Skip to content

Sword of Coming 320

บทที่ 320 เหตุใดถึงไร้เทียมทาน

บนถนนเส้นที่อยู่ในเมือง นับตั้งแต่ที่สองฝ่ายลงมือประหัตประหารกันอย่างน่าครั่นคร้าม

ถึงตอนนี้ศึกใหญ่ก็ยังคงดำเนินต่อ

กระบี่บินแก้วใสแวววาวเล่มหนึ่งเหมือนสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา เพียงแค่กระบี่เล่มเดียวก็สามารถโรมรันพัวพันจนหลิวจงคนลับมีดกระดิกตัวไปไหนไม่ได้

มีดเลาะกระดูกที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้าเล่มนั้นของหลิวจง เขาใช้มาชั่วชีวิต ไม่เคยมีความเสียหายใดๆ ศึกในวันนี้มีดของเขายังไม่ทันได้แตะชายอาภรณ์ของอวี๋เจินอี้ก็ถูกกระบี่บินฟันจนบิ่นหักไปหลายจุดแล้ว

หลิวจงไม่มีเวลามามัวเสียดาย

เพราะหากเสียสมาธิเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น

กระบี่บินคมกริบ รวดเร็วสุดขีด พายุลมกรดอัดแน่นอยู่เต็มในรัศมีหลายสิบจั้ง เมื่อหลิวจงตกอยู่ท่ามกลางลมพายุนี้ จะทำอะไรย่อมติดขัดอย่างเลี่ยงไม่ได้

ไม่เสียแรงที่อวี๋เจินอี้เจ้าประมุขพรรคหูซานเป็นเทพเซียนที่แท้จริง

ประมือกับเขาอย่างน้อยต้องมีหลิวจงคนลับมีดสองคน

ซึ่งหลิวจงอยู่อันดับห้าของใต้หล้า

และเท่าที่มองตามหางตาของหลิวจงไป ก็มีความเป็นไปได้มากว่าต้องมีราชครูจ้งชิวสองคน

อวี๋เจินอี้พลิ้วกายลงมาบนพื้นแล้ว เขายืนเอามือไพล่หลังอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้จ้งชิวต่อยใส่หมัดแล้วหมัดเล่า ทว่ากลับไม่มีหมัดไหนที่สามารถทำลายพายุลมกรดที่มองไม่เห็นของเขาได้ มีแค่ไม่กี่หมัดที่ขาดอีกแค่ชุ่นกว่าก็สามารถสัมผัสโดนใบหน้าของอวี๋เจินอี้ ทำให้ขนคิ้วของเขาพลิ้วไหวเล็กน้อย จอนผมสะบัดปลิว แต่ก็แค่นี้เท่านั้น

จ้งชิวออกหมัดไม่หยุด แต่ก็ต้องกลับมามือเปล่าทุกครั้ง ทว่าสีหน้าของเขาก็ยังเป็นปกติ ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า ไม่มีท่าทางห่อเหี่ยวหมดอาลัยตายอยากแม้แต่น้อย ยังคงเป็นราชครูจ้งชิวคนนั้น

แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้คนเจ็บปวดใจ

ราวกับว่าเรื่องทางโลกไม่ควรเป็นเช่นนี้ ง่ายนักที่จะทำให้คนเกิดความคลั่งแค้นและโทสะอัดอั้น

จ้งชิวเอาแต่ออกหมัด

อวี๋เจินอี้กลับเดินไปข้างหน้าเหมือนเดินกินลมชมทิวทัศน์ อย่างมากสุดก็แค่เดินอ้อมสนามรบระหว่างหลิวจงและกระบี่บินเท่านั้น เขาเดินผ่านร้านรวงต่างๆ ที่ตั้งอยู่ริมถนน แหงนหน้ามองกรอบป้ายหน้าร้าน มองกลอนคู่วันปีใหม่ที่ผ่านลมผ่านฝนของปีนี้มาแล้ว

อวี๋เจินอี้ถามด้วยรอยยิ้ม “รู้สึกเสียใจที่ปีนั้นไม่ยอมรับกระบี่เซียนเล่มนั้นแล้วใช่ไหม?”

“เส้นทางที่เจ้าเลือกเดินเหมาะแค่ให้คนบนโลกเดินเท่านั้น ขึ้นเขา เจ้าก็ขึ้นไปไม่ถึงจุดที่สูงที่สุด ต่อให้จะมอบเวลาให้เจ้าอีกสามสิบปี เมื่อเดินไปถึงยอดบนสุดของภูเขาแล้วก็ไม่มีทางให้เจ้าเดินอีก ถึงเวลานั้นเจ้ามีแต่จะยิ่งเสียใจภายหลังมากขึ้น”

“จ้งชิว จากเล็กจนโต เจ้าเอาแต่สนใจเรื่องที่คนในโลกไม่สนใจ ในสายตาของข้าแล้ว นี่ไม่ได้เรียกว่านกกระเรียนในฝูงไก่ นี่เรียกว่าโง่”

จ้งชิวไม่พูดอะไรสักคำ

ภาพเหตุการณ์นี้ประหลาดอย่างยิ่ง อวี๋เจินอี้ที่รับหมัดอย่างต่อเนื่องเดินเลี้ยวมาถึงถนนที่กว้างขวางเส้นหนึ่งแล้ว หากเดินไปข้างหน้าอีก สุดปลายทางก็คือวังหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยน และยังมีตำหนักใหญ่ที่โอ่อ่ายิ่งกว่าวังหลวงของแคว้นซงไล่ บนสันหลังคาแปดเส้นล้วนมีรูปปั้นเซียนและสัตว์ลักษณะประหลาดสิบตัว ตามหลังเซียนขี่หงส์ที่เป็นผู้นำก็เป็นสัตว์ที่เรียงลำดับกันได้แก่มังกร หงส์ สิงโต ม้าสวรรค์ ม้าทะเล ซวนหนี (บุตรคนที่ห้าของมังกร ลักษณะคล้ายราชสีห์ มีนิสัยรักความสงบ ชอบควันและชอบนั่ง) หยาหยู (ปลาวิเศษ อยู่ใต้ท้องทะเลลึก ทำให้เมฆกลายเป็นฝน คอยดับไฟยามเกิดเพลิงไหม้ เป็นสัญลักษณ์ป้องกันอัคคีภัย) เซี่ยจื้อ (เป็นสัตว์ตระกูลเดียวพญาสิงห์ มีความสามารถพิเศษ คือเมื่อฟังคนพูดแล้ว สามารถแยกแยะได้ว่าคนนั้นพูดจริงเท็จประการใด เป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรม) โต้วหนิว (ตามตำนานจีนเป็นมังกรไม่มีเขาประเภทหนึ่ง ทำให้เกิดฟ้าครึ้มและเมฆหมอก เป็นสัญลักษณ์ของการกันอัคคีภัยเช่นเดียวกับหยาหยู) และหางสือ (เหมือนลิง แต่มีปีก มือถือกระบอง สามารถหยุดปีศาจต่างๆ ได้ นอกจากนี้หน้าตายังเหมือนกับเทพแห่งสายฟ้า การประดับไว้บนหลังคาสามารถกันฟ้าผ่าได้)

ในบรรดารูปปั้นเหล่านี้ บางรูปจักรพรรดิ เสนาบดีและแม่ทัพที่มีอำนาจอยู่ในมือสามารถได้เห็นของจริง แต่บางอย่างพวกเขาก็ไม่เคยเห็น

อวี๋เจินอี้ยื่นนิ้วชี้ไปข้างหน้า “จำได้ว่าตอนที่พวกเรายังเด็ก เจ้าเคยอ่านคำบรรยายเกี่ยวกับสิบสัตว์ที่อยู่บนหลังคาแล้วสงสัยใคร่รู้อย่างมาก บอกว่าวันหน้าจะต้องได้มาเห็นพวกมันกับตาของตัวเอง ดังนั้นภายหลังเจ้าจึงอาศัยอยู่นอกวังหลวงมาหลายสิบปี ยังมองไม่พออีกหรือ?”

ในที่สุดจ้งชิวก็เปิดปากพูด “อวี๋เจินอี้ อย่าคิดว่าตัวเองร้ายกาจนักเลย ฝึกตนเป็นเซียนก็ไม่เห็นว่าตัวเองเป็นคนแล้วอย่างนั้นรึ มองอะไรก็ใช้ตาที่สูงกว่าหลุบมองลงมา คิดถึงคนหรือเรื่องราวอะไรก็ล้วนพยายามหวนนึกถึงความทรงจำ เจ้าต้องหัดมองดูการพบพรากและความสุขความทุกข์ของบนโลกในทุกวันนี้ให้มาก…แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้เจ้าคงฟังไม่เข้าหูอีกแล้ว”

อวี๋เจินอี้พยักหน้ารับ “นี่เป็นความคิดสามัญทั่วไป อยู่ตำแหน่งไหนก็พิจารณาถึงเรื่องของในตำแหน่งนั้น การฝึกตนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน จ้งชิว หาใช่เพราะเหตุผลของเจ้าไม่ถูกต้อง แค่เพราะเหตุนี้ยังไม่สูงมากพอ นั่นก็เพราะเจ้ายืนอยู่ต่ำเกินไป”

ดวงตาของจ้งชิวมีประกายของความเสียใจพุ่งผ่าน

เขาหยุดการออกหมัด มองไปทางวังหลวง

อวี๋เจินอี้เองก็หยุดเดิน ถามยิ้มๆ ว่า “หมัดเบาหวิวขนาดนี้ จ้งชิว หรือว่าเจ้าไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว? ไม่อย่างนั้นให้ข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่อีกสักครึ่งชั่วยาม รอให้เจ้ากินอิ่มแล้วค่อยกลับมาสู้กันใหม่ดีไหม?”

จ้งชิวสบถด่าหยาบคายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ข้าผู้อาวุโสจะต่อยให้เจ้าขี้แตกด้วยหมัดเดียว!”

จ้งชิวยังคงเป็นจ้งชิวคนนั้น ต่อให้อ่านหนังสือมามากเท่าไหร่ เมื่อถูกบีบให้โมโหเข้าจริงๆ ก็ยังคงเป็นเด็กบ้านนอกจากอำเภอจิวหลันเขตการปกครองจัวแคว้นซงไล่อยู่ดีไม่ใช่หรือ?

อวี๋เจินอี้ตบท้องหัวเราะฮ่าๆ “อ่านหนังสือสวรรค์ เล่าเรียนวิชาเทพเซียน เดินบนสะพานแห่งความเป็นอมตะ ฝึกวิชาขั้นสูงสุด หลังจากปิดด่านก็หลีกเลี่ยงธัญพืชทั้งห้ามาหลายปี (ปี้กู่ การฝึกอย่างหนึ่งของนักพรตเต๋า นั่นคือการไม่กินธัญพืชทั้งห้าอันได้แก่ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลีและถั่ว) จะให้มีขี้เยี่ยวออกมาคงไม่ได้จริงๆ”

จ้งชิวถอนหายใจ “อันที่จริงเจ้ากำลังรอคอยให้รู้ผลแพ้ชนะของศึกนั้นสินะ?”

อวี๋เจินอี้พยักหน้ารับ “เจ้ามองความจริงออกแล้วอย่างไร ถึงอย่างไรเจ้าก็ทำลายพายุลมกรดของข้าไม่ได้อยู่ดี”

จากนั้นเขาก็ส่ายหน้า “ไม่ได้เรียกว่ารู้ผลแพ้ชนะหรอก ต้องเรียกว่ารอให้คนหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้นตายต่างหาก”

จ้งชิวพลันหันหน้ากลับมา ก้มหน้าลงมองอดีตเพื่อนรักที่อยู่ในลักษณะของเด็กน้อยแล้วยิ้มประหลาด

อวี๋เจินอี้เงยหน้า ถามว่า “อะไร?”

จ้งชิวตอบ “ยังจำปีนั้นที่นอกกำแพงของที่ว่าการนายอำเภอหม่าได้หรือไม่?”

อวี๋เจินอี้คิดแล้วก็ทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง “หากเจ้าไม่พูดถึง ข้าก็ลืมไปแล้วจริงๆ”

ปีนั้นตอนที่อยู่ในอำเภอจิวหลันบ้านเกิด อวี๋เจินอี้คือบุตรชายของข้าหลวงตำแหน่งเล็กๆ ที่ไม่มีระดับขั้นในราชสำนัก ส่วนครอบครัวของจ้งชิวก็ยิ่งเทียบไม่ติด ทว่าคนทั้งสองกลับเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็ก อวี๋เจินอี้ฝักใฝ่ในยุทธภพ แต่จ้งชิวกลับชื่นชอบบัณฑิต ทว่าลึกๆ แล้วกลับไม่ใช่คนที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อยอะไร ตอนหนุ่มเลือดลมพลุ่งพล่าน จ้งชิวหลงรักคุณหนูของนายอำเภอหม่า อวี๋เจินอี้จึงช่วยเขาออกความคิดดีๆ มากมาย เดิมทีหญิงสาวคนนั้นก็ไม่ได้ชอบจ้งชิว ภายหลังจึงยิ่งห่างเหินและยิ่งรังเกียจจ้งชิว มีครั้งหนึ่งดื่มเหล้าจนเมามายถึงกลางดึก คนทั้งสองจึงพากันไปฉี่รดกำแพงของเรือนด้านหลังที่ว่าการอำเภอ นึกไม่ถึงว่าหญิงสาวคนนั้นจะลอบออกจากบ้านพร้อมกับสาวใช้เพราะนัดพบกับบัณฑิตต่างถิ่นพอดี ผลกลับกลายเป็นว่าพอเปิดประตูบ้านออก หญิงสาวทั้งสองก็มาเจอภาพเหตุการณ์นั้นเข้าอย่างจัง

คุณหนูบุตรสาวนายอำเภอเป็นคนหน้าบาง ทว่าสาวใช้กลับมีนิสัยดุดัน นางถึงขั้นชำเลืองมองมาที่กางเกงของอวี๋เจินอี้และจ้งชิว ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจว่า “ไส้เดือนน้อยสองตัว ดึกดื่นป่านนี้ออกมาร่อนหาอะไร?”

หลังจากนั้นจ้งชิวกับอวี๋เจินอี้ก็ไม่มีหน้าไปใกล้ที่ว่าการอำเภออีก

อวี๋เจินอี้ที่ได้รับคำเตือนจากจ้งชิวจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจอะไร

เพียงแต่เหตุใดจ้งชิวถึงต้องพูดถึงเรื่องนี้ หรือว่ายังมีความหมายที่ลึกล้ำซ่อนอยู่?

จ้งชิวยิ้มบางๆ “เทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ วันนี้เจ้าเทียบกับไส้เดือนน้อยไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

อวี๋เจินอี้หน้าไม่เปลี่ยนสี ทว่าสายตากลับเย็นเยียบ “ราชครูจ้ง การคุยเรื่องเก่าในอดีตจบลงแล้ว พวกเรามาประมือกันได้แล้วกระมัง?”

จ้งชิวส่งยิ้มให้แทนคำตอบ

อวี๋เจินอี้หัวเราะเสียงเย็น “ไม่สู้พวกเรามาลองเดิมพันกันดูก่อน หากหลิวจงไม่ตาย เขาจะเป็นฝ่ายอ้อนวอนขอความตายเหมือนเจ้าหรือไม่?”

จ้งชิวพยักหน้ารับ “ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้าเดิมพันว่าเขาไม่มีทางจากไปเพียงลำพัง”

อวี๋เจินอี้จึงเตรียมจะยกมือเรียกกระบี่เซียนแก้วเล่มนั้นเข้ามาไว้ในมือ แต่ไม่นานเขาก็วางมือลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าจะไม่มอบโอกาสรอดชีวิตนี้ให้แก่หลิวจง”

จ้งชิวไม่เอ่ยอะไรอีก

คนทั้งสองยืนเคียงไหล่กัน

ทว่ามีเพียงแค่ราชครูจ้งแห่งแคว้นหนันเยวี่ยนและอวี๋เจินอี้แห่งแคว้นซงไล่แล้ว

อวี๋เจินอี้พลันเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าผิดแล้ว พลังการสังหารของข้าไม่ได้อยู่บนกระบี่เล่มนั้น เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้รู้สึกว่าเจ้าจ้งชิวยังพอจะมีทางเยียวยา จึงจงใจยอมอ่อนข้อให้เจ้า ก็เหมือนกับปีนั้น ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าอะไรข้าก็ยอมให้เจ้า แถมยังคอยใส่ใจความรู้สึกของเจ้า”

แต่จ้งชิวกลับเอ่ยด้วยประโยคประหลาดที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย เขาหันหน้าไปทางกำแพงเมืองฝั่งใต้ เอ่ยเสียงเบาว่า “อวี๋เจินอี้ ตำแหน่งของเจ้าน่ากระอักกระอ่วนที่สุด ทั้งไม่ใช่ดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรง และไม่ใช่ดวงจันทร์ใสกระจ่าง หากใต้หล้านี้ขาดเจ้าไป กลับกลายเป็นว่าจะยิ่งสมบูรณ์แบบ”

……

เด็กหญิงร่างผอมแห้งหิ้วม้านั่งตัวเล็กเดินเข้าไปยังบ้านหลังเดียวในตรอกที่ไม่ปิดประตูหน้าบ้าน มองเห็นเฉาฉิงหล่างที่กุมหัวร้องไห้โฮ

นางเคาะประตูแล้วเดินข้ามธรณีประตูเข้าไป แสร้งทำเป็นถามว่า “นี่ๆๆ มีคนอยู่ไหม? หากไม่มีข้าจะเข้าไปล่ะนะ”

รอจนเฉาฉิงหล่างเงยหน้าที่เต็มไปด้วยความระแวงขึ้นมา นางถึงได้โยนม้านั่งตัวเล็กลงบนพื้น เหลียวซ้ายแลขวา กล่าวอย่างไม่อินังขังขอบ “นี่คือบ้านของเจ้าใช่ไหม? ข้าเอาของมาคืนน่ะ”

เฉาฉิงหล่างคว้ามีดผ่าฟืนบนพื้นขึ้นมาถือไว้เบื้องหน้าเพื่อป้องกันตัว “เจ้าเป็นใคร?!”

นางยังคงกวาดตามองไม่หยุด แต่ปากก็พูดเสียงขุ่นว่า “ข้าเป็นพวกเดียวกับคนมีเงินที่สวมชุดขาวผู้นั้น ไม่ใช่พวกเดียวกับคนที่สวมหมวกดอกไม้บนศีรษะ”

นางมองไปทางห้องที่อยู่ด้านข้าง แล้วหันหน้ามาพูดกับเฉาฉิงหล่าง “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นคู่สุนัขชายหญิงหิ้วศีรษะคนสี่คนออกมาโยนไว้นอกถนน ศีรษะพวกนั้นกลิ้งหลุนๆ เลือดนองเต็มพื้น ข้าหวังดีเลยช่วยเก็บศีรษะพวกนั้นมารวมไว้ด้วยกัน พวกเขาเป็นอะไรกับเจ้าหรือเปล่า? เจ้ายังไม่รีบไปดูอีกหรือ?”

น้ำตาทะลักทลายออกมาจากดวงตาของเฉาฉิงหล่าง เขารีบวิ่งออกไปนอกบ้านทันที

นางพลันขวางเขาไว้ ถลึงตาใส่อย่างขุ่นเคือง “หยุดนะ!”

เฉาฉิงหล่างมีสีหน้างงงัน

นางถาม “เจ้าจะไม่ขอบคุณข้าเลยรึ?”

เฉาฉิงหล่างอึ้งตะลึง ขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายวิ่งออกไปน้ำตาอาบหน้า

นางไม่กล้าขวางคนที่ถือมีดผ่าฟืนไว้ในมือหรอก จึงทำเพียงแค่เบ้ปาก เปิดทางให้ พึมพำเบาๆ “สุนัขใจดำ สมควรแล้วที่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า”

นางผลักประตูห้องที่เป็นที่พักของเฉินผิงอันให้เปิดออก

ผ้าห่มบนเตียงพับวางไว้อย่างเป็นระเบียบ หนังสือบนโต๊ะก็วางเรียงอย่างเป็นระเบียบเช่นกัน

ทั้งห้องสะอาดสะอ้าน

บนโต๊ะยังมีฝักกระบี่เปล่าอยู่อีกหนึ่งฝัก

หาของกินไม่เจอ แล้วก็ไม่เจอเหรียญทองแดงหรือเศษเม็ดเงิน

ทำเอานางโมโหจึงเดินไปหน้าโต๊ะแล้วผลักหนังสือที่กองกันไว้บนโต๊ะให้ร่วงระเนระนาดอยู่บนพื้น

จู่ๆ ดวงตานางก็เป็นประกาย หนังสือก็เอามาขายเป็นเงินได้นี่นา จากนั้นนางก็จ้องไปที่ฝักกระบี่แล้วถอนหายใจ ช่างเถิด หากแอบเอาหนังสือไปขาย คนชุดขาวผู้นั้นคงไม่ทำอะไรตน แต่หากเอาฝักกระบี่ไปขาย เขาน่าจะต้องจัดการกับตนอย่างโหดเหี้ยม ถึงเวลานั้นต่อให้ตนอายุน้อยก็คงไม่มีประโยชน์

นางหอบหนังสือเหล่านั้นมาแล้ววิ่งหนีออกไปข้างนอก

นางตัดสินใจไว้แล้วว่าหลังจากได้เงินเหรียญทองแดงมากำใหญ่ จะรีบเอาไปใช้ให้หมด มีเพียงเปลี่ยนพวกมันเป็นอาหารลงท้องเท่านั้น เขาถึงจะเอากลับคืนไปไม่ได้!

โจวเฝยหิ้วไหล่ของโจวซื่อและยาเอ๋อร์กลับมาหาลู่ฝ่างใหม่อีกครั้ง ยังคงมาดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าข้างทาง ไม่เพียงแต่ร้านเหล้าตรงมุมถนนไม่เหลือผู้คน ตลอดทั้งถนนสายใหญ่ก็ว่างเปล่า น่าจะเป็นเพราะทางราชสำนักของแคว้นหนันเยวี่ยนออกคำสั่งมานานแล้วว่า หากมีปรมาจารย์ต่อสู้กันก็จะป้องกันร้านรวงทุกแห่งอย่างเข้มงวด ส่วนกฎระเบียบอย่างละเอียดให้อิงตามการห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาลในประวัติศาสตร์ ซึ่งนี่ต้องเป็นฝีมือของราชครูจ้งชิวอย่างแน่นอน

สตรีแต่งงานแล้วหน้าตางดงามที่มาจากสำนักเดียวกับลู่ฝ่างนอนตัวอ่อนฟุบคว่ำอยู่บนโต๊ะเหล้า

ศีรษะของใบหน้ายิ้มเฉียนถังและกระบี่ต้าชุนต่างก็วางไว้บนโต๊ะอีกตัวที่อยู่ข้างกัน

โจวเฝยคลายมือปล่อยคนทั้งสองแล้วเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในร้าน หลังจากที่นั่งลงเรียบร้อยก็คลี่ยิ้มพูดอย่างฉุนๆ ว่า “เจ้ามอมนางให้เมาอยู่ฝ่ายเดียวสินะ?”

ลู่ฝ่างรินเหล้าให้เขาหนึ่งถ้วย “แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ?”

โจวเฝยมองประเมินลู่ฝ่าง “นับว่าไม่ทำให้ข้าเหนื่อยยากเปลืองแรงเปล่า ยังพอจะได้เรื่องได้ราวอยู่บ้าง”

เมื่อเทียบกับท่าทางห่อเหี่ยวหดหู่เหมือนเมื่อครั้งที่ได้พบกันก่อนหน้านี้ คราวนี้ลู่ฝ่างคืนสติกลับมาแล้ว อีกทั้งจิงชี่เสินเป็นเส้นๆ ยังมารวมตัวกันจนเหมือนสิ่งที่จับต้องได้จริง เพียงแค่ว่ายังไม่ได้ขมวดรวมให้เป็นปมเท่านั้น แต่แค่นี้ก็มากพอให้ลู่ฝ่างมีชีวิตอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวไปอีกหกสิบปี ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีโอกาสพากายหยาบบินทะยาน นั่นก็ถือได้ว่าโชคร้ายมาพร้อมกับโชคดีแล้ว

ความเร็วในการไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลาในพื้นที่มงคลดอกบัวและในใต้หล้าไพศาลสองแห่งนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะยังคงต้องดูที่อารมณ์ของคนผู้นั้น

หากคนผู้นั้นรู้สึกว่าดูมาจนพอใจแล้ว กาลเวลาหกสิบปีในพื้นที่มงคลดอกบัวก็อาจจะเท่ากับแค่ห้าหกปีในใต้หล้าไพศาล แต่หากเขารู้สึกว่าน่าเบื่อหน่าย ก็อาจจะต้องซวยไปด้วย ครั้งที่หลอกต้มคนจนเปื่อยมากที่สุดในประวัติศาสตร์ก็คือ หลังจากที่คนในพื้นที่มงคลผ่านความลำบากยากเข็ญมานับพันนับหมื่นประการกว่าจะได้บินทะยาน พอกลับคืนไปยังใต้หล้าไพศาลกลับค้นพบว่าเวลาผ่านไปสามร้อยปีแล้ว เกือบทำให้จิตแห่งเต๋าของคนผู้นั้นเสียการควบคุม

ถึงอย่างไรต่อให้เป็นผู้ฝึกตน เวลาสามร้อยปีก็ยาวนานมากพอจะทำให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว คนที่อยากพบเจอก็อาจจะไม่อยู่บนโลกนานแล้ว คนที่อยากจะฆ่าก็อาจจะได้เสพสุขกับความหรูหรามั่งคั่งอย่างเต็มที่และตายไปแล้ว

โจวซื่อกับยาเอ๋อร์เลือกนั่งลงข้างโต๊ะตัวหนึ่ง ต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง หนุ่มปักบุปผาไปค้นเหล้ากิ่งไผ่ที่ผลิตเฉพาะในแคว้นหนันเยวี่ยนมาหนึ่งไห หลังจากรอดตายมาได้ก็ควรจะจิบเหล้าร่วมกับสตรีในดวงใจสักครั้ง ส่วนสัญญาหกสิบปีที่บอกว่าจะขึ้นมาเป็นสิบอันดับแรกหรือถึงขั้นสามอันดับแรกของใต้หล้านั้น ถึงอย่างไรโจวซื่อก็เป็นบุตรชายของโจวเฝย บวกกับที่เดิมทีตำหนักคลื่นวสันต์ก็อยู่บนยอดเขาของพื้นที่มงคลดอกบัวอยู่แล้ว โจวซื่อย่อมไม่ขาดสติปัญญาในเรื่องนี้ เขามั่นใจว่าหากได้พบกับนางในอีกหกสิบปีให้หลังจะต้องสามารถจับมือกันเดินทางไปยังบ้านเกิดของบิดาได้แน่นอน

ยาเอ๋อร์คิดอย่างไร โจวซื่อเดาไม่ออก แต่ก็ไม่อยากคิดให้มากความ เพราะโจวซื่อเชื่อมั่นในฝีมือและรากฐานของบิดาอย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะหลังจากที่ได้บินทะยานไปแล้ว นั่นก็เหมือนเจียวหลงกลับคืนสู่น้ำ พยัคฆ์กลับคืนสู่ขุนเขา ต้องรู้ว่าพื้นที่มงคลดอกบัวก็เป็นแค่พื้นที่มงคลระดับกลางเท่านั้น แต่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสกุลเจียงสำนักกุยหยกที่โจวเฝย ‘บิดา’ ของตนได้ครอบครองกลับเป็นพื้นที่มงคลขนาดใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้า

ความสามารถในการขัดเกลา สั่งสอนและปราบพยศจิตใจสตรีของโจวเฝย โจวซื่อไม่เคยเรียนรู้มาได้ โจวเฝยเคยพูดด้วยรอยยิ้มว่า นั่นเรียกว่า ‘กายลวงใจจริง’ คือวิชาอภินิหารอย่างหนึ่งของตระกูลเซียน เจ้าโจวซื่อเรียนรู้ได้แค่ผิวเผินก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นี่มากพอจะให้เจ้าห้อตะบึงไปตามพุ่มบุปผาใต้หล้านี้แล้ว

ลู่ฝ่างเอ่ยถาม “ทางด้านนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

โจวเฝยยกถ้วยเหล้าขึ้นชนกับสหายรักผู้นี้หนึ่งที จิบเหล้าหนึ่งอึก รสชาติห่วยแตกยิ่งนักจึงรีบวางลงแล้วเอ่ยอธิบายว่า “วุ่นวายมากเลยล่ะ เฝิงชิงป๋ายถูกสหายรักอย่างถังเถี่ยอี้สังหาร เฉิงหยวนซานยังไม่ทันได้ผายลมก็เผ่นหนีไปแล้ว จ้งชิวเล่นลูกไม้ ไม่ได้ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับเฉินผิงอัน หลังจากรู้ว่าวิชาหมัดของใครสูงของใครต่ำแล้ว กลับเหมือนว่าประลองฝีมือเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันมากกว่า เขาช่วยเสริมสร้างขอบเขตของเฉินผิงอันให้มั่นคง เพราะวิถีวรยุทธ์ของไอ้หมอนั่นค่อนข้างจะแปลกประหลาด ขาดอีกนิดเดียวก็สามารถฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหกได้ในรวดเดียว จ้งชิวมองสายสนกลในออกจึงค่อยๆ ต่อยให้ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของเฉินผิงอันกลับไปที่ขอบเขตห้าช้าๆ และระหว่างที่ประมือกัน จ้งชิวก็อาศัยกระบวนท่าหมัดของเฉินผิงอันมาพิสูจน์ความคิดในการเรียนวรยุทธ์บางอย่างด้วย หากคนผู้นี้สามารถเดินออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวได้ ในอนาคตการเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าก็คือเรื่องที่แน่นอนแล้ว”

โจวเฝยยกถ้วยเหล้าขึ้นมาตามจิตใต้สำนึก แต่พอนึกถึงรสชาตินั้นก็ถอนหายใจอย่างเศร้าใจ ได้แต่บีบจมูกแล้วกรอกเข้าปากหนึ่งคำ “จากนั้นติงอิงและอวี๋เจินอี้ก็ปรากฏตัว คนหนึ่งมาดักเฉินผิงอัน อีกคนหนึ่งขวางจ้งชิวเอาไว้ ข้าว่าสองศึกนี้ต่างหากที่อันตรายมากที่สุด ย่อมต้องต่อสู้จนรู้เป็นรู้ตายแน่นอน”

ลู่ฝ่างยื่นนิ้วชี้ไปที่หนุ่มปักบุปผาและยาเอ๋อร์ที่นั่งอยู่นโต๊ะด้านหลัง “หม่าเซวียนจินกังชมพูและสตรีอุ้มผีผา รวมไปถึง…ใบหน้ายิ้ม อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้คิดจะฆ่าพวกเขา แต่เด็กสองคนนี้ เชื่อว่าหากไอ้หมอนั่นมีโอกาสต้องฆ่าทิ้งแน่นอน เหอะ นิสัยเช่นนี้กลับเหมือนจอมยุทธ์พเนจรผู้มีจิตใจดีงามยิ่งกว่าเฝิงชิงป๋ายเสียอีก”

“ไม่พูดถึงเจ้าและถงชิงชิง บุคคลที่อยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ คนที่สามารถเข้าตาข้าได้มีเพียงติงอิงและอวี๋เจินอี้เท่านั้น คนอื่นๆ ก็มีดีแค่นั้น ต่อให้เป็นจ้งชิว ต่อให้เขาได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าในอีกสี่สิบห้าสิบปีให้หลัง แล้วจะอย่างไร?”

โจวเฝยโบกมือ “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก ครั้งนี้มานั่งอยู่ที่นี่ก็เพื่อรอให้เสียงกลองครั้งที่สองดังขึ้นบนภูเขาหนิวกู่ ข้าจะพาแค่ยาเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังเจ้าและพวกผู้หญิงไป ดังนั้นอีกหกสิบปีให้หลัง คงต้องฝากให้เจ้าช่วยดูแลโจวซื่อที่ไม่เอาไหนด้วย”

ลู่ฝ่างพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าไม่คิดจะชักชวนอวี๋เจินอี้บ้างหรือ? ได้รับผลประโยชน์เพราะเป็นคนใกล้ชิดไปอีกหกสิบปี ถึงอย่างไรก็ถือว่าได้รับโอกาสมากกว่าสำนักใบถง อีกอย่างตามคำบอกของเจ้า อันดับของเจ้าอยู่ล่างสุด สามารถพาคนไปได้แค่คนเดียว นั่นก็คือยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารผู้นี้ อวี๋เจินอี้กลับสามารถพาคนไปได้อย่างน้อยสามคน เว่ยเซี่ยน หลูป๋ายเซี่ยง สุยโย่วเปียน จู่เหลี่ยน มีคนใดบ้างที่ไม่ใช่พวกตัวประหลาดที่พรสวรรค์เลิศล้ำ ถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีปมีตัวอ่อนที่เหมาะสมแก่การฝึกตนผุดขึ้นไม่ขาดสาย พื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้ก็มีคนเก่งด้านวิถีวรยุทธ์มากมาย เจ้าดึงอวี๋เจินอี้มาเป็นพวกได้ก็เท่ากับว่าสกุลเจียงจะมีผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างจ้งชิวเพิ่มขึ้นมาอีกสามคน”

โจวเฝยยื่นนิ้วชี้หน้าลู่ฝ่าง “ถือว่ามโนธรรมในใจเจ้าไม่ถูกสุนัขกินไปหมด ยังรู้จักคิดพิจารณาเพื่อข้าบ้าง”

ยาเอ๋อร์เปิดปากพูดเป็นครั้งแรก นางถามอย่างขลาดกลัวว่า “เจ้าตำหนักโจว เซียนกระบี่ลู่ ถงชิงชิงคือใครกันแน่?”

โจวเฝยและลู่ฝ่างต่างก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

เพราะยาเอ๋อร์ไม่รู้ถึงน้ำหนักของเจ้าประมุขสกุลเจียงสำนักกุยหยก เจ้าของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา และเซียนกระบี่คนหนึ่งที่อาจเลื่อนสู่ขอบเขตสิบเอ็ดเลยสักนิด

หากยาเอ๋อร์ได้เลื่อนสู่อันดับสิบคนของพื้นที่มงคลดอกบัวก็อาจจะยังพอมีคุณสมบัติที่จะมาพูดคุยกับพวกเขา

แน่นอนว่านี่ก็เกี่ยวข้องกับนิสัยเย็นชาอันเป็นนิสัยดั้งเดิมของลู่ฝ่างและโจวเฝยด้วย

หากเปลี่ยนมาเป็นเจ๋อเซียนอย่างเฝิงชิงป๋ายที่เป็นจอมยุทธ์พเนจรก็ยังไม่มีนิสัยยากจะตีสนิทเช่นนี้

……

บนหัวกำแพง หลังจากที่เฉินผิงอันปล่อยไปหนึ่งกระบี่

มุมตะวันตกสุดของทางเดินม้าที่เป็นเส้นตรงมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่อาภรณ์ตรงหน้าอกถูกฉีกเป็นรูกว้างขนาดใหญ่ เผยให้เห็นบาดแผลเลือดโชกเส้นหนึ่ง

ผู้เฒ่าทำสิ่งที่อยู่เหนือการคาดการณ์ของผู้คน เขายกมือขึ้น ปลดกวานดอกบัวชิ้นนั้นโยนไปไว้บนพื้นด้านข้าง

ส่วนเรื่องที่ว่ากระบี่บินเล่มนั้นจะสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการ กลับคืนไปสู่ข้างกายของเจ้านาย ทำให้ศัตรูยิ่งมีพละกำลังที่แข็งแกร่งมากขึ้นหรือไม่

เมื่อสูญเสียการปกป้องจากสมบัติอาคมเซียนอย่างกวานเต๋าชิ้นนี้แล้ว ท่ามกลางศึกใหญ่ที่ต้องเข่นฆ่ากับศัตรูซึ่งมีพละกำลังเท่าเทียมกันจะทำให้สูญเสียโอกาสเอาชนะไปส่วนหนึ่งหรือไม่

ติงอิงไม่สนใจแม้แต่น้อย

ติงอิงม้วนชายแขนเสื้อขึ้นอย่างเชื่องช้าและประณีตบรรจง

เขาคิดแล้วก็ก้มหน้าลงมองกวานดอกบัวที่เป็นหนึ่งในของเดิมพันชิ้นนั้น ครั้นจึงสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งขว้างมันไปไกลถึงเส้นทางสำหรับจักรพรรดิที่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน

ติงอิงเดินมาด้านหน้าช้าๆ ท่วงท่าก้าวเดินไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป

ไม่ได้เป็นเทพแห่งพายุลมกรดที่ยิ่งใหญ่ดุจขุนเขาอีกต่อไปแล้ว ขนาดกวานเต๋าสีเงินชิ้นนั้นติงอิงก็ยังสละทิ้งได้อย่างไม่ใยดี

มีเพียงมือเปล่าที่เดินเข้าหาเฉินผิงอัน

ติงอิงรู้สึกว่าทั้งร่างโล่งสบาย ไม่เคยรู้สึกเหมือนอยู่จุดสูงสุดบนยอดเขาเช่นนี้มาก่อน

เวลาต่อสู้กับใครก็ควรจะเป็นเช่นนี้!

เอาชนะคนที่อยู่อันดับสองของใต้หล้า ก็ย่อมได้เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า หลักการนี้ง่ายมาก

ทว่าหลักการเช่นนี้ ไม่ว่าคนนอกจะให้น้ำหนักมากแค่ไหน หรือจะอยู่ไกลเกินเอื้อมสักเท่าไหร่ ติงอิงก็ยังรู้สึกว่ายังเบาเกินไป เล็กเกินไป

ติงอิงไม่เห็นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย!

ใช้พละกำลังของคนคนเดียวเอาชนะการร่วมมือกันของคนอีกเก้าคนที่เหลือในใต้หล้า นั่นต่างหากถึงเรียกว่าไร้เทียมทานอย่างที่ติงอิงต้องการอย่างแท้จริง

ดังนั้นท่ามกลางการเวลาอันยาวนาน ติงอิงที่มีเพียงความเงียบเหงาเดียวดายอยู่เป็นเพื่อนถึงได้ตั้งใจศึกษาข้อดีของร้อยสำนัก ดึงความรู้ด้านวิถีวรยุทธ์ของปรมาจารย์ใหญ่ทั้งหลายให้สูงขึ้นไปอีกระดับ นี่ไม่ใช่เพราะติงอิงต้องการใช้พวกมันมาเป็นยันต์คุ้มกันกายให้กับตัวเอง แต่เป็นเพราะติงอิงเตรียมพร้อมมานานแล้วว่า แค่ตนเองออกกระบวนท่าไปตามอารมณ์ก็สามารถทำลายอาคมที่แกร่งกร้าวที่สุดของปรมาจารย์ใหญ่อย่างพวกอวี๋เจินอี้ จ้งชิว หลิวจงได้อย่างง่ายดาย

เพียงแต่ว่าตอนนี้กลับมีเรื่องไม่คาดฝันใหญ่เทียมฟ้าปรากฏขึ้นมา

แต่ติงอิงกลับรู้สึกว่าแบบนี้ถึงจะถูกต้อง

แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระบวนท่าที่มีลูกเล่นอะไรพวกนั้นอีกแล้ว เพราะว่ามันช้าเกินไป

บนเส้นทางที่มุ่งไปข้างหน้า ไม่มีศัตรูที่แข็งแกร่งมากพอ ต่อให้ติงอิงยืนรอ ต่อให้ติงอิงหันกลับไปมองก็ยังมองไม่เห็นเงาร่างของคนที่อยู่อันดับสอง ยิ่งไม่มีใครสามารถไล่ตามติงอิงมาได้ทัน ไม่มีใครยืนเคียงไหล่กับติงอิงได้ ดังนั้นจึงรู้สึกเพียงว่าฟ้าดินแห่งนี้ช่างเงียบเหงา มีเพียงติงอิงคนเดียวที่ช่วงชิงแข่งขันอยู่กับสวรรค์

เจ๋อเซียนที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นี้มาเยือนได้ถูกเวลายิ่ง มีหินรองฝ่าเท้าก้อนนี้ ข้าติงอิงมีแต่จะขยับเข้าใกล้แผ่นฟ้าได้มากขึ้น!

ติงอิงก้าวเร็วๆ ไปข้างหน้าพลางหัวเราะร่าอย่างสาแก่ใจ

เฉินผิงอันจับกระบี่ยาวไว้ในมือ ฝ่ามือร้อนลวก แต่กลับไม่ได้ถูกปราณกระบี่ทำร้ายให้บาดเจ็บ เขารู้สึกว่ากระบี่ที่สองนี้สามาถฟันออกไปได้เร็วกว่าเดิม

บนหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้ของแคว้นหนันเยวี่ยน

จากรูโหว่ขนาดใหญ่ยักษ์ของกำแพงเมืองไปจนถึงทางทิศตะวันตกสุด ตลอดทางเดินม้าทั้งเส้นล้วนเต็มไปด้วยปราณกระบี่สีขาวหิมะที่ไหลบ่าทะลักทลายซัดหลุนๆ ไปเบื้องหน้า

ส่วนกำแพงเมืองทางฝั่งตะวันตกก็มีติงอิงที่ปล่อยหมัดออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ประหนึ่งองค์เทพแห่งสรวงสรรค์ที่กำลังต่อยขุนเขา แต่ละหมัดต่อยให้ปราณกระบี่ที่กรูเข้ามาปะทะใบหน้าแตกฉานซ่านเซ็น แล้วติงอิงก็เดินไปข้างหน้าทวนกระแสปราณกระบี่ประดุจผ่าลำไม้ไผ่เช่นนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!