บทที่ 331 ข้ามน้ำข้ามภูเขา พบเหยาจึงหยุด
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เฉาฉิงหล่างถึงได้รู้สึกว่ากาลเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้เป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลรินอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกวันนี้ลำธารในเทือกเขากลับไหลซู่ๆ ดังถึงขนาดคนได้ยินเสียงน้ำไหล
เพียงชั่วพริบตา ฤดูใบไม้ร่วงก็ผ่านพ้น ฤดูหนาวมาเยือนพร้อมกับหิมะแรกของปี อีกทั้งหิมะแรกนี้ยังตกหนัก หิมะก้อนใหญ่ดุจขนห่านทำให้เฉาฉิงหล่างที่ตื่นนอนตอนเช้าตรู่ นั่งอยู่บนเตียงมองไปยังหิมะขาวโพลนเหม่อลอยไม่กล้าเชื่อ เขารีบสวมเสื้อผ้ารองเท้าแล้วผลักประตูออกไป เรื่องแรกที่นึกถึงคืออยากไปบอกคนคนนั้นว่าหิมะใหญ่ตกแล้ว เพียงแต่พอมองเห็นประตูของห้องด้านข้าง เฉาฉิงหล่างก็เกาหัว ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าคนผู้นั้นไปจากที่นี่นานมากแล้ว แต่เขายังคงรู้สึกอยู่บ่อยๆ ว่าคนผู้นั้นยังนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กในลานบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเช้าตรู่ก็ดี หรือกลางดึกก็ช่าง แค่ออกจากห้องก็จะได้เห็นเขา อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่ยิ้มมองตนเท่านั้น
หวังว่านี่จะเป็นหิมะที่เป็นนิมิตหมายว่าปีนี้เป็นปีที่อุดมสมบูรณ์
เฉาฉิงหล่างเป่าลมใส่มือหนึ่งที เขารู้สึกหนาวเล็กน้อย คิดว่าควรต้องใส่เสื้อผ้าเพิ่มขึ้น เขาจึงถอยกลับเข้าไปในห้อง หลังจากใส่เสื้อผ้าหนาชั้นกว่าเดิมแล้วก็นั่งตัวตรงตรงหน้าโต๊ะไม้ตัวเล็กที่บิดาทำให้เขาด้วยตัวเอง เปิดหนังสือเล่มหนึ่ง เริ่มอ่านบทความของอริยะปราชญ์
ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ที่โรงเรียนเปลี่ยนอาจารย์สอนคนใหม่ อาจารย์คนนี้เข้มงวดมากกว่าเดิม ดูเหมือนว่าจะมีความรู้มากด้วย อธิบายหลักการเหตุผลได้เข้าใจชัดเจน ต่อให้เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ไม่ชอบเรียนหนังสือมากที่สุดก็ยังเข้าใจได้กระจ่างแจ้ง เป็นอาจารย์ที่เก่งมาก
เฉาฉิงหล่างอ่านหนังสือจบก็ถูมือเข้าด้วยกันหาความอบอุ่น เขารู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย เงินในบ้านเหลืออยู่ไม่มากแล้ว
หลังจากที่พ่อแม่เสียไป ทางที่ว่าการก็มอบเงินทำขวัญให้ก้อนหนึ่ง แต่ไม่ได้ให้เขาในครั้งเดียว ทุกๆ เดือนทางที่ว่าการจะนำมามอบให้เขาตามกำหนดเวลา
เฉาฉิงหล่างไม่ได้คิดมาก คิดแค่ว่าที่ว่าการคงทำงานกันเช่นนี้ อีกอย่างเขาไม่มีพ่อแม่แล้ว อีกทั้งยังไม่มีญาติพี่น้องอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน ก่อนหน้านี้คิดจะกินอะไร ซื้ออะไรก็แค่บอกกับผู้ปกครอง ตอนนี้เขาต้องคิดคำนวณอย่างละเอียดด้วยตัวเอง เงินเหรียญทองแดงทุกเหรียญล้วนถูกนำมาใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง รสชาติเช่นนี้ไม่ได้ดีนัก แต่ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป
ยังดีที่ช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปได้ยากมากที่สุดมีคนผู้นั้นอาศัยอยู่ในบ้าน ทำให้เฉาฉิงหล่างที่ต้องเฝ้าบ้านหลังนี้อยู่เพียงลำพังพอจะคลายความคิดถึงลงไปได้บ้าง
เฉาฉิงหล่างเปลี่ยนมาสวมรองเท้าหนังเลียงผาเหลืองคู่หนึ่งที่เหมาะสำหรับสวมออกจากบ้านในช่วงฝนตกหรือหิมะตก เพียงแต่ว่าตอนที่สวมรองเท้าเฉาฉิงหล่างกลับร้องไห้ รองเท้าคู่นี้ท่านแม่ของเขาซื้อให้เมื่อวันสิ้นปี แล้วของปีนี้ล่ะ?
ยังดีที่เพียงไม่นานเฉาฉิงหล่างก็สงบสติอารมณ์ตัวเองได้ เขาไปหาอะไรกินง่ายๆ ที่ห้องครัว เสร็จแล้วก็เตรียมตัวออกจากบ้านไปโรงเรียน เพียงแต่ว่าตอนที่บรรจุหนังสือใส่ห่อผ้าอยู่ในห้อง เฉาฉิงหล่างเหม่อลอยเล็กน้อย คนผู้นั้นบอกว่าหากมีเวลาว่างจะทำหีบไม้ไผ่ใบเล็กๆ ให้เขา ในตำราบอกว่าวิญญูชนรักษาคำพูด หนึ่งคำพูดมีค่าดุจทองพันชั่ง ถ้าอย่างนั้นเขาคงจะมีธุระด่วนจริงๆ กระมัง เพียงแต่ไม่รู้ว่าคราวหน้าที่พบเจอกันจะเป็นเมื่อไหร่
เฉาฉิงหล่างหยิบร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งขึ้นมา สะพายห่อผ้าเดินออกจากบ้าน แล้วก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าด้านนอกมีคนที่คุ้นเคยคนหนึ่งเดินผ่านไป เขาก็คืออาจารย์จ้งของที่โรงเรียน นี่เป็นแซ่ที่ประหลาดมาก อาจารย์ผู้เฒ่าสวมชุดสีเขียว ในมือของเขาก็ถือร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งอยู่เช่นกัน พอเห็นเฉาฉิงหล่างก็หยุดเดิน เอ่ยถามว่า “บังเอิญจริง เจ้าพักอยู่ที่นี่หรือ?”
เฉาฉิงหล่างคิดจะวางร่มลงเพื่อคารวะอาจารย์จ้งที่เดินผ่านหน้าบ้านโดยบังเอิญ อาจารย์จ้งกลับโบกมือบอกว่า “ไม่ต้อง หิมะกำลังตกหนัก”
อาจารย์จ้งมีความรู้ลึกล้ำ ทว่าเวลาที่ถ่ายทอดความรู้และไขข้อข้องใจให้ลูกศิษย์กลับไม่ชอบยิ้มแย้ม ทุกคนต่างก็กลัวเขามาก เฉาฉิงหล่างเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับสหายร่วมห้องแล้วเขามีความเคารพนอบน้อมมากกว่าความกลัวก็เท่านั้น ดังนั้นพออาจารย์ท่านนี้บอกว่าไม่จำเป็นต้องทำความเคารพ เฉาฉิงหล่างจึงเชื่อฟังคำสั่งของผู้เฒ่าแต่โดยดี หลังจากนั้นหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กที่ต่างคนต่างถือร่มก็เดินไปด้วยกันในตรอกเล็กที่หิมะทับถมสูง
แน่นอนว่าอาจารย์จ้งย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องราวในครอบครัวของเฉาฉิงหล่างมาก่อน ถึงอย่างไรเด็กหลายคนที่เป็นเพื่อนบ้านของเขาก็คือสหายร่วมห้องและเพื่อนเล่นของเขาในโรงเรียนด้วย สายตาที่พวกเขามองเฉาฉิงหล่างไม่เหมือนมองเด็กคนอื่น รวมไปถึงคำพูดซุบซิบที่คนเหล่านั้นพูดกัน เฉาฉิงหล่างได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน ดังนั้นผู้เฒ่าจึงถามว่า “ตอนนี้ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง มีเรื่องยากลำบากอะไรหรือไม่?”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้ายิ้มให้ “ตอบอาจารย์ ไม่มีขอรับ”
คำตอบสั้นกระชับอยู่ในกรอบ ถ้อยคำและท่าทีต่างก็ไม่เหมือนเด็กในตรอกยากจน มิน่าเล่าถึงได้ถูกเด็กหญิงผอมแห้งเรียกอย่างเหน็บแนมว่านักปราชญ์น้อย
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับแล้วพูดอีกว่า “ถึงอย่างไรเจ้าก็อายุยังน้อย หากมีอุปสรรคที่ข้ามผ่านไปไม่ได้จริงๆ ก็บอกข้าได้ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกลำบากใจ ความยากลำบากในชีวิตคนมีบอกไว้มากมายทั้งในและนอกตำรา อย่าว่าแต่เจ้าเลย ต่อให้เป็นข้า ตอนอายุเท่าเจ้าก็ยังมีช่วงเวลาที่ต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นอยู่เหมือนกัน”
เฉาฉิงหล่างอืมรับหนึ่งที “อาจารย์ ข้าทราบแล้ว หากมีเรื่องลำบากจริงๆ ข้าจะไปหาอาจารย์”
ลังเลอยู่เล็กน้อย เฉาฉิงหล่างก็กล่าวอย่างอายๆ ว่า “คราวก่อนระหว่างทางที่คนผู้หนึ่งพาข้าไปส่งที่โรงเรียนก็เคยพูดคำพูดที่คล้ายคลึงกับอาจารย์ เขาบอกข้าว่าในอนาคตที่ข้าต้องเรียนหนังสือและหาเลี้ยงชีพ การขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากคนอื่นไม่ช่วยก็ห้ามตำหนิหรือเคียดแค้น หากคนอื่นช่วยเหลือก็จำเป็นต้องจดจำไว้ให้ขึ้นใจ”
อาจารย์จ้งคลี่ยิ้มอย่างที่หาได้ยาก “คนผู้นั้นชื่อเฉินผิงอันกระมัง?”
เฉาฉิงหล่างตะลึงงัน “อาจารย์รู้จักเขาด้วยหรือ?”
อาจารย์จ้งพยักหน้ารับ “ข้ากับเขาเป็นเพื่อนกัน คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าก็จะรู้จักกันด้วย”
เฉาฉิงหล่างพลันยิ้มอย่างอารมณ์ดี
เฉินผิงอันเป็นสหายของอาจารย์จ้งด้วยหรือนี่
อาจารย์จ้งสั่งสอนหน้าเคร่ง “อย่าได้รู้สึกว่าพอมีความสัมพันธ์ชั้นนี้แล้ว เมื่อเจ้าไม่ตั้งใจเรียนแล้วข้าจะไม่ตีเจ้า”
เฉาฉิงหล่างรีบพยักหน้ารับ
หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็ก อาจารย์และลูกศิษย์เดินไปบนถนนเส้นใหญ่ที่ทางการซ่อมแซมจนกลับมาราบเรียบเหมือนเดิมแล้ว ก้าวย่างเชื่องช้า เฉาฉิงหล่างใจกล้าขึ้นมาหน่อยจึงถามอาจารย์ว่ารู้จักกับเฉินผิงอันได้อย่างไร อาจารย์จ้งบอกแค่ว่ามีนิสัยคล้ายคลึงกัน แม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่กลับเป็นสหายกันได้
หิมะก้อนใหญ่ร่วงกราวลงมายังโลกมนุษย์ไม่ยอมหยุดพัก ทว่าในใจเฉาฉิงหล่างกลับอบอุ่น เขาเดินไปถึงหน้าประตูโรงเรียนพร้อมกับอาจารย์แล้วหันหน้ากลับไปมองด้านหลัง
ครั้งสุดท้ายที่พบกันก็คือการจากลา คนผู้นั้นหยุดยืนอยู่ตรงนั้น พอเอ่ยประโยคนั้นแล้วเขาที่ถือร่มไว้ในมือก็มองส่งตนเดินเข้าไปในโรงเรียน
อาจารย์จ้งที่อยู่ข้างหน้าหันมาถาม “เป็นอะไรไป?”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า คลี่ยิ้มเจิดจ้า ก่อนจะวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในโรงเรียน
หลังจากที่อาจารย์จ้งนั่งลงประจำที่ของตัวเอง รอจนเด็กนักเรียนทุกคนมาครบแล้วจึงเริ่มถ่ายทอดวิชาความรู้
จอนผมสองข้างของอาจารย์ผู้เฒ่าเป็นสีขาวหิมะ สวมชุดเขียว เอื้อนเอ่ยเชื่องช้า เวลาที่อธิบายหลักการเหตุผลของเหล่าอริยะปราชญ์กับพวกนักเรียนก็ยังคงสามารถสร้างภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่ใกล้เคียงกับอริยะปราชญ์ตัวจริง
……
ตระกูลขุนนางแห่งหนึ่งของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่มีจวนลึกหลายชั้น หอเก็บตำราส่วนตัวของคนตระกูลนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองหลวง วันนี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีสถานะเป็นบุตรอนุภรรยาขึ้นหอมาอ่านหนังสือ เขามักจะมาอ่านหนังสืออยู่ที่นี่เป็นประจำ เพียงแต่ว่าหนังสือที่ถูกเก็บรักษาไว้ล้ำค่ามาก กฎของตระกูลไม่เพียงแต่ห้ามถือเทียนขึ้นมาบนหอ ยังห้ามไม่ให้เอาหนังสือออกไปข้างนอก ในชั้นไม้ที่วางตำราหายาก ตำราที่มีเล่มเดียวไว้มากมายต่างก็ถูกปิดเอาไว้ อีกทั้งยังห้ามไม่ให้ใครเปิดออกโดยพลการด้วย
วันนี้เด็กหนุ่มหงุดหงิดเล็กน้อย ในใจเขากลัดกลุ้ม อันที่จริงเขามาที่นี่ไม่ใช่เพื่ออ่านหนังสือ แค่ต้องการมาหาที่พักผ่อนจิตใจที่สงบสักแห่งเท่านั้น
สองการสอบครั้งใหญ่ที่เปิดให้แก่นักเรียนทุกคนในเมืองหลวงอย่างการสอบระดับอำเภอและการสอบระดับจังหวัด เด็กหนุ่มล้วนผ่านมาหมดแล้ว ได้รับสถานะถงเซิง ทว่าผลสอบกลับไม่โดดเด่นนัก ดังนั้นจึงไม่ได้กลายเป็นซิ่วไฉ แค่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการสอบระดับเยวี่ยนซื่อเท่านั้น นี่ทำให้เขารู้สึกละอายใจต่อมารดามาก พี่ชายสองคนที่เข้าร่วมสอบระดับอำเภอและระดับจังหวัดพร้อมกันกับเขาต่างก็ได้เป็นซิ่วไฉกันทั้งสองคน แม้ว่าเด็กหนุ่มที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะผู้รอบรู้จะสงสัยว่าเหตุใดพวกเขาที่เขียนบทความได้ธรรมดา ความรู้ไม่ลึกซึ้งกว้างไกลเท่าเขาถึงได้คะแนนสอบดีกว่า ก่อนหน้านี้เขาแค่คิดว่าตัวเองแสดงออกได้ไม่ดีตอนอยู่ในสนามสอบ ส่วนพี่ชายสองคนที่เป็นบุตรภรรยาหลวงกลับแสดงออกได้ยอดเยี่ยมกว่า แต่วันนี้ได้ยินคำพูดด้วยความเมามายของพี่ชายสองคนโดยบังเอิญ พวกเขาเปิดเผยความลับที่ทำให้สอบผ่านระดับอำเภอและระดับจังหวัดจนได้เป็นซิ่วไฉออกมา นั่นคือบิดาของพวกเขาแอบติดสินบนอาจารย์ผู้คุมสอบอย่างลับๆ
เพราะท่านปู่ของคนทั้งสามเคยเป็นเจ้ากรมพิธีการ มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วหล้า เคยเป็นผู้จัดการสอบระดับมณฑลของแคว้นหนันเยวี่ยนอยู่หลายครั้ง ขุนนางหลักที่คุมการสอบระดับอำเภอและระดับจังหวัดพบท่านปู่ของพวกเขาต่างก็พากันเรียกด้วยความเคารพว่าจั้วซือ ฝางซือ (คำที่ใช้เรียกผู้คุมสอบหลักในการสอบเคอจวี่ด้วยความเคารพ) นี่คือความสัมพันธ์ของ ‘อาจารย์และศิษย์’ ที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว เด็กหนุ่มเชื่อมั่นว่าท่านปู่ไม่มีทางทำเรื่องสกปรกแบบนี้แน่นอน ต้องเป็นพี่ชายสองคนที่อาศัยชื่อของท่านพ่อเป็นข้ออ้างโดยไม่สนใจว่าจะทำลายขนบธรรมเนียมของวงศ์ตระกูล วางแผนเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ
หากเพียงแค่นี้ก็ยังพอทำเนา แม้ว่าเด็กหนุ่มจะเป็นบุตรอนุภรรยา แต่เกิดมาในตระกูลชนชั้นสูง ย่อมต้องรู้ถึงความลับในวงการขุนนางมาบ้าง แต่ฟังจากบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความลำพองใจของพี่ชายทั้งสองคน เหตุใดพี่ชายคนโตถึงจงใจคิดเอาชนะตน? เพื่อช่วงชิงตำแหน่งซิ่วไฉที่เดิมทีเป็นของในกระเป๋าของตนไป? เด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงชั้นบนสุดของหอหนังสือ มองชั้นหนังสือและตำรามากมายแล้วคลี่ยิ้มขมขื่น เหล่าตระกูลผู้มีความรู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวงใหญ่โตแห่งนี้ นอกจากตนที่เป็นบุตรอนุภรรยาแล้ว ตอนนี้ยังจะมีคนวัยเดียวกันของกี่สักตระกูลที่เต็มใจมาค้นหาหนังสืออ่านอยู่ที่นี่? ตำราที่มีค่ามากมายขนาดนั้นกลับต้องถูกพันธนาการอยู่ในหอสูงปีแล้วปีเล่า ไร้คนถามถึง นี่ไม่น่าเสียหายหรอกหรือ?
เด็กหนุ่มยกหลังมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตา “เรียนหนังสือมีประโยชน์กับผายลมอะไร มองต้นไม้หยกหน้าลานบ้านกะผีน่ะสิ…”
หลังจากบ่นจบ เด็กหนุ่มก็เริ่มค้นหาหนังสือ ถึงอย่างไรก็ยังต้องสอบระดับเยวี่ยนซื่อ จึงยังต้องอ่านตำราของอริยะปราชญ์ ต่อให้ไม่อ่านหนังสือเพื่อตัวเอง ไม่สอบเอาตำแหน่งมาเพื่อตนเอง ก็ไม่ควรทำให้ท่านแม่ต้องผิดหวังอีกแล้ว เพียงแต่ว่าวันนี้เขาอารมณ์ไม่ดี จึงอยากหาตำราที่ไม่ใช่พวกคัมภีร์มาอ่านก่อน เดินเลือกไปตลอดทาง สุดท้ายเลือกผลงานส่วนตัวของนักประพันธ์ที่เกือบจะใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่งออกมา แต่แล้วเด็กหนุ่มก็อึ้งตะลึงไปครู่ เขาเพิ่งจะเปิดปกในออกก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นิ้วมือเลิกหน้ากระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นก็พบว่าด้านในมีเหรียญเงินอยู่เหรียญหนึ่ง ค่อนข้างแตกต่างจากเหรียญทองแดงของแคว้นหนันเยวี่ยน ตัวอักษรแปลกตา ไม่ใช่เงินที่ทำมาจากเหล็กหรือทองแดง มองเหมือนหยกแต่ไม่ใช่หยก โปร่งใสแวววาว
เหรียญสอดแทรกอยู่ตรงกลางตำราทำให้หน้าหนังสือสองหน้ามีรอยกดทับเล็กน้อย ตรงรอยกดทับมีประโยคเก่าแก่ประโยคหนึ่งที่คนเรียนหนังสือต่างก็รู้จัก แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าทุกคนจะเชื่อ
นั่นคือประโยคที่ว่า ในตำราซ่อนไว้ซึ่งบ้านเรือนทอง ในหนังสือซ่อนไว้ซึ่งอนงค์น้อง ในตำรามีธัญพืชนานา
เด็กหนุ่มรู้สึกประหลาดใจ ลังเลอยู่นานมากก่อนจะเก็บมันเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อเงียบๆ คิดจะเอามันไปให้มารดาดู
คิดไม่ถึงว่าการที่เขาเอาเหรียญชิ้นนี้ไปเกือบจะก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เด็กหนุ่มอยู่ในห้องเรียนของตระกูล ได้หยิบเหรียญนี้มาถือไว้ในฝ่ามือ พี่ชายของเขาเห็นเข้าโดยบังเอิญ ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะใส่ร้ายว่าตนขโมยเครื่องประดับบนโต๊ะหนังสือมา อีกฝ่ายโวยวายเสียงดังจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ถึงขั้นรู้ไปถึงหูของท่านปู่ที่ไม่สนใจเรื่องทางโลกมานานหลายปีแล้ว หลังจากนั้นเจ้ากรมผู้เฒ่าที่ตั้งใจฝึกวิชาลัทธิเต๋ามานานปีก็เก็บเหรียญนั้นไป อีกทั้งยังเรียกรวมตัวผู้ดูแลทุกคนที่ไว้ใจได้ในจวน ใช้เวลาถึงหนึ่งคืนสองวันถึงจะสามารถพลิกเปิดตำรานับหมื่นเล่มที่เก็บไว้ในหอหนังสือได้จนครบถ้วนไม่ตกหล่น ทว่ากลับไม่เจอเหรียญเงินเหรียญที่สอง
เจ้ากรมผู้เฒ่าออกคำสั่งให้ทุกคนถอยออกไปจากหอหนังสือ ใครก็ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ หาไม่แล้วจะถูกขับออกจากตระกูลทั้งหมด ผู้เฒ่านั่งครุ่นคิดอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพังเป็นนาน สุดท้ายก็ไปหาหลานชายที่ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวคนนั้นมา พาเด็กหนุ่มย้อนกลับไปที่หอหนังสือ แล้วผู้เฒ่าก็มอบทั้งเหรียญทั้งผลงานส่วนตัวของนักประพันธ์ที่เคยทับเหรียญเล่มนั้นไปให้เด็กหนุ่มพร้อมกัน พูดพลางยิ้มบางๆ ว่า “หากมีเหรียญแบบนี้สองเหรียญ เจ้าก็ไม่มีโชควาสนาของตระกูลเซียนนี้แล้ว จงรับไปอย่างสบายใจเถอะ นี่สมควรเป็นของเจ้า วันหน้าตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี ตำราทุกเล่มที่อยู่ในหอเก็บตำราแห่งนี้จะเปิดออกเพื่อเจ้า เจ้าเลือกอ่านได้ตามใจชอบ อีกทั้งยังสามารถเอาออกไปจากหอหนังสือได้ด้วย”
เด็กหนุ่มที่ได้รับโชคดีในความโชคร้ายรับหนังสือมาด้วยความมึนงง
เจ้ากรมผู้เฒ่าบอกความลับอีกเรื่องหนึ่งด้วยความปรารถนาดี “จ้วงหยวน (จอหงวน) เด็กหนุ่มสองคนซึ่งมีชาติกำเนิดเป็นเด็กอัจฉริยะของราชวงศ์ก่อน สามารถสอบเคอจวี่ได้อย่างราบรื่นดุจผ่าลำไม้ไผ่ ทว่ากลับมีชื่อเสียงในวงการขุนนางไม่ดีนัก คนหนึ่งในนั้นก็ยิ่งชีวิตล้มเหลวในช่วงบั้นปลาย เป็นเหตุให้ราชสำนักมีข้อห้ามอย่างมากในเรื่องนี้ คราวนี้เจ้าพลาดตำแหน่งซิ่วไฉ ไม่ใช่ฝีมือของพี่ใหญ่เจ้า เขาไม่ได้จิตใจอำมหิตขนาดนั้น แล้วก็ไม่กล้าด้วย ข้ายังไม่ตายสักหน่อย อันที่จริงเป็นความต้องการของข้าเอง เพื่อสยบข่มและเคี่ยวกรำสภาพจิตใจเจ้า วันหน้าเมื่ออยู่ในวงการขุนนางจะได้มีประสบการณ์ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว วงการขุนนางไม่ใช่การเล่นหมากล้อม ชิงมือลงก่อนอย่างงดงามก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับราชวงศ์นี้”
หลังจากที่เด็กหนุ่มซึ่งอยู่ในอารมณ์ตื่นเต้นจากไปแล้ว ผู้เฒ่าก็หมุนตัวไปหยิบตำราอีกเล่มออกมา ในนั้นก็มีรอยกดทับอยู่เหมือนกัน แต่กลับไม่มีเหรียญอยู่ด้านใน ทว่าประโยคที่อยู่ตรงรอยกลบทับคือคำสอนของอริยะปราชญ์ที่บอกว่า ‘ผู้สูงส่งคือวิญญูชน เชี่ยวชาญการแลกเปลี่ยนความรู้ ขัดเกลานิสัยและคุณธรรมให้ยิ่งดีงาม’
เพราะว่ามีเหรียญเงินแค่เหรียญเดียว เด็กหนุ่มจึงได้ยึดครองโชควาสนาทั้งหมดไปโดยไม่รู้ตัว
คล้ายกับว่านี่เป็นเจตนารมณ์สวรรค์ซึ่งคนไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
นี่ทำให้เจ้ากรมผู้เฒ่าที่ปรารถนาอยากฝึกวิชาเซียนมาโดยตลอดถึงขั้นไม่กล้าแย่งชิง
ผู้เฒ่าที่อยู่ในวงการขุนนางซึ่งผู้คนคอยแต่จะแก่งแย่งความดีความชอบกันมาเกินครึ่งชีวิตพูดสะท้อนใจแฝงไว้ด้วยความเลื่อมใสและนับถือจากใจจริง “ยอดฝีมือนอกโลกช่างมีฝีมือของเทพเซียนจริงๆ”
……
ระหว่างที่เดินทางอยู่บนเส้นทางภูเขา เฉินผิงอันทำหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ให้ตัวเองหนึ่งใบ ตามหลักแล้ว นอกจากใส่ห่อผ้าฝ้ายห่อนั้น ยังสามารถใส่สิ่งของได้อีกไม่น้อย ทว่าเฉินผิงอันยังคงให้เผยเฉียนสะพายห่อผ้า รวมไปถึงถือคันเบ็ดไม้ไผ่ นอกจากนี้เขายังทำไม้เท้าอันเล็กเหมาะมือให้กับนางอีกอันหนึ่ง
หลังจากนั้นเส้นทางภูเขาและแม่น้ำยาวไกล ดูเหมือนว่าจากแต่เดิมที่เฉินผิงอันรีบเร่งเดินทาง ร้อนใจอยากออกไปจากใบถงทวีป กลับบ้านเกิดที่แจกันสมบัติทวีปโดยเร็วที่สุด ตอนนี้กลับเปลี่ยนมาเป็นสงบจิตสงบใจได้แล้ว เพียงแต่น่าสงสารเด็กหญิงเผยเฉียนที่ต้องเหน็ดเหนื่อยไปด้วย นางบ่นด้วยความคับแค้นใจตลอดเวลา เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับคำพูดคำจาโผงผางทำร้ายจิตใจคนอย่างตอนที่เพิ่งรู้จักกันแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้เริ่มเรียนหนังสือมาบ้าง หรือเป็นเพราะกลัวว่าเฉินผิงอันจะโมโหแล้วทิ้งนางไปไม่สนใจใยดี ต่อให้จะบ่น เผยเฉียนก็หัดรู้จักพูดอ้อมค้อมบ้างแล้ว
สำหรับคำบ่นของนาง เฉินผิงอันฟังเป็นลมที่พัดผ่านข้างหู นั่นยิ่งทำให้เผยเฉียนไม่พอใจเข้าไปใหญ่
การเดินทางในภายหลังคนทั้งสองได้พบเห็นทัศนียภาพมากมาย ทำให้เผยเฉียนได้เปิดโลกทัศน์ ยกตัวอย่างเช่นมีครั้งหนึ่งได้เห็นหิ่งห้อยจำนวนนับไม่ถ้วนยามกลางดึกของฤดูใบไม้ร่วง คล้ายโคมไฟดวงเล็กๆ ที่แขวนไว้เต็มม่านฟ้า ฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันไม่สนใจ นางใช้ไม้เท้าตบพวกมันดังเพี๊ยะๆๆ ศพกลาดเกลื่อนไปทั่ว เฉินผิงอันหันหน้ามามอง นางก็รีบหยุดมือทันที แสร้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาเดินทาง
พวกเขายังเคยเดินผ่านผืนป่ารกครึ้มที่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุดแห่งหนึ่ง ผืนป่าแห่งนี้มีดินที่อุดมสมบูรณ์ ทว่ากิ่งก้านต้นไม้ที่แผ่ออกมาด้านนอกกลับเต็มไปด้วยซากแห้งของพวกนกและสัตว์ป่า
เผยเฉียนตกใจรีบดึงชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเอาไว้ ถึงได้กล้าเดินต่อ ก่อนจะเข้าไปในป่า เฉินผิงอันหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมาหนึ่งแผ่น โยนเข้าไปในผืนป่า พบว่ายันต์ที่เขียนบนกระดาษธรรมดาแผ่นนั้นพลันติดไฟ เพียงแต่ว่าเผาไหม้อย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันจึงเดินตรงเข้าไปด้านใน เผยเฉียนขอร้องเฉินผิงอันว่าให้มอบยันต์หนึ่งแผ่นให้นางไว้คุ้มกันกาย เฉินผิงอันทำเป็นไม่ได้ยิน บอกนางว่าหากกลัวตัวประหลาดพวกนั้นก็ให้ท่องหนังสือเสียงดังๆ เพราะหลักการของอริยะปราชญ์สามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้
เผยเฉียนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ยังคงกำชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันไว้แน่น ขณะเดียวกันก็พยายามท่องเนื้อหาในตำราไปด้วย
อันที่จริงตำราลัทธิขงจื๊อเล่มนั้นบางมาก นางรู้จักตัวอักษรทั้งหมดที่อยู่บนนั้นแล้ว แล้วก็อ่านจบแล้ว ก่อนหน้านี้เผยเฉียนก็เคยขอเปลี่ยนเล่มใหม่ บอกเฉินผิงอันว่าให้นางเลิกอ่านหนังสือเล่มเดียวซ้ำไปซ้ำมาได้แล้ว น่าเบื่อยิ่งนัก แต่เฉินผิงอันกลับไม่ยอมอนุญาต เขาบอกให้นางอ่านซ้ำหลายๆ รอบ อีกทั้งยังไม่ใช่แค่อ่านเท่านั้น ยังต้องอ่านออกเสียงด้วย ยามเช้าตรู่เมื่อเขาฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู นางก็จะต้องเริ่มอ่าน ยามสนธยา เขายังคงฝึกยืนนิ่ง นางก็ยังต้องอ่าน ถึงท้ายที่สุดนางจึงท่องทุกบทความที่อยู่ในนั้นจนขึ้นใจได้จริงๆ
รอจนคนทั้งสองเดินออกจากป่าลึกก็ยังไม่มีความเคลื่อนใดๆ
เผยเฉียนเหงื่อแตกเต็มศีรษะ เป็นเพราะท่องหนังสือจนเหนื่อย คอนางแหบแห้งไปหมดแล้ว
จนกระทั่งคนทั้งสองเดินออกไปได้สิบกว่าลี้ ต้นไม้ใหญ่หลายต้นถึงได้เริ่มส่ายสะบัดอย่างบ้าคลั่งคล้ายกำลังระบายความโกรธแค้น
จากนั้นคนทั้งสองยังผ่านหุบเขาแห่งหนึ่ง ข้างแอ่งน้ำใต้น้ำตกมีผีเสื้อหลากสีบินระบำจนคนมองตาพร่าลาย
เผยเฉียนฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันกำลังหุงข้าวฆ่าผีเสื้อไปหลายสิบตัวด้วยความเร็วดุจฟ้าร้องฉับพลันจนคนไม่ทันได้ยกมือป้องหู อีกทั้งนางยังเลือกเฉพาะตัวที่สวยที่สุด ตบเพี๊ยะหนึ่งที ผีเสื้อถูกหนีบอยู่ในหน้าหนังสือ ผลคือถูกเฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่เน้นๆ หนึ่งที ทำเอานางเจ็บจนทรุดนั่งกุมหัวร้องโหยหวน หน้าผากบวมเป่ง ตอนกินข้าวก็ยังหน้าตาบูดบึ้ง
คนทั้งสองยังเจอคนตัดไม้ที่ตัดฟืนเสร็จแล้วลงมาจากภูเขา ยังกินข้าวของเขาไปหนึ่งมื้อ เฉินผิงอันคิดอยากจะจ่ายเงิน แต่ครอบครัวที่มีนิสัยซื่อๆ ครอบครัวนั้นกลับไม่ยอมรับไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมตอบรับ เฉินผิงอันจึงได้แต่ถอดใจ ก่อนจะเดินออกมาจากลานบ้านที่ถูกล้อมไว้ด้วยไม้ไผ่แห่งนั้น เขาก็หันมาบอกให้เผยเฉียนเอ่ยขอบคุณครอบครัวนั้น เผยเฉียนที่กินข้าวของคนอื่นไปไม่น้อยกลับไม่ใคร่จะเต็มใจนัก แต่พอเหลือบไปเห็นสายตาของเฉินผิงอันโดยบังเอิญจึงรีบโค้งตัวเอ่ยขอบคุณอย่างว่าง่ายทันที
คนทั้งสองเดินออกมาจากภูเขาใหญ่ที่ทอดตัวยาว แล้วก็เจอเข้ากับแม่น้ำสายใหญ่อีก นี่เป็นครั้งแรกที่เผยเฉียนได้เห็นคนลากจูงเรือที่ลากเรือลำใหญ่ขนาดนี้ ภายใต้แสงแดดแผดเผา บุรุษเหล่านั้นตะโกนร้องส่งสัญญาณอย่างพร้อมเพรียงกัน ทำเอานางที่มองดูอยู่ปากอ้าตาค้าง แล้วก็ให้ชอบใจนัก ดูเหมือนว่าคนที่น่าเวทนาใต้หล้านี้จะมีไม่น้อยเลยจริงๆ เพียงแต่ไม่นานนางก็หุบยิ้ม หากเจ้าหมอนั่นเห็นเข้า นางต้องถูกเล่นงานอีกแน่ คราวก่อนก็แค่ตนเก็บฝืนมาได้น้อยเท่านั้น เขายังอนุญาตให้ตนที่ท้องร้องด้วยความหิวโหยกินข้าวถ้วยเล็กๆ แค่ถ้วยเดียว เฮ้อ เฉินผิงอันผู้นี้ปรนนิบัติยากซะจริง นายท่านใหญ่ที่มีเงินต้องกวนโอ้ยน่าเตะแบบนี้ด้วยหรือไง รอให้นางใช้ไม้เท้าในมือแอบฝึกวิชากระบี่ล้ำโลกได้ก่อนเถอะ นางจะต้องตีให้เขาร้องหาพ่อหาแม่เลยทีเดียว ถึงเวลานั้นคอยดูสิว่าเขาจะยังกล้าถลึงตามองตนอีกไหม
อยู่กับภูเขากินจากภูเขา อยู่กับน้ำกินจากน้ำ
เดินทางอยู่ริมแม่น้ำ จู่ๆ นางก็นึกอยากตกปลา จึงบอกให้เฉินผิงอันช่วยทำคันเบ็ดตกปลาให้นางคันหนึ่ง ทว่าเขาไม่สนใจนาง เผยเฉียนจึงได้แต่หยิบมีดผ่าฟืนไปฟันต้นไผ่ที่ลำต้นหนาใหญ่ด้วยตัวเอง พอฟันต้นไผ่โค่นลงถึงตระหนักได้ว่านี่ใช่คันเบ็ดเสียที่ไหน เอามาทำไม้พายยังพอว่า จากนั้นนางที่หน้าหงอยจึงไปเลือกหาไม้ไผ่ต้นบางๆ ยังดีที่คนขี้งกทาสเฝ้าทรัพย์อย่างเฉินผิงอันผู้นี้ไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุนัก เขายอมมอบตะขอและเส้นเอ็นตกปลาให้นาง เพียงแต่ว่าคนทั้งสองตกปลาเหมือนกัน นั่งอยู่ห่างกันไม่ไกล แต่เฉินผิงอันกลับตกปลาได้เป็นระยะ แถมยังตกได้ปลาหลีตัวใหญ่ที่ยาวเท่าแขนของนางตัวหนึ่ง ทว่านางกลับไม่มีแม้แต่กุ้งมากินเหยื่อ หรือว่าเจ้าพวกที่อยู่ในน้ำก็เลือกคนที่จะยอมเป็นอาหารให้ ใช้ตาสุนัขมองคนต่ำด้วย? นางอยากจะกระโดดลงไปในน้ำแล้วใช้คันเบ็ดฟาดให้ปลากุ้งทั้งหมดที่อยู่ในแม่น้ำตายไปซะให้หมด
ทว่าแกงปลาหม้อใหญ่คืนนั้นทำให้เผยเฉียนยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง ขอข้าวถ้วยที่สามจากเฉินผิงอันอย่างกล้าๆ กลัวๆ บอกว่าวันนี้ตกปลาใช้พละกำลังของนางไปสิ้นแล้ว จำต้องชดเชยด้วยข้าวถ้วยใหญ่ ส่วนแกงปลานางจะกินให้น้อยหน่อย จะไม่แย่งเขากินแล้วกัน เดิมทีนางนึกว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอม คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนั่นกลับยอมตักข้าวเพิ่มให้ มื้อนี้มีน้ำแกงปลาราดบนข้าวสวย บนโลกไม่มีอาหารใดที่หอมหวนเอร็ดอร่อยเท่านี้อีกแล้ว นางกินซะพุงกาง
ภายหลังนางก็ตกปลากับเฉินผิงอันอีกครั้งหนึ่ง ยังคงขว้างคันเบ็ดและดึงขึ้นอย่างมั่วซั่วอยู่เหมือนเดิม สรุปก็คือบนคันเบ็ดของนางยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
กลับเป็นเจ้าหมอนั่นที่ตกได้ปลาดำตัวใหญ่มากตัวหนึ่ง ลำพังแค่แข่งงัดข้อกับปลาตัวนั้นก็ใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเค่อ มองดูเฉินผิงอันวิ่งไปวิ่งมาอยู่บนชายฝั่ง นางก็กลอกตามองสูงทันที เจ้าเป็นทั้งวิชากระบี่และวิชาตระกูลเซียน กลับปล่อยให้ตัวเองถูกปลาโง่ๆ ตัวหนึ่งปั่นหัวแบบนี้ ไม่ลดสถานะตัวเองไปหน่อยหรือไง?
มองคันเบ็ดตกปลาของตนที่ ‘มั่นคงดุจภูผา’ บ่นเจ้าพวกที่หลบอยู่ใต้น้ำซึ่งไม่ยอมเห็นแก่หน้านางแม้แต่น้อย แล้ว เผยเฉียนก็ถอนหายใจหนักๆ รู้สึกเสียดายความสามารถที่มีอยู่เต็มตัว จนใจที่สวรรค์ไม่ทำให้คนสมใจปรารถนา นางเลยไม่มีพื้นที่ให้ใช้ความสามารถนั้นเลย
ดังนั้นนางวางแผนว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ตกปลาอีกแล้ว ต้องใช้ความอดทนและเรี่ยวแรงมากมายขนาดนั้น แต่กลับไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวมา ยังจะทำมันไปทำไม?
อาหารกลางวันของวันนั้น เฉินผิงอันบอกเคล็ดลับการตกปลาบางข้อแก่นางอย่างที่หาได้ยาก
หลักการนั้นนางฟังเข้าใจ แต่เผยเฉียนก็ยังไม่เต็มใจจะเรียนตกปลากับเฉินผิงอัน ทว่าพอเขาบอกว่าตกปลาคราวหน้า เขาจะสอนนางด้วยตัวเอง นางถึงยังไม่โยนคันเบ็ดตกปลานั่นทิ้ง
นางถามหยั่งเชิงไปหนึ่งประโยค “แกงปลาอร่อยก็จริง แต่หากต้องกินทุกวันก็ออกจะเลี่ยนไปหน่อย พวกเราลองเปลี่ยนไปกินอย่างอื่นดูบ้างดีไหม?”
เฉินผิงอันตอบนางกลับมาว่า “ดีสิ ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปหาของกินมา”
เผยเฉียนแกล้งโง่ “ข้าอายุยังน้อย มีใจแต่ไร้กำลัง”
ตกปลาวันที่สอง เฉินผิงอันไม่ได้ใช้คันเบ็ดของเขา แต่เอาของเผยเฉียนมาใช้แทน รออยู่ครึ่งวัน ไม่สนใจปลาเล็กปลาน้อยที่มาตอดเหยื่อ แต่พอปลาใหญ่หนักประมาณเจ็ดแปดจินตัวหนึ่งงับตะขอ เขาก็พลันยกคันเบ็ดขึ้น เส้นเอ็นตกปลาถูกดึงตึงเป็นวงโค้งที่งดงาม ทุกอย่างพอดิบพอดีไปหมด เผยเฉียนที่นั่งหาวอยู่ข้างๆ มาครึ่งวันเบิกตากว้างทันที เฉินผิงอันบอกให้นางรีบมารับคันเบ็ดไป ให้นางรับมือกับปลาใหญ่ตัวนี้ด้วยตัวเอง เผยเฉียนกระโดดผลุงขึ้นมา พอรับคันเบ็ดไปแล้ว ภาพเหตุการณ์ต่อมาก็ทำเอาเฉินผิงอันมองตาค้าง
สองมือของนางกำคันเบ็ดไว้แน่น อาศัยลำไม้ไผ่ที่หนาและแข็งแกร่งจนไร้เหตุผลนั่น เด็กหญิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่พูดไม่จาก็เริ่มกระชากมันไปด้านหลังสุดชีวิต เคล็ดลับทั้งหลายที่เฉินผิงอันถ่ายทอดให้ก่อนหน้านี้อย่างเช่น ค่อยๆ เลี้ยงปลาเอย เก็บสายปล่อยสายเอย หรืออย่ารีบให้ปลาใหญ่เห็นแสง ต้องค่อยๆ ลดทอนกำลังของปลา ต้องให้มันสำลักน้ำหลายๆ ครั้งอะไรพวกนั้น เผยเฉียนฟังไม่เข้าหูแม้แต่ประโยคเดียว คิดแต่จะใช้เรี่ยวแรงมหาศาลกระชากมันขึ้นมาบนฝั่งท่าเดียว
การตกปลาดีๆ ที่เดิมทีควรจะผ่อนคลายสบายอารมณ์ กลับถูกเผยเฉียนทำให้เหมือนการแข่งชักคะเย่ออย่างไรอย่างนั้น
ปลาตัวไม่เล็ก อีกทั้งยังอยู่ในน้ำ แถมยังเป็นปลาดำที่มีแรงมากอีกด้วย หันกลับมามองเผยเฉียนที่เรี่ยวแรงไม่มาก พอไม่ทันระวัง เด็กหญิงผอมแห้งจึงเซถลาไปหลายก้าว ทั้งคนทั้งคันเบ็ดต่างก็ถูกปลาใหญ่กระชากลงไปในน้ำ นางเคยหัวเราะเยาะว่าเฉินผิงอันพูดจาเหลวไหล ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีหลักการที่ปลาสำลักน้ำ คราวนี้กลายเป็นเผยเฉียนที่ต้องสำลักน้ำบ้างแล้ว นางว่ายน้ำไม่เป็น แต่พอโมโหขึ้นมา ให้ตายนางก็ไม่ยอมปล่อยมือ
สุดท้ายยังคงเป็นเฉินผิงอันที่ต้องไปหิ้วนางขึ้นมาจากน้ำ คันเบ็ดถูกปลาใหญ่กระชากจากไปแล้ว
คราวนี้เผยเฉียนไม่ได้ร้องไห้โฮอย่างเจ็บปวดเจียนจะขาดใจ เด็กหญิงที่สภาพเหมือนลูกเจี๊ยบตกน้ำยืนอยู่บนชายฝั่ง อ้าปากกว้าง ร้องไห้ไร้เสียง
ปลาไม่มีแล้ว แกงปลาของคืนนี้ก็ไม่มีแล้ว คันเบ็ดไม่มีแล้ว ต่อให้จะรู้ว่ายังมีอาหารแห้ง นางไม่มีทางหิว ยังมีข้าวให้กิน แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เสียใจขนาดนี้
เฉินผิงอันช่วยเช็ดน้ำตาและน้ำบนหน้าให้นาง แต่กลับไม่ได้เอ่ยปลอบใจนาง
เขาแค่นึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็ก ตอนนั้นยังไม่ได้เจอกับหลิวเสี้ยนหยางที่เชี่ยวชาญการตกปลา ไม่รู้เคล็ดลับของการตกปลา ไม่รู้จักเลือกช่วงเวลา ไม่รู้จักเลือกสถานที่ เวลาไปตกปลาจึงมักจะกลับมามือเปล่า หน้าร้อนที่ร้อนระอุ อากาศช่วงบ่ายสามารถแผดเผาให้ผิวคนปวดแสบปวดร้อน ก็คงจะเป็นความรู้สึกประมาณนี้กระมัง
อาหารมื้อนั้น แน่นอนว่ามีแค่ผักดองและข้าวสวยเท่านั้น
เข้าไปเปลี่ยนชุดใหม่ในกระโจมหลังเล็ก ตอนกินข้าว เผยเฉียนก็ยังอารมณ์ไม่ดี เฉินผิงอันถามยิ้มๆ ว่า “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงใจกล้าขึ้นมา ไม่กลัวว่าจะจมน้ำตายหรือ?”
เผยเฉียนที่นั่งอยู่ด้านข้างก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว น้ำเสียงที่พูดจึงไม่ชัดเจน “ก็มีเจ้าอยู่ด้วยไม่ใช่หรือไง”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่นาง เผยเฉียนพลันเงยหน้าขึ้น พูดเสียงขุ่นเคือง “ทำไมต้องตีข้าด้วย? ข้าเสียใจจะตายอยู่แล้วนะ!”
เฉินผิงอันยิ้ม “กินข้าวของเจ้าไป”
เผยเฉียนแค่นเสียงเย็น หันหน้าไปมองแม่น้ำ คันเบ็ดที่กว่าตนจะทำได้ไม่ใช่ง่ายๆ ตอนนี้ถูกน้ำพลัดหายไปแล้ว นางรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เฉินผิงอันเอ่ยขึ้น “คันเบ็ดอันนั้นของข้า ยกให้เจ้า”
เผยเฉียนกังขาเล็กน้อย เห็นว่าเขาไม่เหมือนล้อเล่นจึงยิ้มกว้าง “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าจะให้เจ้ายืมไปตกปลาบ่อยๆ แล้วกัน ข้าใจกว้างนักล่ะ”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉิวๆ
นางฉลาดหัวไวถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่เอาไปใช้กับการเรียนหนังสือหรือเขียนตัวอักษรบ้างนะ
มีเพียงช่วงกลางดึกที่นางนอนหลับสนิทแล้ว เฉินผิงอันถึงได้ฉวยโอกาสตอนเฝ้ายามฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวและคัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริงเงียบๆ
พวกเขาเดินทางผ่านเมืองเล็กแห่งหนึ่งจึงแวะซื้อเสบียงเพิ่มเติม เฉินผิงอันซื้อชุดใหม่ให้นางหนึ่งชุด เผยเฉียนชื่นชอบอย่างยิ่ง คืนนั้นนอนพักที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง เผยเฉียนไม่ได้นอนบนเตียงมานานมากแล้ว นางกลิ้งตัวไปมาบนเตียงอย่างมีความสุข แต่จู่ๆ นางก็สังเกตเห็นว่าตรงหน้าต่างมีแมวขาวตัวหนึ่งนอนขดตัวอยู่ และมันกำลังจ้องมองตน
เผยเฉียนกระโดดลงจากเตียง โวยวายเสียงดังว่า “คิดจะก่อกบฏรึ บังอาจจ้องมองข้า” คว้าไม้เท้าที่วางเอียงๆ ไว้ข้างโต๊ะได้ก็ทิ่มไปที่แมวขาว
แมวขาวเป็นอย่างที่นางพูดจริงๆ มันคิดจะก่อกบฏ ไม่เพียงแต่ไม่ตกใจหนีไป กลับกันยังกระโดดลงมาจากหน้าต่าง หลบพ้นการโจมตีจากไม้เท้าได้ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างว่องไวปราดเปรียว บางครั้งยังส่งเสียงขู่ฟ่อใส่เผยเฉียน เผยเฉียนโมโหหนัก เอามือยันไม้เท้าไว้กับพื้น ถลึงตากว้าง “ปีศาจจากที่ใด?! จงรีบบอกชื่อแซ่มาเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะละเว้นชีวิตเจ้า!”
แน่นอนว่าเผยเฉียนต้องการหยอกมันเล่น
ทว่าแมวขาวตัวนั้นกลับ ‘ปรายตา’ มองนาง แล้วพูดภาษาคนกลับมาว่า “นังเด็กบ้า สมองเจ้ามีปัญหาหรือไง?”
แล้วมันก็หมุนตัวกลับ กระโดดผลุงหนึ่งครั้ง จากไปทั้งอย่างนี้
ทำเอาเผยเฉียนตกใจรีบทิ้งไม้เท้า วิ่งไปเคาะประตูห้องที่อยู่ติดกันอย่างแรง
พอเฉินผิงอันเปิดประตู เผยเฉียนก็พูดเสียงสั่นว่า “เมื่อครู่นี้มีแมวตัวหนึ่ง พูดภาษาคนได้ด้วย!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าได้ยินแล้ว”
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีท่าทางตกใจ เผยเฉียนก็พูดอย่างเหม่อลอย “ที่นี่ไม่ใช่ในภูเขาเสียหน่อย ยังมีปีศาจได้ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันกลับไปนั่งที่ข้างโต๊ะ พลิกเปิดตำราเทพเซียนที่ซื้อมาจากภูเขาห้อยหัวเล่มนั้นต่ออีกครั้งพลางพยักหน้ากล่าวว่า “ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด มีภูตผีปีศาจอยู่มากมาย ไม่ใช่เรื่องแปลก ส่วนใหญ่แล้วพวกมันจะไม่ออกมารังควานคนบนโลกมนุษย์ ตระกูลใหญ่บางตระกูลยังเลี้ยงภูตที่น่าสนใจไว้หลายชนิด ยกตัวอย่างเช่นสตรีที่มีฐานะร่ำรวยบางคนจะต้องมีเจ้าตัวน้อยหลายชนิดอยู่รวมในสินเจ้าสาว บ้างก็เป็นภูตมีปีกที่สามารถบินอยู่กลางอากาศ คอยช่วยหวีผมแต่งหน้าให้กับเจ้านายเหมือนสาวใช้”
เผยเฉียนนั่งลงฝั่งตรงข้าม ฟุบตัวลงบนโต๊ะ พูดอย่างน้อยใจ “ไม่ทำให้คนตกใจตายหรอกหรือ? เมื่อครู่นี้ข้าเกือบขวัญกระเจิงเลยนะ”
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ รอให้เจ้าเดินทางผ่านแม่น้ำและภูเขามากกว่านี้ก็จะเคยชินไปเอง”
เผยเฉียนพูดอย่างสะท้อนใจ “เป็นอย่างนี้เองหรือ”
เฉินผิงอันชวนคุย “ผู้เฒ่าที่ต้มชาอยู่ตรงน้ำพุบนยอดเขา และยังมีหญิงสาวที่สระผมอยู่ริมลำธารที่พวกเราเห็นก่อนหน้านี้ อันที่จริงก็เป็นภูตเหมือนกัน แต่พวกเขากลับไม่มีความคิดจะทำร้ายผู้คน กลับกันยังอยากใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไปบนโลก เจ้าก็พูดคุยกับพวกเขาอย่างถูกคอไม่ใช่หรือ?”
เผยเฉียนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง
ไม่เพียงแต่ผู้เฒ่าที่ใจดีน่าใกล้ชิด พี่สาวคนสวยคนนั้นที่พอสระผมเสร็จแล้ว ยังหยิบเอาใบไม้มาเป่าเป็นเพลงให้นางฟังด้วย
เผยเฉียนยู่หน้าด้วยความอกสั่นขวัญผวา
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “มีแค่พวกเขาที่ไม่ใช่คน คนอื่นๆ ที่เจอล้วนไม่ต่างจากพวกเรา”
ตลอดทางที่ผ่านมานี้ อันที่จริงยังเจอกับขุนนางท้องถิ่นที่คอยควบคุมเร่งรัดให้ชาวบ้านปูถนนสร้างสะพาน ลูกหลานคนรวย นักประพันธ์และปัญญาชนที่เดินทางท่องเที่ยวอยู่ตามภูเขาและแม่น้ำ รวมไปถึงหญิงคณิกาผู้มีชื่อเสียงที่ทำให้เผยเฉียนตาเป็นประกาย อีกฝ่ายแต่งตัวเต็มยศหรูหราราวกับห้อยเงินไว้เต็มร่าง และยังมีจอมยุทธ์ที่ท่องไปในยุทธภพด้วยหนึ่งคนหนึ่งม้า นั่งอยู่บนหลังม้าตัวสูง ถามทางจากพวกเฉินผิงอันด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง ทำเอาเผยเฉียนโมโหไม่น้อย
เผยเฉียนพลันถามขึ้นว่า “เจ้าตัวน้อยนั่นล่ะ?”
ที่นางพูดถึงคือคนจิ๋วดอกบัว
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะ “มันไม่อยากพบเจ้า”
เผยเฉียนลุกขึ้นยืน กลับไปที่ห้องตัวเอง หยิบเอาหนังสือเล่มนั้นออกมาจากในห่อสัมภาระ แล้วกลับมาหาเฉินผิงอัน มาอ่านหนังสืออยู่กับเขา
ตอนนี้นางยังไม่กล้าไปอยู่ที่ห้องตัวเอง กลัวว่าแมวขาวตัวนั้นจะกลับมาแก้แค้น นางยังฝึกวิชากระบี่ไม่ได้เรื่อง คิดจะกำจัดปีศาจปราบมาร ย่อมไม่มีความมั่นใจถึงเพียงนั้น
เฉินผิงอันปิดหนังสือ หยิบม้วนภาพแผ่นนั้นออกมาเงียบๆ ตอนนี้เขาทุ่มเงินฝนธัญพืชไปเก้าเหรียญแล้ว แต่กลับยังไม่สามารถทำให้ฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้เดินออกมาจากภาพวาดได้ นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย
เฉินผิงอันคลี่ม้วนภาพออก ในมือถือเงินฝนธัญพืชไว้หนึ่งเหรียญ
เหรียญสุดท้าย หากยังไม่ได้ผลก็คงต้องตัดใจแล้ว
ใช้เงินฝนธัญพืชไปเติมเต็มถ้ำที่ไร้ก้น เงินของเขาเฉินผิงอันไม่ได้ร่วงลงมาจากฟ้าเสียหน่อย
ทว่าหลังจากที่เฉินผิงอัน ‘โยน’ เงินเข้าไปในภาพวาดแล้ว ก็ยังคงเป็นเหมือนรูปปั้นวัวดินที่จมลงสู่มหาสมุทร มีไอหมอกลอยขึ้นมาก็จริง แต่ก็แค่นี้เท่านั้น
เผยเฉียนวางหนังสือที่ค่อนข้างจะยับย่นและเสียหายแล้วเล่มนั้นลง ขยับมายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน สำหรับเรื่องนี้ เขาไม่ได้จงใจจะปิดบัง ดังนั้นเผยเฉียนจึงเห็นภาพที่ม้วนภาพสามารถกินเงินได้มาหลายครั้งแล้ว เห็นว่าเฉินผิงอันต้องผิดหวังอีกครั้ง นางก็หัวเราะคิกคัก “หากข้าเปลี่ยนมาใช้แซ่เจิ้งจะดีกว่าเดิมไหม?”
เผยเฉียน ชดใช้เงิน เจิ้งเฉียน ได้เงิน (เจิ้งที่เป็นแซ่ ออกเสียงใกล้เคียงกับคำว่าเจิง เจิงเฉียนแปลว่าได้เงินที่มาจากการทำงาน)
เฉินผิงอันถอนหายใจ เตรียมจะเก็บม้วนภาพลงไป
แต่แล้วเขาก็หันขวับไปมองทางหน้าต่างที่เปิดอ้าเพื่อให้ลมพัดเข้ามา ตรงนั้นมีแมวขาวตัวหนึ่งยืนอยู่ มันไม่ได้มองเฉินผิงอัน แต่พูดเยาะเย้ยเผยเฉียนว่า “นังเด็กน้อย เจ้ากินขี้ไปซะเถอะ”
หลังจากนั้นมันก็พุ่งตัวไปขี้ทิ้งไว้บนโต๊ะของห้องข้างๆ
เผยเฉียนงงงัน แต่เฉินผิงอันกลับไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แมวตัวนี้จดจำความแค้นได้ดีจริงๆ นิสัยเหมือนเผยเฉียนเปี๊ยบเลย
ทันใดนั้นเฉินผิงอันก็ต้องตกตะลึงอยู่ในใจ รีบลุกขึ้นยืนแล้วลากเผยเฉียนไปไว้ด้านหลังตัวเอง
นักพรตน้อยคนหนึ่งที่แบกน้ำเต้ายักษ์สีทองนั่งอยู่บนหน้าต่าง ยิ้มตาหยีมองมาทางเฉินผิงอัน แมวขาวกระโดดขึ้นไปบนไหล่เขาแล้วขดตัวนอน
ตอนอยู่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เฉินผิงอันเคยมองเห็นนักพรตน้อยอยู่ไกลๆ ภายหลังเมื่อได้พูดคุยกับจ้งชิวจึงพอจะรู้ตัวตนของเจ้าหมอนี่คร่าวๆ นักพรตผู้เฒ่าที่เขาเรียกว่า ‘นายท่านผู้เฒ่าของข้า’ คือคนที่รับผิดชอบการตีกลองบินทะยานของพื้นที่มงคลดอกบัว
นักพรตน้อยชำเลืองมองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอันแล้วหลุดหัวเราะพรืด “ระดับขั้นธรรมดา ไม่ถือว่าโดดเด่นที่สุด ห่างไกลกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนี้ของข้าหนึ่งแสนแปดพันลี้”
เฉินผิงอันถามสีหน้าไร้อารมณ์ “มาหาข้ามีธุระอะไร?”
นักพรตน้อยยังคงพูดกับตัวเองต่อไป “แจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้ามีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ดีที่สุดแค่สองลูกไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่ได้อยู่ในมือเจ้าเล่า?”
ก่อนหน้าที่เทพธิดาซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยงจะตกต่ำ นางเคยครอบครองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ม่วงทองลูกหนึ่ง
เว่ยจิ้นเซียนกระบี่พสุธาแห่งศาลลมหิมะก็มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินอยู่หนึ่งลูก ภายหลังได้ตกไปอยู่ในมือของอาเหลียง แล้วอาเหลียงก็มอบให้หลี่เป่าผิงอีกที
นักพรตน้อยยันฝ่ามือสองข้างไว้บนขอบหน้าต่าง แกว่งเท้าไปมา “บนโลกมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูกที่มาจากเถาน้ำเต้าเส้นหนึ่งที่มรรคาจารย์เต๋าเป็นผู้ปลูกเองกับมือ ล้ำค่ามากที่สุด กระบี่บินที่ฟูมฟักออกมาได้มีจำนวนมากที่สุด เป็นรูปเป็นร่างเร็วที่สุด แข็งแกร่งทนทานมากที่สุด คมกริบไร้เทียมทานมากที่สุด สามารถหล่อเลี้ยงร่างกายและจิตวิญญาณของเจ้าของได้ดีที่สุด กระบี่บินเล็กที่สุด เรียกได้ว่าปลิดชีพคนไม่ทิ้งร่องรอยอย่างแท้จริง ส่วนลูกสุดท้ายก็อยู่บนหลังข้านี่ไง รู้ไหมว่ามันมีความลี้ลับอะไร?”
เฉินผิงอันไม่ตอบ
เผยเฉียนหลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน แม้จะสงสัยใคร่รู้ แต่ไม่กล้ายื่นหน้าออกมา
นักพรตน้อยเห็นว่าเฉินผิงอันเงียบเหมือนคนใบ้ก็รู้สึกเบื่อหน่าย เขาที่บนไหล่มีแมวขาวนอนขดตัวอยู่กระโดดลงมาจากหน้าต่างอย่างปราดเปรียว เดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะ ชี้ภาพที่ม้วนอยู่พลางกล่าวว่า “นายท่านผู้เฒ่าของข้าให้ข้านำความมาบอกเจ้าว่า คนห้าคนที่ช่วยเจ้าเลือก รวมไปถึงเรื่องที่รีบร้อนไล่เจ้าออกมา ทำให้เขารู้สึกผิดเล็กน้อย จึงยอมแหกกฎให้ข้ามาบอกเรื่องบางอย่างกับเจ้า นั่นคือร่มกระดาษน้ำมันคันนั้นจงเก็บไว้ให้ดี อย่าทิ้งส่งเดช มีมันอยู่ข้างกาย เจ้าจะสามารถอำพรางลมปราณบนร่างได้ สองคือภาพแรกที่เจ้าเลือก ข้าจะเตือนเจ้าหนึ่งครั้ง แค่ครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือจะบอกถึงจำนวนเงินฝนธัญพืชที่ต้องใช้กับภาพนั้นแก่เจ้าโดยตรง ยกตัวอย่างเช่นภาพนี้ที่มีเว่ยเซียนอยู่ด้านใน ก็คือ…”
เขายิ้มแล้วยื่นมือออกมาสองมือ
แมวขาวที่อยู่บนไหล่ยื่นกรงเล็บออกมาหนึ่งข้าง นักพรตน้อยจึงยิ้มพูดว่า “ก็คือสิบเอ็ดเหรียญ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ นักพรตน้อยรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เกี่ยวกับจำนวนรวมของเงินฝนธัญพืชที่ต้องใช้กับภาพวาดทั้งสี่ นักพรตเฒ่าเป็นคนกำหนด ทว่าแบ่งแยกให้แต่ละภาพต้องใช้กี่เหรียญ กลับเป็นเขาที่เป็นคนจัดการ เรื่องวงในเหล่านี้ เฉินผิงอันย่อมไม่มีทางรู้ เดิมนักพรตน้อยนึกว่าเฉินผิงอันจะต้องเลือกจูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์อย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็ต้องเจอกับความยากลำบากแล้ว
นึกไม่ถึงว่าเจ้าคนจิ๋วดอกบัวนั่นจะเป็นจระเข้ขวางคลอง ช่วยเฉินผิงอันเลือกเว่ยเซี่ยนโดยบังเอิญ
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าเพิ่งมาบอกจำนวนข้าตอนนี้?”
นักพรตน้อยหัวเราะคิกคัก “มีเพียงช่วงก่อนที่เจ้าจะโยนเหรียญสุดท้ายเข้าไป ข้ามาบอกคำตอบแก่เจ้าถึงจะไม่ผิดกฎ แล้วนายท่านผู้เฒ่าของข้าก็จะไม่กล่าวโทษ”
นักพรตน้อยเห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีสีหน้าอับอายจนพานเป็นความโกรธอะไรก็ยิ่งเบื่อหน่าย จึงโบกมือ “แค่นี้แหละ หวังว่าวันหน้าพวกเราสองคนจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้ว เห็นหน้าเจ้าแล้วหงุดหงิดชะมัด”
เฉินผิงอันไม่ถือสาเขา ถามว่า “ช่วงนี้มีเรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่สามารถเดินทางไปยังแจกันสมบัติทวีปบ้างหรือไม่?”
นักพรตน้อยไม่เต็มใจจะบอกเฉินผิงอันเลยสักนิด แต่พอนึกถึงนิสัยของนายท่านผู้เฒ่าของตัวเองจึงจำต้องบอกสถานที่แก่อีกฝ่าย ไม่กล้าเล่นแง่
นักพรตน้อยเห็นศีรษะเล็กๆ ที่โผล่ออกมาด้านหลังเฉินผิงอันก็แค่นเสียงเย็นราวกับไม่พอใจอย่างมาก ไม่เต็มใจจะมองนางให้นานไปมากกว่านี้ จึงถอยกรูดไปด้านหลัง พาแมวขาวที่อยู่บนไหล่หายตัวไปจากตรงหน้าต่าง
เฉินผิงอันเปิดม้วนภาพวาดออกอีกครั้ง โยนเงินฝนธัญพืชเหรียญที่สิบเอ็ดลงไป
อย่างไม่มีความลังเลใจ
ไอหมอกแผ่อบอวลปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
เฉินผิงอันดึงเผยเฉียนถอยไปข้างหลัง ขยับออกห่างจากโต๊ะไปประมาณห้าหกก้าว ชูอีกับสืออู่ที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็ตั้งท่าพร้อมรับมือกับศัตรู
มีผู้ชายร่างเล็กเตี้ยสวมชุดคลุมมังกรคนหนึ่ง ‘กระโดดทะยาน’ ออกมาจากในม้วนภาพวาด เขายืนอยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็เดินลงไปบนม้านั่ง แล้วค่อยขยับลงไปยืนบนพื้น พอเห็นเฉินผิงอัน ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้ก็พูดหน้าเคร่งว่า “เว่ยเซียนคารวะนายท่าน วันหน้าหากต้องการสังหารศัตรู นายท่านโปรดสั่งมาได้เลย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
จากนั้นคนทั้งสองที่มองหน้ากันต่างก็พากันเงียบ บรรยากาศชะงักค้าง ค่อนข้างกระอักกระอ่วน
เว่ยเซี่ยนพลันกล่าวว่า “นายท่านมีกลิ่นอายแห่งความเด็ดขาดของราชาเข้มข้นนัก”
เฉินผิงอันไร้คำพูดโต้ตอบ
เผยเฉียนรู้สึกว่าได้เปิดโลกทัศน์แล้ว มารดามันเถอะ ไอ้หมอนี่หน้าไม่อายเกินไปหน่อยไหม?
เว่ยเซี่ยนกวาดตามองรอบด้านแล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “นายท่านมีเสื้อผ้าที่ไม่สะดุดตาสักชุดหรือไม่ ข้าอยากเปลี่ยนชุด คืนนี้จะออกไปเดินดูข้างนอก ทำความรู้จักกับแม่น้ำและภูเขาของใต้หล้าไพศาลสักหน่อย เมื่อใดที่นายท่านออกเดินทางต่อ ข้าจะปรากฏตัวเอง”
เฉินผิงอันหยิบชุดใหม่เอี่ยมชุดหนึ่งให้เขา เว่ยเซี่ยนถอดชุดคลุมมังกร เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสะอาดของเฉินผิงอัน เอามือข้างเดียวยันบนขอบหน้าต่าง กระโดดออกไปข้างนอก จากนั้นก็กระโดดขึ้นบนหัวกำแพง แล้วหายไปท่ามกลางสีของรัตติกาล
เผยเฉียนถาม “ดึกดื่นขนาดนี้ จะไปดูแม่น้ำภูเขาอะไร?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเขาคิดอะไรอยู่”
หนึ่งคืนผ่านไปอย่างสงบสุข
เผยเฉียนกลับไปที่ห้องของตัวเอง มองเห็นขี้แมวกองนั้น นางก็บดฟันด้วยความโมโห
ออกเดินทางวันต่อมา เว่ยเซี่ยนก็มาปรากฏตัวด้านนอกโรงเตี๊ยมจริงๆ
หลังจากนั้นมาเว่ยเซี่ยนก็ไม่พูดอะไรอีก
เว่ยเซี่ยนตัวเตี้ยกว่าเฉินผิงอันเสียอีก ยากจะจินตนาการได้ว่านี่คือฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นท่านหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าของยุคสมัยนั้น วิชาการต่อสู้เลิศล้ำ ถูกคนรุ่นหลังขนานนามให้ว่า ‘ตกอยู่ในวงล้อมบนสมรภูมิรบ หมื่นศัตรูก็มิอาจต่อกร’
นานวันเข้าเผยเฉียนก็เคยชินกับการดำรงอยู่ของเว่ยเซี่ยน เพราะแค่คิดว่าเขาไม่มีตัวตนก็ได้แล้ว
ปลายฤดูหนาว คนทั้งสามขยับเข้าไปใกล้เมืองเล็กริมชายแดนแห่งหนึ่ง หากขยับขึ้นเหนือไปอีกนิดก็คือราชวงศ์ต้าเฉวียนซึ่งค่อนข้างจะมีอิทธิพลในใบถงทวีปแล้ว และท่าเรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่นักพรตน้อยพูดถึงก็อยู่ทางเหนือสุดของราชวงศ์ต้าเฉวียนแห่งนี้
เดินทางอยู่บนเขตชายแดน ก่อนจะมองเห็นเมืองเล็ก เผยเฉียนก็ขอร้องเฉินผิงอันว่า “ให้ยันต์ข้าอีกแผ่นหนึ่งเถอะ แผ่นที่ส่องแสงสีทองนั่นน่ะ ฟิ้วทีเดียวก็ขัดขวางควายยักษ์สีดำตัวนั้นไว้ได้แล้ว”
เฉินผิงอันยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง
เผยเฉียนไม่ยอมเลิกราง่ายๆ “ไม่ได้ขอให้เจ้ายกให้ข้าเลยเสียหน่อย ข้าแค่จะเอามาแปะไว้บนหัว จะได้เดินได้เร็วอย่างไรล่ะ ขอร้องเจ้าล่ะ พวกเรากำลังเร่งเดินทางกันอยู่ไม่ใช่หรือ เจ้าไม่อยากให้ข้าเดินเร็วๆ กลับไปถึงหลงเฉวียนต้าหลีอะไรนั่นไวๆ หรือไง?”
เสียงเพี๊ยะดังขึ้น
ยันต์มาแปะอยู่บนหน้าผากของเผยเฉียนอย่างที่นางปรารถนา
ยังคงแปะแบบเอียงๆ ไม่บดบังการมองเห็นของนาง
เผยเฉียนคลี่ยิ้มดุจดอกไม้ผลิบานทันที แล้วก็เดินเร็วเหมือนบินดังที่บอกไว้
บนหัวของตัวเองแปะบ้านหลังใหญ่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนไว้หลังหนึ่งเชียวนะ จะรู้สึกเหนื่อยได้อย่างไร? แปะมันไว้เวลาเดินทางก็เหมือนตนกำลังเดินเล่นอยู่ในบ้านหลังใหญ่
เว่ยเซี่ยนที่เดินอยู่ด้านหลังคนทั้งสองมองเผยเฉียน คาดว่าอารมณ์ของเขาคงไม่ต่างจากแมวขาวตัวนั้นสักเท่าไหร่ นั่นคือรู้สึกว่านังหนูนี่สมองมีปัญหา
ตรงเอวของเฉินผิงอันห้อยกระบี่ยาวชือซินและดาบแคบหยุดหิมะ เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งคำ
ตอนแรกเว่ยเซี่ยนที่อยู่ด้านหลังก้าวเดินด้วยฝีเท้าที่ค่อนข้างหนักแน่น ทว่าตอนนี้กลับผ่อนคลายเป็นตัวของตัวเอง เผยเฉียนมองเบาะแสอะไรไม่ออก แต่เฉินผิงอันกลับกระจ่างชัดอยู่ในใจ
เมื่อคนทั้งสามเดินขึ้นไปบนเนินเขาแห่งหนึ่งก็พบว่าห่างไปไม่ไกลมีฝุ่นกลุ่มใหญ่คลุ้งตลบ ทหารม้าร้อยกว่านายทั้งรบทั้งถอยไปในคราวเดียวกัน บนพื้นมีศพอยู่หลายสิบศพแล้ว ดูเหมือนว่าทหารม้าเหล่านั้นจะสู้สุดชีวิตเพื่อปกป้องผู้เฒ่าคนหนึ่ง
สายตาของเฉินผิงอันจับจ้องไปยังผู้ฝึกลมปราณสองคนที่ไล่ฆ่าเหล่าทหารม้า ซึ่งมีคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่
ส่วนเว่ยเซี่ยนกลับให้ความสนใจกับทหารกองนั้น ในสายตาของเขามีแววชื่นชม พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ทหารร้อยศึก ลงจากหลังม้าคือทหารกล้าผู้ชาญศึก ขึ้นขี่หลังม้าคือกองทัพม้าเหล็ก นี่น่าจะเป็นกองทัพชายแดนของตระกูลเหยาแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียนแล้ว”
ตอนนี้เผยเฉียนไม่กลัวบุรุษร่างเล็กเตี้ยผู้นี้แล้ว นางกล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง ปกติเวลาเจ้าเตร็ดเตร่ไปทั่วก็เพราะไปสืบข่าวเรื่องพวกนี้มาหรือ?”
เว่ยเซี่ยนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สายตาของเขาฉายประกายเร่าร้อน
แคว้นหนันเยวี่ยนเคยมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าจากกองทัพม้าเหล็ก พวกเขาโจมตีให้กองทัพม้าของทุ่งราบถอยกลับออกไปนอกด่าน อีกนิดเดียวก็เกือบจะทำให้พวกเขายอมส่งบรรณาการเรียกตนเป็นข้ารับใช้แคว้นหนันเยวี่ยน
ทั้งหมดนี้คือคุณความชอบของเว่ยเซี่ยนคนเดียว
เฉินผิงอันพลันหันกลับมา ถามเสียงทุ้มหนัก “กองทัพชายแดนตระกูลเหยา? แน่ใจรึ?”
เว่ยเซี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม ไม่คิดจะพูดให้เปลืองน้ำลายของตัวเอง
เนินเขาพลันสั่นสะเทือน เฉินผิงอันทะยานร่างขึ้นสูง พลิ้วกายลงมาจากฟากฟ้า ขัดขวางอยู่ระหว่างสองฝ่ายอย่างกองทัพม้าที่กำลังหลบหนีและผู้ฝึกลมปราณสองคนพอดี
เขาเคยรับปากอาจารย์ฉี หรือควรจะพูดอีกอย่างว่าเคยรับปากใบไหวเพียงใบเดียวที่เต็มใจร่วงหล่นลงมาบนมือของเขา
ดังนั้นวันนี้เขาจึงหยุดเมื่อพบเหยา