Skip to content

Sword of Coming 309

บทที่ 309 ปราณสังหารซ่อนอยู่ทั่ว

ยังคงเป็นหญิงสาวแซ่ฝานคนนั้น มองปราดๆ นางเหมือนคนสวมชุดเรียบง่าย แต่หากมองอย่างละเอียดก็จะสังเกตเห็นว่าบนอาภรณ์ปักลายเมฆาวารีสมปรารถนา เมื่อแสงจันทร์บนท้องนภาและแสงโคมไฟบนถนนสาดส่องลงมาก็คล้ายผลุบคล้ายโผล่ คำกล่าวที่ว่าร่ำรวยสะดุดตา สูงส่งเลอค่าก็เป็นเช่นนี้เอง

แต่ว่านางในเวลานี้น่าจะสวมหน้ากากหนังมนุษย์ แค่หน้าตาคล้ายคลึงก่อนหน้านี้แค่ห้าหกส่วนเท่านั้น จึงไม่ถึงกับทำให้พวกชาวบ้านตื่นตะลึงจนเกินไป

นางยังคงเพ่งมองเฉินผิงอันเขม็ง เฉินผิงอันวางชามและตะเกียบลง จำต้องถามว่า “มาหาข้ามีธุระหรือ?”

นางพลันยื่นมือมาคลึงขมับ กวาดตามองรอบด้าน ขมวดคิ้วแน่น

คนที่มากินอาหารโต๊ะด้านข้างทะเลาะกับผู้อื่นจึงด่าทอกัน ตบโต๊ะถลึงตาดุดัน ท่าทางเอาเรื่องน่ากลัว ชี้หน้าอีกฝ่ายด่าอย่างเดือดดาลว่านังหญิงคณิกา นังแม่เล้า เรื่องเดิมไม่ทำเกินสามครั้ง หากเจ้ายังไม่ยอมจบ ข้าผู้อาวุโสก็จะไปเปิดหอนางโลมที่บ้านเจ้ามันซะเลย

ทั้งสองฝ่ายเถียงกันด้วยสำเนียงคนเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่เข้มข้น คำพูดทั้งระคายหูทั้งเลื่อนเปื้อน

หญิงชาวใช้ท้องนิ้วข้างหนึ่งนวดคลึงจุดไท่หยางเบาๆ สีหน้ากลับคืนมาเป็นปกติ ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้และวาดฝัน ใช้การรวมเสียงเป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพมาเอ่ยถาม “คุณชายท่านนี้ ท่านคือ…เจ๋อเซียนหรือ?”

เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าเป็นแค่คนต่างถิ่นคนหนึ่งที่มาท่องเที่ยวแคว้นหนันเยวี่ยน ไม่ใช่เจ๋อเซียนอะไรอย่างที่แม่นางพูดหรอก”

หญิงสาวคนนั้นรู้สึกเสียดายเล็กน้อย กล่าวขออภัย “รบกวนแล้ว ขอคุณชายโปรดอภัย”

เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่เป็นไร”

นางลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่ก็ยังกล่าวเตือนว่า “ช่วงนี้เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนไม่ค่อยสงบเท่าไหร่นัก คุณชายคือมังกรคือหงส์ในกลุ่มคน ง่ายที่จะถูกคนจับตามอง หวังว่าคุณชายจะระวังตัวมากขึ้น”

เฉินผิงอันกุมมือคารวะ “ขอบคุณแม่นางฝาน”

ฝานกว่านเอ่อร์ก็ไม่ใช่คนอืดอาดยืดยาด พูดจบก็ไปจากตลาดของกินตอนกลางคืนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนแห่งนี้ อันธพาลบางคนคิดจะฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งนาง เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่พวกเขาลงมือ นางจะต้องหลบได้อย่างพอดิบพอดีเสมอ ประหนึ่งปลาตัวหนึ่งที่ว่ายไปตามร่องหินในธารน้ำ เฉินผิงอันสงสัยเล็กน้อย ตามคำบอกของผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่ ผู้ฝึกยุทธ์พรสวรรค์ดีหรือไม่ต้องดูที่ว่าจะสามารถหล่อเลี้ยงปณิธานหมัดที่สูงส่งที่สุดจากกระบวนท่าหมัดที่ต่ำชั้นที่สุดได้หรือไม่ และนี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่เขาเลือกเฉินผิงอันตอนนั้น

แต่ผู้เฒ่าแซ่ชุยเป็นคนรักหน้าตาของตัวเอง ไม่เต็มใจยอมรับว่าแท้จริงแล้ว ‘หมัดเขย่าขุนเขา’ ก็มีหลายจุดที่เอามาใช้ประโยชน์ได้ เฉินผิงอันก็แค่ไม่อยากเปิดโปงเขาเท่านั้น

หากดูจากบทสนทนาระหว่างผู้เฒ่าแซ่ติง ยาเอ๋อร์และจวนฮวาหลางโจวซื่อก่อนหน้านี้ หญิงสาวประหลาดที่ไม่เคยรู้จักมักจี่ แต่กลับมาหาตนถึงสองครั้งนี้ผู้นี้น่าจะเป็นฝานกว่านเอ่อร์ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าคนนั้น หากเอาไปวางไว้ที่แจกันสมบัติทวีปบ้านเกิด นางก็มีตำแหน่งเทียบเท่าได้กับเฮ้อเสี่ยวเหลียงสตรีอันดับหนึ่งแห่งสำนักโองการเทพ

เห็นๆ อยู่ว่าฝานกว่านเอ่อร์ ‘เข้าใกล้มรรคา’ แล้ว แต่เหตุใดตบะวรยุทธ์ของทั้งร่างถึงเหมือนถูกหินก้อนใหญ่หนักหมื่นชั่งก้อนหนึ่งกดทับจึงขยับขึ้นไปไม่ได้สักที?

พลังอำนาจของทั้งร่างสามารถอำพรางไว้ได้ สามารถทำให้กลับคืนสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิมได้ แต่หากได้อยู่ด้วยกันนานเข้า จิตวิญญาณภายในไม่อาจโกหกใคร ความช้าเร็วของทุกลมหายใจ จังหวะการขยับมือยกเท้ามักจะเปิดเผยความลับสวรรค์ออกมาเสมอ

ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าแซ่ติงที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวสีเงินมองดูเหมือนก้าวเดินเข้ามาในตำหนักใหญ่ของวัดป๋ายเหออย่างเรื่อยเฉื่อย แต่เฉินผิงอันกลับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฟ้าดินในทันที

เฉินผิงอันเป็นคนที่เดินออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู เคยเห็นบุคคลบนยอดเขามาแล้วไม่น้อย หากเป็นบุคคลที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่า ‘ร้ายกาจมาก’ ได้ ย่อมต้องไม่ธรรมดา คนที่ป้อนหมัดเขาบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วเคยเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบขั้นสูงสุดคนหนึ่ง คนที่ป้อนกระบี่เขาบนเกาะกุ้ยฮวา ดีชั่วก็เป็นถึงโอสถทองเฒ่าท่านหนึ่ง

หลังจากที่ร่างของฝานกว่านเอ่อร์หายไป เฉินผิงอันครุ่นคิดแล้วก็ออกไปจากตลาดกลางคืนแห่งนี้เช่นกัน

เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนแบ่งออกเป็นตรอกเล็กใหญ่ทั้งหมดแปดสิบเอ็ดตรอก โครงสร้างและรูปแบบโดยภาพรวมแล้วไม่ต่างจากแคว้นหัวเมืองมากมายที่เฉินผิงอันเคยเดินทางผ่านมา เมืองที่ถูกขนานนามให้เป็นนครที่ดีที่สุดของใต้หล้าแห่งนี้ เหนือรวย ใต้ยากจน ตะวันออกบู๊ ตะวันตกบุ๋น วัดป๋ายเหอตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมือง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นที่พักของขุนนางฝ่ายบุ๋นชั้นกลางและพวกพ่อค้าที่มีฐานะ สามารถมองเห็นงานศิลปะได้ทุกที่

เวลานี้เฉินผิงอันกำลังเดินอยู่บนสะพานหินโค้งแห่งหนึ่ง กลางดึกไร้ผู้คน เฉินผิงอันกระโดดขึ้นไปบนราวสะพานเบาๆ เดินไปถึงตรงส่วนที่สูงสุดของสะพานโค้งหินเขียว เฉินผิงอันมองลำคลองสายเล็กใต้ฝ่าเท้าที่สายน้ำไหลริน ด้านล่างมีรูปปั้นสัตว์น้ำตัวหนึ่งตั้งอยู่ ลักษณะคล้ายเจียวหลง ไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้ยากนัก

เมืองที่เจริญรุ่งเรืองหลายแห่งของแจกันสมบัติทวีป บนหัวเสาหรือบนหินของประตูมังกรทรงโค้งก็ล้วนมีสัตว์น้ำที่ใช้กำราบภูตประหลาดในน้ำประเภทนี้เฝ้าพิทักษ์อยู่เสมอ แต่เฉินผิงอันกลับสัมผัสไม่ได้ถึงปราณวิญญาณจากสัตว์น้ำโบราณตัวนี้เลยแม้แต่เสี้ยวเดียว ราวกับว่ามันเป็นเพียงแค่เครื่องประดับ เป็นแค่ของตกแต่งชิ้นหนึ่งเท่านั้น

ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังยืนเหม่อมองน้ำ ฝานกว่านเอ่อร์เทพธิดาที่มีชาติกำเนิดมาจากหอจิ้งซินก็ได้มาเจอกับเว่ยเหยี่ยน องค์รัชทายาทแคว้นหนันเยวี่ยนที่เดิมทีควรกลับวังหลวงไปแล้ว

แม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นเชื้อพระวงศ์ที่สูงศักดิ์ แต่กลับเป็นยอดฝีมืออายุน้อยที่เหมือนน้ำนิ่งไหลลึก อาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดวิถีวรยุทธ์ให้แก่เขาคือปรมาจารย์อาวุโสท่านหนึ่งที่ถูกเนรเทศจากด่านทางเหนือมาที่แคว้นหนันเยวี่ยน ซึ่งก็คือคนเพียงหยิบมือของทุกวันนี้ที่อยู่ใกล้กับยอดฝีมือใหญ่สิบท่านมากที่สุด อาจารย์ของรัชทายาทเว่ยเหยี่ยนมีความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับชุยฮวาเหมินหนึ่งในสามลัทธิมาร ดังนั้นองค์รัชทายาทที่สถานะสูงศักดิ์ท่านนี้จึงถูกพรรคต่างๆ ในยุทธภพและหอจิ้งซินมองเป็นคนของฝ่ายธรรมะไปด้วย อีกทั้งเขายังเป็นคนที่มีหวังว่าจะได้เป็นผู้นำยุทธภพรุ่นต่อไป หอจิ้งซินจึงถึงขั้นมีประสงค์อยากจะช่วยเหลือเขาให้ได้เป็นกษัตริย์คนต่อไปของแคว้นหนันเยวี่ยน

ส่วนยาเอ๋อร์คนของลัทธิมารผู้นั้นกลับแอบสนับสนุนเว่ยฉงน้องชายของเว่ยเหยี่ยนอย่างลับๆ ทั้งสองฝ่ายวางอุบายขุดหลุมพรางหลอกลวงกันไปมา ช่วงชิงความโปรดปรานจากฮ่องเต้เฒ่าของแคว้นหนันเยวี่ยนมาห้าหกปีแล้ว

ฝานกว่านเอ่อร์และเว่ยเหยี่ยนเดินเล่นด้วยกันท่ามกลางราตรีที่เงียบสงบ เว่ยเหยี่ยนเอ่ยเบาๆ ว่า “เทพธิดาฝาน หากเจ้าพบเจอคนผู้นั้น อันที่จริงไม่จำเป็นต้องปิดบังข้า เขาสามารถหลบซ่อนตัวอยู่ในตำหนักใหญ่ของวัดป๋ายเหอได้โดยที่พวกเราไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของเขา แสดงว่าต้องไม่ใช่คนบ้าบิ่นในยุทธภพทั่วไปแน่นอน หากเขาเป็นคนจากลัทธิมาร แล้วเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า จะทำอย่างไร?”

ฝานกว่านเอ่อร์ไม่ต้องการให้เว่ยเหยี่ยนซึ่งเป็นว่าที่ฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนเกิดความกังขาในใจจึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “องค์ชาย ท่านรู้สึกว่าองค์เองกับกว่านเอ่อร์ และยังมีชิงยาเอ๋อร์ (อีกาดำ) ที่ไม่รู้ชื่อแซ่แท้จริง โจวซื่อจานฮวาหลางแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ บวกกับยอดฝีมืออีกหกคนที่อายุพอๆ กัน รวมกันแล้วสิบคน หากให้ต้องเปรียบเทียบกับยอดฝีมือใหญ่แห่งใต้หล้าทั้งสิบท่านอยู่ไกลๆ ในบรรดาพวกเราสิบคน วิถีวรยุทธ์ของใครสูงที่สุด?”

สำหรับเรื่องนี้เว่ยเหยี่ยนมีคำตอบในใจมานานแล้ว นอกจากจะมีอาจารย์ที่ดี เขายังเป็นรัชทายาทของหนึ่งแคว้น สายสืบของเขากระจายตัวไปทั่วหล้า ต่อให้จะไม่เคยท่องยุทธภพมาก่อน แต่ก็รู้ความลับในยุทธภพอย่างละเอียดมานานแล้ว เว่ยเหยี่ยนไม่ต้องคิดให้มากความก็พูดจ้อทันที “ใครจะเป็นผู้นำ ยังบอกได้ยาก แต่หากเป็นสามอันดับแรกกลับถูกกำหนดไว้นานแล้ว ศึกตัดสินเป็นตาย ศัตรูพบกันบนทางแคบ ใครเป็นใครตายก็ต้องดูว่าใครเชี่ยวชาญในการช่วงชิงความได้เปรียบที่มองไม่เห็นมากที่สุด ฟ้าอำนวย ดินอวยพร คนสามัคคี ใครที่ได้ครอบครองมากกว่าก็คือคนชนะ”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยเหยี่ยนก็ชำเลืองมองไปด้านหลังของหญิงสาว ออกมาคืนนี้ ฝานกว่านเอ่อร์ไม่ได้พกอาวุธมาด้วย เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เทพธิดาฝานเชี่ยวชาญเวทวานรขาวสะพายกระบี่ที่หายสาบสูญไปนานแล้วของหอจิ้งซินและพรรคหูซาน ความรู้ของอริยะสามลัทธิก็รอบรู้ แน่นอนว่าสามารถอยู่ในสามอันดับแรกได้ อาจารย์ของข้าเคยกล่าวชมเชยเทพธิดาจากใจจริงว่า มีหรือไม่มีกระบี่สะพายอยู่ด้านหลัง คือฝานกว่านเอ่อร์สองคน”

ฝานกว่านเอ่อร์ยิ้มตอบ “องค์ชายตรัสชมกันเกินไปแล้ว”

เว่ยเหยี่ยนเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งเคาะลงบนเข็มขัดหยกตรงเอวเบาๆ “ยาเอ๋อร์ของลัทธิมารผู้นั้น ตอนที่นางเพิ่งเข้ามาเมืองหลวง ด้วยนิสัยจองหองหยิ่งยโสจึงกล้าวิ่งไปหาราชครู เลยต้องกินหมัดหนึ่งของราชครูไป แต่การที่นางแค่บาดเจ็บแต่ไม่ตาย คนบนโลกต่างก็รู้สึกว่านางโชคดี ทว่าเสด็จพ่อเคยตรัสกับข้า และราชครูก็เคยบอกว่าแม่นางน้อยคนนั้นมีพรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธ์สูงส่งจนสามารถเป็นลู่ฝ่างในแบบของสตรีได้เลย”

“คนสุดท้ายน่าจะเป็นเฝิงชิงป๋ายที่ไม่รู้ที่มาคนนั้น สิบปีมานี้เขาโดดเด่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ตัวตนหรือสำนักของเขาล้วนไม่มีใครสืบหาเบาะแสได้ ชอบท่องพเนจรไปทั่ว ท้าทายปรมาจารย์ยอดฝีมือของแต่ละแห่งไม่หยุด รู้แค่ว่าคนผู้นี้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ดูจากการเลือกคู่ต่อสู้ของเขาก็จะรู้ได้ว่า จากที่เป็นคนนอกวงการซึ่งพอจะมีความรู้งูๆ ปลาๆ เวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบปีเขาก็สามารถกลายมาเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งของโลกได้แล้ว”

กล่าวประโยคเหล่านี้จบ เว่ยเหยี่ยนก็หันหน้ามาถามว่า “เทพธิดาฝาน หรือว่าในอีกเจ็ดคนที่เหลือ ยังมีคนที่อำพรางตัวได้ลึกล้ำยิ่งกว่านี้?”

ฝานกว่านเอ่อร์เอาสองมือไพล่หลังเดินไปบนสะพานเล็กที่เงียบสงัดไร้ผู้คน พอขยับเข้าใกล้ราวสะพานก็ใช้มือตบศีรษะของสิงโตหินตัวเล็กที่สลักไว้ด้านบนครั้งแล้วครั้งเล่า นางส่ายหน้า “ต่อให้มีจริงๆ อย่างน้อยข้าและหอจิ้งซินก็ยังไม่รู้”

เว่ยเหยี่ยนคลี่ยิ้มอบอุ่น คิดไม่ถึงว่าเทพธิดาฝานก็มีช่วงเวลาซุกซนเช่นนี้ด้วย ชั่วขณะนั้นเขาจึงมองดวงตาคลอประกายน้ำคู่นั้นของนางด้วยสายตาลุ่มหลง

สายตาระดับล่างของบุรุษจะมองแค่ใบหน้าของหญิงสาว สายตาระดับกลางจะมองเรือนร่าง สายตาระดับสูงจะมองที่จิตใจของหญิงสาว

แล้วนับประสาอะไรกับที่ฝานกว่านเอ่อร์คือคนที่มีเพียบพร้อมทั้งสามอย่าง อีกทั้งแต่ละอย่างยังเป็นอันดับหนึ่งในโลกด้วย

จะไม่ให้องค์รัชทายาทแคว้นหนันเยวี่ยนที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวผู้ใดหวั่นไหวได้อย่างไร สาวงามแสนดี เป็นที่หมายปองของบุรุษ ความรู้สึกที่เว่ยเหยี่ยนมีต่อนาง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือสายตา เขาทั้งไม่เปิดเปลือยออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แล้วก็ไม่ได้จงใจเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด

เว่ยเหยี่ยนหยุดเดิน แล้วก็สาวเท้าเร็วๆ ไปเดินเคียงไหล่นาง คิดอยากจะยื่นมือไปจับมือเรียวบางของนาง น่าเสียดายที่เขาไม่มีความกล้านั้น

ฝานกว่านเอ่อร์หยุดฝีเท้า เบี่ยงตัวผินข้าง ทอดสายตามองไปไกล หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม กล่าวเนิบนาบ “ที่กล่าวถึงเรื่องนี้ก็เพราะข้าอยากพูดถึงเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งที่ข้าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ”

เว่ยเหยี่ยนถามอย่างประหลาดใจ “ไหนลองว่ามาสิ”

ฝานกว่านเอ่อร์นวดคลึงหว่างคิ้ว เว่ยเหยี่ยนเอ่ยอย่างเป็นกังวล “เป็นอะไรไป หรือว่ามือกระบี่ชุดขาวผู้นั้นใช้วิธีการที่ชั่วร้ายอะไรงั้นรึ?”

นางยิ้มส่ายหน้า “องค์ชาย ท่านเคยได้ยินคำเรียกขานว่า ‘เจ๋อเซียน’ จากอาจารย์ของท่านบ้างหรือไม่?”

เว่ยเหยี่ยนกล่าวยิ้มๆ “อาจารย์ของข้าเป็นคนหยาบกระด้างในยุทธภพ เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องแบบนี้หรอก ท่านผู้อาวุโสไม่ชอบพวกนักประพันธ์นักกวีมากที่สุด มักจะพูดว่าพวกเขาคือสตรีที่ไม่มีรังไข่ ตอนเด็กเวลาฝึกวรยุทธ์กับอาจารย์ ขอแค่เวลาที่พูดคุยกันแล้วข้าพูดจาสุภาพหน่อย ก็จะต้องโดนตี ดังนั้นข้าจึงได้แต่ทำความเข้าใจกับลักษณะของเจ๋อเซียนจากในบทกวีเอาเอง”

ในเมื่อหาเบาะแสจากเว่ยเหยี่ยนไม่ได้ ฝานกว่านเอ่อร์จึงไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก นางเปลี่ยนหัวข้อ พูดพึมพำด้วยสายตาลึกล้ำ “องค์ชาย ท่านเคยมีความรู้สึกว่า เวลาที่พวกเราผ่านเหตุการณ์อย่างหนึ่ง เดินผ่านที่แห่งหนึ่ง หรือได้พบคนคนหนึ่งแล้วรู้สึกคุ้นเคยเป็นพิเศษบ้างไหม?”

เว่ยเหยี่ยนพยักหน้ารับ “เคยสิ จะไม่เคยได้อย่างไร”

องค์รัชทายาทท่านนี้รู้สึกว่าน่าสนใจจึงถามยิ้มๆ “หรือว่าเทพธิดาฝานก็เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดของลัทธิพุทธด้วย?”

ฝานกว่านเอ่อร์ส่ายหน้า

……

บนภูเขาหนิวกู่นอกเมือง คืนนี้มีคนยืนอยู่เจ็ดแปดคน คนหนึ่งในนั้นคืออวี๋เจินอี้แห่งพรรคหูซานที่มีหน้าตาเหมือนเด็ก สีหน้าของเขาเคร่งเครียด ทอดสายตามองไปยังเค้าโครงของเมืองหลวงที่เห็นอยู่ในม่านราตรี

ชายฉกรรจ์เนื้อตัวสกปรกที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้า แม้แต่กระบี่ก็ยังมอบให้สตรีแต่งงานแล้วเจ้าของร้านเหล้า มีนามว่าลู่ฝ่าง

จ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนคือบุรุษร่างผอมเพรียวที่ไม่ชอบพูดจา ลักษณะสุภาพสง่างาม ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเขาก็คืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าคนนั้น

ยังเหลืออีกคน

น้ำเสียงของอวี๋เจินอี้ที่แจ่มใสอ่อนเยาว์เหมือนใบหน้าเอ่ยขึ้นช้าๆ “นอกจากมารเฒ่าติง โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ จอมยุทธ์เฝิงเฝิง ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซิน นอกจากสี่คนที่ถูกกำหนดมาแล้วเรียบร้อยนี้ เกรงว่าพวกเราคงต้องฆ่าเพิ่มอีกคน”

ลู่ฝ่างเอ่ยเย้ยตัวเอง “คงไม่ใช่ข้ากระมัง?”

จ้งชิวปรายตามองเขาด้วยสายตาเย็นชา

ลู่ฝ่างแบมือ กล่าวอย่างระอาใจ “แค่ล้อเล่นก็ไม่ได้หรือไง?”

นอกจากสามในสี่ปรมาจารย์ใหญ่นี้แล้ว บนยอดเขายังมีบุคคลอีกบางส่วนที่ไม่ควรมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่

แต่ที่เหมือนกันโดยไม่มีข้อยกเว้นเลยก็คือ ทุกคนหากไม่เป็นหนึ่งในสิบยอดฝีมือใหญ่ที่มีชื่ออยู่บนกระดาน ก็ต้องเป็นปรมาจารย์ด้านวรยุทธ์อย่างอาจารย์ของเว่ยเหยี่ยน

คืนนี้บนภูเขาหนิวกู่และเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนหลังจากนี้ ได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางพูดถึงธรรมะและอธรรม

อวี๋เจินอี้จ้องเขม็งไปยังสถานที่บางแห่งของเมืองหลวงแล้วเอ่ยเสียงเบา “ลู่ฝ่าง เจ้ากับสหายของเจ้าไปจัดการเรื่องไม่คาดคิดที่ใหญ่ที่สุดนั่นก่อนเถอะ ส่วนจะร่วมมือกันฆ่าคนหรือจะฆ่าคนด้วยกำลังตัวเองคนเดียว ข้าไม่สน แต่ข้าอนุญาตให้แค่ทำสำเร็จเท่านั้น ห้ามล้มเหลว ภายในสามวันจงนำหัวของคนผู้นั้นกลับมา ของทั้งหมดบนร่างของเขา อิงตามกฎเดิม ใครเป็นคนฆ่าก็ได้ไป”

ลู่ฝ่างลูบท้ายทอย ถอนหายใจหนึ่งที

ห่างไปไกลมีเสียงหัวเราะน่าสะพรึงกลัวของคนบางคนดังลอยมา น้ำเสียงนั้นราวกับจะบอกว่าอยากลงมือเต็มแก่

เฉินผิงอันไม่ได้กลับไปยังที่พัก แต่เดินไปทั่วเมืองหลวงเพียงลำพังราวกับผีเร่ร่อน ระหว่างนี้ยังแอบแฝงตัวเข้าไปในหอเก็บหนังสือของตระกูลปัญญาชนแห่งหนึ่ง หยิบหาหนังสือมาอ่านไปเรื่อยเปื่อย

ก่อนฟ้าจะสางถึงแอบออกมาอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็ไปนั่งฟังบทสอนของเหล่าปราชญ์ที่กั๋วจื่อเจียนของเมืองหลวง จนกระทั่งเที่ยงพระอาทิตย์ลอยตรงศีรษะถึงได้เดินกลับเข้าไปในตรอกจ้วงหยวน เขาจงใจหลบเลี่ยงบ้านหลังที่เกี่ยวข้องกับผู้เฒ่าแซ่ติงและหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อ

ในตรอกจ้วงหยวนมีร้านขายหนังสือเล็กแคบอยู่หลายร้าน นอกจากจะขายหนังสือแล้วยังขายสี่เครื่องเขียนล้ำค่าที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเครื่องประดับอันงดงามบนโต๊ะหนังสืออีกบางส่วน เพราะฝีมือหยาบเรียบง่าย ยังดีที่ราคาไม่สูง ถึงอย่างไรคนที่มาซื้อของในแถบนี้ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นบัณฑิตยากจนที่เข้ามาสอบในเมืองหลวง เฉินผิงอันซื้อบันทึกภูเขาและแม่น้ำเนื้อหาเบาสบายจากร้านแห่งหนึ่งมาสองสามเล่ม แน่นอนว่าไม่ได้เอาออกมาอ่านในช่วงนี้ แค่อยากจะให้บนภูเขาลั่วพั่วมีหนังสือเก็บไว้มากหน่อยเท่านั้น

รอจนเฉินผิงอันเดินกลับไปถึงตรอกที่พัก เด็กน้อยหน้าตางดงามก็เพิ่งเลิกเรียนกลับมาพอดี คนทั้งสองเดินอยู่ในตรอกด้วยกัน ดูเหมือนเด็กชายจะมีเรื่องลำบากใจ อดกลั้นอยู่นานก็ยังไม่กล้าพูดออกมา

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น กลับไปถึงที่พัก ตอนกลางคืนกินอาหารเย็นร่วมกับครอบครัวของเด็กชาย ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้าจะเช่าห้องพัก ครอบครัวนี้เพิ่มชามและตะเกียบอีกคู่หนึ่งมาให้เฉินผิงอัน โดยจะเก็บเงินเพิ่มอีกสามสิบอีแปะทุกวัน หญิงชรารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าทุกมื้อจะต้องมีปลามีเนื้อ แต่ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันออกไปข้างนอกเป็นประจำ หากไม่ออกเช้ากลับดึก พลาดช่วงเวลาอาหารเย็นไปแล้ว ก็หายไปนานเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งเลยทีเดียว นี่ทำให้หญิงชราดีใจอย่างยิ่ง

วันนี้บนโต๊ะอาหารมีแต่อาหารจืดชืด หญิงชราขออภัยด้วยรอยยิ้ม บอกว่าวันนี้ทำไมคุณชายเฉินไม่บอกไว้ก่อน จะได้เตรียมวัตถุดิบทำอาหารไว้ล่วงหน้า

เฉินผิงอันยิ้มบอกว่าขอแค่กินอิ่มก็พอแล้ว

หญิงชราจึงถามว่าพรุ่งนี้จะเอาอย่างไร พอได้ยินว่าพรุ่งนี้เฉินผิงอันจะออกไปข้างนอก หญิงชราก็ทอดถอนใจ บ่นว่าคุณชายเฉินยุ่งเกินไปแล้ว กินข้าวที่บ้านสักมื้อยังยากขนาดนี้ อันที่จริงฝีมือทำอาหารของลูกสะใภ้ไม่เลวเลย ไม่กล้าพูดว่าเอร็ดอร่อย แต่ก็ต้องกินได้เยอะแน่นอน

สตรีแต่งงานแล้วที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว ไม่กล้าคีบกับข้าวสักครั้งเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วคลี่ยิ้มซื่อๆ แม่สามีชมตน ช่างหาได้ยากยิ่งนัก

เฉินผิงอันกินข้าวแล้วก็ยกม้านั่งตัวเล็กไปยังมุมถนนที่เด็กชายและปู่ชอบไปเล่นหมากล้อมกับคนอื่นเป็นประจำ ที่หาได้ยากก็คือถนนสายใหญ่เส้นนี้ถูกปูด้วยหินสีเขียว คนที่อยู่อาศัยที่นี่มาแล้วหลายรุ่นมองคนเดินผ่านไปผ่านมา บ้างก็พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับเพื่อนบ้านพอให้คลายเหงา หากเห็นลูกหลานตระกูลคนรวยควบม้าผ่านไป หรือมีหญิงสาวจากหอโคมเขียวที่พอจะมีชื่อเสียงเดินนวยนาดผ่านมาก็สามารถทำให้ถนนทั้งเส้นสว่างไสวได้แล้ว

เฉินผิงอันนั่งอยู่ไม่ห่างจากวงหมากล้อมเท่าไหร่นัก คนมุงล้อมอยู่ตรงนั้นเป็นกลุ่มใหญ่ แล้วจู่ๆ ก็สังเกตเห็นว่าเด็กชายก็ยกม้านั่งออกมาเช่นกัน แถมยังมานั่งข้างตน

ก่อนหน้านี้เขาปลด ‘ปราณกระบี่’ วางไว้ในห้อง มารับลมเย็นอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านแล้วยังแบกกระบี่ไว้ คงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พกไว้ติดตัว แต่ให้กระบี่บินสืออู่ที่เชื่อฟังมากกว่าอยู่ที่ห้อง หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกใครขโมยไป เมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยนเวลานี้ไม่สงบสุข คิดว่าอีกไม่นานมังกรซ่อนพยัคฆ์หลบทั้งหลายคงจะลุกกันขึ้นมาแล้ว

สัมผัสได้ถึงท่าทางผิดปกติของเด็กชาย เฉินผิงอันจึงถามด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องในใจรึ?”

เด็กชายเข้าเรียนที่โรงเรียนจึงพอจะรู้มารยาทบ้างแล้ว เขาก้มหน้าลง “คุณชายเฉิน ขอโทษด้วย”

เฉินผิงอันพูดเบาๆ “หมายความว่าอย่างไร?”

เด็กชายนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเตี้ย สองมือกำแน่นวางไว้บนหัวเข่า ไม่กล้ามองเฉินผิงอัน “เวลาที่คุณชายเฉินไม่อยู่บ้าน ท่านแม่ข้ามักจะฉวยโอกาสไปพลิกค้นของของคุณชายเฉิน”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึง เดิมทีนึกว่าเป็นหญิงชราปากร้ายคนนั้นที่มักจะ ‘แวะไป’ พลิกค้นของในห้องเขาเป็นประจำ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นมารดาของเด็กชายที่มองดูเหมือนคนซื่อ

อารมณ์ของเด็กชายยิ่งหนักอึ้ง “ภายหลังคุณชายเฉินออกจากบ้านไปนาน ท่านแม่จึงแอบไปเอาตำราที่คุณชายเฉินวางไว้บนโต๊ะมาให้ข้า ข้าทนไม่ไหวจึงแอบเปิดอ่าน ข้ารู้ว่าทำแบบนี้ไม่ดี”

เดิมทีเฉินผิงอันอยากจะพูดง่ายๆ ว่า ‘ไม่เป็นไร’ แต่เขารีบกลืนมันกลับลงท้องไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนมาพูดใหม่ว่า “ไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ”

ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินเที่ยวในเมืองหลวง มีวันหนึ่งอยู่ในงานวัดที่คึกคักได้เห็นแม่ลูกท่าทางร่ำรวยคู่หนึ่ง ด้านหลังมีข้ารับใช้ที่ดวงตาฉายประกายคมกริบกลุ่มหนึ่งแอบติดตามมาอย่างลับๆ เด็กชายอายุห้าหกขวบเห็นพี่สาวหน้าตางดงามคนหนึ่งกำลังเลือกของอยู่ที่แผงลอย เขาจึงวิ่งไปกระตุกชายแขนเสื้อของเด็กสาวคนนั้น แน่นอนว่าเด็กชายไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่ต้องการดึงดูดความสนใจของผู้ใหญ่ ตอนแรกเด็กสาวไม่ได้สนใจเขา แต่เพราะเด็กชายมาจากตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์ เห็นว่าพี่สาวคนนี้ไม่สนใจตนจึงเริ่มโมโห น้ำหนักมือจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กสาวถูกตอแยจนทนไมไหว แต่นางก็รู้ความจึงไม่ได้ถือสาเด็กชายที่ไม่รู้ประสา เพียงแค่เงยหน้ามองไปทางแม่เด็กที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล ฝ่ายหลังจึงเรียกลูกชายของตนกลับมา ไม่ให้เขาทำตัวเหลวไหลอีก

หากเหตุการณ์นี้ยุติลงเพียงเท่านี้ เฉินผิงอันก็คงแค่มองผ่านเลยไป

แต่สตรีแต่งงานแล้วที่มีสง่าราศีผู้นั้นกลับเอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันไม่อาจเข้าใจได้จนกลายเป็นปมในใจที่คิดไม่ตกมาโดยตลอด

สตรีซึ่งมาจากตระกูลที่มีฐานะกลับสั่งสอนบุตรชายตัวเองด้วยประโยคที่ว่า “เจ้าเห็นหรือไม่ว่าพี่สาวโกรธแล้ว เลิกซุกซนได้แล้ว”

มองปราดๆ เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร สีหน้าท่าทางของสตรีแต่งงานแล้วคู่ควรกับคำว่าสุภาพเยือกเย็น สายตาที่มองบุตรชายตัวเองเต็มไปด้วยความเมตตารักใคร่ ท่าทีที่ปฏิบัติต่อเด็กสาวก็ไม่ได้เลวร้ายเลยแม้แต่น้อย

จนกระทั่งบัดนี้ที่เฉินผิงอันได้พูดคุยกับเด็กชายถึงได้เข้าใจต้นสายปลายเหตุ

นี่มีส่วนคล้ายคลึง แต่ก็มีส่วนที่ไม่เหมือนหายนะที่น่าเศร้าซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสซ่งอวี่เซาแห่งแคว้นซูสุ่ย

สตรีแต่งงานแล้วสอนบุตรชายแบบนี้ เป็นสิ่งที่ผิด

หรือว่าหากเด็กสาวที่อยู่ตรงร้านแผงลอยไม่โกรธ เด็กชายก็ทำตัวแบบนี้ได้?

เมื่อเทียบกับเรื่องน่าเศร้าในยุทธภพของผู้อาวุโสซ่งอวี่เซา ‘เรื่องเล็กน้อยที่ไม่ได้ทำลายขนบธรรมเนียมประเพณี’ ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดประเภทนี้ จะบอกว่าร้ายแรงก็คงไม่ได้ แต่หากพร่ำบ่นไม่จบไม่สิ้นก็อาจตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไม่แน่ว่าสตรีแต่งงานแล้วอาจจะรู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผลจึงไม่คิดจะละเว้นคนอื่น ได้คืบแล้วจะเอาศอก คิดว่าคนของตระกูลตนรังแกได้ง่ายหรือไร? แม้แต่เด็กสาวคนนั้นก็อาจจะไม่รับน้ำใจเสมอไป

เฉินผิงอันควักแผ่นไม้ไผ่แผ่นนั้นออกมาดูปลายซ้ายขวาทั้งสองด้าน เส้นสายตาไล่ไปตามพื้นที่ระหว่างกลางไม่หยุด

ด้านบนมีรอยสลักมากมาย

นิ้วชี้ของมือข้างซ้ายและข้างขวาของเฉินผิงอันดันอยู่ตรงปลายสองด้านของแผ่นไม้ไผ่ที่เหมือนไม้บรรทัด ไม้ไผ่แผ่นนี้จึงลอยอยู่กลางอากาศ เขาหันไปเอ่ยยิ้มๆ กับเด็กชายที่มีท่าทางกระวนกระวาย “ท่านแม่เจ้าทำแบบนี้ แน่นอนว่าผิด เจ้ารู้ว่าผิดแต่ยังไม่แก้ไข นั่นก็ยังไม่ถูกอยู่ดี แต่พอรู้เรื่องแล้วยังต้องเข้าใจด้วยว่า เรื่องราวบนโลกมีแบ่งเล็กใหญ่ คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกนอกจากถูกผิด ใช่หรือไม่ใช่แล้ว ยังต้องรู้จักมีน้ำใจ ยกตัวอย่างเช่นทำไมท่านแม่ของเจ้าถึงทำแบบนี้ ก็ไม่ใช่เพราะอยากให้เจ้าอ่านหนังสือให้มากๆ วันหน้าจะได้กลายเป็นถงเซิง ซิ่วไฉ เป็นนายท่านจวี่เหริน หรืออาจถึงขั้นสอบติดจิ้นซื่อไม่ใช่หรือ? ท่านแม่เจ้าเป็นคนที่ทนความลำบากได้มากขนาดนั้น สิ่งที่นางทำไปจะเพื่อความมีเกียรติของวงศ์ตระกูล เพื่อให้นางได้อยู่ดีกินดีน่ะหรือ? คิดแล้วคงไม่ใช่ นางก็แค่อยากให้เจ้ามีชีวิตที่ดีในอนาคต ถูกไหม? เหตุใดท่านแม่ของเจ้าถึงทำเรื่องที่ผิดเช่นนี้ หากเจ้าเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องคิดมาก ความผิดของนางและความหวังดีที่นางมีต่อเจ้า เจ้าคงรู้ดีอยู่แก่ใจ อันดับต่อไปก็ถึงคราวของเจ้าบ้างแล้ว เจ้าเรียนหนังสือ เรียนหลักการของอริยะปราชญ์ในตำราจึงรู้เรื่องมารยาทแล้ว ถ้าเช่นนั้นหากกาลเวลาหมุนย้อนกลับ มอบโอกาสให้เจ้าอีกครั้ง เจ้าจะทำอย่างไร?”

เด็กชายตั้งใจฟังอยู่ตลอดเวลา เพราะเฉินผิงอันอธิบายหลักการแบบตื้นๆ ส่วนเขาก็เป็นเด็กฉลาด จึงฟังเข้าใจ หลังจากใคร่ครวญอย่างจริงจังก็ตอบว่า “ข้าควรเอาตำราที่ท่านมาขโมยมากลับไปวางไว้ในห้องของคุณชาย หลังจากนั้นก็ขอยืมหนังสือจากท่านอย่างตรงไปตรงมา แบบนี้ถูกต้องไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้ากล้าพูดแค่ว่า สำหรับข้าถือว่าถูกต้อง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เจ้าอาจจะต้องคิดให้มากขึ้นอีกนิด”

เด็กชายกล่าวอย่างลิงโลด “คุณชายเฉิน ถ้าอย่างนั้นท่านคงไม่ตำหนิท่านแม่ของข้าแล้วใช่ไหม?”

เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กของเขา “ความผิดบางอย่างสามารถชดเชยแก้ไขได้ และเจ้าก็กำลังทำอยู่”

เด็กชายพยักหน้ารับอย่างแรง “ดังนั้นอาจารย์ถึงได้บอกพวกเราว่า รู้ว่าผิดแล้วแก้ไข นับว่าประเสริฐ!”

เฉินผิงอันที่ตอนต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับคนอื่นยังพูดแค่ไม่กี่คำ วันนี้กลับพูดกับเด็กคนหนึ่งมากมายขนาดนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ แต่จิตใจกลับสงบลงได้หลายส่วน รู้สึกว่าต่อให้จะต้องไปฝึกเดินนิ่งและฝึกกระบี่เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว

เฉินผิงอันเก็บไม้ไผ่แผ่นนั้นกลับเข้าไปในชายแขนเสื้อ แล้วก็ถือโอกาสพูดเพิ่มไปอีกสองสามประโยค”

“ทุกวันต้องกินข้าว เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป”

“ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่ การเรียนหนังสือ การอธิบายเหตุผล ไม่ใช่เพื่อให้เป็นอริยะปราชญ์เสมอไป แต่เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นอีกนิด แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีขึ้นจริงเสมอไป แต่อย่างน้อยที่สุดในตำราคำสอนของเหล่าอริยะลัทธิขงจื๊อ คำกล่าวอันล้ำค่าของเหล่าวิญญูชนนักปราชญ์ในแต่ละยุคแต่ละสมัยก็ได้มอบความเป็นไปได้ที่ ‘ไม่มีทางผิด’ ที่สุดอย่างหนึ่งให้แก่พวกเรา บอกกับพวกเราว่าที่แท้คนก็มีชีวิตอย่างนี้ได้ มีชีวิตที่ทำสงบและสบายใจ”

เด็กชายกล่าวอย่างมึนงง “คุณชายเฉิน เรื่องพวกนี้ข้าฟังไม่เข้าใจสักเท่าไหร่”

เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “มีเรื่องมากมายที่ข้าเองก็ยังคิดได้ไม่กระจ่างแจ้ง ก็เหมือนกำลังสร้างบ้านหลังหนึ่งที่มีแค่เสาไม่กี่ต้นเท่านั้น ยังอยู่ห่างจากความสามารถในการหลบลมหลบฝนไกลนัก ดังนั้นเจ้าไม่ต้องคิดเป็นจริงเป็นจัง ฟังเข้าใจหรือไม่ก็ไม่เป็นไร วันหน้าหากมีปัญหาข้อไหนที่ไม่เข้าใจก็ถามเอาจากอาจารย์ในโรงเรียนบ่อยๆ”

เด็กชายคลี่ยิ้มพลางลุกขึ้นยืน หิ้วม้านั่งตัวเล็กขึ้นมา โค้งคำนับเฉินผิงอันหนึ่งครั้งแล้วก็บอกว่าจะกลับบ้านไปคัดตัวอักษรต่อแล้ว อาจารย์ที่สอนหนังสือเขาเข้มงวดมาก หากแอบอู้ต้องโดนตี

เฉินผิงอันโบกมือยิ้มให้ “ไปเถอะ”

เฉินผิงอันเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้หันกลับไปด้านหลัง “ทิ้งก้อนหินที่อยู่ในมือไปซะ”

ด้านหลังมีเสียงอ่อนเยาว์ดัง “อ้อ” ขึ้นหนึ่งที จากนั้นก็เป็นเสียงก้อนหินหล่นลงพื้น ดูเหมือนว่าหินก้อนนั้นจะไม่ใช่เล็กๆ

เด็กหญิงผอมแห้งคนหนึ่งปัดมือ เดินอาดๆ มานั่งยองข้างกายเฉินผิงอัน หันหน้ามาถามว่า “ขอม้านั่งให้ข้ายืมนั่งบ้างสิ?”

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้วเริ่มดื่มเหล้า

เด็กหญิงถามอีกว่า “เจ้ามีเงินขนาดนี้ ยกให้ข้าบ้างได้ไหม? เมื่อครู่นี้เจ้าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า ต้องกินข้าวทุกวันถึงจะได้ไม่ต้องหิวตาย”

เฉินผิงอันย้อนถามโดยไม่ได้มองนาง “เจ้าตามหาข้าเจอได้อย่างไร?”

บทสนทนาของคนทั้งสองเหมือนหัววัวที่ไม่ตรงกับปากม้า (หมายถึงเรื่องราวที่ไม่สอดคล้องกัน ไปกันคนละทิศทาง)

เด็กหญิงกล่าวอย่างน่าสงสาร “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ขาดเงิน ให้เงินข้าแค่ไม่กี่ตำลึง เจ้าก็คงไม่เสียดาย แต่ข้าสามารถซื้อขนมเปี๊ยะกับซาลาเปาเนื้อได้หลายชิ้น พอถึงหน้าหนาว ทุกปีเมืองหลวงจะต้องมีขอทานแก่ๆ ที่หนาวตายเป็นจำนวนมาก เสื้อผ้าขาดๆ บนร่างพวกเขา หากข้าคิดจะถอดออกมาต้องเปลืองแรงมาก เจ้าดูสิ เสื้อผ้าบนร่างข้าชุดนี้ได้มาเพราะวิธีนี้ หากว่าข้ามีเงินต้องสามารถอดทนจนผ่านไปได้แน่”

เฉินผิงอันยังคงไม่มองนาง “เสื้อผ้าที่สวมอยู่ตอนนี้คงได้มาด้วยวิธีนั้น แต่ชุดที่สวมคราวก่อนล่ะ คงเป็นเสื้อผ้าที่แม่นางน้อยคนนั้นแอบเอาออกมาให้เจ้าสินะ? วันนี้ทำไมถึงไม่สวมเสียล่ะ หรือเพราะคิดจะมาพบข้า?”

เด็กหญิงเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่ฟังความหมายในคำพูดของเฉินผิงอันไม่เข้าใจ นางยิ้มซื่อๆ กล่าวว่า “ฤดูร้อนแบบนี้ เสื้อผ้าขาดเล็กน้อยกลับช่วยให้เย็นสบาย ชุดที่นางมอบให้ข้า ปกติข้าตัดใจเอามาใส่ไม่ลง พอถึงหน้าหนาวค่อยเอาออกมา สวมบนร่างจะอบอุ่นมากเป็นพิเศษ”

เฉินผิงอันลุกพรวดขึ้นยืน หันมองไปทางซ้ายขวาสองฝั่งสุดตรอกแวบหนึ่ง แต่กลับพูดกับเด็กหญิงที่นั่งยองอยู่ “ไปยืนให้ติดกับมุมกำแพง หลังจากนี้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ห้ามส่งเสียงเด็ดขาด”

เด็กหญิงเป็นคนหัวไว นางคอยแอบสังเกตเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงมองตามเส้นสายตาของเฉินผิงอันอยู่นานแล้ว พอได้ยินประโยคนี้ก็ทำแก้มพอง บ่นพลางลุกขึ้นยืน ขณะที่กำลังจะวิ่งไปหลบภัยตรงกำแพงพลันได้ยินคนผู้นั้นพูดว่า “เอาม้านั่งไปด้วย”

นางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมข้าต้องช่วยถือให้เจ้าด้วย? เจ้าเป็นบิดาที่พลัดพรากจากข้าไปหลายปีหรือไง”

เฉินผิงอันไม่มัวอ้อมค้อม “สิบอีแปะ”

“ได้เลย ท่านพ่อ!” บนใบหน้าดำคล้ำของเด็กหญิงคลี่ยิ้มราวดอกไม้ผลิบาน หิ้วม้านั่งตัวเล็กมาได้ก็วิ่งฉิวไปทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!