Skip to content

Sword of Coming 319

บทที่ 319 แค่ออกกระบี่เท่านั้น

ติงอิงยกแขนขึ้น กวานดอกบัวสีเงินบนศีรษะผลิบานราวกับมีชีวิตจริง กลีบดอกบัวที่เดิมทีตูมเต่งคลี่ขยายออกมาภายนอก ส่ายสะบัดอย่างมีชีวิตชีวา ติงอิงเอากระบี่บินเล่มจิ๋วที่อยู่ตรงปลายนิ้ววางไว้ข้างในนั้น กลีบดอกสีเงินค่อยๆ หุบเข้าหากัน กวานเต๋าหวนคืนกลับสภาพเดิม

ติงอิงเอาสองมือไพล่หลัง ก้มหน้าลงมองปราณกระบี่ยาวเหยียดที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด ต่อให้เป็นติงอิงก็ยังรู้สึกว่าภาพนี้ช่างงดงามอย่างที่ไม่เคยได้พานพบมาก่อนในชีวิต

ติงอิงก้มหน้าลงมองลำธารสีขาวหิมะที่หยุดค้างอยู่ในโลกมนุษย์พลางเปิดปากถามยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน นี่คือเวทบังคับกระบี่ของอาจารย์กระบี่กระมัง? เจ้าเคยใช้กับเฝิงชิงป๋ายมาก่อน เป็นข้าประมาทเอง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสามารถบังคับกระบี่มาได้ไกลขนาดนี้ แต่ก็ไม่เป็นไร สถานการณ์โดยรวมมั่นคงดีแล้ว อีกอย่างในฐานะที่เจ้าเป็นเจ้าของกระบี่เซียนเล่มนี้ กลับไม่กำด้ามกระบี่อย่างแท้จริง แค่ใช้เวทอำพรางตาทำท่าเหมือนกำอยู่เท่านั้น แบบนี้จะไม่น่าเสียดายไปหน่อยหรือ?”

ติงอิงดึงสายตากลับ หันตัวไปมองเฉินผิงอัน “หรือจะบอกว่าอันที่จริงเจ้าไม่สามารถควบคุมกระบี่เล่มนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ น่าเสียดายยิ่งนัก หรือว่าเจ้าพวกที่มองดูเหมือนหมอกแต่ไม่ใช่หมอก เหมือนน้ำแต่ไม่ใช่น้ำเหล่านี้ล้วนเป็นปราณกระบี่ทั้งหมด? ถ้าอย่างนั้นปราณกระบี่ก็ต้องเผาผลาญไปเร็วมากสิถึงจะถูก”

เฉินผิงอันคิดไม่ถึงว่าติงอิงจะสายตาเฉียบคมขนาดนี้ แปบเดียวก็มองออกแล้วว่าตนกับกระบี่เล่มนี้ ‘ภายนอกประสาน แท้จริงใจห่าง’

ปราณยาวเล่มนี้ ตอนที่อยู่นอกป้อมอินทรีบิน เฉินผิงอันเคยชักออกจากฝักหนึ่งครั้ง ตอนนั้นเลือดเนื้อตลอดทั้งแขนของเฉินผิงอันถูกปราณกระบี่สลายไปเสียสิ้น เหลือให้เห็นเพียงกระดูกขาว เป็นเพราะลู่ไถใช้ยาวิเศษของสำนักหยินหยางถึงได้มีเลือดเนื้องอกขึ้นมาใหม่ เวลานี้เขาสามารถบังคับพาปราณยาวมาไว้ข้างกาย แน่นอนว่าหาใช่เพราะบรรลุถึงจุดสูงสุดของอาจารย์กระบี่ถึงได้ควบคุมกระบี่ยาวมาได้ไกลขนาดนี้ แต่เป็นเพราะเมื่อเฉินผิงอันกับปราณยาวอยู่ด้วยกันนานวันเข้า ปราณกระบี่ได้แทรกซอนเข้ามาในร่างกายของเขา และจิตวิญญาณของเขาก็เป็นฝ่ายชักนำปราณกระบี่ ดังนั้นต่อให้ทั้งสองจะแยกจากกันก็ยังคงมีเส้นใยที่เชื่อมโยงพวกเขาไว้ด้วยกัน

ติงอิงชี้ไปที่กวานดอกบัวของตัวเอง “คราวนี้เจ้าเอากระบี่มาได้แล้ว ส่วนข้ากลับสูญเสียวิชาอภินิหารจากกวานเต๋าของเซียนชิ้นนี้ไปชั่วคราว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อันดับต่อไปก็สามารถประมือกันได้อย่างยุติธรรมแล้วใช่ไหม?”

นิ้วทั้งห้าของเฉินผิงอันที่กำด้ามกระบี่ไว้หลอกๆ เพิ่มน้ำหนักเล็กน้อย ลำธารปราณกระบี่ที่เริ่มต้นมาจากลานบ้านในตรอกเล็กและหยุดลงที่ฝ่ามือของเฉินผิงอันพลันรวบเข้ามาหากันในเสี้ยววินาที ปราณกระบี่กลับมารวมตัวกันบนตัวกระบี่อีกครั้ง กระบี่ปราณยาวที่อยู่ในมือไม่เหลือภาพเหตุการณ์ผิดปกติอะไรอีก

เฉินผิงอันลอง ‘ชั่ง’ น้ำหนักของกระบี่ปราณยาวดูรอบหนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่ากำลังดี เมื่อเทียบกับกระบี่ชือซินที่อยู่ในกระบี่บินสืออู่แล้วถือว่าหนักกว่ามาก นับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันได้ ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ มาจากนครมังกรเฒ่า แล้วเริ่มฝึกวิชากระบี่มาตั้งแต่บนเกาะกุ้ยฮวา เขาก็รู้สึกมาตลอดว่าเบาเกินไป ตอนนี้ต่อให้เพียงแค่กุมปราณกระบี่ไว้ปลอมๆ กลับรู้สึกว่ามันเหมาะมือ

น้ำหนักเหมาะสมก็ดีแล้ว

จนกระทั่งบัดนี้ติงอิงถึงเพิ่งจะยกระดับเฉินผิงอันจากขั้นเดียวกับพวกลู่ฝ่าง จ้งชิวให้เท่าเทียมกับอวี๋เจินอี้ที่ฝึกวิชาเซียน

ความต่างของทั้งสองฝ่ายก็คือไม่ว่าวิชากระบี่ของเจ้าลู่ฝ่างจะมหัศจรรย์แค่ไหน วิชาหมัดของเจ้าจ้งชิวจะไร้ศัตรูทัดเทียมเท่าไหร่ แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าข้าติงอิงก็ยังเหมือนเด็กน้อยที่แกว่งกิ่งหลิว เหมือนคนแก่โบกหมัด ใต้หล้านี้มีเพียงอวี๋เจินอี้ที่ไม่ว่าจะโจมตีหรือต้านรับก็อยู่ในระดับสูงสุดเท่านั้นที่ถึงจะมีโอกาสทำร้ายเขาติงอิงได้

เฉินผิงอันพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ หนึ่งครั้ง

ข้อดีอย่างเดียวของสถานที่แห่งนี้ก็คือการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธ์จะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลัดเปลี่ยนลมปราณของเฉินผิงอัน

ราวกับว่าผู้ฝึกยุทธ์ของฟ้าดินแห่งนี้ขาดขั้นที่หนึ่งในการเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวของใต้หล้าไพศาลไป เมื่อเฉินผิงอันอยู่ที่นั่น หากผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกลมปราณคิดจะเดินไปบนเส้นทางที่ผิดต่อวิถีสวรรค์ จำเป็นต้องสลายปราณวิญญาณทั้งหมดในร่างกายออกไปเสียก่อน แล้วจึงสกัดดึงเอาลมปราณบริสุทธิ์ที่แท้จริงเฮือกหนึ่งขึ้นมา ลมปราณเป็นดั่งเจียวหลงที่ว่ายวนไปตามอวัยวะและช่องโพรงลมปราณในร่างกาย เหมือนกองทหารม้าชายแดนที่บุกเบิกที่ดิน เปิดเส้นทางเส้นแล้วเส้นเล่าที่เหมาะสมแก่การโคจรของลมปราณแท้จริง ถึงจะถือว่าได้เดินขึ้นไปบนวิถีวรยุทธ์อย่างแท้จริง

ทว่าเมื่ออยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ บางทีอาจเป็นเพราะปราณวิญญาณที่เบาบาง ผู้ฝึกยุทธ์จึงไม่มีความพิถีพิถันในเรื่องนี้ ด้านการหล่อหลอมหายไป ดังนั้นรากฐานที่ถูกปูมาแต่แรกเริ่มจึงไม่ดีนัก ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์หลายคนในยุทธภพแสวงหาการกลับคืนสู่ธรรมชาติดั้งเดิม แท้จริงแล้วก็เพียงแค่เพราะว่าเมื่อเดินไปถึงจุดสูงในระดับหนึ่งบนเส้นทางแห่งวิถีวรยุทธ์แล้วกลับเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งในฉับพลัน ถึงได้เริ่มเดินย้อนกลับหลังไปเริ่มใหม่อีกครั้ง

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ตลอดร้อยปีในยุทธภพก็ยังมีผู้มีพรสวรรค์อันโดดเด่นอย่างพวกติงอิง อวี๋เจินอี้ จ้งชิวผุดขึ้นมา และในประวัติศาสตร์ก็ยิ่งมีบุคคลฝีมือเลิศล้ำอย่างเว่ยเซี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน

ติงอิงยิ้มบางกล่าวว่า “นอกจากกวานดอกบัวบนศีรษะนี่แล้ว กระบี่ในมือของเจ้าเฉินผิงอันก็คือของอย่างที่สองที่ข้าติงอิงต้องการได้มาครอบครอง”

ใช้ท่าจับเสมือนจริงกุมปราณยาว

เฉินผิงอันขยับไปข้างหน้าด้วยการเดินนิ่งหกก้าวของวิชาหมัดเขย่าขุนเขา ซึ่งในท่าทางนี้ยังแฝงไว้ด้วยแก่นสูงสุดของกระบวนท่าหมัดใหญ่ของจ้งชิว

ความกว้างในแต่ละก้าวสั้นยาวไม่เท่ากัน ทว่าหลังจากฝึกหมัดครบล้านครั้งแล้ว ทุกอย่างล้วนผสานรวมกันอย่างเป็นธรรมชาติ ปณิธานหมัดได้ซึมลึกเข้าสู่แก่นกระดูกของเฉินผิงอันนานแล้ว บวกกับจุดสูงสุดแห่งวิชาหมัดที่ก่อนหน้านี้จ้งชิวแสร้งทำเป็นเข่นฆ่ากับเขา ทว่าแท้จริงแล้วกลับเป็นการถ่ายทอดวิชาให้เขาอย่างลับๆ สองอย่างผสานรวมกันเกิดเป็นท่วงทำนองดุจเมฆคล้อยน้ำไหล ประสานกันได้อย่างราบเรียบไร้ช่องโหว่

ด้วยสายตาของติงอิง เขากลับมองช่องโหว่ใดๆ จากการก้าวย่างหกก้าวนี้ของเฉินผิงอันไม่ออก นี่คือคนกับฟ้าผสานเป็นหนึ่ง สอดคล้องเข้ากับมหามรรคาอย่างแท้จริง

ในช่วงเวลาหกสิบปีที่ผ่านมา ติงอิงเสาะหาและรวบรวมวิชาวรยุทธ์ในใต้หล้ามาอย่างกำเริบเสิบสาน อีกทั้งตัวติงอิงเองยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ที่ร้อยปียากจะพานพบสักครั้ง มีความรู้หลากหลายรอบด้าน จึงพยายามจะเรียบเรียงตำราวิเศษที่สอนสุดยอดเคล็ดวิชายุทธ์ในใต้หล้าขึ้นมา

เมื่อเห็นท่าเดินหกก้าวที่ราบเรียบไร้ความมหัศจรรย์นี้ ดวงตาของติงอิงก็พลันเป็นประกาย ดูท่าในตำราลับเล่มนั้นของตนยังมีจุดที่ต้องให้ตรวจสอบและเติมเต็มช่องโหว่

ในเมื่อไม่มีโอกาสปลิดชีพในการโจมตีเดียว บวกกับที่คิดอยากจะเรียนวรยุทธ์นอกฟ้าจากตัวของเฉินผิงอันให้มากขึ้นอีกนิด ติงอิงจึงเลือกที่จะหลบเลี่ยงประกายคมกริบของฝ่าย

แต่เพียงไม่นานติงอิงก็ตระหนักได้ว่าการถอยครั้งนี้ของตน เป็นการเลือกที่ผิดพลาด

หลังจากก้าวเดินมาถึงก้าวที่หก พลังอำนาจทั่วร่างของเฉินผิงอันก็ไต่ทะยานสู่จุดสูงสุด ปณิธานหมัดเข้มข้นจนถึงขั้นที่คล้ายจะรวมตัวกันขึ้นเป็นน้ำ ประหนึ่งหยดน้ำจำนวนมากที่กลิ้งไหลอยู่บนใบบัว การขัดเกลาหล่อหลอมจิตวิญญาณจากการแบกปราณยาวไว้บนหลังวันแล้ววันเล่า ปณิธานกระบี่ที่เดิมทีแทรกซึมเข้ามาในร่างของเฉินผิงอันช้าๆ ก็คือเส้นใยบนใบบัวใบนั้น

เขากระโดดขึ้นสูง เงื้อกระบี่ฟันฉับลงไป

มือทั้งคู่ของเฉินผิงอันจับกระบี่ สลับคมกระบี่จากตั้งมาเป็นนอน ประกายแสงเส้นหนึ่งพุ่งวาบ

ถนนใหญ่ถูกปราณกระบี่เส้นนั้นฟันออกเป็นสองฝั่งซ้ายขวา หากมีคนยืนอยู่สองข้างฝั่งของถนนก็จะค้นพบว่าวินาทีนี้ ภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงข้ามกับฝั่งถนนกลายมาเป็นพร่ามัว บิดเบี้ยว

ติงอิงถอยห่างออกไปสามจั้ง บิดข้อเท้าเบี่ยงตัว พายุกระบี่สีขาวหิมะพุ่งสวบผ่านไปด้านหน้า

ประหนึ่งนักท่องเที่ยวที่ยืนมองคลื่นยักษ์กระทบชายฝั่ง

ติงอิงที่เรือนกายด้านข้างเผชิญกับกระบี่ที่สองยกมือขึ้นปรบกัน เท้าทั้งสองข้างพ้นจากพื้น ลำตัวลอยขึ้นกลางอากาศ หลบปราณกระบี่ดุร้ายที่ฟันผ่ากลางเอวมาได้ ฝ่ามือข้างหนึ่งสัมผัสกับตัวกระบี่ปราณยาวพอดี เมื่อฝ่ามือกับกระบี่เทพสัมผัสกันก็เหมือนก้อนหินที่บดเบียดเสียดสีกัน

ติงอิงขมวดคิ้ว เลือดโชกไหลนองออกมาจากฝ่ามือ เขาพลันเพิ่มแรง งอนิ้วดีดกระบี่ปราณยาว ถือโอกาสม้วนตัวกลับ พลิ้วกายลอยไปด้านหลัง

เพียงแต่ว่าติงอิงที่เสียโอกาสชิงจู่โจมก่อนไปแล้ว คิดจะสลัดเฉินผิงอันให้หลุดกลับไม่ง่ายนัก

การเดินนิ่งหกก้าวครั้งต่อไปของเฉินผิงอัน ก้าวแรกเหยียบบนกลางอากาศที่เหนือพื้นมาชุ่นกว่า ก้าวที่สองเหยียบตรงจุดที่ลอยพ้นพื้นมาหนึ่งฉื่อ แต่ละก้าวล้วนเดินขึ้นฟ้า ขณะเดียวกันเขาก็ปล่อยกระบี่ปราณยาวออก มันกลายเป็นสายรุ้งสีขาวที่พุ่งตามติดไปไล่ฆ่าติงอิง

แน่นอนว่านี่ไม่ได้เป็นเพราะเฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดบังคับลมของวิถีวรยุทธ์แล้ว แต่เป็นเพราะเขาอาศัยพลังของกระบี่ อาศัยที่ลมปราณของหนึ่งคนหนึ่งกระบี่เชื่อมโยงกัน ถึงได้สามารถบังคับลมเดินกลางอากาศ ทว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กับจ้งชิว หลังจากปรับแก้มังกรใหญ่เขาได้ฝ่าขอบเขตเป็นครั้งแรก เลื่อนสู่ขอบเขตห้า ตอนนั้นที่เขาเดินกลางอากาศข้ามผ่านร่องลึกบนถนนที่ถูกกระบี่ของลู่ฝ่างผ่าไว้มาได้สำเร็จ ล้วนเป็นเพราะลมปราณเหมือนน้ำบ่าที่ทะลักออกมาภายนอก ยังไม่มั่นคงอย่างแท้จริงเท่านั้น ดังนั้นเมื่อจ้งชิวมองเห็นสายสนกลในถึงได้ออกหมัดช่วยเฉินผิงอันขัดเกลาวิถีวรยุทธ์ให้แน่นหนามากขึ้น

ติงอิงก้าวออกมาหนึ่งก้าว ใต้ฝ่าเท้าก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ร่างเอียงไปยังกลางอากาศตำแหน่งที่สูงยิ่งกว่าเดิมแล้วก้าวออกไป ยังคงเป็นภาพปรากฎการณ์เดียวกันนั่นคือใช้ลมพายุที่ปลดปล่อยออกไปข้างนอกให้รวมตัวกันกลายเป็นหินรองฝ่าเท้า ก่อนที่เท้าจะเหยียบลงมันก็ถูกเอามา ‘วาง’ ไว้กลางอากาศรออยู่ก่อนแล้ว เป็นเหตุให้ติงอิงสามารถเดินไปยังตำแหน่งใดในอากาศก็ได้ตามที่ใจปรารถนา

นี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเค้าโครงรูปร่างของขอบเขตบังคับลมในใต้หล้าไพศาลแล้ว

หากติงอิงสามารถบินทะยานออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัว ระดับความสำเร็จของเขาย่อมสูงอย่างที่ใครก็ไม่อาจจินตนาการได้ถึง

คนอีกสิบเก้าคนในใต้หล้านอกเหนือจากติงอิง ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในท้องถิ่นหรือเจ๋อเซียน เมื่อมาอยู่ในกรงขังอย่างพื้นที่มงคลดอกบัวก็ล้วนกำหนดให้ยอดเขาที่คนและฟ้ารวมเป็นหนึ่งคือจุดสูงสุด กว่าจะเดินมาถึงก้าวนี้ต้องเปลืองแรงอย่างมาก เผาผลาญพลังกายพลังใจไปนับไม่ถ้วน แต่ติงอิงนั้นไม่เหมือนกัน เป็นเพราะจุดสูงสุดของพื้นที่มงคลดอกบัวมีเพียงขอบเขตฟ้าคนผสานเป็นหนึ่งขอบเขตเดียวเท่านั้น เขาถึงได้หยุดอยู่ที่เดิมมาปีแล้วปีเล่า รอให้คนอื่นเดินขึ้นเขามาทีละก้าว โดยเขาเองที่อยู่บนจุดสูงสุดมานานหลายปีทำเพียงก้มหน้าหลุบตามองโลกมนุษย์ ใช้ชีวิตอย่างน่าเบื่อหน่าย

ดังนั้นติงอิงถึงได้มองกฎเกณฑ์และมหามรรคาของฟ้าดินแห่งนี้เป็นศัตรูของตัวเอง

ศึกบนฟ้าที่น่าตะลึงพรึงเพริดครั้งนี้

เฉินผิงอันใช้วิธีบังคับกระบี่ของอาจารย์กระบี่

ส่วนกระบวนท่าที่ใช้คือกระบวนท่าหิมะทลายใน ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’

เขาไม่ยอมปล่อยให้ติงอิงทิ้งระยะห่าง ขณะเดียวก็ไม่ให้ติงอิงขยับเข้ามาใกล้ เข้าหรือออกล้วนอยู่ในระยะสองช่วงแขน

คนทั้งสองอยู่บนอากาศเหนือเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน ต่อสู้โรมรันกันไม่หยุด ขยับย้ายไปทางทิศใต้ของเมืองเรื่อยๆ

ปราณกระบี่กับพายุหมัดปะทะพุ่งชนกันส่งเสียงดังครืนครั่นเหมือนเสียงหิมะถล่ม ทำให้ชาวบ้านทุกคนที่อยู่ในเมืองหลวงอดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้

คนหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะบังคับกระบี่ยาวที่เป็นเหมือนรุ้งขาวเส้นหนึ่ง ภาพเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ชวนตื่นตาตื่นใจนี้คล้ายหิมะใหญ่เท่าขนห่านที่เกล็ดหิมะไม่มีวันร่วงลงมาข้างล่าง

ในบรรดากลุ่มคนที่มองดูอยู่มีฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนที่ถูกห้อมล้อมอารักขาจากกองทหารรักษาพระองค์

มีพ่อครัวชราของตำหนักองค์รัชทายาทที่สวมผ้ากันเปื้อนวิ่งออกมานอกห้องครัว รัชทายาทเว่ยเหยี่ยนและเทพธิดาฝานกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซิน

โจวเฝยกับลู่ฝ่างที่ยืนเคียงไหล่กันอยู่นอกร้านเหล้าตรงหัวมุมถนน

สตรีที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจเดินไปถึงที่พักของบัณฑิตเจี่ยง นางนั่งพิงอยู่ใต้กำแพงมุมหนึ่งอย่างหมดเรี่ยวแรง เงยหน้ามองภาพเหตุการณ์ที่อยู่เหนือศีรษะ หญิงสาวเต็มไปด้วยความเสียดาย นางหลับตาลงช้าๆ รู้สึกเหนื่อยมากแล้วจริงๆ ต่อให้ได้เปิดประตูของบ้านหลังเล็กเข้าไป ได้พบกับบัณฑิตที่ตัวเองรัก แล้วจะอย่างไรเล่า? จะให้เขาเห็นสภาพที่ทั่วร่างของตนเต็มไปด้วยคราบเลือดอย่างนั้นหรือ? ช่างเถิด ไม่ได้พบหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย ต่อให้เขาฟังคำจากคนอื่นแล้วคิดว่านางเป็นคนชั่วร้าย แต่สุดท้ายนางก็ยังเป็นสตรีที่งดงามในใจเขาได้

ดังนั้นนางจึงเอียงศีรษะ คลี่ยิ้มแล้วหลับไป

ฮองเฮาโจวซูเจินไม่ได้กลับวังหลวง นางแฝงตัวเข้ามาในตำหนักองค์รัชทายาท บนร่างมีกระจกทองแดงเพิ่มขึ้นมาหนึ่งบาน

เฉาฉิงหล่างที่อยู่ในลานบ้านเดียวดายไร้ที่พึ่ง โยนมีดผ่าฟืนทิ้ง นั่งยองกุมหัวร้องไห้โฮ

รอบด้านไม่มีใครอยู่แล้ว เด็กหญิงร่างผอมแห้งหิ้วม้านั่งตัวเล็กเดินเตร็ดเตร่เลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็ก เหลียวซ้ายแลขวาอย่างเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้

กลางอากาศทางทิศใต้ของแคว้นหนันเยวี่ยน

เฉินผิงอันบังคับกระบี่ได้คล่องแคล่วเชี่ยวชาญมากขึ้นทุกขณะ

คมกระบี่เฉียบคมเกินไป ปราณกระบี่พลุ่งพล่านเกินไป ท่ากระบี่แปลกประหลาดเกินไป

หกสิบปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ติงอิงมีสภาพอเนจอนาถเช่นนี้ เขาได้แต่มุ่งมั่นป้องกันตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น

ติงอิงเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว ทว่าในชั่วระยะเวลาสั้นๆ นี้เขายังทำอะไรไม่ได้ จึงพยายามสงบจิตสงบใจตัวเอง เขาก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเจ๋อเซียนหนุ่มผู้นี้จะรักษาขอบเขตไร้ที่ติของตัวเองไว้ได้นานแค่ไหน ขอแค่อีกฝ่ายเผยช่องโหว่ให้เห็น ติงอิงก็จะทำให้เขาเฉินผิงอันบาดเจ็บสาหัส และติงอิงเองก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ วิชาหลายแขนงที่ได้เล่าเรียนมาล้วนถูกเขาดึงมาใช้ หนึ่งหมัดที่ต่อยออกไปเอียงๆ ไม่ได้โดนเฉินผิงอันสักนิด ทว่าพายุหมัดกลับระเบิดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน บ้างก็เป็นตรงหว่างคิ้ว ตรงไหล่ ตรงหน้าอก ยากจะคาดเดาว่าจะปรากฏมุมไหน เกินความคาดคิด นี่ก็คือฉีเหมินตุ้นเจี่ยและวิชาจับยามดอกเหมย (หนึ่งในวิชาทำนาย วิชาพยากรณ์แบบโบราณของจีน) ที่ติงอิงเอามาใช้กับวิชาหมัด การเคลื่อนไหวร่างกายที่แปลกประหลาดของใบหน้ายิ้มเฉียนถัง เมื่อมาเจอกับติงอิงก็เหมือนเรื่องน่าหัวเราะเยาะในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ

มือข้างหนึ่งของติงอิงประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน ดีดนิ้วเบาๆ ลมพายุเป็นกลุ่มก็กลายมาเป็นเหมือนกระบี่ยาว

มือข้างหนึ่งทำมุทราร่ายวิชาอภินิหารที่สามารถยกภูเขาย้ายแม่น้ำ ดึงเอาหลังคาบ้านและต้นไม้แถบใหญ่มาจากบนพื้นดินเพื่อต้านทานปราณกระบี่สีขาวหิมะที่ซัดตลบอบอวล

สุดท้ายคนทั้งสองพลิ้วกายลงบนกำแพงสูงแห่งหนึ่งนอกเมืองหลวง

บนทางเดินม้าเส้นนี้ ป้อมสำหรับพลธนูซุ่มยิงหลายแห่งรวมไปถึงผนังหลายแถบล้วนแตกระเบิดกระจัดกระจาย ฝุ่นคลุ้งปลิวว่อนไปทั่วทั้งในและนอกเมือง

ดูเหมือนว่าเมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้แล้ว พันธนาการเล็กน้อยส่วนสุดท้ายได้สูญหายไป เฉินผิงอันถึงได้ปลดปล่อยตัวเองออกมาอย่างเต็มที่

วิชาบังคับกระบี่แทบจะกลายมาเป็นวิชาควบคุมกระบี่

ทางเดินม้าเส้นยาวเหยียดถูกปราณกระบี่ของปราณยาวที่เป็นดั่งสายรุ้งทำลายเสียจนพังพินาศย่อยยับ

บางครั้งที่เกิดจังหวะช่องว่าง ติงอิงที่คิดจะสลัดตัวเองให้หลุดพ้นไปจากที่แห่งนี้ก็จะถูกหนึ่งหมัดของเฉินผิงอันต่อยให้กลับเข้ามาในกรงขังปราณกระบี่

ติงอิงผู้ยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้า ตลอดระยะเวลาหกสิบปีที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดในยุทธภพ นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนคนหนึ่งซึ่งยึดครองความได้เปรียบไว้ได้อย่างมั่นคงบีบบังคับให้จำต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำ ต้องเฝ้าป้องกันอย่างเดียว

แม้ว่าติงอิงจะไม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าชายแขนเสื้อของแขนสองข้างกลับเกิดรอยปริแตกจำนวนนับไม่ถ้วน

เรือนกายของเฉินผิงอันที่คล่องแคล่วปราดเปรียวกำลังเดินก้าวย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่บนทางเดินม้าสภาพผุพังในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล

ส่วนติงอิงก็เห็นได้ชัดว่าโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว หลายครั้งที่กระบี่ปราณยาวถูกปลายนิ้วแตะลงบนตัวกระบี่หรือด้ามกระบี่ พายุกระบี่จะแหลกสลาย ตัวกระบี่สั่นสะเทือนไม่หยุด ทว่าปราณกระบี่กลับยังคงเปี่ยมล้นมากพอจะก่อตัวกลายเป็นธารน้ำไหลยาว ความเสียหายเพียงเท่านี้สามารถมองข้ามไปได้โดยตรง เพราะเหมือนทุ่มหินยักษ์กระแทกใส่น้ำแล้วสะเก็ดน้ำกระจายขึ้นมาบนฝั่งเท่านั้น

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเฉินผิงอัน เขาขึ้นไปยืนอยู่บนป้อมยิงธนูโดดเดี่ยวเพราะสองป้อมที่ขนาบข้างพังหักไปแล้ว ประกบสองนิ้วเป็นท่ายื่นนิ่งเจี้ยนหลูของวิชาหมัดเขย่าขุนเขา

ปราณยาวที่เดิมทีล้อมพัวพันรอบกายติงอิงอย่างบ้าคลั่งพลันทะยานขึ้นกลางอากาศหลายสิบจั้ง ความเร็วของกระบี่บินที่แต่เดิมก็เร็วสุดขีดอยู่แล้วกลับเร็วกว่าเดิมผิดไปจากหลักการทั่วไป อยู่ดีๆ ก็หายไปจากกลางอากาศ จากนั้นรุ้งขาวที่หอบเอาสายลมและสายฟ้าก็ดิ่งลงมาจากท้องนภา กระบี่ยาวแหวกผ่าหัวกำแพงเมืองของแคว้นหนันเยวี่ยน ก่อนจะทะลุออกมาจากมุมกำแพงที่แตกพัง พริบตาเดียวก็มาลอยหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนหัวกำแพง ส่งเสียงหวึ่งๆ อื้ออึง

ฝุ่นสลายหายไป ติงอิงยกมือขึ้น ชายแขนเสื้อของมือข้างขวาฉีกขาดย่อยยับไปหมดแล้ว

เฉินผิงอันยื่นมือทำท่ากุมด้ามกระบี่ไว้หลอกๆ ฝ่ามือสัมผัสเข้ากับด้ามกระบี่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ปล่อยออก

ติงอิงหัวเราะเสียงดัง “หกสิบปีมานี้ เส้นเอ็นและกระดูกไม่เคยได้ยืดเส้นยืดสายขนาดนี้มาก่อนเลย”

เฉินผิงอันถามคำถามในทำนองเดียวกัน “สะใจมากเลยใช่ไหม?”

คราวก่อนติงอิงเพิกเฉยต่อคำถามนี้ได้ แต่คราวนี้เขากลับรู้สึกวางหน้าไม่ถูกสักเท่าไหร่

ติงอิงกระทืบเท้า ร่างพลันพร่าเลือน พอจะมองเห็นได้ว่ามือสองข้างของเขายกขึ้นตั้งเป็นท่าหมัดไม่รู้ชื่อท่าหนึ่ง

แล้วผู้เฒ่ากวานดอกบัวที่เรือนกายพร่าเลือนก็มาปรากฎตัวด้านหลังเฉินผิงอัน นิ้วทั้งสิบของมือสองข้างทำมุทราโบราณของเทพสวรรค์ท่าหนึ่ง

กลางอากาศนอกเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่อยู่ทางฝั่งขวามือ ติงอิงบิดหมุนสองมือ ขยำก้อนแสงจ้าบาดตาก้อนหนึ่งอยู่กลางฝ่ามือ

กลางอากาศในขอบเขตของเมืองหลวงที่อยู่ฝั่งซ้ายมือ แขนสองข้างของติงอิงกางออก นิ้วมือทั้งห้างอเป็นตะขอ บนกำแพงเมืองก็ปรากฏเป็นรอยปริร้าวสองเส้นที่ยาวหลายสิบจั้ง

เฉินผิงอันกุมปราณยาวไว้ปลอมๆ ปราณกระบี่อยู่ในท่าหิมะทลายทะลวงขบวนรบ ส่วนกระบี่ยาวในมือนั้นอยู่ในท่าสยบเสินโถวต้านรับศัตรูของคัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง

หนึ่งใจแบ่งใช้เป็นสอง

เพียงแค่ครู่เดียว

กำแพงเมืองแถบใหญ่ของเมืองหลวงก็เกิดรูโหว่ใหญ่ยักษ์ยาวห้าจั้ง สูงหกจั้ง

ชั่วขณะนั้นฝุ่นตลบคละคลุ้งมืดฟ้ามัวดิน

ติงอิงยืนอยู่ริมฝั่งหนึ่งของช่องโหว่ แผ่กลิ่นอายลุ่มลึกดุจผืนน้ำ สูงตระหง่านดุจขุนเขาสมกับเป็นปรมาจารย์

ด้านหลังคือเมฆหมอกที่กลิ้งหลุนๆ นี่คือผลลัพธ์จากการที่ติงอิงไม่จงใจพันธนาการลมพายุที่ซัดกระหน่ำรุนแรงในร่างไว้อีกต่อไป เมฆหมอกเหล่านั้นรวมตัวกันไม่จางหาย สุดท้ายก็กลายเป็นเค้าโครงร่างของเทวรูปเมฆหมอก ประหนึ่งทวยเทพเยื้องกรายลงมาเยือนโลกมนุษย์

เฉินผิงอันสีหน้าเป็นปกติดังเดิม เขายืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ไม่แม้แต่จะชำเลืองตามองภาพปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่ติงอิงสร้างขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ

เขาเพียงแค่ใช้มือหนึ่งกำด้ามกระบี่ปราณยาว อีกมือหนึ่งประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน แล้วปาดบนตัวกระบี่จากซ้ายไปขวาเบาๆ

นี่คือวิชากระบี่ที่เฉินผิงอันเรียนรู้มาจากในม้วนภาพวาดแม่น้ำและภูเขาของเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่า

ต่อให้จะคล้ายคลึงแค่ส่วนเดียวก็ตาม

กระบี่ปราณยาวที่พยศไม่ยอมถูกกำราบง่ายๆ กลับสั่นสะท้านเบาๆ คล้ายกำลังเกิดการขานรับกับเฉินผิงอัน

ราวกับว่าในที่สุดก็ยอมรับเฉินผิงอัน กำลังพูดกับเฉินผิงอันว่า เจ้ามีคำพูดใดจะเอ่ยกับฟ้าดินแห่งนี้?

ก็จงพูดออกมาตามใจปรารถนา!

ก่อนหน้านี้แม้แต่ด้ามกระบี่ปราณยาวเฉินผิงอันก็กุมไว้ไม่อยู่ เป็นเหตุให้แค่ได้อยู่ใกล้ปราณกระบี่ แต่ไม่อาจถือกระบี่ไว้ในมือได้อย่างแท้จริง

ตอนนี้ต่างหากถึงจะเรียกได้ว่าเขาพกหนึ่งกระบี่มาเยือนโลกมนุษย์แห่งนี้

เฉินผิงอันพลันคว้าจับด้ามกระบี่ นาทีนั้นประกายแสงพร่างพราวงดงามก็ส่องลอดออกมาจากร่องนิ้วมือขวาของเขา

ราวกับดวงจันทร์ที่ลอยขึ้นกลางนภา ส่องสว่างทั่วทั้งฟ้าดินดั่งกระแสน้ำขึ้นที่กรูกันมาจากสี่ด้านแปดทิศ

เดิมทีก็เป็นเวลากลางวันที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าอยู่แล้ว บัดนี้เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนกลับยิ่งสว่างเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน

หลังจากกุมด้ามกระบี่ได้แล้ว

ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็เหมือนเคียงคู่อยู่ด้วยกัน

เวลานี้ปราณยาวไม่มีฝักกระบี่ ทว่าเฉินผิงอันกลับยังทำท่าชักกระบี่ออกจากฝัก

ติงอิงค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าตัวเองไม่สามารถข้ามออกจากรูโหว่นี้ไปได้ แม้จะสะท้านสะเทือน แต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นกลัว พายุที่อยู่ด้านหลังก่อตัวขึ้นกลายเป็นเทวรูปองค์หนึ่งที่สูงสามจั้ง กำลังหลุบตามองมายังหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ที่เล็กกะจ้อยร่อยนั้น

ติงอิงรู้ดีว่าตัวเองจะถอยอีกไม่ได้

ทั้งๆ ที่ร่างกายของเขาไม่ขยับ ทว่าแขนสองข้างกลับจำแลงกลายมาเป็นแขนหลายสิบแขนจนคนมองตาลาย บ้างก็ทำมือเป็นท่ามุทราของศาสนาพุทธ ธรรมเทศนามุทรา สมาธิมุทรา มุทราปราบมาร มุทราประทานพร มุทราไร้เกรงกลัว มุทราแต่ละท่าล้วนส่องประกายแสงสีทองอร่าม

บ้างก็เป็นท่ามุทราของลัทธิเต๋า ดรรชนีตรีวิสุทธิ์ ดรรชนีห้าอสนี ดรรชนีพลิกฟ้า ดรรชนีเทียนซือ ทุกท่ามุทราล้วนมีลมพายุพัดโชย มีเสียงสายฟ้าดังอวลอล

และยังมีพายุชายแขนเสื้อของอวี๋เจินอี้ หมัดถล่มทลายของจ้งชิว มีชี้กระบี่ของหอจิ้งซิน หมอเตาของหลิวจง ทวนโค้งของเฉิงหยวนซาน…

ทวยเทพองค์นั้นก็ทำแบบเดียวกัน ไม่ว่าติงอิงจะทำมุทราหรือทำท่าอะไร มันก็ทำเช่นนั้น อีกทั้งยังทรงพลังมากยิ่งกว่า

ตบะและวิถีวรยุทธ์ของติงอิงได้รวบรวมข้อดีของร้อยสำนักใต้หล้าเอาไว้

อวี๋เจินอี้ยืนอยู่บนยอดเขาแห่งมรรคกถาของใต้หล้า ลู่ฝ่างยืนอยู่บนยอดแห่งเวทกระบี่ จ้งชิวยืนอยู่ยอดบนสุดของวิชาหมัด หลิวจงยืนอยู่บนยอดของวิชามีด…

ทว่าจุดที่สูงยิ่งกว่ากลุ่มยอดเขาทั้งหลายนั้น แท้จริงแล้วยังมีติงอิงที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศมานานแล้ว เป็นเหตุให้ติงอิงที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว เป็นดั่งดวงตะวันกลางนภา

อันที่จริงนี่ไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าใดนัก

เฉินผิงอันมีเพียงกระบี่เล่มเดียว

แค่ออกกระบี่เท่านั้น

หนึ่งกระบี่ฟาดฟันออกไป

ทวยเทพแหลกสลาย

หมื่นอาคมถูกทำลาย

มองไม่เห็นติงอิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!