บทที่ 328 โยนออกไปนอกอารามกวานเต๋า
ใจคนไม่ใช่ผิวถนนที่พอฝนห่าใหญ่ผ่านพ้นไปแล้วจะกลับมาสะอาดสะอ้านได้ในเวลาไม่นาน
ในสายตาของเหล่าชนชั้นสูงและชาวบ้านร้านตลาดของเมืองหลวง คลื่นมรสุมจากการตีกันของเทพเซียนยังคงทิ้งริ้วคลื่นกระเพื่อมแผ่ไว้ไม่หยุด ตอนนั้นเฉินผิงอันช่วยสอนหมัดให้แก่พวกเหยียนสือจิ่งลูกศิษย์ของจ้งชิว พวกสหายของเด็กหนุ่มที่มาร่วมชมเรื่องสนุกก็คือหนึ่งในริ้วคลื่นเหล่านั้น หลังจากที่แม่ทัพผู้เฒ่าลวี่เซียวเดินลงจากหัวกำแพงเมือง แล้วกลับบ้านมาคุยโวให้หลานชายหลานสาวฟังว่าตัวเองเป็นสหายต่างวัยของเฉินผิงอันก็คือหนึ่งในริ้วคลื่นเช่นกัน การย้ายบ้านของคนมากมายที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับตรอกจ้วงหยวนก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
ติงอิงตายไปแล้ว อวี๋เจินอี้ขี่กระบี่จากไป ทิ้งเศษซากอันเละเทะไว้ให้จ้งชิวเก็บกวาดคนเดียว
หลังจากส่งเฉาฉิงหล่างถึงโรงเรียนแล้ว เฉินผิงอันก็ย้อนกลับมาทางเดิม เขาถือร่มเดินบนถนนใหญ่ที่เงียบสงบ เมื่อราชสำนักเริ่มคลายการป้องกันอันเข้มงวดที่มีต่อเมืองแห่งนี้จึงพอจะมองเห็นผู้คนมาเดินบนถนนได้อย่างบางตา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนในยุทธภพที่ค่อนข้างใจกล้า มาที่นี่เพื่อชมสนามรบ จุ๊ปากชื่นชมร่องลึกที่ถูกกระบี่ของลู่ฝ่างแห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่นแหวกผ่าเอาไว้
ส่วนแถบภูเขากู่หนิวยังคงเป็นพื้นที่ต้องห้าม ถูกล้อมอาณาเขตห้ามคนเข้าออก ราชสำนักออกคำสั่งว่าผู้ที่ละเมิดกฎสามารถสังหารได้ทันที รอบด้านมีเงาร่างของขุนนางกองดาราศาสตร์ให้เห็นอยู่หลายคน กระท่อมที่สร้างขึ้นหยาบๆ ซึ่งอวี๋เจินอี้ทิ้งไว้หลังนั้นก็ถูกรื้อทิ้งเช่นกัน
จอมยุทธ์ในยุทธภพบางส่วนที่เห็นเฉินผิงอันก็คิดแค่ว่าเขาคือคนที่เดินทางมาที่นี่เพราะชื่นชมเลื่อมใสมาดของปรมาจารย์เช่นเดียวกับพวกเขา
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะแวะไปเยี่ยมเยือนที่ศูนย์ฝึกวรยุทธ์ คนเฝ้าประตูเห็นว่าเขาไม่เหมือนคนที่ ‘มาหาเรื่อง’ อีกทั้งบุคลิกยังดูไม่ธรรมดา จึงไม่กล้าเพิกเฉย รีบไปแจ้งข่าวแก่เจ้าของศูนย์อย่างรวดเร็ว อาจารย์ผู้เฒ่าที่เป็นผู้สอนหมัดออกมาต้อนรับเฉินผิงอันด้วยตัวเอง ได้ยินว่าฝ่ายหลังมาเยือนเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียงของศูนย์ฝึกพวกเขาก็ให้ภาคภูมิใจ ลูกศิษย์ที่ติดตามมาด้วยก็รู้สึกได้หน้าได้ตา ประเด็นสำคัญคือเฉินผิงอันยังสามารถพูดถึงวิชาหมัดของศูนย์ฝึกวรยุทธ์ได้เป็นฉากเป็นตอนและมีเหตุผล พูดคุยกันไม่กี่คำก็ได้ใจผู้เฒ่าไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เคยได้ยินชื่อเสียงของศูนย์ฝึกวรยุทธ์แห่งนี้มาจริงๆ รายได้ที่แท้จริงของศูนย์ฝึกวรยุทธ์ในเมืองหลวงนั้นมาจากการตกปลาตัวใหญ่ที่ฝันใฝ่ในยุทธภพอีกทั้งในกระเป๋ายังมีเงินมาก มีลูกหลานคนรวยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่พวกนี้ช่วยหนุนหลัง ศูนย์ฝึกวรยุทธ์ถึงได้มีกำไร ลูกศิษย์ที่ทนกับความลำบากได้และมีพรสวรรค์คือส่วนใน คุณชายที่มาเรียนในศูนย์ฝึกวรยุทธ์เพราะหวังความบันเทิงคือหน้าตาส่วนนอก สองอย่างนี้จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้
อาจารย์ผู้เฒ่ารับรองเฉินผิงอันอยู่ในห้องรับแขก เขาบอกให้ลูกศิษย์ไปยกน้ำชามา แล้วเริ่มพูดคุยกัน
พอคุยถึงเรื่องการปรับแก้มังกรใหญ่ซึ่งเป็นรากฐานของการเรียนวรยุทธ์ ผู้เฒ่าไม่ได้ลงรายละเอียดลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเพิกเฉยเสียเลย ยังคงพูดถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถบอกแก่คนนอกได้ เพียงแต่ทอดถอนใจเอ่ยว่าไหนเลยจะหาต้นกล้าที่ดีเยี่ยมได้ง่ายขนาดนั้น หากโชคดี ใช้เวลาสี่ห้าปีก็คงได้เจอลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจนี้ หากโชคไม่ดี สิบปีก็อาจจะไม่เจอเลยสักคน
อาจารย์ผู้เฒ่ายังพูดอีกว่าการฝึกหมัดไม่ใช่แค่เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งเท่านั้น ยังเหมือนการส่งอาวุธคมกริบให้แก่คนที่เรียนวิชาหมัดด้วย พวกเขาให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์การใช้วรยุทธ์เป็นอันดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นยิ่งลูกศิษย์ที่สอนมามีวรยุทธ์สูงส่ง แต่หากจิตใจไม่ดีงาม ชอบใช้อำนาจรังแกคนอื่นก็จะยิ่งสร้างภัยร้ายได้มากเท่านั้น พูดไม่ถูกหูคำเดียวก็ต่อยตีคนอื่นให้ตาย สุดท้ายยังจะทำให้สำนักและศูนย์ฝึกวรยุทธ์เดือดร้อนไปด้วย
เฉินผิงอันถามถึงเรื่องหลักการของวิชาหมัดนอกอีกเล็กน้อย ตอนแรกอาจารย์ผู้เฒ่ายังอึกๆ อักๆ สีหน้าลำบากใจ เฉินผิงอันแสร้งทำท่ากระจ่างแจ้ง บอกว่าตัวเองลืมเรื่องสำคัญไป ก่อนจะหยิบเงินยี่สิบตำลึงออกมาวางไว้บนโต๊ะชาที่อยู่ด้านข้าง บอกว่าช่วงนี้คิดจะมาเรียนวิชาหมัดที่ศูนย์ฝึกวรยุทธ์ แต่ไม่รับรองว่าจะมาทุกวัน ดวงตาของอาจารย์ผู้เฒ่าเป็นประกายวาบ แล้วถึงได้พูดถึงหลักการของวิชาหมัดที่ทุกคนต่างก็รู้กันดีให้เฉินผิงอันฟังอย่างหมดเปลือก
เฉินผิงอันจดจำทุกเรื่องไว้ในใจแล้วลองเอามาเปรียบเทียบกับ ‘ตำราหมัดเขย่าขุนเขา’ เมื่อได้ฟังหลักการวิชาหมัดอย่างหยาบๆ เหล่านี้ ในที่สุดเฉินผิงอันก็ตัดสินใจได้แล้วว่า วิชายุทธ์ของฟ้าดินแห่งนี้ที่จะรวบรวมมาควรเริ่มจากต่ำไปสูง ไม่ต้องมากเกินไป วันหน้าเวลาว่างจากการฝึกหมัดก็สามารถเอามาพลิกเปิดอ่านได้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดีเกิดขึ้น เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เอาการเดินนิ่งหกก้าวมาผสานรวมเข้ากับท่าหมัดใหญ่ยอดเขาของจ้งชิว จึงทำให้เฉินผิงอันฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตสี่ไปได้สำเร็จ อีกทั้งเมื่อน้ำมาคลองก็เสร็จ (เปรียบเปรยว่าเมื่อเงื่อนไขสุกงอม เรื่องต่างๆ ก็สำเร็จลงด้วยดี) เป็นไปตามธรรมชาติ โดยเฉพาะ ‘พลังอำนาจ’ ตอนที่ติงอิงเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของวัดป๋ายเหอ และตอนที่จ้งชิวปรากฎตัวครั้งแรกแล้วเดินเข้ามาหาตน คำว่าฟ้าและคนผสานรวมกันเป็นหนึ่งของสถานที่แห่งนี้ เฉินผิงอันรู้สึกว่ามีความลี้ลับยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ ไม่แน่ว่าเมื่อกลับไปถึงใต้หล้าไพศาลอาจจะได้รับผลประโยชน์อย่างอื่นมาเพิ่มเติม
อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่า โอกาสในการฝ่าขอบเขตห้าสู่ขอบเขตหกในอนาคตก็อยู่ในความลี้ลับที่ว่านี้ เฉินผิงอันเดาเอาว่าเมื่อเขาออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวที่ปราณวิญญาณบางเบาแล้ว ตัวเองก็จะตกอยู่ในสภาพจมโคลนซึ่งคล้ายคลึงกับตอนที่ฝานกว่านเอ่อร์อยู่นอกตำหนักใหญ่วัดป๋ายเหอ นั่นคือความรู้สึกอืดอาดชักช้าเหมือนบนร่างแบกหินหนักอึ้ง แล้วก็เหมือนตอนที่หยางเหล่าโถวฝังยันต์ปราณที่แท้จริงสี่แผ่นลงบนข้อมือและข้อเท้าของตน
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันมีชีวิตนับตั้งแต่ฝึกวิชาหมัดมา เขาเริ่มนึกถึงผลได้ผลเสียของตัวเอง ระหว่างที่รับมือกับศัตรูแล้วบรรลุวิชาหมัดใหญ่ยอดเขาของจ้งชิวก็คือตัวอย่าง
ตอนแรกที่เรียนวิชาหมัดเขย่าขุนเขาก็เพื่อต่อชีวิต นั่นเป็นการตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนอย่างยากลำบาก ทำไปตามขั้นตอน ไม่กล้าเดินออกนอกเส้นทางแม้แต่น้อย เดินนิ่งหกก้าวและยืนนิ่งเจี้ยนหลูถูกฝึกครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระบวนท่าหมัดเกือบจะถูกเขาต่อยให้เละละเอียด จดจำได้ขึ้นใจ ผสานรวมเข้าไปยังจิตวิญญาณ ภายหลังผู้เฒ่าแซ่ชุยบนเรือนไม้ไผ่ถ่ายทอดวิชาหมัดให้ หรือแม้กระทั่งผู้เฒ่าสอนอะไร เฉินผิงอันก็เรียนสิ่งนั้น
ไม่ได้บอกว่าไม่ดี แต่ฝึกหมัดมาจนถึงก้าวนี้ หากอยู่ในสายตาของผู้เฒ่าแซ่ชุยแล้วเรียกว่าร่อแร่เกือบตาย ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่พอ หากคิดจะพัฒนาไปอีกก้าวก็ต้องทนรับความลำบากให้ได้มากกว่าเก่าถึงจะทำสำเร็จ จำเป็นต้องได้รับโอกาสในการเปิดสติปัญญาของตัวเองให้โล่งกว้าง คนอื่นไม่อาจบอกได้ เพราะบอกแล้วกลับจะทำให้ไม่ศักดิ์สิทธิ์
แต่เฉินผิงอันกลับตระหนักไม่ได้ว่า เขาฝึกท่าหมัดหนึ่งล้านครั้งถึงจะเริ่มมีความคิดความอ่านเช่นนี้ ทว่ากับเรื่องการฝึกกระบี่ เขากลับเรียนรู้แล้วเอามาปฏิบัติใช้จริงได้ตั้งนานแล้ว กระบี่ที่อาจารย์ฉีทำลายค่ายกลของหลิ่วชื่อเฉิงชุดชมพูในวัดร้าง กระบี่ที่วิญญาณกระบี่ ‘ชักออกจากฝัก’ ในภาพวาดภูเขาและแม่น้ำ กระบี่ที่ตนฟันไปยังภูเขาสุ้ยซาน
ล้วนเป็นกระบี่ของเขาเฉินผิงอันทั้งสิ้น
อาเหลียงเคยบอกว่าหากเขาเฉินผิงอันฝึกวิชากระบี่ต้องได้ดีกว่าวิชาหมัดอย่างแน่นอน
ซึ่งก็คือเหตุผลข้อนี้
คนที่สอนวิชาหมัดหรือสอนวิชากระบี่ วิชาหมัดสูงส่งเกินไป วิชากระบี่เลิศล้ำเกินไป คนที่เรียนวิชาหมัดและวิชากระบี่ก็ยิ่งยากจะเปลี่ยนจากตายตัวมาเป็นมีชีวิต
อุปสรรคและความยากลำบากระหว่างเส้นทางที่ก้าวไป เจิ้งต้าเฟิงก็คือตัวอย่างที่ชัดเจน พรสวรรค์ดีพอ ขอบเขตสูงมากพอ เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าผู้ยิ่งใหญ่ ทว่าพอไปอยู่นครมังกรเฒ่า เมื่อคาบเกี่ยวอยู่ตรงเส้นระหว่างความเป็นความตาย กลับต้องอาศัยประโยคจากคนที่มองอยู่ด้านข้างอย่างเฉินผิงอัน ที่บอกว่า ‘ศิษย์ไม่จำเป็นต้องด้อยกว่าครูเสมอไป’ ถึงจะฝ่าทะลุคอขวดได้
ฝึกหมัดต้องฝึกจิตใจ เฉินผิงอันถามเหยียนสือจิ่งลูกศิษย์น้อยผู้เป็นที่ภาคภูมิใจมากที่สุดของจ้งชิวถึงสองครั้งว่า ทำไมถึงไม่กล้าออกหมัด
เหตุใดจ้งชิวถึงไม่ได้ผิดหวังในตัวของเหยียนสือจิ่งสักเท่าไหร่ หาใช่เพราะจ้งชิวไม่ได้ฝากความหวังไว้ที่หนุ่มน้อยคนนี้ แต่เป็นเพราะตัวเฉินผิงอันเองเคยให้คำตอบไว้ก่อนแล้ว สี่คำที่จ้งชิวบอกว่า ‘เจอหมัดสูงไม่ออกหมัด’ ตอนนี้เหยียนสือจิ่งยังพูดไม่ออกและทำไม่ได้ นี่ก็เป็นหลักการเดียวกับ ‘เผชิญหน้ากับบุรพาจารย์ของสามลัทธิ ปณิธานหมัดเขย่าขุนเขามิอาจอ่อนข้อ’ หลังจากผ่านการฝึกฝนขัดเกลามานับพันนับหมื่นครั้ง เฉินผิงอันจึงพูดได้และทำได้ แต่ตอนนี้เหยียนสือจิ่งยังจับแก่นสำคัญไม่ได้ จึงไม่จำเป็นต้องสร้างความลำบากใจให้เขา
เส้นทางคดเคี้ยววกวนเหล่านี้ จำเป็นต้องออกหมัดล้านครั้งด้วยตัวเอง ท่องไปในยุทธภพด้วยตัวเองถึงจะมองออกอย่างแท้จริง
ฟังจากบทสนทนาระหว่างเหยียนสือจิ่งกับศิษย์น้องหญิงคนเล็กของเขา เฉินผิงอันเข้าใจแล้วว่าตัวเอง ‘ไม่เหมือนคนทั่วไป’ ลูกรักแห่งสวรรค์อย่างลูกศิษย์ของจ้งชิว ยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารและโจวซื่อหนุ่มปักบุปผา ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือสภาพจิตใจกลับสู้เขาไม่ได้สักคน แต่ตอนนี้เฉินผิงอันยังมองความยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานของตัวเองในพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ออก ยังดีที่เฉินผิงอันพอจะสัมผัสได้ถึงวี่แววของ ‘ฟ้าและคนผสานรวมเป็นหนึ่ง’ ได้อย่างเลือนรางแล้ว นี่ก็คือก้าวหนึ่งที่มั่นคง คือก้าวใหญ่ของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปด ขอบเขตเก้าหลายคนในใต้หล้าไพศาลก็ยังไม่มีโอกาสที่จะเกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้
หลังออกมาจากศูนย์ฝึกวรยุทธ์แล้วเฉินผิงอันก็กลับไปยังที่พัก เด็กหญิงร่างผอมแห้งนั่งเหม่ออยู่ใต้ชายคา ฝนที่เทกระหน่ำเปลี่ยนมาเป็นฝนเม็ดเล็กปรอยๆ พอนางเห็นเฉินผิงอันก็ยิ้มกว้างให้เขา
เฉินผิงอันเห็นว่าบนร่างนางมีบางส่วนที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำฝนก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หยิบห่อสัมภาระที่ด้านในคือผีผาขึ้นมา เตรียมจะไปหาบัณฑิตยากจนแซ่เจี่ยง เขาอยู่ห่างจากที่นี่ไปประมาณสามช่วงถนน ไม่ถือว่าใกล้นัก
รอจนเฉินผิงอันออกจากบ้านไปแล้ว เขาเพิ่งจะเดินออกจากตรอก เด็กหญิงที่ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ ก็รีบปิดประตูลงกลอน แล้ว ‘ฝึกหมัด’ อย่างเข้าท่าเข้าทีอยู่ใต้ชายคา นี่เป็นท่าวิชาอสนีที่นางแอบมองจากเฉินผิงอันซึ่งเลียนแบบมาจากติงอิงและผู้เฒ่าตาบอดอีกที ฝ่ามือข้างหนึ่งหงายขึ้นฟ้า อีกข้างกำเป็นหมัดวางไว้ด้านหน้า เดินออกไปอย่างเชื่องช้า
ธรณีประตูของทั้งสองฝ่ายต่างก็สูงมาก คนหนึ่งคือบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าแห่งนี้ อีกคนหนึ่งเกี่ยวพันกับวิชาอสนีของผู้ฝึกลมปราณ ตอนนี้เฉินผิงอันยังได้แค่ตั้งท่าให้คล้ายคลึงอย่างหยาบๆ อีกทั้งยังไม่อาจบรรลุถึงความหมายที่แท้จริง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กหญิงที่แม้แต่วิชาหมัดก็ยังไม่เคยเรียนมาก่อนเลย หลังจากที่นางฝึก ‘วิชาหมัด’ ท่านี้เสร็จแล้วก็รู้สึกว่าน่าเบื่อ จึงเปลี่ยนมาเป็นท่าอื่น ล้วนเป็นท่าที่นางแอบจำมาจากศึกบนถนนใหญ่ มีการออกหมัดครั้งหนึ่งของจ้งชิว มีกระบี่ที่ลู่ฝ่างผ่าถนน มีท่าเดินนิ่งหกก้าวของเฉินผิงอัน ร่างของเด็กหญิงขยับอย่างงกๆ เงิ่นๆ เอียงๆ เอนๆ ไม่ได้เข้าขั้นเลยสักนิด แน่นอนว่าแค่คำว่าเป็นวรยุทธ์อย่างผิวเผินก็ยังแตะไม่ถึง
ฝึกท่าหมัดมั่วซั่วอยู่พักใหญ่ เด็กหญิงก็ร้องตวาดออกมาหนึ่งครั้ง แล้วกระโดดเตะอย่างเหี้ยมหาญ ผลคือทำให้ตัวเองกระแทกล้มอย่างแรง พอลุกขึ้นยืนก็รู้สึกหิว จึงเดินกะเผลกๆ ไปขโมยของกินในห้องครัว นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นวรยุทธ์ที่สูงส่งแล้ว กะว่ารอให้เฉาฉิงหล่างกลับมาจะเอาเขามาเป็นคู่ซ้อม แน่นอนว่าจะทำอย่างนั้นได้ เฉินผิงอันต้องไม่อยู่ด้วย
เฉินผิงอันมองนางทำตัวเหลวไหลจากบนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง ขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วจากไปอย่างเงียบเชียบ
เมื่อคืนวานตอนที่คุยกับนางแล้วถามว่านางอายุเท่าไหร่ นางบอกว่าตัวเองอายุเก้าขวบ แถมยังชูฝ่ามือขึ้นมาสองข้าง มือข้างหนึ่งงอนิ้วก้อยลง นิ้วที่เหลืออีกสี่นิ้วกลับตั้งตรงดุจพู่กัน
อีกทั้งเวลาที่นางหิ้วน้ำกลับมาจากบ่อน้ำ เฉินผิงอันยังเคยสังเกตลมหายใจและฝีเท้าของนางอย่างละเอียด
เฉินผิงอันที่เดินกางร่มอยู่บนถนนตัดสินใจว่าวันหน้าจะไม่ฝึกวิชาเดินนิ่งอยู่ในลานบ้านหลังเล็กนั่นอีกแล้ว
เจี่ยงเฉวียนคือลูกหลานคนยากจน ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนมาสิบกว่าปี ในท้องเต็มไปด้วยวิชาความรู้ ได้รับการยอมรับจากเขตการปกครองของบ้านเกิดว่าเป็นเด็กอัจฉริยะและคนมีพรสวรรค์ เพียงแต่ว่าสอบไม่ติดระบบเค่อจวี่ แม้ว่าทุกวันนี้จะตกอับ แต่ก็ไม่เคยกล่าวโทษฟ้าดิน เขาเช่าบ้านหลังหนึ่งอยู่ร่วมกับบัณฑิตที่มาจากบ้านเกิดเดียวกัน ทุกวันยังคงมุมานะใฝ่เรียน เพียงแต่ว่าตรงหว่างคิ้วกลับมีความกลัดกลุ้มอยู่จ่างๆ ทุกวันหลังจากอ่านหนังสือเหนื่อยแล้วจะเดินออกมาจากซอย มาหยุดยืนตรงมุมถนนคล้ายกำลังรอคอยใคร
คนบ้านเดียวกันสองคนต่างก็รู้ว่าปมในใจของเจี่ยงเฉวียนคืออะไร วันนี้จึงพาเขาไปซื้อหนังสือที่ร้านแห่งหนึ่งซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียง แม้จะพูดว่าซื้อหนังสือ แต่อันที่จริงแล้วกระเป๋าเงินของคนทั้งสามต่างก็ฟีบแบน ได้แต่เปิดอ่านตำราของอริยะปราชญ์ที่ฉบับพิมพ์มีไม่มาก เหลือบมองตำราที่มีเล่มเดียว ตำราหายากประหนึ่งสาวงามเลิศล้ำที่อยู่ไกลๆ หลายทีเพื่อคลายความอยาก
ท่ามกลางสายตาหงุดหงิดใจของเถ้าแก่ร้าน คนทั้งสามได้แต่เดินออกมาจากร้านหนังสืออย่างขลาดๆ เห็นว่าด้านนอกมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนถือร่ม ด้านหลังสะพายห่อสัมภาระ มองมาทางเจี่ยงเฉวียนแล้วถามว่า “เจี่ยงเฉวียนใช่ไหม? ข้าคือญาติของกู้หลิงที่อยู่ในเมืองหลวง มีธุระจะคุยกับเจ้า”
ใบหน้าของเจี่ยงเฉวียนเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี กล่าวอย่างลิงโลดว่า “ข้าเองๆ ข้าคือเจี่ยงเฉวียน นางอยู่ไหนหรือ?”
ตอนนี้เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนไม่ค่อยสงบสุข คราวก่อนหลังจากนางไปขอยืมเงินจากญาติก็เงียบหายไปเลย บวกกับที่ตรอกบริเวณใกล้เคียงกับที่พักของเขามีคนตาย ตอนนั้นคนของที่ว่าการขับไล่พวกคนที่มามุงดูด้วยท่าทางดุดัน แล้วเอาเสื่อม้วนศพออกไป รู้แค่ว่าคนตายเป็นสตรีในยุทธภพที่ตายอนาถ มีคนเดาว่าต้องตายเพราะถูกคนแก้แค้นแน่นอน นี่ทำให้เจี่ยงเฉวียนเป็นกังวลอยู่นาน วันแล้ววันเล่า ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีวันใดที่เขาสงบใจอ่านหนังสือได้
คนผู้นั้นกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “จะดีจะชั่วตระกูลกู้ของพวกเราที่อยู่เมืองหลวงก็เป็นตระกูลขุนนาง แม้ว่าสกุลกู้สายของกู้หลิงจะไม่มีอนาคตก้าวหน้า ได้ยินว่ายังมีคนไปปะปนอยู่กับคนในยุทธภพ ไม่มีหน้าไปมาหาสู่กับพวกเรามาหลายปีแล้ว คราวนี้นางเป็นฝ่ายไปหาพวกเราถึงที่ แค่อ้าปากก็บอกว่าจะยืมเงิน ผู้อาวุโสในตระกูลไม่ชอบใจนัก ไม่ใช่ว่าเสียดายเงินเล็กน้อยเพียงเท่านี้ แค่รู้สึกว่านี่เป็นการทำให้วงศ์ตระกูลขายหน้า จึงไม่ยอมรับญาติอย่างนาง กู้หลิงดึงดันจะยืมเงินให้ได้ แถมยังสาบานว่าเจ้าต้องสอบติดตำแหน่งสูงๆ แน่นอน ดังนั้นอีกไม่นานนางก็จะหาเงินมาคืนได้ คนผู้นั้นยังจะแต่งนางเป็นภรรยาอย่างถูกต้อง ผู้อาวุโสในตระกูลรู้ดีว่าการสอบติดเค่อจวี่ไม่ใช่เรื่องง่าย มีหรือจะเชื่อว่าบัณฑิตยากจนคนหนึ่งจะสอบติดจิ้นซื่อได้ จึงบอกกู้หลิงว่าต้องมอบผีผาชิ้นนี้ให้พวกเขา ถึงจะยอมให้นางยืมเงิน ขณะเดียวกันก็บอกให้นางรับปากเรื่องหนึ่งด้วยว่า มีเพียงเจ้าสอบติดจิ้นซื่อได้เท่านั้น ถึงจะยอมให้พวกเจ้าได้พบหน้ากันอีกครั้ง ตอนนี้นางกำลังเดินทางกลับบ้านเกิด และจะไม่มีทางเขียนจดหมายติดต่อกับเจ้าเด็ดขาด”
คนผู้นั้นปลดห่อสัมภาระยื่นส่งให้เจี่ยงเฉวียน และยังควักเงินตุงๆ ถุงหนึ่งออกมา “ข้างในนี้มีเงินห้าสิบตำลึง และยังมีตั๋วเงินอีกสองแผ่น หากใช้จ่ายอย่างประหยัดก็มากพอให้เจ้าประคับประคองตัวเองไปถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า หากเจ้าเจี่ยงเฉวียนไม่มั่นใจว่าจะสอบติด อันที่จริงข้าสามารถนำคำพูดไปบอกแก่กู้หลิงได้ จากนั้นพวกเจ้าก็หนีตามกันไป คนหนึ่งทอดทิ้งวงศ์ตระกูล อีกคนหนึ่งละทิ้งตำราของอริยะปราชญ์ จะดีจะชั่วก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ถึงอย่างไรก็คงดีกว่าทนความยากลำบากไปถึงสามปี ถึงเวลานั้นค่อยรอให้ผู้อาวุโสในตระกูลตีคู่ยวนยางให้แยกจากกันอย่างโจ่งแจ้ง ใช่แล้ว ผู้อาวุโสในตระกูลโมโหที่นางดื้อดึงจึงขว้างผีผาชิ้นนี้ วันหน้าหากเจ้ามีโอกาสจะซื้อให้นางใหม่ก็ได้”
เจี่ยงเฉวียนยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
บัณฑิตยากจนเชื่อว่าคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือลูกหลานของตระกูลเศรษฐีผู้ร่ำรวยจริงๆ
อันที่จริงหัวใจเขาเต้นรัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าคนผู้นี้ เจี่ยงเฉวียนรู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้
เขาถามอย่างขลาดๆ ว่า “เหตุใดถึงช่วยข้า?”
คนผู้นั้นตอบว่า “ข้าแค่ช่วยกู้หลิง ไม่ได้ช่วยเจ้า”
เจี่ยงเฉวียนกอดผีผา แต่กลับไม่ได้รับถุงเงินไป เขาถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าเป็นลูกหลานตระกูลกู้ไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงเต็มใจปกป้องแม่นางกู้?”
“ในเมื่อกู้หลิงชอบเจ้าขนาดนั้น ข้าจึงอยากมาดูให้เห็นกับตาว่าเจ้าเป็นคนอย่างไรกันแน่”
คนผู้นั้นเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้นช้าๆ ว่า “ในตำรากล่าวว่า ขอแค่หัวใจสองดวงรักมั่นไม่เสื่อมคลาย”
เจี่ยงเฉวียนยิ้มอย่างเข้าใจ ในใจเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นจึงพยักหน้ารับอย่างแรงคล้ายให้กำลังใจตัวเอง “ใยต้องอยู่เคียงคู่กันทุกวัน!”
จากนั้นเจี่ยงเฉวียนก็ส่ายหน้า “เงินข้าไม่ต้องการแล้ว ข้าจะออกไปตั้งแผง ช่วยคนเขียนจดหมายส่งถึงที่บ้าน หรือไม่ก็เขียนกลอนคู่ ถึงอย่างไรก็พอเลี้ยงตัวเองได้ ไม่มีเหตุผลให้ต้องรับเงินก้อนนี้แล้วทำให้แม่นางกู้ถูกคนในครอบครัวดูแคลน ถูกคนรังเกียจ แต่รบกวนเจ้าหน่อย หากกลับไปถึงบ้านแล้วช่วยเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้นาง บอกว่าให้นางรอวันที่ข้าสอบติดเป็นจิ้นซื่อได้เลย!”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เจี่ยงเฉวียนก็ยิ้มสดใส “ไม่แน่ว่าในอนาคตนางอาจจะได้เป็นฮูหยินตราตั้งก็ได้นะ”
แต่แล้วเจี่ยงเฉวียนก็รีบโบกมือ “ประโยคนี้เจ้าห้ามเขียนลงไปในจดหมายเด็ดขาด เพราะไม่แน่ว่าข้าจะทำได้ แค่ข้าจดจำไว้ในใจก็พอ หากมีวันนั้นจริงๆ ข้าจะพานางมาพบเจ้าอีกครั้ง ให้นางได้รู้ถึงน้ำใจของเจ้าในวันนี้”
คนผู้นั้นก็เป็นคนประหลาดนัก ยังคงยัดถุงเงินมาให้เจี่ยงเฉวียน แล้วก็พูดประโยคประหลาดว่า “เงินนี้เจ้าต้องรับเอาไว้ นี่เป็นน้ำใจของกู้หลิง ยิ่งเป็นเงินที่สะอาดที่สุดในใต้หล้า”
สหายที่มาจากบ้านเกิดเดียวกันสองคนนั้นก็เกลี้ยกล่อมให้เจี่ยงเฉวียนรับเงินไว้
คนผู้นั้นหมุนกายจากไป
เจี่ยงเฉวียนตะโกนถามเสียงดังว่า “น้องชาย หลังสอบติดแล้ว ข้าจะหาเจ้าพบได้อย่างไร?”
คนผู้นั้นหันหน้ากลับมา “หากเจ้าสอบติดจะมีคนไปหาเจ้าเอง และบอกเรื่องทุกอย่างกับเจ้า”
ฝนเม็ดเล็กมาเยือนโลกมนุษย์อีกครั้ง
เจี่ยงเฉวียนและเพื่อนรักสองคนออกไปจากถนนแถบนี้ ห่างออกไปไกล คนที่เอาความมาบอกผู้นั้นยืนถือร่มอยู่ใต้ชายคาตรงมุมถนนแห่งหนึ่ง มองส่งบัณฑิตยากจนที่ค่อยๆ เดินจากไปไกล
นักพรตเฒ่ามาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วทำไมถึงไม่บอกความจริงกับเขาไปตรงๆ เลยเล่า?”
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ไม่ต้องบอกอะไรเขาสักอย่าง บอกเขาทุกอย่าง และสามปีให้หลัง ไม่ว่าเจี่ยงเฉวียนจะสอบติดหรือไม่ก็ให้ราชครูจ้งช่วยบอกความจริงแก่เขาแทนข้า ข้ารู้สึกว่าทางเลือกข้อที่สามนี้ดีสำหรับเขาและกู้หลิงมากกว่า”
นักพรตเฒ่าถามอีกคำถามหนึ่งที่จี้ใจคน “ถ้าอย่างนั้นทางเลือกข้อไหนที่ทำให้เจ้ารู้สึกดีที่สุด?”
เฉินผิงอันตอบ “หากเป็นตอนก่อนจะเข้ามาในพื้นที่มงคลดอกบัวก็คงเป็นทางเลือกที่หนึ่ง ท่องอยู่ในยุทธภพ ไม่ว่าใครก็ควรรับผิดชอบความเป็นความตายของตัวเอง แต่ตอนนี้น่าจะเป็นทางเลือกที่สอง อย่างน้อยถามใจตัวเองแล้วก็ไม่ละอาย ไม่ทิ้งจุดด่างใดๆ ไว้ในใจ ส่วนข้อที่ว่าทำไมถึงเลือกข้อที่สาม ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน อันที่จริงตัวข้าก็ไม่รู้ว่าทางเลือกนี้ผิดหรือถูก”
นักพรตเฒ่าพูดพร้อมคลี่ยิ้ม “ไม่รู้ว่าผิดหรือถูกใช่ไหม?”
เฉินผิงอันหันหน้ามามอง “ทำไมหรือ?”
นักพรตเฒ่าใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกดลงบนไหล่ของเฉินผิงอัน “หลังจากนี้เจ้าก็ยิ่งไม่มีทางรู้ได้”
นาทีถัดมาราวกับเป็นช่วงยามฟ้าสาง พระอาทิตย์ลอยขึ้นจากทิศตะวันออก หน้าประตูวังหลวงในเมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยน คนเปิดประตูวังตะโกนก้องเสียงดัง
นักพรตเฒ่าถามยิ้มๆ “รู้ไหมว่าทำไมถึงมีขนบธรรมเนียมเช่นนี้สืบทอดกันมา? ไม่ว่าจะเป็นใต้หล้าไพศาลหรือพื้นที่มงคลดอกบัวก็ล้วนจำเป็นต้องทำแบบนี้”
เฉินผิงอันที่จำต้องหุบร่มส่ายหน้า
นักพรตเฒ่ากล่าวว่า “ในช่วงเวลาที่แสงอรุณสาดส่องลงมา วังหลวงจำเป็นต้องตวาดขับไล่วิญญาณพยาบาทบางส่วนออกไป เจ้าคิดว่าเป็นวิญญาณพยาบาทของใคร?”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า
นักพรตเฒ่าจึงเอ่ยว่า “ของขุนนางผู้ซื่อสัตย์ที่ตายไปอย่างอยุติธรรม ขุนนางผู้จงรักภักดีที่ตายไปอย่างเปล่าประโยชน์ ขุนนางผู้เป็นเสาค้ำยันบ้านเมืองที่ตายเพราะเสี่ยงถวายคำทัดทานแก่ฮ่องเต้ในประวัติศาสตร์”
หลังจากนั้นเวลาสิบปีร้อยปีของแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวในพื้นที่มงคลดอกบัวก็ราวกับว่าไหลมาอยู่ในช่วงระยะเวลาเพียงปีเดียวของผู้เฒ่า
นาทีถัดมานักพรตเฒ่าพาเฉินผิงอันมาพบกับอาจารย์ผู้เฒ่าผู้มุ่งมั่นศึกษาตำราใฝ่หาความรู้ ยามจรดพู่กันราวกับมีเทพช่วย แต่กลับไม่เข้มงวดกับลูกหลาน ตอนที่ใกล้จะจากโลกนี้ไป หยาดเหงื่อแรงใจที่ทุ่มเททำมาทั้งชีวิตล้วนถูกลูกหลานเอาไปเร่ขายผลาญทิ้งจนสิ้น ด้วยความโมโหจึงเผาผลงานทั้งหมดของตัวเอง
และยังได้พบกับอัครเสนาบดีจากตระกูลยากจนที่ในที่สุดก็สามารถเขียนบทกวีที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยความงดงามอย่างแท้จริงได้ในช่วงบั้นปลายชีวิต บทความของเขาไม่ต้องถูกคนในตระกูลและเพื่อนร่วมงานดูแคลนว่าเป็นดั่งคนสวมชุดทองเครื่องประดับเงิน แต่ใส่รองเท้าฟางสานอีกต่อไป
ได้เห็นขุนนางสำคัญผู้เป็นแกนกลางของราชสำนักที่พักอยู่ในจวนเก่าโทรม สองชายแขนเสื้อมีลมเย็น (เปรียบเปรยถึงขุนนางมือสะอาด) มีชื่อเสียงอันดี ทว่าญาติที่อยู่ในท้องถิ่นกลับรังแกบุรุษข่มเหงสตรี แต่ละคนห้อยเงินหมื่นกว้านไว้รอบเอว จดหมายทุกฉบับที่เขาเขียนถึงทางบ้านล้วนตักเตือนให้คนในตระกูลรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ รักษาคุณธรรม หลังจากเนื้อหาในจดหมายปรากฏสู่สายตาของคนรุ่นหลัง เขาก็ยังได้รับคำยกย่องชมเชยจากผู้คน
องค์ชายแคว้นเป่ยจิ้นคนหนึ่งยืนเป่าลมใส่มือหาความอบอุ่นอยู่นอกห้องเรียนในวันหิมะตกหนัก
คุณชายเสเพลคนหนึ่งที่ทำตัวกำเริบเสิบสาน ก่อกรรมทำชั่วไม่ว่างเว้น พอกลับไปถึงบ้านกลับกตัญญูต่อย่า ช่วยเหน็บชายผ้าห่มให้ผู้อาวุโสนอนอุ่นสบาย
ขุนนางคนสำคัญของแคว้นซงไล่คนหนึ่งที่อุทิศตนเพื่อบ้านเมือง ปฏิรูปกฎหมาย ในบรรดาลูกหลานสายตรงเจ็ดแปดคนที่ถูกนำตัวมาใช้ มีเกินครึ่งที่แสร้งใช้ข้ออ้างปฏิรูปกฎหมายแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัว กำจัดคนที่เห็นต่าง บ้างก็พยายามคาดเดาจิตใจฮ่องเต้ แอบสร้างพรรคพวก สุดท้ายการปฏิรูปกฎหมายล้มเหลว ขุนนางคนสำคัญผู้นั้นถูกจับขังคุกแล้วก็ยังรักษาจิตใจอันกว้างขวางไว้ได้ เจ็บใจก็แต่ปณิธานยิ่งใหญ่ยังไม่ทันได้เป็นจริง ตัวเองกลับต้องมาตายไปเสียก่อน
จอมยุทธ์น้อยในยุทธภพคนหนึ่งที่ไร้หนทางให้เดินต่อ พ่อแม่ถูกศัตรูคู่แค้นฆ่าตาย ชีวิตหลายสิบปีต่อจากนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ต้องทนรับความอัปยศ ถูกคนหลู่เกียรติ ตอนที่ได้แก้แค้น เขาสังหารคนทั้งครอบครัวของศัตรูไปหลายสิบคน ได้ชำระแค้นอย่างสาสมใจ หลังจากที่จอมยุทธ์น้อยซึ่งกลายเป็นบุรุษเต็มตัว กลายเป็นจอมยุทธ์ใหญ่จากไป มีเด็กหญิงคนหนึ่งพาเด็กชายที่อายุน้อยกว่าคนหนึ่งเดินออกมา ตอนนั้นสองพี่น้องเล่นซ่อนแอบกันอยู่ ได้ไปหลบอยู่ซอกผนังพอดี เมื่อรอดพ้นหายนะครั้งนี้มาได้ สุดท้ายเด็กทั้งสองคนก็โขกศีรษะต่อหน้าหลุมศพ กล่าวคำสาบานว่าจะแก้แค้นแทนคนในครอบครัว
นายอำเภอสองคนที่เกี่ยวพันกับปัญหาเรื่องการส่งหนังสือราชการถึงสองครั้งเหมือนกัน จำต้องถูกราชสำนักซักไซ้เอาความผิด นายอำเภอคนหนึ่งได้แอบออกอุบายอันชาญฉลาดให้แก่คนส่งสารของจุดพักม้า บอกให้แจ้งความเท็จว่าระหว่างทางเจอโจรดักปล้น อีกทั้งยังบอกให้คนของจุดพักม้าผู้นั้นใช้มีดทำร้ายตัวเอง สุดท้ายจึงหลอกตบตาขุนนางกรมกลาโหมที่มาตรวจสอบเรื่องนี้ไปได้ ส่วนนายอำเภออีกคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่เป็นหน้าหนาวหิมะตกหนัก เส้นทางถูกปิดกั้น เพื่อทำหน้าที่ให้สำเร็จ คนส่งสารของจุดพักม้าจึงพยายามข้ามแม่น้ำไปให้ได้ แต่กลับทำให้หนังสือราชการถูกน้ำได้รับความเสียหาย นายอำเภอรายงานเรื่องนี้ตามความจริง ผลคือคนส่งสารถูกโบยหนึ่งร้อยไม้ เนรเทศไปไกลพันลี้ ส่วนนายอำเภอไม่ได้รับเงินเดือนหนึ่งปี คนในพื้นที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่าภายในห้าปีนี้เขาคงไม่มีโอกาสได้เลื่อนขั้นแล้ว
เรื่องราวหลังจากนั้นก็ยิ่งแปลกประหลาด แม่น้ำแห่งกาลเวลาเริ่มหมุนย้อนกลับ
มองเห็นจอมยุทธ์พเนจรเฝิงชิงป๋ายกับถังเถี่ยอี้ที่เรียกกันเป็นพี่เป็นน้องนั่งดื่มสุราอยู่ตรงข้ามกัน ตบเข่าร้องเพลงเสียงดังอยู่ในเมืองชายแดน
เฉินผิงอันยังได้มาที่นอกเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เห็นหญิงสาวที่ชื่อว่ากู้หลิงคนนั้น เห็นการพบกันครั้งแรกระหว่างนางกับบัณฑิตเจี่ยงเฉวียน มองเห็นการทำความรู้จักกัน การตกหลุมรักกันและกันของพวกเขา ก่อนจะเข้าเมืองมีหิมะตกหนัก กู้หลิงที่เพิ่งจะทำงานลอบสังหารครั้งหนึ่งสำเร็จเร่งรีบเดินทางเพื่อไปสอบเคอจวี่เป็นเพื่อนบัณฑิต
หญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางหิมะที่ตกหนักเพียงลำพัง ปีนี้นางเจอกับบัณฑิตคนหนึ่ง ท่ามกลางชีวิตที่มืดมนและเต็มไปด้วยคาวเลือดของนางจึงดูเหมือนว่ามีหิมะตกลงมา พื้นดินที่กว้างขวางสะอาดเอี่ยมทำให้นางเข้าใจผิดนึกว่าตัวเองคือสตรีที่ดีที่สุด แม้จะรู้ดีว่าหิมะต้องละลาย และนางก็ยังเป็นผู้หญิงที่ชั่วร้ายคนนั้น ทว่าการได้พบเจอกับเขาก็ถือว่าสวรรค์ไม่ปฏิบัติต่อนางอย่างเลวร้ายเกินไปแล้ว
มองเห็นเด็กหญิงผอมแห้งคนหนึ่งที่บางครั้งจะออกไปมองเนินดินเล็กๆ เนินหนึ่งนอกเมืองด้วยสีหน้าคิดถึง
สุดท้ายเฉินผิงอันมองเห็นตัวเองที่มองไปยังบ่อน้ำแห่งนั้นแวบหนึ่ง
มีสองครั้งที่ลอบเข้าไปยังหอเก็บตำราส่วนตัวของคนอื่น ท่ามกลางตำรานับพันนับหมื่นเล่ม เกินครึ่งล้วนเป็นตำราใหม่เอี่ยม แต่ก็มีอยู่หลายเล่มที่เป็นตำราเก่าแก่หลายปีแล้ว ทว่าพอเปิดออกอ่านกลับยังได้กลิ่นหอมของหมึกจางๆ หลักการของอริยะปราชญ์และบทความไพเราะมากมายล้วนไม่มีใครได้ชื่นชม
เห็นตัวเองที่ยืนอยู่หน้าบ้านในตรอกเล็ก ยกแขนขึ้นแล้วก็เอาแขนลงอยู่หลายครั้งด้วยไม่กล้าเคาะประตู
ตอนที่เขากับเฉาฉิงหล่างเดินกางร่มไปโรงเรียน เด็กหญิงยืนอยู่หน้าประตู จ้องมองมาที่แผ่นหลังของพวกเขาเขม็ง แม้น้ำฝนจะสาดโดนเต็มใบหน้า นางกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
สุดท้ายเฉินผิงอันยืนอยู่ใต้ชายคาเพียงลำพัง ในมือยังคงถือร่มกระดาษน้ำมันคันนั้นที่ไม่รู้ว่าอยู่เคียงข้างเขามานานกี่ปีแล้ว บนถนนใหญ่ยังคงมีฝนเม็ดบางตกปรอยๆ
นักพรตเฒ่าไม่อยู่ข้างกายแล้ว
ผิดกับถูก ดีกับเลว ใช่กับไม่ใช่ ดีงามกับชั่วร้าย
เฉินผิงอันได้เห็นมามากมายเหลือเกิน
เขามองหลักการเหตุผลอะไรที่ทำให้คนรู้สึกว่าถูกต้องตามหลักฟ้าดินไม่ออกสักอย่าง กลับกลายเป็นว่าหลักการเหตุผลทั้งหลายที่ในอดีตเคยยืนหยัดมาล้วนไม่มีเหตุผล
เฉินผิงอันอดนึกถึงประโยคหนึ่งที่คนพายเรือเฒ่าซึ่งในอดีตเคยพายเรือให้ลู่เฉินพูดกับเขาหลังจากมรสุมบนเกาะกุ้ยฮวาผ่านพ้นไปไม่ได้ ผู้เฒ่ากล่าวว่า ‘เจ้าอย่าหวังจะทำลายมหามรรคาของข้า’
ก่อนหน้านี้ ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าโจวซื่อหนุ่มปักบุปผาไม่ใช่ตัวการร้ายที่แท้จริง แต่เขาก็ยังคงตัดสินใจทำตามคำบอกหลังจบเรื่องของจ้งชิว หากมีห้ารายชื่อนั้นจริงๆ ก็จะเอารายชื่อหนึ่งในนั้นดึงตัวโจวซื่อมาเป็น ‘ผู้ใต้บังคับบัญชา’ ของตน แล้วต่อยเขาให้ตายด้วยหมัดเดียว ก่อนหน้านี้เขารังเกียจเด็กหญิงผอมแห้งคนนั้นอย่างสุดหัวใจ แต่กลับไม่รู้เลยว่าทำไม ถึงขั้นไม่เต็มใจจะคิดให้ลึกซึ้ง แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวซะเลย เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองปล่อยวางเงินเกล็ดหิมะได้มากขึ้น แม้ว่าเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นจะวางอยู่ข้างบทกลอนในตำราที่เขาคิดว่างดงามอย่างยิ่งก็ตาม
ท้องฟ้าหลังฝนโปร่งใส เฉินผิงอันเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงบ่อน้ำ เขายืนอยู่ตรงนั้นแล้วก้มหน้ามองลงไปก้นบ่อ
และเวลานี้เอง เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่อยู่ในลานบ้านขนาดเล็กก็กำลังเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าแสบตา
พิศอารามเต๋า เต๋าพิศเต๋า
นักพรตเฒ่านั่งอยู่บนท้องฟ้า มองคนทั้งสอง
ถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาที่เชื่อมติดอยู่กับพื้นที่มงคลดอกบัวมีนักพรตเต๋าคนหนึ่งนั่งอยู่ริมแม่น้ำ มองคนทั้งสาม
ตามคำบอกของลูกศิษย์บางคน เขาก็แค่มีเวลาว่างแล้วมานั่งมองเต๋าเล็กๆ ของคนอื่นเท่านั้น
เฉินผิงอันพลันดึงสายตากลับคืนมาแล้วคลี่ยิ้ม เดินออกไปจากข้างบ่อน้ำ แม้ว่าจะไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง แต่ก็คิดตกเรื่องหนึ่ง นั่นคือต้องสั่งสอนหลักการการเป็นคนให้กับเด็กหญิงที่มีนิสัยชวนให้ผู้คนรังเกียจคนนั้นสักหน่อย สอนจากเรื่องที่ง่ายที่สุด หากสอนแล้วนางไม่เข้าใจ สอนไปแล้วไม่มีประโยชน์ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องสนใจนางอีก แต่ส่วนที่ต้องสอนก็ยังต้องสอน อย่างน้อยก็ต้องให้นางรู้ว่าอะไรคือดี อะไรคือชั่ว นางจะเป็นคนชั่วต่อไป หรือจะเปลี่ยนแปลงตัวเองกลายมาเป็นคนดีก็เป็นเรื่องของนางแล้ว
นักพรตเฒ่าสีหน้าดำคล้ำ อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก คิดอยากแต่จะโยนเฉินผิงอันออกไปนอกพื้นที่มงคลดอกบัว
เขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเอาชนะซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เฉินผิงอันก้าวหนึ่งก้าวก็ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว กลายเป็นมาอยู่บนทางเดินม้านอกแคว้นเป่ยจิ้นของใบถงทวีป
สวมชุดอาคมจินหลี่สีทอง ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แค่ไม่มีกระบี่ปราณยาวอยู่ด้านหลัง
ทว่าขอบเขตวรยุทธ์ยังคงเป็นขอบเขตห้า ไม่ได้หายไปพร้อมกับพื้นที่มงคลดอกบัว
อีกทั้งกระบี่บินชูอีและสืออู่ที่จิตเชื่อมโยงถึงกัน ตอนนี้ก็อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ด้วย
เฉินผิงอันรีบเหลียวซ้ายแลขวา โชคดีที่เห็นว่าบนทางห่างไปไม่ไกล คนจิ๋วดอกบัวโผล่หัวออกมาจากตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวน้อยมึนงงยิ่งกว่าเฉินผิงอันเสียอีก
นักพรตเฒ่ามายืนอยู่ข้างกายเขา “ตามข้อตกลง เจ้าสามารถพาคนห้าคนไปจากพื้นที่มงคลดอกบัว สี่คนในนั้น ข้าช่วยเลือกไว้ให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว”
ในมือนักพรตเฒ่าถือม้วนภาพสี่ม้วน เขาโยนออกไปอย่างไม่ใส่ใจ พวกมันมาก็เรียงลำดับกันอยู่หน้าเฉินผิงอัน ลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนที่ม้วนภาพหนึ่งในนั้นจะคลี่ตัวออกด้วยตัวเอง ด้านบนวาดภาพบุรุษสวมชุดคลุมมังกรนั่งตัวตรง “นี่คือฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยน เว่ยเซี่ยน”
หญิงสาวคนหนึ่งที่ด้านหลังสะพายกระบี่ “สุยโย่วเปียน ละทิ้งการเรียนวรยุทธ์ เป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะเป็นเซียนกระบี่เช่นเดียวกัน”
“หลูป๋ายเซี่ยงบรรพบุรุษแห่งลัทธิมาร”
“จูเหลี่ยน”
“สี่คนนี้มีเรือนกายและจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบ หลังจากนี้เจ้าจงใช้เงินฝนธัญพืชเลี้ยงพวกเขา แค่โยนเข้าไปในภาพวาดทุกวันก็พอ สักวันหนึ่งเมื่อพวกเขากินจนอิ่มแล้วก็จะสามารถเดินออกมาจากภาพวาด อุทิศตนให้แก่เจ้า อีกทั้งยังภักดีอย่างถวายหัว ส่วนข้อที่ว่าหลังจากนี้ขอบเขตวรยุทธ์ของพวกเขาจะเป็นเช่นไร หรือจะเปลี่ยนไปฝึกตนเป็นผู้ฝึกลมปราณก็ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้านายอย่างเจ้าเฉินผิงอันแล้ว แน่นอนว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้นได้ เจ้าต้องเลี้ยงดูให้พวกเขามีชีวิตกลับคืนมาเสียก่อน”
เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าไม่เต็มใจจะพูดอะไรกับเฉินผิงอันมากนัก อีกทั้งยังไม่เปิดโอกาสให้เฉินผิงอันเอ่ยแทรก ถึงได้พูดรวดเดียวยาวขนาดนี้
ไม่รอให้เฉินผิงอันถามว่าคนสุดท้ายคือใคร นักพรตเฒ่าก็ยื่นมือข้างหนึ่งไปคว้าแล้วกระชากเด็กหญิงร่างผอมแห้งคนหนึ่งออกมา ตบลงบนศีรษะด้านหลังของนางหนึ่งครั้ง นางก็ล้มหน้าทิ่มอยู่บนถนน พอเงยหน้าขึ้นมา บนใบหน้าของนางจึงเต็มไปด้วยความเลื่อนลอย
เฉินผิงอันหันไปมองนักพรตเฒ่าร่างสูงใหญ่แล้วถามว่า “สะพานอมตะจะทำอย่างไร?”
นักพรตเฒ่าสีหน้าเฉยเมย “ปูรากฐานไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ก็คลำหาทางเอาเอง”
เฉินผิงอันถามอีก “แล้วกระบี่ปราณยาวเล่มนั้นล่ะ?”
นักพรตเฒ่ามองไปยังทิศไกล “ข้าย่อมคืนให้กับเฉิงชิงตูด้วยตัวเอง”
เฉินผิงอันเก็บภาพวาดทั้งสี่ไว้ในกระบี่บินสืออู่ แล้วจึงกุมหมัดบอกลานักพรตเฒ่า
นักพรตเฒ่าอารมณ์ไม่ใคร่จะดีนัก เดินก้าวหนึ่งกลับเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว ชำเลืองตามองถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาที่เชื่อมติดอยู่กับพื้นที่มงคลแวบหนึ่ง เจ้าหมอนั่นไปจากริมแม่น้ำแล้ว
นักพรตเฒ่าถึงได้ยิ้มออก
เฉินผิงอันตาใหญ่จ้องอยู่กับตาเล็กของเด็กหญิงผอมแห้ง
ก่อนที่เขาจะถอนหายใจ “เจ้าชื่ออะไร?”
เด็กหญิงเป็นคนใจกล้า แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากปัดฝุ่นบนร่างตัวเองแล้วก็ยังคงตอบพร้อมหัวเราะร่า “ก่อนหน้านี้ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าข้ามีแค่แซ่ พ่อแม่ยังไม่ทันได้ตั้งชื่อให้ข้า ข้าก็เลยตั้งชื่อให้ตัวเอง แค่อักษรเดียวเท่านั้น นั่นคือเฉียน (เงิน) ก็ข้าชอบเงินนี่นา”
เฉินผิงอันถาม “แล้วแซ่อะไร?”
เด็กหญิงยืดอกเล็กๆ ขึ้นพลางตอบว่า “เผย! เผยที่ด้านล่างมีคำว่าอีที่แปลว่าเสื้อผ้า (裴 ประกอบด้วยตัวอักษรสองตัว ตัวล่างคือคำว่า 衣 ที่แปลว่าเสื้อผ้า) พ่อข้าเคยเล่าให้ฟังว่าแซ่นี้เป็นแซ่ใหญ่ของบ้านเกิดเชียวนะ! ในแซ่มีคำว่าเสื้อผ้า ในชื่อมีคำว่าเงิน เป็นมงคลอย่างยิ่ง”
เฉินผิงอันตบหน้าผากตัวเอง
แซ่เผยชื่อเฉียน เผยเฉียน เผยเฉียน… (เผยเฉียนแรกที่เป็นชื่อของเด็กหญิงเขียนว่า 裴钱 เผยเฉียนคำที่สองเขียนว่า 赔钱 แปลว่าชดใช้เงินหรือขาดทุน)
มิน่าเล่าตนถึงได้ไม่ชอบนาง