวนหยางใช้มือข้างหนึ่งจับที่เท้าแขนเก้าอี้ประคองตัว พูดเสียงหนัก “เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องโถงใหญ่วันนี้ ใครก็ห้ามเอาไปแพร่งพราย หากใครกล้าปริปากพูดไปแม้แต่คำเดียว ไม่เพียงแต่จะเจอการลงโทษด้วยกฎตระกูล ยังเดือดร้อนให้ทุกคนในครอบครัวถูกตัดมือตัดเท้า แล้วถูกขับออกจากป้อมอินทรีบิน!”
หลวนหยางไม่ได้หันหน้ากลับมา แค่ใช้มือชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ข้างตัว “ฮูหยินเจ็บป่วยเรื้อรัง อาการหนักจนไม่อาจรักษาให้หายได้…”
หลวนหยางหยุดชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดต่อด้วยเสียงเย็นชา “ตายไปแล้วไม่อนุญาตให้ตั้งป้ายวิญญาณไว้ในศาลบรรพชนสกุลหลวนของข้า! ไม่ให้ฝังไว้ใน…”
ทุกคนในห้องโถงใหญ่เงียบกริบราวจักจั่นในหน้าหนาว ไม่มีใครกล้าเอ่ยโต้แย้ง
ในที่สุดอาจารย์ผู้เฒ่าก็ทนไม่ไหว เดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว พูดขัดจังหวะประโยคหลังของหลวนหยางด้วยเสียงเศร้าสลด “เจ้าประมุข ฮูหยินทำผิดก็จริง แต่ขอเจ้าประมุขเห็นแก่ที่ฮูหยินช่วยเหลือสามีอบรมเลี้ยงดูบุตร จัดการกิจธุระในตระกูลตลอดหลายปีมานี้ อนุญาตให้ฝังฮูหยินไว้ที่ภูเขาด้านหลังด้วยเถอะ เจ้าประมุข ถือว่าข้าเหอหยาขอร้องท่านล่ะ…”
กล่าวมาถึงช่วงท้าย ผู้ดูแลเฒ่าที่อุทิศตัวให้แก่ป้อมอินทรีบิน อาจารย์ผู้เฒ่าที่สอนหนังสือให้แก่เด็กๆ รุ่นแล้วรุ่นเล่าผู้นี้ก็ถึงกับสะอื้นจนพูดไม่เป็นคำ
หลวนหยางเดือดดาลอย่างหนัก ตบที่เท้าแขนอย่างแรงจนเก้าอี้ทั้งตัวหักถล่มลงไปครึ่งหนึ่ง สีหน้ามืดทะมึน ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็แค่นเสียงเย็นชากล่าวว่า “เรื่องนี้ไว้ค่อยพูดกันทีหลัง!”
หลวนหยางที่แต่ไรไหนมาปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความสุภาพอ่อนโยน เวลานี้กลับเหมือนสัตว์ร้ายหิวกระหายที่กวาดตามองคนรอบกาย ทำเอาทุกคนที่เห็นรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ รีบพากันก้มหน้า ไม่กล้าสบตากับเขา
“ป้อมอินทรีบินจะรอดไปได้หรือไม่ ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ พวกเจ้าอย่าเพิ่งออกไปจากที่นี่ ใครกล้าออกจากประตูใหญ่ไปโดยพลการ เหอหยา เจ้าสังหารได้เลย!”
หลวนหยางทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วก็ออกไปจากห้องโถงใหญ่เพียงลำพัง เขาเดินขึ้นไปชั้นบน สุดท้ายไปถึงสถานที่ที่ไม่รู้ว่าทำไมบิดาถึงตั้งชื่อว่า ‘ขึ้นดาดฟ้า’ บุรุษที่ชั่วชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยใจแข็งปานหินเหล็กเช่นนี้มาก่อนทอดสายตามองไปไกล พยายามมองให้เห็นผลลัพธ์ของศึกใหญ่ให้ได้ แต่น่าเสียดายที่ตบะวรยุทธ์ของเขาธรรมดา การมองเห็นมีจำกัด มองเบาะแสอะไรไม่ออกเลยสักนิดเดียว เห็นแค่ว่าทะเลเมฆสลายหายไป แสงกระบี่พาดข้ามแผ่นฟ้าเท่านั้น
หลวนหยางกดเสียงต่ำ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “หากทารกผีตนนั้นคลอดออกมาแล้วร้ายกาจอย่างที่พวกเขาพูดกันจริงๆ แล้วถูกป้อมอินทรีบินของข้าควบคุมไว้ได้ แบบนั้นก็ดีน่ะสิ!”
……
นักพรตเฒ่าพาคนทั้งสามหนีออกมาจากป้อมอินทรีบินได้อย่างราบรื่น เข้าป่าลึกขึ้นเหนือไปตลอดทาง คราวนี้เดินทางอย่างสะดวกสะบายไร้อุปสรรคจนน่าแปลกใจ นอกจากผีและวัตถุหยินบางส่วนที่ออกมาก่อกวนแล้วก็ไม่มีปัญหาใหญ่นัก
ไม่เพียงแต่หนุ่มสาวสามคนที่รอดพ้นจากหายนะมาได้ แม้แต่นักพรตเฒ่าเองก็ยังรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก
ทันใดนั้นคนทั้งสี่ก็รู้สึกเลื่อนลอยเหมือนเข้ามาอยู่คนละโลก
ยืนอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่ง หลวนฉางพลันกล่าวว่า “ข้าจะกลับไป”
ผู้เฒ่ามอซอแอบพยักหน้าให้อีกฝ่าย ยังไม่ต้องพูดว่าอีกฝ่ายยังเยาว์หรือไม่ แค่มีความคิดเช่นนี้ก็ถือว่ามีหวังที่จะช่วยทำให้ป้อมอินทรีบินฟื้นกลับมารุ่งโรจน์ได้อีกครั้งแล้ว
หากเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาหนีหัวซุกหัวซุน ผู้เฒ่าไม่มีทางดูแคลนสตรีอย่างหลวนซู แต่กลับจะดูถูกหลานชายของพี่น้องอย่างผู้เฒ่าหลวนแน่นอน
ก่อนหน้านี้ทะเลเมฆที่มืดทะมึนเหมือนน้ำหมึกได้สลายหายไปแล้ว แม้จะยังบอกไม่ได้ว่าป้อมอินทรีบินพ้นจากหายนะแล้วหรือยัง แต่ถึงอย่างไรนี่ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี
ผู้เฒ่าทอดสายตามองไปไกล ใช้วิชาของสำนักสังเกตการณ์สภาพการณ์ที่ปรากฏอยู่เวลานี้ก็เห็นว่าปราณหยินที่เข้มข้นในป้อมอินทรีบินจางหายไปเกือบหมดสิ้นแล้ว
ดังนั้นจึงเอ่ยเกลี้ยกล่อมหลวนฉางว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อนกลับไป ดูเหมือนว่าสถานการณ์ณ์ในวันนี้โชคจะเข้าข้างพวกเราแล้ว ในเวลาเช่นนี้เจ้าจะสร้างปัญหาเพิ่มไม่ได้เด็ดขาด”
หลวนฉางกำด้ามดาบตรงเอวแน่นจนเส้นเลือดสีเขียวบนหลังมือปูดโปน พูดอย่างอัดอั้น “ท่านพ่อท่านแม่ยังตกอยู่ในอันตราย ข้าเป็นบุตรชายกลับนิ่งดูดายก็ไม่สมควรเป็นบุตรของพวกเขา!”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิด กลับกันยังอธิบายอย่างใจเย็นว่า “การเสียสละโดยไร้ความเกรงกลัวหาใช่ความกล้าหาญที่แท้จริงไม่ หลวนฉาง เจ้าต้องเป็นบุรุษเหมือนท่านปู่ของเจ้า มีเพียงช่วงเวลาที่ถอยจนถอยไม่ได้อีกแล้ว เพื่อความชอบธรรม ถึงได้สร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่อย่างการฟันเทวรูปหลิงกวานด้วยดาบเดียว! ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาที่เก็บตัวสันโดษอย่างพวกข้า ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ก็ยังตบโต๊ะร้องชมเชย เรียกขานเขาว่าเป็นวีรบุรุษ ความกล้าหาญนี้ไม่ใช่ความกล้าของบุรุษทั่วไป ไม่ใช่การพาตัวไปตายอย่างเสียเปล่า”
หลวนฉางพยักหน้ารับเงียบๆ
เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มที่ถูกฝากความหวังยิ่งใหญ่จากตระกูลผู้นี้ไม่ได้มีนิสัยดื้อดึงดัน หากจิตใจไม่กว้างขวางพอ ในฐานะเจ้าประมุขคนถัดไปของป้อมอินทรีบิน คงไม่มีทางปล่อยเถาเสียหยางคนต่างแซ่ที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นในทุกๆ วันไว้ในป้อมอินทรีบิน
หลวนซูกระตุกชายแขนเสื้อของหลวนฉางเบาๆ
หลวนฉางเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ “ข้าไม่เป็นไร วางใจเถอะ”
ผู้เฒ่ารู้สึกปลาบปลื้มใจเล็กน้อย
ยุทธภพแบบนี้ถึงจะมีรสชาติ
นักพรตหนุ่มหวงซ่างพึมพำเบาๆ ว่า “อาจารย์ คนต่างถิ่นสองคนนั้นสามารถสังหารมารบนท้องฟ้าได้จริงๆ หรือ?”
ผู้เฒ่าไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนกล่าวว่า “มีความสามารถในการวางแผนใหญ่โตขนาดนี้ พลิกกลับโชคชะตาลมและน้ำในระยะร้อยลี้ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นมารใหญ่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง เวทลับขยับย้ายภูเขาเช่นนั้น อย่าว่าแต่อาจารย์อย่างข้าเลย ต่อให้เป็นอาจารย์ปู่ของเจ้าที่มีความสามารถดั่งฟ้าประทาน ตอนที่มีตบะสูงสุดก็ยังทำไม่ได้ หากคนหนุ่มสองคนนั้นสามารถขับไล่ศัตรูที่แข็งแกร่งให้หนีไปได้ก็ถือว่าโชคดีอย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่ต้องเพ้อฝันเลยว่าจะสังหารศัตรูได้สำเร็จ”
หลุดพ้นอันตรายมาได้ เส้นเอ็นหัวใจที่หดเกร็งมาตลอดเวลาของผู้เฒ่าก็คลายลง สีหน้าจึงแสดงความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ศึกในวันนี้ทำให้จิตใจของนักพรตที่อาศัยอยู่บนภูเขาท่านนี้เหนื่อยล้าอย่างแท้จริง
นักพรตเฒ่าเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง “เว้นเสียแต่ว่านักพรตใหญ่ของสำนักฝูจีจะตามมาทัน อีกทั้งยังต้องมีศักดิ์ไม่ต่ำ ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะขัดขวางยักษ์ใหญ่วิถีมารที่ขี่ทะเลเมฆผู้นั้นได้”
คนทั้งสามสีหน้าหนักอึ้ง หลวนซูกัดริมฝีปากแน่น อารมณ์ซับซ้อนถึงขีดสุด
พ่อแม่ยังตกอยู่ในอันตราย นอกศาลบรรพชนยังมีเจ้าคนโง่ที่ยินดีรอความตายอยู่อีกคน
ต่อให้ตนกับพี่ชายเอาชีวิตรอดไปได้อย่างหวุดหวิด อนาคตก็ยังเลือนรางอยู่ดี จะไปที่ไหน ไปทำอะไร หลวนซูไม่รู้เลยจริงๆ
หวงซ่างสีหน้าหม่นหมอง
ฝึกตนอย่างยากลำบากมาหลายปี ไม่เคยเกียจคร้านแม้แต่นาทีเดียว เดิมคิดว่าพอจะฝึกมรรคกถาได้สำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว ออกมาเผชิญโลกภายนอกนับครั้งไม่ถ้วน ไหนเลยจะคิดว่าต้องเกือบมาทิ้งชีวิตไว้ที่ป้อมอินทรีบินที่เป็นดั่งแดนสุขาวดีแห่งนี้
ผู้เฒ่าทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ลงด้วยการหอบหายใจเสียงดัง จากนั้นก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “แต่ก็วางใจเถอะ หลังจากที่มารร้ายกลับไปมือเปล่าครั้งนี้ต้องดึงดูดความสนใจจากสำนักฝูจีได้แน่นอน ภายในหนึ่งร้อยปี มารร้ายตนนั้นต้องไม่กล้าก่อเรื่องอีกแน่ สำนักฝูจีมีเซียนสองคนที่เป็นคู่บำเพ็ญตนกัน หากไปมีเรื่องกับพวกเขา ไม่ว่าคนใดที่ลงจากภูเขามาก็ล้วนสังหารมารร้ายได้อย่างง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ!”
ดูเหมือนผู้เฒ่ายังไม่สามารถแก่ใจจึงทำท่าพลิกฝ่ามือแล้วพูดกลั้วหัวเราะซ้ำว่า “ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ!”
……
นอกศาลบรรพชน เถาเสียหยางเต็มไปด้วยความกังวลใจ
ไม่ได้กังวลใจที่ป้อมอินทรีบินกลายมาเป็นเหมือนนรกบนดิน
แต่เป็นกังวลว่าครั้งนี้บุรพาจารย์ในตระกูลที่จับตนมาโยนไว้ที่นี่ตั้งแต่ยังเล็กจะเสียหายอย่างหนัก เดือดร้อนให้ตนไม่อาจเติบโตทีละก้าวจนกลายเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งของแคว้นเฉินเซียงได้
สาวงาม เขาต้องการ ยุทธภพ เขาก็ต้องการ
ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจจะมีโอกาสได้ขึ้นไปดูทัศนียภาพบนยอดเขา
บางครั้งที่มีโอกาสแกล้งทำเป็นออกไปท่องในยุทธภพแทนสกุลหลวน เขาก็จะแอบไปพบกับบุรพาจารย์อย่างลับๆ มีครั้งหนึ่งที่บุรพาจารย์ท่านนั้นสอนเขา บอกว่าขอแค่เป็นสิ่งที่ตัวเองชอบ ก็ควรจะคว้ามาไว้ในมือของตัวเอง หากคว้าไว้ไม่อยู่ ก็เลือกเอาว่าจะไม่คิดให้มากความหรือทำลายมันไปเสียเลย
เถาเสียหยางเห็นด้วยอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นว่ารอบด้านไร้ผู้คน เถาเสียหยางที่ปลดหน้ากากลงเผยให้เห็นสีหน้าที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง เขาหยุดความคิดที่วุ่นวายลง สุดท้ายรู้สึกว่าสิงโตหินที่ไร้ประโยชน์คู่นี้เกะกะสายตา จึงฟันฉับลงไปสองที ตัดสิงโตหินออกเป็นสองท่อน ก้อนหินพลันถล่มครืนลงมา
หลังจากระบายความอัดอั้นในใจออกไปแล้ว คนหนุ่มพลันตระหนักได้ว่าตนทำพลาด หากแผนการของบุรพาจารย์ล้มเหลว ไม่เพียงแต่ต้องถอยกลับรังเก่าไปพักฟื้น การกระทำที่แสดงความขุ่นเคืองใจนี้ของตนย่อมเปิดเผยพิรุธได้ง่าย ถ้าตาแก่สมควรตายคนนั้นจับได้ขึ้นมาย่อมไม่เป็นผลดี ดังนั้นเถาเสียหยางผู้รอบคอบจึงเดินเร็วๆ ไปเบื้องหน้า ใช้ด้ามดาบที่ถูกกรอกลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ทุบรูปปั้นสิงโตหินที่ล้มครืนอยู่กับพื้นให้แหลกทีละนิด
จากนั้นเขาก็เดินเร็วๆ ไปที่หอหลักของป้อมอินทรีบิน ระหว่างทางก็ฟาดฝ่ามือลงบนหน้าอกตัวเองหนึ่งครั้ง ทำให้ตัวเองกระอักเลือดได้แล้วถึงจะยอมหยุดมือ
บนภูเขาอันตราย ลมแรงคนก็ล้มได้ง่าย ยุทธภพชั่วร้าย น้ำลึกย่อมง่ายที่เรือจะล่ม
จิตใจคนขึ้นลงไม่แน่นอน ยากสงบมากที่สุด
จิตใจมั่นคงทั้งยังจริงใจ ช่างหาได้ยากยิ่ง