Skip to content

Sword of Coming 321

บทที่ 321 นักพรตเฒ่าที่อยู่ข้างบ่อน้ำ

ก่อนจะแอบเข้ามาในตำหนักรัชทายาท ฮองเฮาโจวซูเจิน หรือควรจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเจ้าหอจิ้งหย่าง หรืออีกสถานะหนึ่งคือนักรบเดนตายของหอจิ้งซิน นางได้อำพรางตัวอยู่ท่ามกลางเงามืดที่ร่มเย็นแห่งหนึ่ง มองไปทางกำแพงเมืองทิศใต้ที่คนทั้งสองกำลังต่อสู้กันด้วยความปลงอนิจจังอย่างถึงที่สุด

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนภูเขาถล่มพื้นดินปริแยก

ต่อให้เปิดเอกสารลับที่มีฝุ่นเกาะหนาชั้นมากที่สุดในหอจิ้งหย่างออกดู ก็เป็นเวลาหลายหกสิบปีมาแล้วที่พื้นที่มงคลดอกบัวไม่เคยมีการเข่นฆ่าที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้มาก่อน

คนเพียงสองคน แต่กลับตีกันเหมือนสองกองทัพประจัญบาน สร้างภาพบรรยากาศดุจดั่งมีทะเลทรายเหลืองอร่ามหมื่นลี้และกองทัพม้าเหล็กทวนทอง

ฮ่องเต้เว่ยเซี่ยนผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนคือผู้ไร้เทียมทาน ในช่วงยุคสมัยนั้นไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ หลูป๋ายเซี่ยงในช่วงยุคหลังก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาสามารถใช้กำลังของตัวเองคนเดียวข่มให้คนทั้งยุทธภพหายใจหายคอไม่สะดวกนานถึงหกสิบปี เซียนกระบี่สาวสุยโย่วเปียนก็ยิ่งเงียบเหงาจนได้แต่ขี่กระบี่บินทะยาน จูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่งวรยุทธ์เลือกที่จะเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก ใช้กำลังของคนคนเดียวต่อสู้กับคนเก้าคน ปรมาจารย์สิบท่านบนอันดับรายชื่อแห่งใต้หล้าถูกเขาสังหารไปเกินครึ่ง

คราวนี้ติงอิงได้มาเจอกับเจ๋อเซียนหนุ่มที่มีชื่อว่าเฉินผิงอัน

ก็ราวกับดวงตะวันและดวงจันทราแข่งขันประชันแสงโดยมีท้องนภาอยู่เบื้องบน

ทุกคนได้แต่ยืดคอยาวๆ ออกไปดู รอคอยผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น

โจวซูเจินถอนหายใจหนึ่งที ชำเลืองตามองชายหนุ่มหญิงสาวสองคนที่อยู่บนหลังคาสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่ง นางไม่ได้พุ่งทะยานตรงไปหาพวกเขา แต่พลิ้วกายลงในระเบียงแห่งหนึ่งอย่างเงียบเชียบแล้วเดินทอดน่องเอื่อยเฉื่อย หากเจอพวกสาวใช้หรือผู้ดูแลก็จะหลบอ้อมไปอยู่หลังเสา แนบตัวติดกับเสาบดบังสายตาจากมนุษย์ธรรมดาเหล่านั้น

บางครั้งก็กระโดดขึ้นไปบนเสาคาน มองดูแล้วประหนึ่งแถบผ้าหลากสีสันที่กำลังล่องลอยไปเบื้องหน้า สถานะของนางในตอนนี้ไม่เหมาะให้เผยตัวในตำหนักแห่งนี้

แม้ว่านางจะเป็นฮองเฮาคนปัจจุบันของแคว้นหนันเยวี่ยน แต่กลับไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของรัชทายาทและองค์ชายรอง ถึงขั้นยังมีความเกี่ยวข้องกับอาการป่วยตายของฮองเฮาคนก่อน ข่าวลือและความลับต่างๆ ในวังหลวงล้วนมีเกี่ยวพันกับโจวฮองเฮาอย่างที่นางเลี่ยงไม่ได้

ร่างที่พุ่งวูบไปมาของโจวซูเจินทำให้เว่ยเหยี่ยนและฝานกว่านเอ่อร์สังเกตเห็นได้พอดี คนทั้งสองจึงทะยานลงมาจากหลังคา มาพบกับฮองเฮาที่มีความงามเสียงเลื่องลือผู้นี้ในสวนดอกไม้

ฝานกว่านเอ่อร์ค่อนข้างจะสงสัยและเป็นกังวล เพราะไม่รู้ว่าเหตุใดโจวซูเจินถึงมาอยู่ที่นี่ อีกทั้งยังเผยกายต่อหน้านางและรัชทายาทเว่ยเหยี่ยนด้วย

โจวซูเจินผู้นี้ก็คือศิษย์พี่หญิงที่ปีนั้นเป็นคนพบเจอฝานกว่านเอ่อร์และพานางไปอยู่ที่หอจิ้งซิน หลังจากนั้นไม่นานโจวซูเจินก็ได้สวมรอยเป็นสาวงามผู้เข้าร่วมการคัดเลือกซึ่งเป็นตัวตนที่ทางหอจิ้งซินสร้างให้อย่างตั้งใจ ได้เข้าไปอยู่ในวังหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนอย่างราบรื่น ก่อนจะเดินทีละก้าวจนมาสู่ตำแหน่งฮองเฮา

โจวซูเจินกล่าวอย่างจนใจ “สถานการณ์คับขัน ไม่ทันกาลแล้ว ต้องโทษที่ศิษย์พี่หญิงอย่างข้าทำอะไรไม่เรียบร้อย แล้วก็ต้องโทษมารเฒ่าติงที่ปรากฏตัวอย่างประจวบเหมาะเกินไป”

เว่ยเหยี่ยนมอง ‘เสด็จแม่’ แล้วค่อยหันกลับมามองฝานกว่านเอ่อร์ ในใจเหมือนมีพยับเมฆหนาชั้นปกคลุม

เขาไม่ถือสาหากตัวเองต้องลงเรือลำเดียวกับฝานกว่านเอ่อร์เพื่อเอาชนะน้องชายที่ยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารเป็นผู้สนับสนุน จากนั้นเดินทีละก้าวจนขยับเข้าใกล้กับเก้าอี้มังกรตัวนั้น ขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น สุดท้ายจับมือกับสาวงามวางแผนรวบรวมสี่แคว้นให้เป็นปึกแผ่น แต่หากบอกว่าสกุลเว่ยทุกคนในแคว้นหนันเยวี่ยนล้วนถูกหญิงสาวจากหอจิ้งซินเหล่านี้กุมเล่นไว้ในกำมือมานานแล้ว ถ้าเช่นนั้นต่อให้ตนจะได้นั่งเก้าอี้มังกร ได้สวมชุดคลุมมังกร แล้วจะยังมีความหมายอะไร?

แต่โจวซูเจินกลับไม่มีเวลามาสนใจความคิดของกษัตริย์ที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างของเว่ยเหยี่ยน นางพูดเข้าประเด็นกับฝานกว่านเอ่อร์ว่า “ปีนั้นการที่อาจารย์ส่งตัวข้ามาอยู่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน นอกจากสถานะฮองเฮานี้แล้ว อาจารย์ยังต้องการให้ข้าทำเรื่องหนึ่งให้สำเร็จ นั่นก็คือได้กระโปรงเขียวชุดนั้นมาครอบครอง ไม่ช้าไม่เร็ว จำเป็นต้องเป็นช่วงสุดท้ายก่อนระยะเวลาหกสิบปีนี้จะหมดลงพอดี แต่ข้าไม่กล้าเข้าใกล้มารเฒ่าติงเกินไป ไม่กล้าปรากฏตัวให้เขาเห็นเลยด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะทำให้มารเฒ่าหงุดหงิด”

กล่าวมาถึงตรงนี้ นางก็ยิ้มขออภัยให้ฝานกว่านเอ่อร์ กล่าวเสียงขื่น “ดังนั้นศิษย์พี่หญิงจึงได้แต่ถอยมาเลือกลำดับรองลงมา ก่อนที่โจวเฝยจะลงจากภูเขาก็เคยป่าวประกาศแล้วว่าต้องการเจ้าศิษย์น้องหญิงเป็นของรางวัล เขาปรารถนาในความงามของเจ้ามานานแล้ว ดังนั้นข้าจึงจงใจให้คนเปิดเผยความลับแก่ตำหนักคลื่นวสันต์ บอกว่าเจ้าอยากครอบครองชุดกระโปรงตัวนั้น แล้วโจวเฝยก็ตรงไปหาภิกษุอวิ๋นหนีที่วัดจินกังจริงๆ ด้วยนิสัยของโจวเฝย หากเจ้าตกอยู่ในกำมือของเขา ขอแค่ศิษย์น้องหญิงเอ่ยปาก ไม่ว่าจุดประสงค์เดิมที่โจวเฝยไปแย่งกระโปรงสีเขียวชุดนั้นมาจะคืออะไร เขาก็ต้องยินดีมอบกระโปรงตัวนั้นให้ศิษย์น้องอย่างแน่นอน”

ฝานกว่านเอ่อร์ยังคงไม่เข้าใจ “ข้าได้กระโปรงตัวนั้นมาแล้วอย่างไร? ได้หนึ่งในสี่โชควาสนาใหญ่ก็จะโชคดีได้บินทะยานงั้นหรือ? แต่ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่หญิงก็เคยพูดไม่ใช่หรือว่า อาจารย์เคยสั่งไว้ว่า ไม่ให้ข้าจงใจไล่ตามโอกาสในการบินทะยาน?”

“น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้โจวเฝยได้มอบกระโปรงตัวนั้นให้กับยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารไปแล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้…ยังดีที่อาจารย์ก็เคยคาดเดาสถานการณ์เช่นนี้มาไว้แล้ว”

โจวซูเจินควักกระจกทองแดงบานเล็กออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “อาจารย์จึงบอกกับข้าว่าเมื่อถึงเวลานั้น ให้ข้ามอบมันแก่เจ้า”

ฝานกว่านเอ่อร์รับกระจกมาแล้วพลิกกลับไปกลับมา หมุนซ้ายหมุนขวา แต่ก็มองความผิดปกติใดๆ ไม่ออกแม้แต่น้อย

โจวซูเจินส่ายหน้า “ข้าศึกษามันมาหลายปีก็มองเส้นสนกลในไม่ออกเหมือนกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นแค่กระจกธรรมดาบานหนึ่งเท่านั้น”

โจวซูเจินหันไปคลี่ยิ้มให้เว่ยเหยี่ยน “องค์ชาย ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะกลายมาเป็นหุ่นเชิดของหอจิ้งซินเรา พวกเราไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น แล้วก็ไม่มีศักยภาพมากพอให้มีความทะเยอทะยานนี้ด้วย อาจารย์เคยบอกไว้ว่า บนโลกมีติงอิง อวี๋เจินอี้และจ้งชิวสามคนนี้อยู่ ก็เหมือนมีภูเขาสามลูกใหญ่ที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้ โดยเฉพาะหากสองคนแรกมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ แผนการทั้งหมดของหอจิ้งซินก็เป็นแค่การละเล่นของเด็กที่ไม่มีความหมายต่อใต้หล้านี้เลย”

เพราะยึดกฎเลี่ยงการเอ่ยนามของผู้สูงศักดิ์ โจวซูเจินจึงไม่เต็มใจเอ่ยคำพูดบางอย่างซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของถงชิงชิงผู้เป็นอาจารย์ต่อหน้าคนนอกอย่างเว่ยเหยี่ยน

อันที่จริงปีนั้นตอนที่ถงชิงชิงมาพบหน้าโจวซูเจินผู้เป็นลูกศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย นางได้เอ่ยคำพูดที่ออกมาจากใจจริงอีกบางส่วน นางบอกว่า ‘ทำมามากมายขนาดนี้ก็เพียงแค่เพราะข้ากลัวตาย ดังนั้นข้าถึงได้อยากรู้ว่าทั่วทุกมุมในใต้หล้าแห่งนี้มีใครทำอะไรบ้าง ข้าต้องการรู้ทุกเรื่อง เพื่อที่ข้าจะสามารถหลบเลี่ยงอันตรายทั้งหมดได้’

อีกอย่างโจวซูเจินก็ไม่เชื่อว่านี่เป็นคำพูดจากใจจริงของอาจารย์

อาจารย์มีตบะสูงถึงเพียงนั้น กลายเป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ของใต้หล้ามาตั้งนานแล้ว พรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ที่เลิศล้ำของอาจารย์ คนนอกอาจจะไม่รู้ แต่โจวซูเจินกลับรู้ดีว่า นางเป็นรองแค่มารเฒ่าติงอิงเท่านั้น! ขอแค่อาจารย์ตั้งใจ สามอันดับแรกในใต้หล้าย่อมเป็นของที่อยู่ในกระเป๋าของนาง แล้วนับประสาอะไรกับที่เบื้องหลังอาจารย์ยังมีหอจิ้งซิน มีสายสืบและนักรบเดนตายมากมายอยู่ในราชสำนักของสี่แคว้น ยังต้องกลัวอะไรอีก? ใต้หล้านี้สิที่ต้องกลัวนางถึงจะถูก ไม่ใช่หรือ?

รัชทายาทเว่ยเหยี่ยนครุ่นคิดอย่างตั้งใจ เขาไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ หรือควรจะพูดอีกอย่างว่าไม่ได้เชื่อทั้งหมด

ฝานกว่านเอ่อร์ถือกระจกทองแดงไว้ในมือ จมสู่ภวังค์ความคิด

……

ภิกษุเฒ่าวัดจินกังถอดจีวร เปลี่ยนมาสวมอาภรณ์ของคนปกติทั่วไป เขารู้สึกไม่ค่อยเคยชินเท่าไหร่นัก เวลานี้เขาไปเยือนวังหลวงเพื่อไปทวงคืนอรหันต์ร่างทองของวัดป๋ายเหอมาจากฮ่องเต้ ก่อนเข้าวัง ทหารยามบอกให้เขารอฮ่องเต้เรียกพบอยู่หน้าประตูวังก่อน เขาจึงพนมมือทั้งสิบ ท่องคำหนึ่งว่าอามิตาภพุทธ

พอเข้าวังมาแล้ว ฮ่องเต้ก็มารอภิกษุเฒ่าที่ห้องทรงพระอักษรด้วยองค์เอง ก่อนหน้านี้ต่อให้เป็นฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนก็ยังไม่รู้จักภิกษุผู้อธิบายพระธรรมแห่งวัดจินกังท่านนี้ เพียงแต่ว่าเมื่อรายชื่อสิบคนปรากฏขึ้นในครั้งล่าสุดถึงได้รู้ว่าภิกษุผู้ต่อดวงประทีปที่ไร้สัญชาติไร้นามผู้นี้ นอกจากจะมีศักดิ์สูงในวัดจินกังแล้ว ยังมีวิชาอภินิหารของศาสนาพุทธที่ลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้งอีกด้วย

เกี่ยวกับเรื่องอรหันต์ร่างทอง ฮ่องเต้สกุลเว่ยตอบรับอย่างไม่มีความลังเล ยอมให้อดีตภิกษุอวิ๋นหนีนำกลับไป

ภิกษุเฒ่าที่เพิ่งกลับมาเป็นฆราวาสได้ไม่นานรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย เดิมทีเขายังคิดเตรียมคำพูดไว้มากมาย ยกตัวอย่างเช่นรับปากว่าจะอุทิศตนให้แก่สกุลเว่ยแคว้นหนันเยวี่ยนไปอีกสามสิบปี

ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานไม่ได้ไปรวมตัวกับพวกลูกศิษย์ เพราะทำอย่างนั้นจะสะดุดตาเกินไป ง่ายที่จะถูกคนพบตัว

อีกทั้งผู้เฒ่าก็ไม่สะดวกถือทวนเดินเตร่ไปมา จึงได้แต่เลือกมาหลบร้อนอยู่ใต้สะพานหินโค้งแห่งหนึ่ง

เขาตัดสินใจแล้วว่าเมื่อเสียงกลองครั้งที่สองดังขึ้นบนภูเขากู่หนิว หากคนสิบคนบนรายชื่อที่อยู่ในเมืองหลวงตายกันไปแล้วอย่างน้อยเกินครึ่ง เขาถึงจะเผยตัว หาไม่แล้วก็ยอมสูญเสียโอกาสบินทะยานครั้งนี้ไปดีกว่า

เฉิงหยวนซานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกปรมาจารย์ที่อยู่บนรายชื่อจะตายกันไปให้หมด

ส่วนข้อที่ว่าทำแบบนี้จะผิดต่อความตั้งใจเดิมหรือไม่ เฉิงหยวนซานไม่สนใจ เขาสนใจแค่ผลลัพธ์เท่านั้น ถ้อยคำเป็นหมื่นเป็นพันในหนังสือประวัติศาสตร์ นอกจากสี่คำว่าชนะเป็นราชาแพ้เป็นโจรที่โชกไปด้วยเลือดนี้แล้ว ยังจะมีอะไรอีก?

ถังเถี่ยอี้ที่อยากจะใช้เฉิงหยวนซานมาเป็นหินลับมีด เมื่อหาปี้เซิ่งไม่เจอก็ได้แต่ล้มเลิกความคิด ตอนนี้โอกาสในการเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุด แท้จริงแล้วอยู่ที่สถานะของเขา

หากถูกเปิดโปงว่าแม่ทัพใหญ่แคว้นเป่ยจิ้นมาเดินเล่นอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนต้องเกิดปัญหาใหญ่มากแน่นอน แม้จะบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเป่ยจิ้นกับหนันเยวี่ยนนับว่าพอใช้ได้ แต่แคว้นหนันเยวี่ยนมีความทะเยอทะยานสูง เคยป่าวประกาศมานานแล้วว่าจะรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเดียว ถังเถี่ยอี้ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกพาส่งออกนอกอาณาเขตของอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท หากไม่ต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อสกุลเว่ยก็ต้องตายอย่างเฉียบพลันอยู่ในเมืองหลวงต่างแคว้นแห่งนี้

ยอมสวามิภักดิ์แก่หนันเยวี่ยน สำหรับอนาคตของตัวเองแล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็ไม่ได้แย่เสมอไป ถึงอย่างไรหนันเยวี่ยนก็เป็นแคว้นแข็งแกร่งอันดับหนึ่งที่พร้อมสำหรับการทำสงคราม ทว่ารากฐานทั้งหมดของถังเถี่ยอี้ในเป่ยจิ้น ไม่ว่าจะเป็นตระกูล ภรรยา อำนาจทางการทหาร หรือชื่อเสียงก็ล้วนจะกลายเป็นฟองอากาศ ขุนนางบุ๋นบู๊ของหนันเยวี่ยนจะเคารพและเกรงใจเขาที่เป็นคนนอกคนหนึ่งได้สักเท่าไหร่?

ถึงอย่างไรถังเถี่ยอี้ก็เป็นคนที่มีฝีมือสูงและใจกล้า อีกทั้งเมื่อเทียบกับปี้เซิ่งที่แก่ชราแล้ว แม่ทัพใหญ่ผู้เป็นเสาหลักของเป่ยจิ้นที่อายุแค่สี่สิบกว่าปีย่อมต้องมีกำลังวังชาที่เปี่ยมล้นมากกว่า เขาไม่เพียงแต่ไม่เลือกไปหลบอยู่ในพื้นที่ห่างไกลอย่างเฉิงหยวนซาน กลับกันยังเลือกไปหอสุราที่มีการค้าคึกคักแห่งหนึ่ง เรียกหาเหล้าชั้นดี นั่งฟังคนเล่านิทานเล่าเรื่องราว คนเล่านิทานเป็นผู้เฒ่าวัยชรา เล่าเรื่องเก่าปีมะโว้ ถังเถี่ยอี้กลับฟังอย่างเพลิดเพลิน รู้สึกว่าหากวันหน้าได้เป็นขุนนางของหนันเยวี่ยนดูท่าก็คงไม่เลวเหมือนกัน

สักวันหนึ่ง ในอาณาเขตของสี่แคว้นจะต้องพากันกล่าวขานถึงชีวิตบนหลังม้าของเขาถังเถี่ยอี้

ถังเถี่ยอี้ดื่มเหล้า หรี่ตาลง จิตใจเคลิบเคลิ้มล่องลอยไป

โจวเฝยและลู่ฝ่างยังอยู่ที่ร้านเหล้าข้างทางดื่มเหล้ารสชาติย่ำแย่ รอคอยให้ศึกบนหัวกำแพงเมืองปิดฉากลง

เมื่อมารเฒ่าติงและอวี๋เจินอี้ลงมือ บุคคลคนคนหนึ่งที่เดิมทีหลุดออกจากสถานการณ์นี้ไปแล้วกลับเปลี่ยนมาเป็นน่าสนใจอีกครั้ง

คนผู้นั้นก็คือ ถงชิงชิงปรมาจารย์ใหญ่แห่งหอจิ้งซิน

ก่อนหน้านี้ยาเอ๋อร์ที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวถามขึ้นอย่างใคร่รู้ โจวเฝยกับลู่ฝ่างต่างก็ไม่สนใจจะตอบ ทว่าเมื่อยาเอ๋อร์เงียบไป โจวเฝยกลับหัวเราะเป็นฝ่ายพูดถึงเจ๋อเซียนที่น่าสนใจอย่างถึงที่สุดผู้นี้ขึ้นมาเอง ดูเหมือนโจวเฝยจะนึกอะไรออกจึงชำเลืองตามองยาเอ๋อร์ แล้วเล่าเรื่องราวบางอย่างของถงชิงชิงตอนที่อยู่ที่อื่นให้โจวซื่อฟัง

หลังจากฟังจบ หนุ่มปักบุปผาก็รู้สึกเพียงว่านี่เป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี

หนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ที่อนาคตไร้ขีดจำกัด อีกหนึ่งคือเจ้าหอจิ้งซินที่ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ

นิสัยของคนทั้งสองต่างกันราวฟ้ากับเหว

บ้านเกิดของบิดาโจวเฝยมีสำนักแห่งหนึ่งที่เรียกว่าภูเขาไท่ผิง บนภูเขามีนักพรตหญิงคนหนึ่งที่พรสวรรค์การฝึกตนสูงล้ำ โชคดีอย่างถึงที่สุด วาสนาก็ลึกล้ำ สร้างความอิจฉาให้แก่ผู้คน

แจกันสมบัติทวีปมีสถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าสำนักโองการเทพ มีหญิงสาวคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่านาง คนทั้งสองมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นจึงถูกเรียกขานว่าคนผู้นี้ที่สอง

นักพรตหญิงคนนี้มีน้ำใจและมีความจริงใจ นิสัยองอาจห้าวหาญ หากพบเจอเรื่องอยุติธรรมก็จะต้องซักไซ้เอาความให้ถึงที่สุด มองความเป็นความตายเป็นเรื่องเล็ก ละเมิดเจตจำนงเดิมของผู้ฝึกตน อาจารย์ผู้มีพระคุณเคยตักเตือนด้วยความหวังดีอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยทำให้นางสั่นคลอนได้ ทุกครั้งที่เตือน นางก็จะทำตัวสงบเสงี่ยมแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง สุดท้ายก็กลับมาเป็นอีหรอบเดิม ไม่ว่าเรื่องอยุติธรรมใดบนโลก ขอแค่นางได้ไปพบไปเห็นก็จะปรี่เข้าไปจัดการทันที อีกทั้งมีหลายครั้งที่ต้องลากตัวคนบงการเบื้องหลังออกมาถึงจะยอมเลิกรา ส่วนข้อที่ว่าการที่นางชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจะถ่วงการฝึกตนหรือไม่? นางไม่สนใจแม้แต่น้อย จะพาตัวไปตกอยู่ในอันตรายหรือไม่? นางก็ยิ่งเหลือกตามองสูงใส่ ด้วยสาเหตุนี้ยังทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างภูเขาไท่ผิง สำนักใบถงและสำนักกุยหยกชะงักงัน กับสำนักฝูจีก็ยิ่งเหมือนน้ำกับไฟ เพียงแต่เห็นแก่หน้าของสำนักศึกษา ทั้งสองฝ่ายจึงพยายามระงับอารมณ์ไม่ลงไม้ลงมือต่อกัน

เข่นฆ่ามาตลอดทาง ทั้งยังตกอยู่ในอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นางกลับยังอยู่รอดปลอดภัยจนกระทั่งได้เลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิด

เป็นเหตุให้แม้แต่บุรพาจารย์ท่านหนึ่งของภูเขาไท่ผิงซานที่เป็นอัจฉริยะบุรุษซึ่งเก็บตัวเงียบไม่เผยตัวต่อโลกภายนอก รวมถึงอาจารย์อาไท่ซ่างเจ้าประมุขคนปัจจุบันต่างพันตกอกตกใจกับการเลื่อนขอบเขตของนาง

เซียนดินในสายตามนุษย์ทั่วไปอย่างโอสถทองและก่อกำเนิดในภูเขาไท่ผิงมีมากถึงเก้าคน แต่ละคนสามารถมองทวีปหนึ่งด้วยสายตาเย่อหยิ่ง ทว่ากลับไม่มีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบเอ็ดเลยแม้แต่คนเดียว

มีเพียงบุรพาจารย์ขอบเขตสิบสองเซียนเหรินคนเดียวเท่านั้นที่ช่วยประคับประคองสถานการณ์

หันกลับไปมองทางสำนักใบถงและสำนักกุยหยก ไม่ว่าจะขอบเขตเซียนเหรินหรือขอบเขตหยกดิบก็ล้วนมีหมด บวกกับสำนักฝูจีที่ทั้งสามีและภรรยาล้วนเป็นขอบเขตหยกดิบแห่งนั้น อย่างน้อยในด้านการสืบทอดและด้านขอบเขตก็ไม่เคยขาดช่วง

ดังนั้นนักพรตหญิงคนนี้ของภูเขาไท่ผิงจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างถึงที่สุด

หากนางเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบได้สำเร็จ ผนวกรวมเข้ากับโชควาสนาที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เกิด ถ้าเช่นนั้นความสำเร็จในท้ายที่สุดของเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะแจกันสมบัติทวีปก็จะถูกนางข่มทับอยู่หนึ่งระดับ

บุคคลเช่นนี้ หากเอาไปไว้ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ล้วนเรียกได้ว่าเป็นขนหงส์เขากิเลน เพราะมีหวังต่อมหามรรคา ซึ่งคนนอกต่างก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน

พูดกันง่ายๆ ก็คือมีโอกาสที่จะขยับเข้าไปยืนใกล้สิบคนในใต้หล้า หรืออาจถึงขั้นเบียดคนคนหนึ่งให้ตกจากอันดับแล้วเข้ายึดครองตำแหน่งแทน

และในสิบคนนั้นก็มีเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ มีเจ้านครจักรพรรดิขาว และคนล่าสุดก็คือเทพีสงครามแห่งราชวงศ์ต้าตวน เผยเปย

นอกจากสิบคนนี้ แปดทวีปที่เหลือในใต้หล้าไพศาล แน่นอนว่าต้องมีบุคคลที่ตบะเลิศล้ำเป็นหนึ่งอยู่ในแต่ละทวีป ยกตัวอย่างเช่นเฉินฉุนอันผู้มากความรู้แห่งทักษินาตยทวีป เทพแห่งโชคลาภแห่งธวัลทวีป ทว่าเมื่อเทียบกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว บรรยากาศโดยภาพรวมกลับต่างกันอักโขนัก

……

เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่หอบตำรามาเต็มอ้อมอกวิ่งห้อออกจากลานบ้านไปถึงตรอกด้านนอก

นางอายุไม่มาก แต่เคยเห็นคนชั่วร้ายทำเลวมาไม่น้อย บางเรื่องก็ร้ายต่อผู้อื่น บางเรื่องก็ร้ายต่อตัวนางเอง แล้วก็เคยเห็นคนดีมาบ้าง บางคนทำดีก็ไม่ได้ดีตอบแทน คนดีบางคนก็เปลี่ยนไปเป็นคนชั่วร้าย

นางเคยเจอกับผู้เฒ่าบ้าคนหนึ่งที่เดินถือโคมไฟเตร่ไปทั่วทิศเกินครึ่งวัน พร่ำพูดว่าโลกนี้ดำมืดเกินไป หากไม่ถือโคมจะมองไม่เห็นทาง มองไม่เห็นคน

นางวิ่งจนเหงื่อแตกเต็มแผ่นหลัง เงยหน้ามองดวงอาทิตย์ก็ราวกับว่าบนท้องฟ้าแขวนโคมไฟดวงใหญ่ที่ส่องแสงสว่าง ยามฟ้าดินหมุนโคจรก็ราวกับว่าไม่ว่าใครก็ขาดมันไม่ได้ แต่นางชอบมันในช่วงหน้าหนาวและฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น หากสี่ฤดูในหนึ่งปีไม่มีอากาศหนาวเลย นางก็ไม่ชอบมันสักนิด อยากให้บนท้องฟ้าไม่มีมันไปเลยด้วยซ้ำ พอมีมัน รอบด้านก็สว่างเกินไป เรื่องหลายอย่างที่นางทำจึงง่ายที่จะถูกคนจับได้ ยกตัวอย่างเช่นขโมยของกิน

ตอนที่นางเดินผ่านบ่อน้ำบ่อหนึ่งก็หยุดฝีเท้า นั่งพักบนปากบ่อ หอบหายใจฮักๆ

ชำเลืองตามองบ่อน้ำเห็นเพียงความมืดมิด

นางเตรียมจะถ่มน้ำลายลงไปในนั้นก็พลันเงยหน้าขึ้น พบว่าข้างกายมีผู้เฒ่าสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่

เขาสวมเสื้อผ้าที่น่าจะเรียกว่าชุดคลุมเต๋า เมื่อแหงนหน้ามองเขา เด็กหญิงร่างผอมแห้งก็ไม่กล้าขยับเขยื้อน ราวกับว่าถ้าตัวเองขยับนิ้วข้างหนึ่ง หรือแม้แต่มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว นางก็จะต้องตายทันที

ตั้งแต่เล็กจนโตนางแทบจะไม่เคยกลัวใครขนาดนี้มาก่อน

นักพรตเต๋าร่างสูงใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของกวานเต๋าหรือของชุดคลุมเต๋าก็ล้วนพบเห็นได้ยาก

ภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง ผิวหนังของนักพรตเฒ่าส่องประกายแสงเรืองรอง บนชุดคลุมไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่เม็ดเดียว

ราวกับว่าเดิมทีเขาก็ไม่ได้ยืนอยู่ใต้ฟ้าดินแห่งนี้

ผู้เฒ่าชำเลืองตามองเด็กหญิงร่างผอมแห้งแล้วยื่นมือออกมาคว้าจับกลางอากาศหนึ่งครั้ง เด็กหญิงร่างเล็กบางที่แอบชำเลืองมองเขาอยู่ตลอดเวลาร้องโหยหวน โยนหนังสือที่อยู่ในอ้อมอกทิ้ง มือสองข้างกุมดวงตาเอาไว้แน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา เรือนกายผอมแห้งลงไปกลิ้งอยู่บนพื้น

เพราะเมื่อครู่นี้นางเห็นอย่างชัดเจนว่าผู้เฒ่าคนนั้นเอื้อมมือไปคว้าดวงอาทิตย์จากบนฟ้ามาคีบไว้ในระหว่างร่องนิ้วของเขา

เด็กหญิงร่างผอมแห้งเจ็บปวดจนร่างที่กลิ้งอยู่กระแทกชนบ่ออย่างแรง

นักพรตเฒ่าไม่สะทกสะท้าน ทั้งไม่รู้สึกว่าน่าสงสาร แล้วก็ไม่รู้สึกรังเกียจ มีเพียงความเฉยชาเท่านั้น

ความสุขความทุกข์บนโลกมนุษย์ เคยเห็นมาหนึ่งครั้งหลายครั้งกับเคยเห็นมานับพันนับหมื่นครั้งเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

นักพรตเฒ่าคนนี้เพียงแค่ก้มหน้าลงจ้องมองดวงอาทิตย์ที่อยู่ระหว่างสองนิ้ว

มันไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นของจริงที่จับต้องได้จริง กลับเป็นดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้าเวลานี้ต่างหากที่เป็นของปลอม

นักพรตเฒ่าเอา ‘ไข่มุก’ เม็ดนี้เก็บไว้ในชายแขนเสื้อชั่วคราว ครั้นจึงเงยหน้ามองกำแพงเมืองทางทิศใต้แวบหนึ่ง

‘ติงอิง’ ผู้นี้ทำให้เขาผิดหวังไม่น้อย อวี๋เจินอี้กับจ้งชิวนับว่ายังพอถูไถ แต่คำว่าถูไถนี้ไม่ได้บอกว่าการแสดงออกของอวี๋เจินอี้กับจ้งชิวดีอะไร แต่เป็นเพราะเดิมทีนักพรตเฒ่าก็ตั้งความหวังกับพวกเขาไว้ต่ำอยู่แล้ว

แต่ติงอิงนั้นไม่เหมือนกัน

ต้องรู้ว่าติงอิงผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นฐานกระดูกหรือนิสัยใจคอก็ล้วนใกล้เคียงกับเต๋าเหล่าเอ้อร์ผู้นั้นมากที่สุด หรือหากจะพูดว่าเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปก็ถือว่าเป็นของเลียนแบบที่มีความใกล้เคียงกับของจริงที่สุดแล้ว

ไม่ว่าจะไปอยู่ในที่ใดของใต้หล้าไพศาล ติงอิงก็ล้วนต้องเป็นขอบเขตสิบสองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็หยุดอยู่เพียงเท่านี้ คอขวดเห็นชัดเจนเกินไป ของเลียนแบบที่ไม่เลวชิ้นหนึ่งมักจะไม่ได้ย่ำแย่สักเท่าไหร่ แต่จะดีได้สักแค่ไหนกันเชียว?

นักพรตเฒ่ายังคงรู้สึกไม่พอใจ

ติงอิงที่ดึงเอาข้อดีของเว่ยเซี่ยน หลูป๋ายเซี่ยง จูเหลี่ยนสามคนมารวมให้เป็นหนึ่ง กลับยังไม่ได้เรื่องถึงเพียงนี้

และในวินาทีที่เขาเตรียมจะสะบัดชายแขนเสื้อตบศีรษะติงอิงให้เละนั้นเอง นักพรตเฒ่ากลับเกิดความลังเล เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

ผู้เฒ่ายืนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว มองไปเห็นถ้ำสวรรค์เหลียนฮวา (พื้นที่มงคลดอกบัวชื่อภาษาจีนใช้คำว่าโอ่วฮวาที่แปลว่าดอกบัว ส่วนถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาก็แปลว่าดอกบัวเช่นเดียวกัน)

ถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลสองแห่งนี้เชื่อมต่อกัน การดำรงอยู่ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ในสี่ใต้หล้าใหญ่มีแค่สองสถานที่นี้เท่านั้น

นักพรตเฒ่าที่ยืนอยู่ข้างบ่อน้ำมองประสานสายตากับนักพรตที่ ‘หลุบตามองต่ำมายังพื้นที่มงคล’ ซึ่งอยู่เหนือศีรษะของเขา ทันใดนั้นชายแดนระหว่างพื้นที่มงคลดอกบัวกับถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาก็พลันถูกดึงขยายจนเกิดเป็นร่องลึกกว้างนับพันนับหมื่นจั้ง

นักพรตเฒ่าแค่นเสียงเย็นชา

‘ไข่มุก’ ที่อยู่ในชายแขนเสื้อเม็ดนั้นเผาไหม้ชายแขนเสื้อชุดคลุมเต๋าของเขาจนเป็นรูโหว่

ทว่าในถ้ำสวรรค์ที่เต็มไปด้วยบ่อดอกบัวแห่งนั้นก็มีใบบัวมากมายแห้งเหี่ยวไปเช่นกัน

ผู้เฒ่าที่อยู่ข้างบ่อน้ำถอนสายตากลับมา เพียงไม่นานชายแขนเสื้อก็กลับมาเป็นปกติ เชื่อว่าบ่อบัวของที่แห่งนั้นก็คงไม่ต่างกัน

เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่อยู่ข้างเท้านักพรตเฒ่ายังคงร้องไห้จ้าอยู่บนพื้น ความรู้สึกจ้องมองแสงอาทิตย์ในระยะประชิดเช่นนั้นตราตรึงล้ำลึกลงไปไกลยิ่งกว่าจิตวิญญาณ หากไม่เป็นเพราะโชคดีในโชคร้าย ได้มาหลบอยู่ใน ‘ร่มเงา’ ของนักพรตเฒ่าพอดี อดีตชาติและชาติหน้าของนางจะต้องแหลกสลายกลายเป็นเพียงความว่างเปล่าในเสี้ยววินาที

นักพรตเฒ่าสบถอย่างขุ่นเคือง “เหล่าซิ่วไฉ เจ้าไม่เบื่อบ้างหรือไง?!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!