Skip to content

Sword of Coming 303

บทที่ 303 แยกทาง

ระหว่างทางที่เดินกลับ อารมณ์ของเฉินผิงอันก็กลับคืนมาเป็นปกติแล้ว แขนข้างที่กระดูกขาวโผล่ เลือดเนื้อก็ค่อยๆ เติบโตอย่างเชื่องช้า เส้นชีพจรมากมายที่อยู่ในนั้นเหมือนเถาวัลย์ที่แผ่ขยายออกไป มหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด เฉินผิงอันเพ่งมองอย่างละเอียดราวกับนักปราชญ์ท่านหนึ่งที่กำลังศึกษาหาความรู้ แต่กลับทำให้ลู่ไถรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุด ในใจคิดว่าตระกูลลู่ของตนก็เลี้ยงปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธที่เก็บตัวอย่างลึกลับไว้บางส่วน แต่ตอนที่พวกเขาอยู่ในขอบเขตสี่ห้าต้องไม่มีใครที่มีตบะหนักแน่นเช่นเฉินผิงอันแน่นอน

เฉินผิงอันเดินพลางมองไปด้วย แม้จะต้องข่มกลั้นความเจ็บปวด แต่ก็ยังมองด้วยความเพลิดเพลินอย่างยิ่ง เมื่อได้เห็นว่าเส้นชีพจรเหล่านั้นเติบโตกับตาของตัวเอง นี่จึงมีประโยชน์อย่างมากต่อในเรื่องของโชคชะตา ปมในใจบางอย่างที่เดิมที คิดไม่ตกก็พลันถูกคลายออก ใกล้จะถึงป้อมอินทรีบินแล้ว เฉินผิงอันจึงต้องเก็บแขนข้างนั้นลง หลีกเลี่ยงไม่ให้ชาวบ้านในป้อมอินทรีบินคิดว่าตนเป็นคนของลัทธิมาร มีชุดคลุมอาคงจินหลี่อยู่กับกายจึงสามารถบดบังสภาพชวนสังเวชนี้ไว้ในแขนเสื้อขณะเดียวกันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อขั้นตอนกระดูกขาวงอกเนื้อบนแขนของเฉินผิงอันด้วย

ก่อนหน้านี้กระบี่บินม่ายกวางได้นำกวานห้าขุนเขาชิ้นนั้นกลับมาแล้ว ลู่ไถลองชั่งน้ำหนักดูก็บอกว่านี่คือสมบัติอาคมที่มีอายุยาวนานอย่างยิ่ง ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด ภาพจริงของห้าขุนเขาที่วาดไว้ด้านบน ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคหรือรูปแบบการวาดก็ล้วนแสดงให้เห็นว่ากวานห้าขุนเขาชิ้นนี้มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง มีความเป็นไปได้มากว่าภายหลังได้พลัดตกมาอยู่ที่ใบถงทวีป เป็นดั่งไข่มุกที่ถูกฝุ่นเกาะ ไม่แน่ว่าช่วงแรกเริ่มสุดอาจจะเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของทวยเทพแห่งขุนเขาบางแห่งที่มีชื่อเสียงของแผ่นดินกลาง

เฉินผิงอันค่อนข้างจะสนใจเรื่องพวกนี้เพราะคิดว่าเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้กับตัวเอง ส่วนเรื่องที่ว่าลู่ไถจะยึดเอากวานห้าขุนเขาไว้เพียงลำพังหรือไม่ หรือจงใจลดระดับคุณค่ากวานห้าขุนเขาลงหรือเปล่า เฉินผิงอันกลับไม่แม้แต่จะคิด เพราะลึกๆ ในใจรู้สึกว่าลู่ไถไม่ใช่คนแบบนั้น โลกมนุษย์ซับซ้อน ใจคนยากแท้หยั่งถึง จะใช้ใจของคนถ่อยไปวัดใจของวิญญูชนก็ได้ แต่จะไม่ใช้ก็ได้เช่นกัน

คนทั้งสองไม่ได้เดินตรงไปที่หอหลักของป้อมอินทรีบิน แต่แอบกลับไปที่สนามฝึกยุทธก่อน เพื่อไปเก็บกระบี่อาคมที่มีชื่อว่า ‘ชือซิน’ ซึ่งโต้วจื่อจือทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากสำนักฝูจี หลังจากดูดดึงปราณวิญญาณและเลือดหัวใจของผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรขั้นสูงสุดมาคนหนึ่งแล้ว ตัวกระบี่ของกระบี่ยาวก็ยิ่งวาววับดุจหิมะ เส้นลายเหมือนสายน้ำฤดูใบไม้ร่วงที่ไหลรินอย่างเงียบเชียบ ยิ่งมีชีวิตชีวามากขึ้น ประกายแสงก็ยิ่งเจิดจ้า ต่อให้เป็นลู่ไถที่หัวสูงก็ยังอดหยิบกระบี่มามองประเมินอีกรอบไม่ได้ เค้าจุ๊ปากชื่นชมบอกว่า คำพูดของมารเฒ่าตนนั้นมีจริงเท็จปะปนกัน แต่เกี่ยวกับเรื่องของขอบเขตน่าจะเป็นความจริง ขอบเขตสูงสุดในอดีตก่อนที่จะถดถอยของเขามีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเคยสัมผัสกับธรณีประตูขอบเขตก่อกำเนิดมาก่อนจริงๆ ผู้ฝึกตนโอสถทองในระดับนี้ หากอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ถือว่าไม่เลวแล้ว สามารถเดินยืดอกขึ้นยอดเขาได้เลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้การได้กระบี่อาคม ‘ชือซิน’ (จิตที่ลุ่มหลง/หลงใหล) หรือควรจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ชือซิน’ (กินหัวใจ) ถึงจะเหมาะสมกว่ามาครองนั้น ถือว่าเป็นโชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่ง

เป็นเหตุให้ลู่ไถแนะนำเฉินผิงอันว่าอย่าเอาชือซินไปขาย วันหน้าเมื่อพบเจอกับผู้ฝึกตนลัทธิมารหรือภูตผีปีศาจก็สามารถใช้กระบี่นี้แทงทะลุหัวใจ ทั้งเป็นการสั่งสมบุญกุศลให้ตัวเอง อีกทั้งยังสามารถเพิ่มระดับของกระบี่ให้สูงขึ้นได้ ได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย เหตุใดถึงไม่เต็มใจทำ

เมื่อเห็นว่าเฉินผิงอันมีท่าทางลังเล ลู่ไถจึงเอ่ยสั่งสอนเฉินผิงอันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “คำที่บอกว่าผู้ฝึกตนจะไม่สนใจดีชั่วก็ได้นั้น เป็นเพียงแค่คำพูดของคนระยำเท่านั้น แต่สมบัติอาคมหรืออาวุธวิเศษบนโลกนี้ ไหนเลยจะมีแบ่งแยกธรรมะและอธรรม ใช้อาวุธมารผดุงคุณธรรม มีอะไรที่ไม่เหมาะสม?”

ลู่ไถยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห แทบจะยกนิ้วชี้หน้าด่าเฉินผิงอัน “ขนาดเบิกตามองกระดูกตัวเองมีเนื้องอกขึ้นมา เจ้าก็ยังทำไปแล้ว เหตุใดหลุมเล็กๆ ในใจแค่นี้ถึงข้ามผ่านมันไปไม่ได้ เฉินผิงอันเจ้าเลิกไอ้นิสัยหัวรั้นดึงดันนี่ซะที ไม่ซ่อมสะพานแห่งความเป็นอมตะก็ช่างเถอะ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ตั้งใจเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวให้ดีไปก็แล้วกัน อย่าได้วาดหวังว่าจะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่อะไรเลย ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเจ้า วันหน้าต่อให้สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาได้ใหม่ กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณได้สำเร็จ แต่ไม่แน่ว่ามารในใจที่เจ้าต้องเจอก่อนจะฝ่าทะลุคอขวดของห้าขอบเขตบนอาจจะใหญ่ยิ่งกว่าท้องฟ้าก็เป็นได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่า ผู้ฝึกลมปราณทุกคนบนโลกใบนี้ที่เลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิดแล้วมีจิตใจที่กล้าแกร่ง มีเวทอภินิหารเลิศล้ำและมีปณิธานเด็ดเดี่ยวมั่นคงจนเอาชนะฟ้าดินได้ นั่นก็ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว แต่เหตุใดห้าขอบเขตบนถึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งนัก นั่นก็เพราะกุญแจสำคัญอยู่ที่ด่านนี้ ความอันตรายไม่ได้อยู่ที่ทัณฑ์สวรรค์อย่างที่คนบนโลกเข้าใจผิดกัน นั่นเป็นเพียงแค่เปลือกภายนอก ศัตรูร้ายกาจที่แท้จริงก็คือจิตตั้งเดิมของตน จิตแห่งเต๋าของเจ้าสูงมากเท่าไหร่ จิตใจยืนหยัดได้มากแค่ไหน กายธรรมของมารในใจเจ้าก็จะสูงมากเท่านั้น อาจสูงเป็นร้อยเป็นพันจั้ง หรืออาจเป็นเหมือนทวยเทพบรรพกาลร่างทองที่แข็งแกร่งไม่อาจทำลายเลยก็ได้ แล้วเจ้าจะฝ่ามันไปได้อย่างไร…”

เฉินผิงอันไม่ได้โต้แย้งอะไร แค่ชี้ไปที่จมูกของลู่ไถแล้วเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “เป็นอีกแล้ว”

ลู่ไถหยุดพูด เช็ดเลือดกำเดาอย่างแรง

หากเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า แค่เกี่ยวพันถึงมหามรรคาของเฉินผิงอันคนเดียว การแว้งกลับของวิถีสวรรค์ที่มีต่อลูกหลานสกุลลู่สำนักหยินหยาง เมื่อเทียบกับครั้งก่อนก็ถือว่าน้อยกว่ามากนัก

เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นว่า “ข้างนอกมีคนมา”

ลู่ไถชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ความรู้สึกที่เฉียบไวเช่นนี้ไม่เป็นรองผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกเลย นี่เขาเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่จริงๆ หรือ?

เขายิ่งสงสัยใคร่รู้ในตัวของคนที่ถ่ายทอดวิชาหมัดให้แก่เฉินผิงอัน

คนกลุ่มหนึ่งที่มีกันสี่คนเดินเข้ามาในสนามประลองยุทธอย่างระมัดระวัง พวกเขาก็คือนักพรตเฒ่าและลูกศิษย์หวงซ่าง รวมไปถึงพี่น้องหลวนฉางหลวนซู การที่พวกเขาไม่ได้ไปที่หอหลักก็มาจากความคิดของผู้เฒ่ามอซอ เพราะขณะที่อยู่บนจุดสูงของภูเขาทางทิศเหนือได้เห็นเงาร่างของเฉินผิงอันกับลู่ไถที่ย้อนกลับไปยังป้อมอินทรีบินโดยบังเอิญ ผู้เฒ่าจึงตัดสินใจว่าจะมารวมตัวกันที่นี่ ถามให้แน่ชัดถึงร่องรอยของมารตนนั้นก่อน แล้วคนทั้งสองกลุ่มค่อยไปที่หอหลักด้วยกัน แบบนั้นจะมั่นคงมากกว่า

ผู้เฒ่าคารวะตามแบบพิธีการของลัทธิเต๋า แล้วเอ่ยแนะนำตัวเองว่า “ข้าผู้เป็นนักพรตมีชื่อว่าหม่าเฟยฝู่ ฝึกตนอยู่บนภูเขายวนยาง มีเกียรติยิ่งนักที่ได้มาพบกับลู่เซียนซือและเฉินเซียนซือ”

ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันกับลู่ไถเข้าไปเป็นแขกในป้อมอินทรีบินแค่บอกแซ่ของตัวเองไว้เท่านั้น

ลู่ไถยื่นมือออกมา พัดไม้ไผ่ด้ามนั้นก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า เขาโบกมันเบาๆ “ข้ามาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็กล่าวว่าข้า “เป็นคนจากต้าหลีแจกันสมบัติทวีป”

ผู้เฒ่าเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เซียนซือทั้งสองท่านรู้หรือไม่ว่ามารตนนั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว?”

ลู่ไถหุบพัดไม้ไผ่แล้วใช้มันชี้ไปที่นักพรตเฒ่า ในขณะที่ทุกคนกำลังงุนงงกันอยู่นั้น บนด้ามของพัดพับก็ปรากฏกวานห้าขุนเขา ลู่ไถสะบัดข้อมือเบาๆ กวานห้าขุนเขานั้นก็โยกขึ้นลงตามไป เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “ตายไปแล้ว ได้ผลเก็บเกี่ยวมาเล็กน้อย”

ตอนที่นักพรตกวานสูงนั่งอยู่บนเบาะรองบังคับให้ทะเลเมฆลดตัวลงต่ำ ใช้ขนเขาใหญ่ทั้งห้าสยบกดทับสนามประลองยุทธ ตอนนั้นนักพรตเฒ่าได้เห็นแค่แวบเดียวก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนแล้ว ความทรงจำที่มีต่อกวานห้าขุนเขาจึงลึกซึ้งมากเป็นพิเศษ เวลานี้ได้เห็นว่าบนพัดไม้ไผ่มีกวานสูงลักษณะโบราณเรียบง่ายตั้งวางอยู่ ในใจก็เหมือนมีคลื่นโถมซัดสาด ทั้งไม่กล้าเชื่อว่าคนหนุ่มสองคนจะสามารถสังหารเซียนดินขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งได้สำเร็จ แต่ก็ทั้งคาดหวังอย่างถึงที่สุดว่าคำพูดของคุณชายหน้าตาหล่อเหลาคนนี้จะเป็นความจริง

ถึงอย่างไรหม่าเฟยฝู่ที่อาศัยอยู่บนภูเขายวนยางก็คือคนเก่าคนแก่ในยุทธภพที่ผ่านลมผ่านฝนมาอย่างยาวนาน ต่อให้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่บนใบหน้าก็ยังแสดงความซาบซึ้งใจ เปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสนับถือ คารวะด้วยพิธีการของลัทธิเต๋าอย่างจริงจังอีกครั้ง “เซียนซือทั้งสองท่านก็แค่ผ่านทางมา แต่เมื่อพบเจอมารร้ายกระทำการชั่วช้าก็ยังเต็มใจให้ความช่วยเหลืออย่างมีคุณธรรม ช่วยชีวิตของชาวบ้านป้อมอินทรีบินให้รอดพ้นจากน้ำลึก จากกองไฟแผดเผา บุญกุศลที่พวกท่านสร้างมากมายจนไม่อาจประเมิน ข้าผู้เป็นนักพรตขอขอบพระคุณในบุญคุณอันใหญ่หลวงของเซียนซือทั้งสองท่านแทนป้อมอินทรีบินไว้ก่อน ณ ที่นี้”

สองพี่น้องหลวนฉางหลวนซูน้ำตาคลอเบ้า รีบยกมือขึ้นกุมคารวะพร้อมโค้งตัวลงต่ำ ต่างก็เอ่ยกับคุณชายต่างถิ่นทั้งสองคนนั้นว่า “พระคุณยิ่งใหญ่ไม่อาจทดแทนได้แค่คำว่าขอบคุณ หากเซียนซือทั้งสองท่านไม่รังเกียจที่ข้าน้อยโง่เขลา หลวนฉางยินดีเป็นวัวเป็นม้า บุกน้ำลุยไฟให้ท่านทั้งสองโดยไม่เกี่ยงงอน!”

“หลวนซูขอบพระคุณคุณชายลู่ ขอบพระคุณเซียนซือเฉิน ข้าไม่รู้แล้วว่าควรพูดอย่างไรจึงจะแสดงออกถึงความซาบซึ้งที่มีอยู่ในใจออกมาได้หมด…”

นักพรตหนุ่มหวงซ่างสีหน้าซับซ้อน เขายืนอยู่ด้านหลังสุดของกลุ่มคน

ในใจมีความคิดหนึ่งแวบผ่านไป

หากกราบทั้งเซียนซือทั้งสองท่านเป็นอาจารย์ การฝึกตนของตนจะยิ่งราบรื่นขึ้นอีก ไม่ไร้ประโยชน์เหมือนอย่างในทุกวันนี้ที่แค่พบเจอกับภูตผีปีศาจก็ทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตรายรายล้อมหรือไม่?

หวงซ่างมองแผ่นหลังของอาจารย์ตัวเอง แล้วนักพรตหนุ่มที่การฝึกตนเต็มไปด้วยอุปสรรคก็ก้มหน้าลงเงียบๆ ด้วยความละอายใจ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเนรคุณ เทียบกับลัทธิมารนอกรีตพวกนั้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

เพียงแต่ว่าเมื่อความคิดนี้แตกหน่อขึ้นมาในใจกลับไม่อาจถอนดึงออกไปได้ กลับกันคือยิ่งนานก็ยิ่งเติบโตดังกองไฟที่ไฟลุกไหม้ แผดเผาให้หัวใจของเขาร้อนรุ่มทุรนทุราย ดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน

สำหรับความกังขาและความรู้สึกที่ว่าตัวเองโชคดี รวมไปถึงสีหน้าเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าหลังจากผ่านศึกใหญ่ของนักพรตเฒ่าที่อยู่อาศัยในภูเขา

หลวนฉางที่พอผ่านพ้นหายนะครั้งใหญ่มาได้ก็พยายามปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง คิดจะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างฮึกเหิม เปลี่ยนจากฝึกวรยุทธกลายไปเป็นผู้ฝึกตน

คำเรียกขานสองอย่างที่ให้ความรู้สึกแตกต่างกันของหลวนซู

รวมไปถึงความคิดของนักพรตหนุ่ม

ลู่ไถที่เห็นทุกอย่างนี้อยู่ในสายตาเพียงแค่กระตุกมุมปากน้อยๆ

เดิมทีความสามารถในการเปิดใจคนอ่านใจคนก็เป็นสิ่งที่ลูกศิษย์สำนักหยินหยางเชี่ยวชาญมากที่สุดอยู่แล้ว

ส่วนเฉินผิงอันกลับไม่อาจสัมผัสความรู้สึกของคนเหล่านี้ได้ลึกซึ้งนัก เพียงแค่จำสีหน้าและสายตาแบบนี้ได้อย่างเรือนราง แต่กลับยังไม่กระจ่างแจ้งเหตุผลที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน

ถึงอย่างไรสิ่งละอันพันละน้อยในชีวิตคนก็ไม่ใช่ตัวอักษรที่เขียนไว้บนตำรา

คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังหอหลักของป้อมอินทรีบิน แม้ลู่ไถจะบอกว่าเหตุการณ์ทางนั้นสิ้นสุดลงแล้ว ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือตาย แต่หลวนฉางหลวนซูก็ยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่าเมื่อผลักประตูใหญ่เปิดออกจะเห็นภาพที่เลือดนองเป็นสายน้ำ แต่พอไปถึงหอหลักกลับพบว่าประตูใหญ่ปิดสนิท หลวนฉางเคาะประตูอย่างแรง รออยู่นานกว่าจะมีผู้เฒ่าสกุลหลวนคนหนึ่งมาเปิดประตูให้ พอเห็นว่าเป็นสองพี่น้องที่ยังปลอดภัยดี ผู้เฒ่าคนนั้นถึงกับน้ำตาไหลอาบหน้า ทำเอาหลวนฉางตกใจสะดุ้งโหยง นึกว่าบิดามารดาโดนบุรุษถือแส้ที่อำมหิตเล่นงาน อธิบายให้กันฟังอยู่พักหนึ่งถึงได้รู้ว่าเซียนซือลู่ท่านนั้นได้ร่ายเวทอภินิหารไว้นานแล้ว คนชั่วที่แสร้งสวมรอยเป็นผู้ฝึกตนของภูเขาไท่ผิงก็ถูกเขาสังหารตายคาที่ไปแล้ว

ช่วงเวลานั้นคนทั้งหมดในห้องโถงที่ยังมีชีวิตรอดต่างก็รู้สึกเลื่อนลอยเหมือนอยู่กันคนละโลก

หลวนฉางหลวนซูไม่ทันสังเกตเห็นว่าไม่เพียงแต่บิดามารดาไม่อยู่ในห้องโถง อีกทั้งพอพวกเขาถามถึงเรื่องนี้ทุกคนกลับพากันมองไปทางอื่น ไม่มีใครกล้าสบตาพวกเขา

ลู่ไถคร้านจะสนใจเรื่องยิบย่อยวุ่นวายในครอบครัวของคนอื่น จึงพาเฉินผิงอันเดินไปทางดาดฟ้าบนหอ

เจ้าประมุขหลวนหยางไม่ได้อยู่บนสถานที่ประหลาดที่มีชื่อว่า ‘ขึ้นดาดฟ้า’ แห่งนี้แล้ว

ลู่ไถขึ้นไปนั่งอยู่บนรั้วระเบียง เฉินผิงอันก็ทำตาม จากนั้นจึงปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา แหงนหน้าดื่มสุรารสร้อนแรง ก่อนจะพ่นลมหายใจขุ่นมัวที่มีกลิ่นของเหล้าออกมายาวๆ

ลู่ไถแกว่งเท้าทั้งสองข้าง โบกพัดอย่างเชื่องช้า เส้นผมตรงจอนหูปลิวไสว

จากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มแบ่งของเชลยศึกกันอย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย

“การต่อสู้ระหว่างหมาว่านฝ่าและโต้วจื่อจือก่อนหน้านี้ บวกกับศึกตัดสินเป็นตายในวันนี้ โชคของพวกเราไม่เลวเลยจริงๆ ได้กำไรมาไม่น้อย หากเป็นเมื่อก่อนข้าคนเดียวก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ผลเก็บเกี่ยวเช่นนี้ ต้องรู้ว่าเวลาที่ข้าอยู่ในตระกูลถูกเรียกขานว่า ‘เซียนใหญ่เก็บสมบัติ’ เชียวนะ”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม อยู่ดีๆ ก็นึกถึงหญิงสาวจากสำนักโองการเทพที่ได้รับการขนานนามว่ามี ‘โชควาสนายิ่งใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของทวีป’ ผู้นั้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“กระบี่อาคมชือซินของโต้วจื่อจือเป็นของเจ้า กวานห้าขุนเขาเป็นของข้า จะพูดว่าเป็นของข้าก็ไม่ถูก ถือว่าข้าซื้อจากเจ้าก็แล้วกัน นอกจากข้าจะช่วยเจ้าซ่อมแซมเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นแล้ว เม็ดเสื้อเกราะที่เสียหายซึ่งเจ้าซื้อมาจากหอหลินจือที่ภูเขาห้อยหัวก่อนหน้านั้น เจ้าบ่นอยู่เสมอไม่ใช่หรือว่าต้องแยกชิ้นส่วนเสื้อเกราะใส่ไว้ในสืออู่ เปลืองพื้นที่อย่างมากน่ะ ข้าสามารถช่วยเจ้าซ่อมแซมให้เหมือนใหม่โดยไม่คิดค่าตอบแทน ทำให้มันเปลี่ยนมาเป็นเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารเม็ดหนึ่ง เจ้าไม่ต้องสนใจว่าข้าทำอย่างไร คนบนภูเขา…ย่อมมีวิธีการที่มหัศจรรย์อยู่แล้ว!”

ลู่ไถยิ้มกว้างอย่างสดใส “ดังนั้นเจ้าอาจจะต้องอยู่ที่ป้อมอินทรีบินอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไม่นานเท่าไหร่หรอก ก็ถือโอกาสพักฟื้นรักษาบาดแผลอยู่ที่นี่ไปก่อน จากนั้นค่อยไปตามหาอารามเต๋าแห่งนั้น”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม มาเจอกับลูกหลานเศรษฐีอย่างลู่ไถ เฉินผิงอันไม่มีทางใจอ่อนแน่นอน

ลู่ไถเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “กวานห้าขุนเขาสมบัติอาคมชั้นสูงหนึ่งชิ้น ข้าจำเป็นต้องมอบเงินเกล็ดหิมะให้เจ้าสองหมื่นเหรียญ หากหักเป็นเงินฝนธัญพืชก็เท่ากับยี่สิบเหรียญ ตอนที่ไล่ฆ่าหม่าว่านฝ่าและสังหารผู้ฝึกตนถือแส้ในหอหลัก ข้าเองก็ได้ผลเก็บเกี่ยวมาเช่นกัน ลองคำนวณดูคร่าวๆ แล้ว น่าจะยังต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะให้เจ้าอีกสองหมื่นเหรียญ หรือก็คือเงินฝนธัญพืช ยี่สิบเหรียญ ด้ามยาวของแส้ปัดฝุ่นที่สลักสองคำว่า ‘ขจัดทุกข์’ นั้นถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว เจ้าเอาไปได้ ถือซะว่าเป็นของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ แล้วกัน”

เฉินผิงอันตื่นตะลึง “ได้เงินฝนธัญพืชมากขนาดนี้เชียวหรือ?”

ลู่ไถทอดสายตามองไปยังทิศไกลอยู่ตลอดเวลา ยิ้มบางบางเอ่ยว่า “เงินของเทพเซียนบนภูเขา ข้าพอมีติดตัวอยู่บ้าง เซียนดินก่อกำเนิดทั่วไปของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่มีใครกล้ามาแข่งขันเรื่องทรัพย์สินเงินทองกับข้าหรอก”

ทำเอาเฉินผิงอันโมโหจนเงื้อมือตบไปหนึ่งฉาด “ถ้าอย่างนั้นตอนที่อยู่ภูเขาห้อยหัวเจ้าจะมาร่ำร้องกับข้าว่ายากจนไปทำไม? ลู่ไถ เจ้านี่มันใช้ได้จริงๆ เล่นละครเก่งนักนะ!”

ลู่ไถรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย กล่าวยังขลาดๆ ว่า “ก็ข้ากลัวว่าตอนนั้นเจ้าไม่ปรารถนาในความงามของข้า แต่ปรารถนาอยากได้เงินของข้าแทนนี่นา”

“ปรารถนาในความงามกับปู่ทวดเจ้าน่ะสิ!” เฉินผิงอันฟาดมือลงไปอีกครั้ง ทำเอาลู่ไถอับอายจนพาลมาเป็นความโกรธ “เฉินผิงอัน ระวังข้าจะเลิกคบเจ้านะ!”

เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ แต่ก็ยังไม่หยุดตบอยู่ดี

ดวงตาของลู่ไถคลอประกายน้ำ ทำท่าว่าจะเรียกท่าไม้ตายออกมา แต่เฉินผิงอันกลับทำมือบอกให้ลู่ไถ ‘หยุด’ จากนั้นก็ดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วพูดว่า “เจ้าพูดต่อได้เลย”

ลู่ไถพลิกมือหนึ่งครั้ง ถุงผ้าที่ตัดเย็บอย่างประณีตใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา เขายื่นมันส่งให้กับเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “เอามาทำไม?”

ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “ของเล่นเล็กๆ น้อยๆ มอบให้เจ้า ลองเปิดดูสิ เจ้าต้องชอบแน่นอน เมล็ดพันธุ์ต้นอวี๋เฉียนที่มีภูมิหลังค่อนข้างพิเศษชนิดนี้ พอกลับไปถึงบ้านเกิดสามารถเอาไปปลูกไว้บนภูเขาที่ฮวงจุ้ยดีได้ จะต้องปลูกให้หันหน้าเข้าหาแสงแดด ประมาณสามปีห้าปี ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น”

แม้ว่าเฉินผิงอันจะรับถุงต้นอวี๋เฉียนมาแล้ว แต่ก็ยังพูดว่า “อธิบายให้ชัดเจนก่อน ไม่งั้นข้าก็จะคืนมันให้เจ้า”

ลู่ไถจึงอธิบายให้ฟังคร่าวๆ ทำเอาเฉินผิงอันที่ฟังอยู่ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง รีบเก็บมันลงไป ไอ้ที่บอกว่าจะคืนไม่คืนอะไรนั้น ถือซะว่าเค้าไม่เคยพูดแล้วกัน

ที่แท้อวี๋เฉียนถุงนี้ก็มหัศจรรย์อย่างมาก อีกทั้งยังถูกกับรสนิยมของเฉินผิงอันอย่างถึงที่สุด พวกมันคือเมล็ดพันธุ์ล้ำค่าจากต้นอวี๋ของตระกูลเซียนยุคบรรพกาลที่ห่างไกลในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เนื่องด้วยรูปลักษณ์ภายนอกเป็นลักษณะเหมือนเหรียญกษาปณ์ทรงกลมบางๆ จึงถูกตั้งชื่อเช่นนี้

ออกเสียงเหมือนคำว่า ‘อวี๋เฉียน’ ที่แปลว่าเงินเหลือ (อวี๋เฉียนที่เป็นต้นไม้ ภาษาจีนเขียนว่า 榆钱 แต่อวี๋เฉียนที่แปลว่าเงินเหลือ เขียนว่า 余钱)

เนื่องจากพวกชาวบ้านมีคำกล่าวว่ากินอวี๋เฉียนก็จะมีเงินเหลือ จึงถูกคนส่วนใหญ่เอามาเล่าลือกันปากต่อปากอย่างผิดๆ เพราะแท้จริงแล้ววิธีการกินแบบนั้นไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องคือแค่ต้องหาภูตจินหวงที่ซ่อนอยู่ในต้นอวี๋เฉียนให้เจอ เอามันมาแช่ในไหเหล้า พอเหล้าหมักได้ที่แล้วก็เอาออกมากินสดๆ ทุกปีจึงจะมีรายได้เพิ่มพูนขึ้นมา ครอบครัวที่มีฐานะหน่อย เวลาถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพื่อความเป็นสิริมงคลจึงมักจะจัด ‘งานเลี้ยงอวี๋เฉียน’ เพราะหวังว่าในช่วงปีใหม่จะมีเงินทองไหลมาเทมาไม่ขาดสาย

รายรับทรัพย์สินเงินทองที่คล้ายสายน้ำเส้นเล็กที่ไหลยาวต่อเนื่องนี้ เป็นสิ่งที่เฉินผิงอันชื่นชอบมากที่สุด

เพราะลึกๆ ในใจของเฉินผิงอันเชื่อว่าความร่ำรวยสูงศักดิ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันยอมง่ายที่จะมาเร็วไปเร็ว เว้นเสียแต่ว่าจะทุ่มเททำงานอย่างยากลำบาก ถึงจะคว้าไว้ได้อยู่มือ ถึงจะรักษาไว้สำเร็จ แต่ผลกำไรและประโยชน์ที่สะดุดตาเป็นพิเศษอย่างอวี๋เฉียนนี้กลับทำให้เฉินผิงอันสบายใจได้มาก

เฉินผิงอันได้ผลประโยชน์ไปแล้วเพิ่งจะทำเป็นพูดยิ้มๆ ว่า “ไม่ล้ำค่าเกินไปหน่อยหรือ?”

ลู่ไถใช้นิ้วชี้กับนิวโป้งคลี่พัดเปิดและหุบพัดปิดเล่นไปเรื่อยๆ เขาพูดเหมือนสะท้อนใจว่า “เฉินผิงอัน การเดินทางมาขึ้นดาดฟ้าครั้งนี้เป็นการแสวงหามรรคาของข้า คำว่ามหามรรคา เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันมีน้ำหนักมากเท่าไหร่? ข้าถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะแปลงมันเป็นเงินอย่างไร แต่ข้ารู้สึกว่าในเมื่อพวกเราเป็นเพื่อนกันแล้ว อะไรที่หยวนได้ก็หยวนๆ ไปเถอะ ไม่อย่างนั้นต่อให้ข้าลู่ไถร่ำรวยแค่ไหน ต่อให้ใช้ทรัพย์สมบัติที่มีจนหมดสิ้นก็ยังควักเงินก้อนนี้ออกมาให้เจ้าไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ในมือส่งไปให้ พลางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “จะต้องทำอย่างไรอีก ก็ทำอย่างนี้แหละ!”

ลู่ไถรับกาเหล้ามา ชูขึ้นสูงแล้วแหงนหน้ากรอกเหล้าใส่ปาก น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อยู่ห่างจากใบหน้าสูงหลายชุ่น ดื่มเหล้าแบบนี้ก็สะใจดีเหมือนกัน

เช็ดปากเรียบร้อยก็ส่ง ‘เจียงหู’ คืนให้กับเฉินผิงอัน “ควรเติมเหล้าได้แล้ว เดี๋ยวกลับไปข้าจะบอกให้ป้อมอินทรีบินเติมเหล้าให้เจ้าจนเต็ม”

เรื่องดีๆ แบบนี้เฉินผิงอันยอมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว

จู่ๆ ลู่ไถก็กล่าวอย่างระอาใจว่า “ทำไมถึงชอบดื่มเหล้าขนาดนี้? เหล้ามีอะไรดี?”

เฉินผิงอันแค่ยิ้มรับ ไม่ได้เอ่ยตอบ เพียงดื่มเหล้าต่อไป

พอดื่มเหล้าเข้าไปแล้ว อะไรที่กล้าคิดไม่กล้าคิด กล้าพูดไม่กล้าพูด กล้าทำไม่กล้าทำ ก็ล้วนต่างไปจากเดิม

สิบวันต่อมาเฉินผิงอันยังคงพักอยู่ในบ้านหลังเล็กนั้น เพียงแต่ว่าไม่มีวัตถุหยินหรือผีร้ายมารบกวนอีกแล้ว

บางครั้งเฉินผิงอันก็จะไปนั่งอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูบ้าน มองไปทางกำแพงที่อยู่สุดซอย นึกถึงผีเด็กที่ชะตากรรมน่าสงสารเหล่านั้น นึกถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มที่เผยบนโลกเป็นครั้งสุดท้ายของพวกมัน

ส่วนลู่ไถพักอยู่ที่หอหลักแห่งนั้น บางครั้งก็จะมานั่งเล่นที่บ้านหลังนี้บ้าง เพียงแต่ว่าอยู่ไม่นานก็ต้องกลับไปทำธุระของตัวเองต่อ

สิบวันผ่านไปลู่ไถก็เอาเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารที่ถูกซ่อมแซมจนเหมือนใหม่เม็ดนั้นมาให้ เฉินผิงอันชอบใจจนแทบวางไม่ลง แขนข้างนั้นของเขากลับคืนมาเป็นปกติแล้ว เพียงแต่ว่ายังใช้งานหนักๆ ได้ไม่คล่องนัก

นอกจากเม็ดเสื้อเกราะของหอหลิงจือภูเขาห้อยหัวเม็ดนี้แล้ว ลู่ไถยังนำดาบแคบที่มีฝักยาวเป็นสีขาวหิมะเล่มหนึ่งมามอบให้เฉินผิงอันด้วย บอกว่าเป็นของตอบแทนของตระกูลหลวนแห่งป้อมอินทรีบิน หากไม่รับไว้คนตระกูลหลวนคงรู้สึกไม่สบายใจ

ครั้งนี้ลู่ไถแอบอู้งาน เขาไม่ได้รีบร้อนกลับไป นั่งต้มชาอยู่ในลานบ้านให้ตัวเองหนึ่งกาแล้วก็ถือโอกาสเล่าถึงที่มาของดาบแคบให้เฉินผิงอันฟัง ปีนั้นเพื่อสยบฮวงจุ้ยที่มีธาตุหยินหนาข้นเกินไปของที่แห่งนี้ เซียนดินก่อกำเนิดของภูเขาไท่ผิงท่านนั้นจึงได้มอบดาบพกเล่มหนึ่งให้แก่บรรพบุรุษที่เป็นนายพรานของป้อมอินทรีบิน มันมีชื่อว่า ‘หยุดหิมะ’ ลูกหลานของป้อมอินทรีบินในรุ่นหลังไม่มีใครที่มีพรสวรรค์ในการฝึกตน ดาบเล่มนี้ที่สืบทอดต่อกันมาจึงเป็นเหมือนแค่เครื่องประดับอย่างหนึ่ง นับว่าสิ้นเปลืองสมบัติแห่งสวรรค์โดยแท้

เฉินผิงอันรู้ดีถึงความล้ำค่าของดาบแคบเล่มนี้ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่ามันจะเป็นของรักของเทพเซียนพสุธาแห่งภูเขาไท่ผิงท่านนั้น ลู่ไถครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็ไม่ทำตัวเป็นกุมารแจกทรัพย์อีก เขาเอาดาบแคบเล่มนี้มาหักเป็นเงินฝนธัญพืชยี่สิบเหรียญ ดังนั้นเงินฝนธัญพืชถุงหนึ่งที่เขาโยนให้เฉินผิงอันจึงมีแค่เงินยี่สิบเหรียญที่เขาติดค้างไว้คราวก่อน

สิบวันให้หลัง ทุกวันเฉินผิงอันจะต้องฝึกเดินนิ่ง ฝึกวิชากระบี่และนอนหลับ เขาไม่มองไปทางกำแพงแห่งนั้นอีกแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงการพบเจอกันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ต่อให้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของความเป็นความตาย แต่ถึงอย่างไรปมในใจก็ค่อยๆ คลายลงไปได้แล้วตามวันเวลา ก็เหมือนกับเหล้าหนึ่งจอกในร้านสุราข้างทางที่ต่อให้รสชาติจะดีสักแค่ไหน แต่จะทำให้คนคนหนึ่งเมามายได้หลายวันเชียวหรือ?

สิบวันนี้ลู่ไถมาหาแค่ครั้งเดียว เพื่อบอกว่าเขารับลูกศิษย์ไว้สามคน

เถาเสียหยาง เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลวนอินและยังมีนักพรตหนุ่มที่เปลี่ยนสำนักเปลี่ยนอาจารย์อย่างหวงซ่างอีกคน

ส่วนเหตุผลนั้นลู่ไถไม่ได้บอกให้ฟังอย่างละเอียด พูดแค่หกคำว่า ‘ไม่ใกล้ความชั่วร้ายก็ไม่รู้จักความดีงาม’ เป็นประโยคเก่าที่เอามาพูดซ้ำอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ลู่ไถเคยพูดตอนที่อยู่บนปลาวาฬกลืนสมบัติ

ก่อนที่ลู่ไถจะจากไปได้บอกว่าเขาอาจจะต้องอยู่ที่นี่เป็นเวลานานมากจริงๆ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้คงยังไม่ได้กลับไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง

เมื่อลู่ไถนำเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นมาให้เป็นครั้งสุดท้าย เฉินผิงอันเองก็พักฟื้นจนแทบจะหายสนิทแล้ว

การจากลากำลังจะมาถึง

แต่กลับไม่มีความเสียใจใดๆ

คนหนึ่งมีความฝัน อีกคนหนึ่งเริ่มต้นการเดินทางบนมหามรรคา ไม่มีเหตุผลให้ต้องเศร้าเสียใจเกินไปนัก

ดังนั้นพวกเขาจึงจากลากันอย่างเรียบง่ายฉับไว คนหนึ่งอยู่ต่อในป้อมอินทรีบินต่างบ้าน อีกคนหนึ่งแบกกระบี่มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ

ลู่ไถถึงขั้นไม่ได้มาส่ง เพียงแค่ยืนอยู่บนดาดฟ้า มองตามเฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมสีขาวค่อยๆ จากไปไกล

ก่อนหน้านี้เขายุให้เฉินผิงอันห้อยกระบี่ยาวชือซินและดาบแคบหยุดหิมะไว้ที่เอว บอกว่าจะต้องเปี่ยมไปด้วยมาดแห่งยุทธภพแน่นอน น่าเสียดายที่เฉินผิงอันไม่หลงกล บอกว่าข้าไม่ใช่ร้านขายอาวุธสักหน่อย

ลู่ไถรู้สึกเสียดายเล็กน้อย

หากเฉินผิงอันทำแบบนั้นจริงๆ ลู่ไถก็จะสามารถหัวเราะเยาะว่าเขาเป็นคนโง่ได้อย่างตรงไปตรงมา

เดินออกจากประตูใหญ่ เดินไปบนถนนเส้นใหญ่ เฉินผิงอันอดหันกลับไปมองป้อมอินทรีบินไม่ได้ ไม่ได้มองลู่ไถ แต่พอนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าน่าประหลาดใจ สุดท้ายก็ส่ายหน้า ไม่คิดให้มากความอีก

ระหว่างทางที่เดินออกจากป้อมอินทรีบินได้เดินสวนไหล่กับบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่จำได้ว่าไม่เคยเจอเขามาก่อน แต่กลับดันรู้สึกว่าต้องเคยเห็นเขาที่ไหนสักแห่ง

บุรุษท่าทางซื่อๆ คนนั้นก็สังเกตเห็นสายตามองประเมินของเฉินผิงอันเช่นกัน จึงส่งยิ้มอายๆ มาให้ มองดูแล้วก็คือชายฉกรรจ์ชาวบ้านคนหนึ่งเท่านั้น

หลังจากที่เฉินผิงอันออกห่างจากป้อมอินทรีบินไปไกลแล้ว ชายฉกรรจ์แต่งตัวบ้านๆ ที่ท่องพเนจรไปทั่วทิศก็กระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งครั้ง แม่น้ำและภูเขาในรัศมีพันลี้ก็ไม่เหลือเวทอาคมพันธนาการไว้อีก

หาไม่แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้ความเคลื่อนไหวอึกทึกรุนแรงถึงเพียงนั้น สำนักฝูจีกลับยังนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน

ลู่ไถฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง ยิ้มตาหยีมองการพลิกกลับของโชคชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาที่เปี่ยมไปด้วยความลี้ลับซับซ้อน ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์ผู้สืบทอดมรรคาของเขา เมื่อเทียบกับอาจารย์อีกท่านที่ถ่ายทอดความรู้แล้ว นับว่าแข็งแกร่งกว่าไม่น้อย

บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่ห่างออกไปหนึ่งล้อยลี้ ระหว่างที่เฉินผิงอันเดินนิ่ง ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงคิดถึงรสชาติของพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลขึ้นมา นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกขบขันตัวเอง คิดในใจว่าตอนนี้มีเงินมีทองแล้ว หากไปถึงเมืองหนึ่งเมื่อไหร่ จะหาร้านข้างทางที่ขายพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาล แล้วซื้อมาสักสองไม้ ไม้หนึ่งถือมือซ้าย อีกไม้หนึ่งถึงมือขวา!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!