บทที่ 329 คนในภาพวาด
ในที่สุดก็ได้ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งได้เสียที หลังจากที่นักพรตเฒ่าจากไป เรื่องแรกที่เฉินผิงอันทำก็คือสอบถามคนในแคว้นเป่ยจิ้นว่าตอนนี้คือปีอะไร เขากลัวจริงๆ ว่าคำว่าหกสิบปีบนภูเขาที่เขียนบอกไว้ในตำรา พอมาอยู่ในโลกแห่งความจริงจะผ่านไปพันปีแล้ว หากถูกนักพรตเฒ่าหลอกต้มนานถึงสิบปีหรือหลายสิบปี แถมตอนนี้ยังไม่มีกระบี่ปราณยาว คิดจะแก้แค้นก็คงหาตัวคนไม่เจอแล้ว
ยังดีที่หลังจากถามขบวนพ่อค้าบนถนนทางหลวงของแคว้นเป่ยจิ้นแล้วถึงได้ถอนหายใจโล่งอก นับตั้งแต่คราวก่อนที่เป็นรัชสมัยกวางสี่ปีที่หก ตอนนี้แค่เปลี่ยนไปเป็นรัชสมัยกวางสี่ปีที่เจ็ดเท่านั้น และเวลานี้ใบถงทวีปก็อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเช่นเดียวกัน สภาพอากาศเหมือนกับในพื้นที่มงคลดอกบัวที่ขยับเข้าใกล้ช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
เป่ยจิ้นได้ทิ้งเงามืดไว้ในใจของเฉินผิงอัน เขาจึงไม่กล้าอยู่ต่อนานนัก เดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปตลอดทาง ก่อนหน้านี้เคยได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของภูเขาไท่ผิงมาก่อน จึงคิดอยากจะไปมองไกลๆ ให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง ทว่าตอนนี้กลับไม่เหลือความคิดนี้อยู่เลย บวกกับที่เขาเองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มเจ๋อเซียนอย่างโจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ ลู่ฝ่างแห่งภูเขาเหนี่ยวคั่นและจอมยุทธ์พเนจรเฝิงชิงป๋าย ตอนนี้จึงคิดแต่จะหาท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งแล้วมุ่งหน้ากลับแจกันสมบัติทวีปไปโดยตรง
แม้ตอนนั้นที่จากบ้านเกิดมา หยางเหล่าโถวจะเคยเตือนว่าภายในห้าปีห้ามกลับไปเมืองเล็ก แต่ไม่ได้กลับบ้านเกิดก็ยังมีสถานที่มากมายที่สามารถไปเยือนได้ ยกตัวอย่างเช่นนครมังกรเฒ่าที่ฟ่านเอ้อร์อยู่ แคว้นชิงหลวนที่จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียเดินทางไปหาประสบการณ์ แคว้นซูสุ่ยของอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งอวี่เซา ทะเลสาบเจี่ยนซูของกู้ช่าน สำนักศึกษาต้าสุยที่พวกหลี่เป่าผิงไปเล่าเรียนวิชา มีสถานที่ไม่น้อยเลยจริงๆ
สรุปก็คือใบถงทวีปไม่ใช่สถานที่ที่ควรรั้งอยู่นาน
เฉินผิงอันเก็บร่มกระดาษน้ำมันที่หยิบติดมือมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว คนทั้งสองเดินไปข้างถนนทางหลวง เด็กหญิงผอมแห้งคอยเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความใคร่รู้อยู่ตลอดเวลา “ที่นี่คือที่ไหน? ไม่ใช่แคว้นหนันเยวี่ยนของพวกเรากระมัง?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันสอบถามผู้อื่น นางฟังไม่ออกสักประโยคเดียว
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ต้องลากขวดน้ำมันน้อย (เปรียบเปรยถึงตัวภาระ) นี้มาด้วยก็คือเหตุผลที่เฉินผิงอันอยากจะออกไปจากใบถงทวีปโดยเร็ว พานางมาด้วยไม่เหมือนตอนที่เดินทางหาประสบการณ์ร่วมกับลู่ไถ หากเจอกับพวกผู้ฝึกตนอิสระบนภูเขาดักปล้นกลางทาง ย่อมต้องลำบากมาก แต่พอนึกถึงลู่ไถ พยับเมฆในใจของเฉินผิงอันก็ยิ่งหนาชั้นมากกว่าเดิม ชายฉกรรจ์ขายถังหูลู่คนนั้น
ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินแล้ว ส่วนใหญ่มักจะสามารถใช้วิชาฝ่ามือเทพมองภูเขาและแม่น้ำ แม้จะรอบรู้เทียบกับนักพรตเฒ่าที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก สำหรับวิชาเซียนอันเป็นวิชาอภินิหารนี้ ในอนาคตเมื่อกลับไปถึงบ้านเกิด เขาจะต้องสอบถามจากผู้เฒ่าแซ่ชุยหรือไม่ก็เว่ยป้อให้ละเอียดว่ามีความรู้เรื่องใดบ้าง มีส่วนไหนที่ต้องพิถีพิถัน หรือมีข้อห้ามและพันธนาการอะไรบ้าง
เผยเฉียนถามต่อ “คือบ้านเกิดของเจ้า? สถานที่อยู่อาศัยของเทพเซียนหรือ?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ส่ายหน้าตอบ “ไม่ใช่บ้านเกิดของข้า แล้วก็ไม่ใช่ดินแดนเซียนอะไร”
เผยเฉียนเห็นว่าเขาไม่เต็มใจจะพูดมากจึงไม่ซักถามอะไรอีก
นางยกสองมือขึ้นขยี้ตา
เฉินผิงอันถาม “เป็นอะไร?”
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น ยิ้มสดใส “รู้สึกแปลกๆ แต่กลับจำอะไรไม่ได้สักอย่าง เมื่อครู่นี้ยังเก็บกวาดบ้านให้เฉาฉิงหล่างอยู่เลย แต่ฟิ้วทีเดียวก็มาอยู่นี่แล้ว”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองนางหนึ่งที
เผยเฉียนรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “เก็บกวาดเมล็ดแตงที่แทะไว้บนม้านั่งในลานน่ะ”
คนทั้งสองเดินมาได้ประมาณยี่สิบกว่าลี้ เด็กหญิงก็เหนื่อยจนหอบเป็นวัว นางยู่หน้าพูดอย่างน่าสงสารว่าฝ่าเท้าถูกเสียดสีจนเป็นตุ่มพองหมดแล้ว
เฉินผิงอันจึงเช่ารถม้าคันหนึ่งจากจุดพักม้าข้างทาง เมื่อตกลงราคาได้เรียบร้อยก็เดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนือต่ออีกครั้ง ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่ารถม้าจะหยุดจอดในเมืองริมชายแดนแคว้นเป่ยจิ้น ซึ่งระยะทางนี้ใช้เวลาประมาณสองวัน เป่ยจิ้นของใบถงทวีปไม่เหมือนกับเป่ยจิ้นของพื้นที่มงคลดอกบัว สถานที่แห่งนี้ไม่มีสงครามมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการของที่พักม้าหรือเรื่องเอกสารผ่านทางล้วนหละหลวมอย่างมาก ขอแค่ในกระเป๋ามีเงิน ต่อให้ไม่ใช่ขุนนางก็ล้วนมาพักแรมที่จุดพักม้าได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เผยเฉียนได้นั่งรถม้า นางรู้สึกแปลกใหม่อย่างยิ่ง นั่งอยู่ในห้องโดยสารที่ส่ายโคลงเคลง ไม่ต้องเดินเองช่างสบายยิ่งนัก คอยเลิกผ้าม่านมองไปยังทิวทัศน์ด้านนอกอยู่เป็นระยะ หลังเข้าช่วงฤดูใบไม้ร่วงมา ห่างจากถนนทางหลวงไปไม่ไกลมักจะมองเห็นต้นลูกพลับสีทองอร่ามเป็นแถบๆ ทำเอานางน้ำลายไหลด้วยความอยากกิน ใจหวังยิ่งนักว่าเฉินผิงอันจะบอกให้สารถีหยุดรถ นางจะได้ลงจากรถม้าไปขโมยกลับมาสักแปดจินสิบจิน
เฉินผิงอันฉวยโอกาสตอนที่นางมองออกไปข้างนอกหยิบม้วนภาพสี่ภาพออกมา แกนของม้วนภาพทั้งสี่นี้ไม่เหมือนกัน แกนหนึ่งทำมาจากไม้จื่อถานที่สามารถป้องกันมอดแทะ แกนหนึ่งคือหยกขาว อีกสองแกนทำมาจากวัสดุบางอย่างที่เขาไม่รู้จัก คนทั้งสี่ในม้วนภาพมีชีวิตชีวาเสมือนจริง
เว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนอยู่ในท่านั่งเหมือนในภาพแขวนของฮ่องเต้ทั่วไป เขาสวมชุดคลุมมังกรสีทอง แต่เรือนกายไม่ถือว่ากำยำล่ำสันนัก กลับค่อนข้างจะตัวเล็กผอมบาง พอมาสวมชุดคลุมมังกรตัวใหญ่จึงดูไม่เข้ากันอย่างเห็นได้ชัด
สุยโย่วเปียนที่ล้มเหลวในการบินทะยานอยู่ในท่าสะพายกระบี่ ท่วงท่าองอาจผึ่งผาย คนในภาพวาดสบตากับคนที่มองภาพวาด
หลูป่ายเซี่ยงผู้นำแห่งลัทธิมารสวมเสื้อเกราะสีแดงสด มือทั้งคู่ยันด้ามดาบที่ปึกตรึงอยู่เบื้องหน้า เมื่อเทียบกับเว่ยเซี่ยนแล้ว เขากลับดูเหมือนจักรพรรดิในโลกมนุษย์มากกว่า
จูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์ที่ตายด้วยน้ำมือของติงอิงมีสันหลังโก่งงอ ยืนสองมือไพล่หลัง หรี่ตาลงคล้ายผู้เฒ่าตัวเล็กในหมู่ชาวบ้านทั่วไป
ภาพวาดทั้งสี่นี้กินแค่เงินฝนธัญพืชเท่านั้น? ปัญหาอยู่ที่ว่าหากให้พวกเขาคนใดคนหนึ่งในภาพวาดเหล่านี้เดินออกมาจะต้องกินเงินฝนธัญพืชไปกี่เหรียญกันแน่? อีกอย่างคำว่าจงรักภักดี ก็จำเป็นต้องผ่านการพิสูจน์ก่อนถึงจะบอกได้ ถอยไปพูดหมื่นก้าว เฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง ขนาดชุดคลุมอาคมจินหลี่ ชือซินและหยุดหิมะยังถูกเขามองเป็นของนอกกายทั้งหมด
ยังดีที่คราวนี้อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวได้ถูกนักพรตเฒ่าพาท่องไปทั่วใต้หล้า เฉินผิงอันจึงเข้าใจเรื่องราวในโลกมนุษย์เพิ่มขึ้นเยอะมาก โดยไม่รู้ตัวเขาก็ใช้สายตาอีกแบบหนึ่งไปมอง ‘สถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า’ ของแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงสภาพการณ์และฐานะของถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่บนอาณาเขตของต้าหลีแล้ว สำหรับเรื่อง ‘ของนอกกาย’ เขาก็ไม่มองอย่างสุดโต่งอีกต่อไป ไม่อย่างนั้นหากอิงตามนิสัยเดิมของเขา ม้วนภาพทั้งสี่นี้อาจจะถูกเฉินผิงอันเอาออกไปขายในราคาที่สูงเทียมฟ้าแล้วก็เป็นได้
เผยเฉียนยื่นคอมามองภาพวาดของสุยโย่วเปียน พูดเสียงเบาว่า “พี่สาวคนนี้สวยมากจริงๆ”
เฉินผิงอันไม่สนใจ เขาม้วนภาพวาดทั้งสี่เก็บเบาๆ ไม่ได้เอาเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่นต่อหน้าเผยเฉียน แต่เอาวางไว้ข้างเท้าชั่วคราว ในใจทอดถอนใจไม่หยุด บรรพบุรุษสี่ท่านนี้เลี้ยงยากเหลือเกิน ไหนเลยจะดีเหมือนชูอีกับสืออู่ แค่มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็ได้แล้ว อย่าว่าแต่เงินฝนธัญพืชเลย มีชีวิตพึ่งพากันและกันมานานขนาดนี้ สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายครั้ง เขาไม่เคยต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะแม้แต่เหรียญเดียว หลอมกระบี่ เลี้ยงกระบี่ ล้วนไม่จำเป็นต้องให้เฉินผิงอันคอยเป็นกังวล
อันที่จริงเฉินผิงอันมีแท่นสังหารมังกรอยู่ก้อนหนึ่ง คือหินลับที่ดีที่สุดสำหรับการหลอมกระบี่ในโลก เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันหรือจะตัดใจยอมให้แท่นสังหารมังกรที่สลักคำว่า ‘หนิงเหยา’ ‘ไร้เดียงสา’ ถูกกลึงให้ลดหายไปแม้แต่เสี้ยวเดียว ยังดีที่สำหรับเรื่องนี้ ชูอีกับสืออู่ต่างก็ไม่เคยงอแงกับเฉินผิงอันมาก่อน แต่เขาคิดว่าเมื่อกลับไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนจะต้องพยายามขอซื้อหินสังหารมังกรก้อนเล็กๆ มาจากอริยะหร่วนฉงให้ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรปฏิบัติต่อพวกมันแย่เกินไปนัก
ค่าใช้จ่ายก้อนนี้ เฉินผิงอันไม่คิดจะงก ต่อให้เมื่อถึงเวลานั้นอาจจะไม่ใช่แค่เงินฝนธัญพืช แต่เป็นเงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่มีมูลค่ามากกว่าก็ตาม
เฉินผิงอันมองนาง
เผยเฉียนเองก็มองเขาด้วยความกังวลใจ กลัวว่าเขาจะถีบตัวเองตกจากรถม้า อยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย นางจะไม่ถูกคนรังแกตายหรอกหรือ? ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน จะดีจะชั่วนางก็คุ้นชินเส้นทางเป็นอย่างดี ของที่อยู่ในบ้านใดที่สามารถขโมยได้ ของของเด็กตระกูลใดที่สามารถแย่งชิง ใครที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย ใครจำเป็นต้องประจบเอาใจ นางล้วนมีลูกคิดรางเล็กๆ ในใจเอาไว้ดีด แต่มาอยู่ที่นี่ อีกเดี๋ยวก็เข้าหน้าหนาวแล้ว หิมะก้อนใหญ่ตกพรวดๆ ลงมา หากนางไม่หิวตายก็ต้องหนาวตาย นางเคยเห็นขอทานแก่ขอทานน้อยหลายคนที่ไม่สามารถอดทนจนผ่านหน้าหนาวไปได้กับตาตัวเองมาก่อน รู้ดีว่าสภาพเมื่อต้องหนาวตายอัปลักษณ์ยิ่งนัก
เผยเฉียนรู้ว่าเฉินผิงอันไม่ชอบตน
ก็เหมือนกับที่นางรู้ว่าเฉินผิงอันชอบเฉาฉิงหล่างมาก
และนางก็ไม่ได้อยากให้เขามาชอบตน ขอแค่เขาช่วยดูแลเรื่องการกินการอยู่ให้นางก็พอแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือมอบเงินกองใหญ่ให้กับนาง ส่วนจะชอบหรือไม่ชอบ จะมีค่าสักกี่เหรียญกันเชียว?
สารถีที่ทำหน้าที่ขับรถเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง คุ้นชินเส้นทางเป็นอย่างดี เฉินผิงอันและเผยเฉียนพักค้างแรมในจุดพักม้าแห่งหนึ่ง ส่วนสารถีอาศัยหลับนอนในห้องโดยสารของรถม้า เฉินผิงอันเช่าห้องระดับล่างสองห้อง เผยเฉียนพักอยู่ในห้องด้านข้าง เฉินผิงอันซื้ออาหารส่วนหนึ่งมาจากจุดพักม้า ห่อไว้ในห่อสัมภาระเพื่อสะดวกพกพา อีกส่วนหนึ่งใส่ไว้ในหีบหนังสือธรรมดา เพราะหากออกจากบ้านมือเปล่าจะดูสะดุดตาเกินไป
แบ่งอาหารส่วนหนึ่งให้เผยเฉียนแล้ว เฉินผิงอันก็ไปที่ห้องของตัวเอง ปลดดาบและกระบี่ จุดตะเกียงน้ำมันที่อยู่บนโต๊ะ หยิบมีดแกะสลักและแผ่นไม้ไผ่สีเขียวขจีแผ่นเล็กออกมา เริ่มบันทึกสิ่งที่พบเห็นตลอดการเดินทางในพื้นที่มงคลดอกบัว ด้วยตัวอักษรเท่าหัวแมลงวัน
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เฉินผิงอันเดินไปเปิดประตู เผยเฉียนยืนอยู่ข้างนอก กล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “ในห้องมืดสนิท ข้ารู้สึกกลัว”
เฉินผิงอันรู้สึกขำ ในใจคิดว่าเจ้าใจกล้าถึงขนาดปีนขึ้นไปนอนหลับบนหลังสิงโตหินของบ้านคนรวย แต่พอได้มาพักอยู่ในห้องกลับกลัวงั้นหรือ?
แต่เฉินผิงอันก็ยังยอมให้นางเข้ามา นางปิดประตูลงอย่างว่าง่าย เฉินผิงอันบอกให้นางนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก่อนพูดช้าๆ ว่า “ที่นี่เรียกว่าใบถงทวีป เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ใหญ่มาก พวกเราจะเดินทางไปยังแจกันสมบัติทวีป บ้านเกิดของข้าอยู่ทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องเริ่มเรียนภาษากลางของแจกันสมบัติทวีปและภาษาทางการของต้าหลีที่เป็นบ้านเกิดข้า”
เผยเฉียนยิ้มกว้าง พยักหน้ารับอย่างแรง “ได้เลย!”
ไม่ใช่ว่านางอยากเรียนภาษาทางการภาษากลางผายลมสุนัขอะไรนั่น แต่จากความหมายของคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าจะพานางไปบ้านเกิดของเขาด้วย นี่ไม่ใช่หมายความว่าตลอดทางนี้นางสามารถกินฟรีอยู่ฟรี ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่หรอกหรือ?
แต่คำพูดประโยคต่อมาของเฉินผิงอันกลับเหมือนสาดน้ำเย็นใส่หน้านาง ทำให้สีหน้าของเด็กหญิงเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง บ่นนินทาในใจไม่หยุด เฉินผิงอันหยิบมีดแกะสลักขึ้นมาสลักตัวอักษรลงบนแผ่นไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินที่เว่ยป้อมอบให้ต่ออีกครั้ง เขาก้มหน้าลง ค่อยๆ ขีดค่อยๆ เขียน ละเลียดบรรจง ขณะเดียวกันก็พูดกับเผยเฉียนด้วยว่า “นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป นอกจากจะสอนภาษากลางและภาษาทางการให้เจ้าแล้ว ยังจะสอนให้เจ้ารู้จักตัวอักษร หากเห็นว่าเจ้าเรียนดีก็จะมีข้าวให้เจ้ากินทุกมื้อ หากเรียนไม่ดีก็อย่าหวังว่าจะได้กิน”
นางหน้ามุ่ย “ข้าโง่มากเลยนะ”
เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ประหยัดเงินได้แล้ว”
เผยเฉียนแอบเหลือบมองเฉินผิงอัน เห็นว่าเขาไม่เหมือนล้อเล่น นางก็รีบยิ้มทันที “ข้าจะตั้งใจเรียน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ นางก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะ ถามเสียงเบา “ซื้อเสื้อผ้าให้ข้าสักชุดสองชุดได้ไหม?”
เฉินผิงอันตอบโดยไม่มองหน้า “รอให้อากาศหนาวแล้ว ข้าจะหาเสื้อผ้าหนาๆ ให้เจ้าเพิ่มชุดหนึ่ง”
นางพึมพำ “ฤดูใบไม้ร่วงแล้วนะ อากาศเย็นมากแล้ว อีกอย่างเจ้าดูสิ ขนาดรองเท้าข้ายังเป็นรู จริงๆ นะ ไม่ได้หลอกเจ้า หากข้าเกิดป่วยขึ้นมา เจ้าก็ยังต้องดูแลข้าอีก แบบนั้นจะยุ่งยากมาก…”
พูดมาถึงตรงนี้นางก็ยกเท้าขึ้น รองเท้าของนางขาดจริงๆ เผยให้เห็นนิ้วเท้าสีดำเมี่ยม
เฉินผิงอันวางมีดแกะสลักลง ใช้ปลายนิ้วเช็ดเศษไม้ไผ่เล็กละเอียดที่มองไม่เห็นทิ้งไป “กลับไปนอน พรุ่งนี้ยังต้องออกเดินทางแต่เช้า”
เผยเฉียนไม่พูดอะไรอีก ออกจากห้องไปเงียบๆ พอกลับไปถึงห้องที่อยู่ด้านข้างก็ปิดประตูแล้วยิ้มหน้าบานทันที ก่อนจะรีบตีหน้าเคร่ง บังคับตัวเองไม่ให้หลุดเสียงหัวเราะออกมา นางกระโจนขึ้นไปบนผ้าห่ม กลิ้งตัวอย่างมีความสุข สุดท้ายมองฝ้าเพดาน หลังจากเตะรองเท้าเก่าขาดทิ้งไปแล้วก็เริ่มนึกถึงท่าทางเมื่อครู่นี้ของเฉินผิงอัน นางเลียนแบบเขาด้วยการพูดประโยคนั้นว่า ‘กลับไปนอน’ แต่ไม่กล้าออกเสียง แล้วทำหน้าทะเล้น
ก่อนจะนอน นางกระโดดลงจากเตียงไปจุดตะเกียงที่อยู่บนโต๊ะ แล้วถึงได้นอนหลับไปจนฟ้าสว่าง
ไม่จุดตะเกียงทิ้งไว้ก็เสียเปล่า
คนมีเงินก็ควรทำเช่นนี้
เฉินผิงอันที่อยู่อีกห้องเขียน ‘บันทึกท่องเที่ยวพื้นที่มงคลดอกบัว’ อัดแน่นเต็มแผ่นไม้ไผ่ถึงสามแผ่น เป่าไฟดับตะเกียงแล้วก็เริ่มฝึกเดินนิ่งหกก้าว ร่วมกับท่ามือจับกระบี่หลากหลายรูปแบบในคัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง ยังคงเป็นท่าจับเสมือนจริง
ก้าวเดินเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียงราวกับปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ ปณิธานหมัดและจิตวิญญาณแห่งหมัดล้วนถูกเก็บไว้ภายในทั้งหมด เมื่อเทียบกับตอนเฉินผิงอันปล่อยหมัดตรงริมลำคลองหลงซวีที่ปณิธานหมัดไหลรินไปทั่วร่างแล้ว ก็เรียกได้ว่าแตกต่างราวฟ้ากับเหว
ทุกวันนี้เวลาเฉินผิงอันฝึกหมัดสามารถแบ่งสมาธิไปคิดเรื่องอื่นได้แล้ว
ตามคำบอกในตำราหมัดเขย่าภูเขา หลังจากเดินนิ่งกับยืนนิ่งแล้ว อันที่จริงยังมี ‘เชียนชิว’ นอนนิ่งอีก เฉินผิงอันรู้หลักและกระบวนท่าของมันมานานแล้ว และหลังจากที่เขาเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ก็ไม่คิดว่าการฝึกท่านี้เป็นเรื่องยากอีกต่อไป ประเด็นสำคัญคือแก่นของนอนนิ่งดันไปอยู่ที่คำกล่าวสี่ประโยคว่า ‘นอนหลับเหมือนตาย’ ซึ่งจะทำให้จิตวิญญาณของคนเป็นดั่งน้ำตายในบ่อ ถือเป็นการฝึกตนอย่างเต็มที่ แต่เฉินผิงอันออกจากบ้านมาสองครั้ง แต่ละครั้งล้วนเดินทางไกลยิ่งกว่าเก่า เฉินผิงอันไม่กล้านอนหลับสนิทเกินไปนัก ดังนั้นการฝึกท่านี้จึงถูกถ่วงรั้งเอาไว้ตลอดเวลา ต้องรอให้กลับไปถึงหลงเฉวียนก่อนค่อยว่ากันอีกที
ครั้งนี้ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างฉุกละหุกเกินไป
หาไม่แล้วเฉินผิงอันก็จะต้องพยายามรวบรวมวิชายุทธ์ชั้นสูงของใต้หล้าแห่งนั้นมาให้ได้มากที่สุด ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดูแล้ว เส้นทางการเรียนวรยุทธ์ของติงอิงไม่ได้ผิดเลย เขาได้ยืนอยู่บนยอดเขาของกลุ่มภูเขาอย่างแท้จริง แทบจะเรียกได้ว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดแห่งการเรียนวรยุทธ์ของพื้นที่มงคลดอกบัว คิดจะเดินไปให้ถึงก้าวนั้น นอกจากต้องตระหนักรู้ได้ด้วยตัวเองแล้ว ยังจำเป็นต้องมองทัศนียภาพของยอดเขาแห่งอื่นที่เตี้ยกว่าแล้วเอามาเปรียบเทียบกัน ชดเชยส่วนที่ขาดหาย สุดท้ายกลายมาเป็นปณิธานหมัดของตัวเอง นั่นต่างหากถึงจะเป็นหมัดสูงนอกฟ้าอย่างแท้จริง
นี่ก็คล้ายคลึงกับการเรียนหนังสือและหลักการเหตุผลไม่ใช่หรือ?
แล้วก็มีส่วนที่เหมือนกับการสร้างสะพานซึ่งเขียนระบุไว้ในตำราของที่ว่าการกรมโยธา
โดยไม่ทันรู้ตัว ขอบฟ้านอกหน้าต่างก็เริ่มปรากฏเป็นสีขาวเหมือนสีพุงปลาแล้ว
ทุกวันนี้ต่อให้ฝึกหมัดตลอดทั้งคืน เฉินผิงอันก็ไม่เคยมีเหงื่อออก เกรงว่านี่คงเป็นความสะดวกสบายหลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตห้าเพราะการบำรุงจิตวิญญาณประสบความสำเร็จแล้ว แต่ในเมื่อเขาสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่อยู่บนกาย จะมีเหงื่อออกหรือไม่ก็ไม่ได้มีผลอะไร
ตอนที่เฉินผิงอันฝึกหมัด คนจิ๋วดอกบัวที่หายดีแล้วนั่งหลับอยู่ตรงขอบโต๊ะ พอออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวน้อยจะมีเรื่องในใจให้ครุ่นคิด
เฉินผิงอันหยุดฝึก นั่งลงข้างโต๊ะ ศีรษะของเจ้าตัวน้อยห้อยลู่ลง
เฉินผิงอันลูบศีรษะของมันพลางคลี่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร เรื่องการปลอบใจคนไม่ใช่เรื่องที่เขาเฉินผิงอันถนัดเลยจริงๆ
เขาหยิบม้วนภาพวาดทั้งสี่ออกมาอีกครั้ง วางบนโต๊ะ เริ่มครุ่นคิดว่าควรจะ ‘วางเดิมพัน’ ดีหรือไม่
ในอดีตเฉินผิงอันกลัวเรื่องของโชคลาภเหมือนกลัวเสือ
ตอนนี้ปมในใจคลายลงไปได้ไม่น้อย อันที่จริงหลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูแตกแล้วร่วงลงมา โดยเฉพาะเมื่อถูกเจ้าลัทธิลู่เฉินเล่นงานไปครั้งหนึ่งโดยการผูกเขาเข้ากับเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพ การเดินทางไปเยือนต้าสุยของเขาจึงราบรื่น โชคดีอย่างถึงที่สุด ภายหลังเมื่อแยกทางกันเดินกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงบนเรือคุน ด้านโชคลาภของเขาก็ยังถือว่าไม่เลว
อีกอย่างตอนนี้เขาเฉินผิงอันก็มีทรัพย์สมบัติไม่น้อยแล้ว ไม่พูดถึงผลกำไรมหาศาลตอนที่เดินทางร่วมกับลู่ไถ พูดถึงแค่เทพหยินซึ่งอยู่เคียงข้างเจิ้งต้าเฟิงในนครมังกรเฒ่าตนนั้นที่ยอมจ่ายเงินฝนธัญพืชถึงสิบเหรียญเต็ม เพื่อขอซื้อแผ่นไม้ไผ่เฟิ่นหย่งเล็กๆ แผ่นหนึ่งไปจากเขา ดูเหมือนว่าเพราะอยากซื้อประโยคบนแผ่นไม้ที่ว่า ‘เทพเซียนมีความต่าง หยินหยางแยกห่าง วิญญาณทำให้ใจสงบ จิตสร้างร่างทอง’ ”
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่คาดหวังว่าจะสามารถเลี้ยงให้ภาพวาดสี่ภาพนี้กลับมา ‘มีชีวิต’ ได้ทั้งหมดในคราวเดียว เลือกภาพหนึ่งในนั้นมาเหมือนเป็นการเดิมพันเล็กๆ น่าจะมั่นคงกว่า
สถานการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นแล้ว เฉินผิงอันต้องการผู้ช่วยให้ช่วยดูแลครอบครัวและกิจการของเขาจริงๆ
ผู้เฒ่าแซ่ชุย เฉินผิงอันไม่กล้าคาดหวัง คนหนึ่งสอนวิชาหมัด อีกคนก็แค่เรียนวิชาหมัดเท่านั้น จะหวังอะไรมากกว่านั้นไม่ได้
ส่วนเว่ยป้อถึงอย่างไรก็เป็นทวยเทพแห่งขุนเขาใหญ่ มีหน้าที่รับผิดชอบเป็นของตัวเอง
เจ้าตัวน้อยสองคนอย่างเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูตบะยังตื้นเขิน อีกทั้งเฉินผิงอันปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนที่ชายคนโตที่ปฏิบัติต่อน้องเล็กสองคนมากกว่า นี่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตใจตามธรรมชาติ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอายุ หากเจอกับเรื่องใหญ่จริงๆ เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไปเสี่ยงอันตราย มีแต่จะบอกให้พวกเขาอยู่ห่างๆ เข้าไว้
สำหรับคนสี่คนในภาพวาด เฉินผิงอันกลับไม่ต้องคิดเยอะขนาดนั้น
ส่วนหลังจากที่ทำความรู้จักกันแล้ว ควรจะอยู่ร่วมกันอย่างไร นั่นเป็นเรื่องที่ต้องรอให้ถึงเวลาก่อนค่อยว่ากันอีกที
ภาพวาดสี่ภาพ เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะเลือกใคร แต่แน่ใจมากว่าคนแรกที่เขาจะไม่เลือกก็คือภาพวาดของสุยโย่วเปียน
หากหลังจากนี้หนิงเหยารู้เรื่องที่ว่ามีผู้หญิงเดินออกจากภาพวาดมาอยู่ข้างกายตน อีกทั้งตนยังต้องจ่ายเงินฝนธัญพืชไปไม่น้อย แบบนั้นเขาจะทำอย่างไร?
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเอาภาพวาดนี้ใส่ไว้ในกระบี่บินสืออู่ก่อนภาพอื่น
จากนั้นก็เก็บภาพของหลูป๋ายเซี่ยงบรรพบุรุษผู้เปิดภูเขาของลัทธิมารใส่ตามไป แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกพยศยากจะกำราบ อีกทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งกองกำลังในท้องถิ่นของพื้นที่มงคลดอกบัวที่ใหญ่ที่สุด หลังจากเฉินผิงอันเชื้อเชิญอีกฝ่ายออกมาได้อย่างยากลำบากแล้ว หากอีกฝ่ายเป็นพวกมารร้ายโหดเหี้ยมอย่างโจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ มองข้ามหลักจริยธรรม ทรยศเนรคุณ แบบนั้นเขาจะยังต้องหาวิธีจับอีกฝ่ายกลับไปขังไว้ในภาพวาดอีกหรือ?
ไม่มีเหตุผลใดในใต้หล้าที่บอกให้คนไม่เห็นค่าของเงินถึงขนาดนี้
เงินฝนธัญพืชไม่ใช่เงินเกล็ดหิมะ แล้วนับประสาอะไรกับที่ว่า ต่อให้เป็นเงินเกล็ดหิมะก็ไม่ได้เหมือนกัน
เก็บม้วนภาพที่สองไปแล้วก็เหลืออยู่แค่บรรพบุรุษของเว่ยเหลียงและจูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่งวรยุทธ์ที่มองดูเหมือนมีเมตตาปราณี ฝ่ายหลังเคยเป็นเจ้าของกวานดอกบัวสีเงิน นี่ทำให้ในใจเฉินผิงอันเต้นระทึกเล็กน้อย การต่อสู้กับติงอิง เขาเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่ภูเขากู่หนิว นั่นคือศึกที่อันตรายที่สุดในชีวิตของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันจ้องมองภาพสองภาพอย่างลังเลใจ
คนจิ๋วดอกบัวขยับมานั่งอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันเงียบๆ แล้วก็มองประเมินภาพทั้งสองอย่างตั้งใจไม่ต่างกัน
เฉินผิงอันตัดสินใจไม่ได้จึงถามมันด้วยรอยยิ้ม “เจ้ารู้สึกว่าถูกชะตากับใครมากกว่า?”
คนจิ๋วดอกบัวหันหน้ากลับมา เจ้าตัวน้อยที่มีแค่แขนเดียวชี้ไปที่ภาพวาด จากนั้นก็ชี้มาที่ตัวเองคล้ายกำลังถามเฉินผิงอันว่าต้องการให้มันเป็นคนเลือกจริงๆ หรือ?
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีพลางพยักหน้ารับ
เจ้าตัวน้อยลุกขึ้นยืนว่องไว ขยับเดินไปตามริมขอบของภาพวาดทั้งสอง เบิกตากว้าง วิ่งไปวิ่งมา แถมยังฟุบตัวลงบนผิวโต๊ะเพื่อมองคนที่อยู่ในภาพวาด จริงจังและน่ารักอย่างมาก
ทำเอาเฉินผิงอันที่มองดูอยู่อารมณ์ดี
สุดท้ายเจ้าตัวน้อยนั่งลงบนพื้น ชี้ไปยังภาพวาดของเว่ยเซี่ยนที่อยู่ข้างกาย
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ “ถ้าอย่างนั้นก็เลือกเขานี่แหละ”
หลังจากเจ้าตัวน้อยลุกขึ้นยืนก็รีบวิ่งไปที่ขอบโต๊ะ กระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย คงกลัวว่าตัวเองจะเลือกผิดไป
“ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก็ต้องเลือกอยู่แล้ว เลือกผิดก็ไม่เป็นไร” เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาจี้ใต้รักแร้ของมัน เจ้าตัวน้อยหัวเราะคิกคัก
เฉินผิงอันหยิบเงินฝนธัญพืชออกมาหนึ่งเหรียญ คีบไว้ด้วยสองนิ้ว ก่อนจะวางลงบนภาพวาดของฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนเบาๆ เมื่อเงินฝนธัญพืชสัมผัสกับภาพวาดก็หลอมละลายเหมือนหิมะทันที บนพื้นผิวของภาพวาดมีปราณวิญญาณชั้นหนึ่งที่มาจากเงินฝนธัญพืชแผ่ออกมาอย่างรวดเร็ว ไอหมอกขมุกขมัวเหมือนไอน้ำเหนือทะเลสาบ จากนั้นก็พลันกระเพื่อมแผ่ออกไปสี่ทิศ เฉินผิงอันมองไปทางภาพเหมือนของเว่ยเซี่ยนที่ดูมี ‘ชีวิตชีวา’ เพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะบนชุดคลุมมังกรหรูหราที่ถักทอขึ้นอย่างประณีตที่มีแสงสีทองกะพริบเปล่งประกาย
น่าเสียดายก็แต่เขามองสายสนกลในมากกว่านั้นไม่ออก จะต้องใช้เงินฝนธัญพืชมากน้อยแค่ไหนก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ดี
เฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าจะโยนเงินฝนธัญพืชเข้าไปในภาพวาดสิบเหรียญ หากยังไม่มีสัญญาณที่แน่ชัดก็ถือซะว่าปาหินให้กระดอนไปบนน้ำ (เปรียบเปรยว่าเสียเงินไปเปล่าๆ โดยไม่เกิดผลลัพธ์ใดๆ )
เก็บม้วนภาพวาดไปอย่างระมัดระวัง เฉินผิงอันก็ห้อยชือซินและหยุดหิมะไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย สะพายห่อสัมภาระผ้าฝ้าย ออกจากห้องแล้วตะโกนเรียกเผยเฉียนที่อยู่ห้องติดกันให้ออกเดินทางต่อ
เคาะประตูอยู่นานกว่าเด็กหญิงจะเดินอืดอาดออกมาเปิดประตูอย่างสะลึมสะลือ พอเห็นเฉินผิงอันก็ทำสีหน้าไม่ใคร่จะเต็มใจสักเท่าไหร่
หลังจากนางจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย เห็นนางเดินมาหาตน เฉินผิงอันก็ชี้ไปที่เตียง
เผยเฉียนทำหน้างงงัน
เฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “เก็บให้เรียบร้อยก่อนค่อยไป”
เผยเฉียนกล่าวอย่างน้อยใจ “พวกเราจ่ายเงินถึงจะค้างแรมที่จุดพักม้าได้ เจ้าจ่ายเงินไปตั้งมากนะ”
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จา
เผยเฉียนจึงได้แต่หมุนตัวกลับไปพับผ้าห่มให้เรียบร้อย
เฉินผิงอันชำเลืองตามองตะเกียงน้ำมันที่อยู่บนโต๊ะแล้วขมวดคิ้ว
หลังจากนั้นก็โดยสารรถม้าขึ้นเหนือ สารถีคุ้นเคยกับเส้นทางดี จึงกะเวลาให้แขกทั้งสองคนเข้าพักในจุดพักม้าหรือไม่ก็ในโรงเตี๊ยมตามเมืองต่างๆ ได้อย่างพอดิบพอดี พวกเฉินผิงอันจึงไม่มีโอกาสได้นอนกลางดินกินกลางทราย
เฉินผิงอันเริ่มสอนภาษากลาง รวมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีคร่าวๆ ของแจกันสมบัติทวีปและราชวงศ์ต้าหลีให้กับเผยเฉียน จากนั้นก็เอาตำราลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งที่ซื้อจากร้านหนังสือในตรอกจ้วงหยวนมาสอนให้นางรู้จักตัวอักษร ขณะเดียวกันที่ช่วยสอนให้นางรู้จักตัวอักษร ยังใช้ภาษาทางการและภาษากลางในการสอนไปพร้อมกันด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว เพียงแต่ว่าเผยเฉียนไม่ได้ตั้งใจเรียนเท่าใดนัก แม้จะรู้จักตัวอักษรร้อยกว่าตัวแล้วก็ตาม แค่มองก็รู้ว่านางไม่ใช่คนชอบเรียนหนังสือ เห็นได้ชัดว่านางชอบนอนหลับอยู่ในห้องโดยสารมากกว่า ต่อให้นางจะไม่ทำอะไรสักอย่าง เฉินผิงอันก็ไม่สนใจนาง ปล่อยให้นางนอน นางก็นอนได้เกินครึ่งวัน พอตื่นขึ้นมาก็จะเลิกผ้าม่านขึ้นมองทัศนียภาพนอกหน้าต่าง ดูจบก็นอนหลับต่อ นับว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่งเหมือนกัน
ตลอดทางมีฝนตกอยู่ตลอดเวลา
เดินทางกันไปอย่างเชื่องช้า ในที่สุดรถม้าก็ไปถึงเขตการปกครองชายแดนเป่ยจิ้น หลังจากจ่ายค่าเดินทางอีกครึ่งที่เหลือเรียบร้อย เฉินผิงอันก็เริ่มพาเผยเฉียนออกเดิน
เนื่องจากอากาศเปลี่ยนมาเป็นเย็นมากขึ้น อีกทั้งยังมีฝนตกบ่อยๆ เฉินผิงอันจึงซื้อชุดที่หนาหนึ่งชุดและรองเท้าคู่ใหม่ให้นางหนึ่งคู่ เพียงแต่ว่าไม่ได้มอบให้นางทันที นางจึงได้แต่มองห่อสัมภาระที่เฉินผิงอันสะพายตาปริบๆ ถึงขั้นขอเขามาสะพายเองอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
ประตูเมืองทั่วไปในเขตเป่ยจิ้นไม่เข้มงวดนัก แค่สารถีจ่ายเงินเล็กน้อย เผยเฉียนที่ไม่มีทั้งทะเบียนบ้านและเอกสารผ่านทางก็สามารถเข้าเมืองไปได้อย่างราบรื่น แต่ด่านชายแดนนั้นไม่เหมือนกัน เฉินผิงอันจึงเริ่มพานางเดินขึ้นเขาลงห้วย เมื่อเทียบเผยเฉียนกับหลี่เป่าผิงที่ทนรับกับความยากลำบากได้แล้ว คนหนึ่งคือฟ้า คนหนึ่งคือดิน ต่อให้เฉินผิงอันจะคอยสังเกตกำลังเท้าของนางอย่างรอบคอบ นางก็ยังร้องโอดครวญไม่หยุด คอยบีบน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำเอาเฉินผิงอันที่ต่อให้นิสัยดีแค่ไหนก็อดรำคาญไม่ได้
แต่พอได้เปลี่ยนชุดใหม่และรองเท้าใหม่ เผยเฉียนก็ทำตัวดีอยู่หลายวัน ทว่าเนื่องจากนางไม่เคยรู้จักทะนุถนอมเห็นค่าของสิ่งของ เพียงไม่นานชุดใหม่ก็โดนกิ่งไม้กิ่งหนามบนทางเล็กๆ บนภูเขาเกี่ยวขาดเป็นรูจำนวนมาก อาการเก่าของนางจึงกำเริบอีกครั้ง หลังจากเฉินผิงอันรับปากว่าพอลงเขาเข้าเมืองแล้วจะซื้อชุดให้นางใหม่อีกชุด นางถึงได้มีพละกำลังขึ้นมา เพียงแต่ว่าเส้นชายแดนของแคว้นเป่ยจิ้นยาวไกล เส้นทางบนภูเขาเดินยาก เผยเฉียนทำหน้าดำตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทุกวันที่ถูกเฉินผิงอันเรียกร้องให้ใช้กิ่งไม้หัดเขียนตัวอักษรลงบนพื้น นางจะต้องจงใจเขียนให้บิดเบี้ยวเหมือนไส้เดือน บอกให้นางเขียนหนึ่งร้อยคำ นางไม่มีทางเขียนเกินมาแม้แต่คำเดียวแน่นอน
ช่วงเวลาระหว่างนี้เฉินผิงอันใช้เงินฝนธัญพืช ‘ป้อน’ ไปอีกสามเหรียญ
เพราะว่าตอนนี้เฉินผิงอันเดินทางก็เท่ากับฝึกหมัด ทุกลมหายใจเข้าออกล้วนเป็นการหล่อหลอมร่างกาย ดังนั้นจึงมองดูเหมือนเฉินผิงอันทุ่มพละกำลังไว้ที่ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูทั้งหมด
มีเพียงตอนที่เฉินผิงอันฝึกท่าเจี้ยนหลูเท่านั้น เผยเฉียนถึงมีเรี่ยวแรง แต่ไม่กล้าเข้าใกล้เฉินผิงอัน นางไปยืนห่างอยู่ไกลมาก มองเขาที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่กระดุกกระดิกเหมือนท่อนไม้ นานวันเข้าเผยเฉียนก็รู้สึกเบื่อหน่าย
คืนนี้เฉินผิงอันพานางพักนอนในป่าชานเมืองแห่งหนึ่ง คราวก่อนตอนที่อยู่ในเขตปกครองของชายแดน นอกจากจะซื้อกระโจมหนังวัวขนาดเล็กให้เผยเฉียนโดยเฉพาะแล้ว เฉินผิงอันยังซื้อตะขอและเส้นเอ็นตกปลา ตัวเองหากิ่งไผ่บางๆ บนภูเขามาทำเป็นคันเบ็ด จากนั้นก็เริ่มตกปลายามดึกอยู่ริมลำธาร
กลางดึก เฉินผิงอันหันหน้ามองไปเห็นว่ากลางป่าลึกที่ห่างไกลมีแสงสีแดงเปล่งวูบวาบ
และไม่นานภาพเหตุการณ์ประหลาดภาพหนึ่งก็เกิดขึ้น
เขาเห็นเกี้ยวใหญ่แปดคนหามแขวนโคมสีแดงขนาดใหญ่ไว้สี่มุม คนหามเกี้ยวคล้ายจะเป็นภูตประหลาดที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในป่าเขา ส่วนคนที่ทำหน้าที่ตีกลองตีฆ้องกลับเป็นวัตถุหยินกลุ่มหนึ่ง คนที่เป็นหัวหน้าคือโครงกระดูกขาวที่ตรงเอวพกกระบี่ขึ้นสนิม
ข้างเกี้ยวยังมีหญิงชราแต่งกายฉูดฉาดอยู่อีกหนึ่งคน นางสวมชุดสีแดงสดที่แสดงถึงความมงคล แต่งหน้าหนาเตอะ สองแก้มแดงแป๊ด ทว่าสีหน้ากลับซีดขาว อีกทั้งรอบกายนางยังมีควันดำหลายกลุ่มรุมล้อม
ตอนนี้เฉินผิงอันคุ้นเคยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนภูเขาแล้ว จึงรู้ว่านี่น่าจะเป็นการสู่ขอภรรยาของเทพภูเขา
เขาไม่อยากให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะตื่นมาในเวลานี้ นางมุดออกจากกระโจมหนังวัว ขยี้ตามองขบวนรับเจ้าสาวนั้นอย่างเหม่อลอย