บทที่ 338 หมัดแข็งเกินไป สุราลงทัณฑ์รสชาติดี
แก่นแท้ของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้านั้นอยู่ที่การชักดึงพายุลมกรดระหว่างหมัดทั้งสอง ประหนึ่งดวงอาทิตย์ที่ตกลงและดวงจันทร์ก็ลอยขึ้น ดั่งเกิดแก่เจ็บตายบนโลกมนุษย์ที่เป็นกฎเกณฑ์ยิ่งใหญ่มากและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เฉินผิงอันที่เลื่อนสู่ขอบเขตห้า เมื่อผ่านศึกบนภูเขากู่หนิวของพื้นที่มงคลดอกบัวมาแล้วก็สามารถแยกจิตวิญญาณออกจากกัน แบ่งหนึ่งเป็นสาม น่าเสียดายที่สามารถยืนหยัดได้แค่เวลาหนึ่งชั่วลมหายใจ แต่ว่าเมื่อนำมาใช้ร่วมกับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่ไร้เหตุผลแล้ว ขอแค่ปล่อยหมัดเดียวออกไปก็เพียงพอ และเห็นได้ชัดว่าเหลือเฟือ
เมื่อหมัดโจมตีโดนขันทีก็เหมือนเสียงรัวกลองที่ดังขึ้นบนสมรภูมิรบ พริบตาเดียวก็ปล่อยไปสิบกว่าหมัด ทุกหมัดปะทะเนื้อส่งเสียงดังอื้ออึง
จิตของเฉินผิงอันสองคนกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณที่แท้จริง จิตวิญญาณแยกออกจากร่างได้ไม่นานนัก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการทำลายพลังต้นกำเนิด
หันกลับมามองการลงมือครั้งแรกของขันทีชุดหม่าง พวกจิ่วเหนียงและเหยาหลิ่งจือที่นอกจากจะตกตะลึงกับตบะที่สูงส่งของขันทีใหญ่ท่านนี้ที่สามารถปล่อยจิตหยินจิตหยางออกมาจากช่องโพรงลมปราณได้ในเวลาเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นตบะของเซียนดินแล้ว อันที่จริงคนสกุลเหยายังรู้สึกเหลือเชื่อด้วย ไหนบอกว่าโส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียนผู้นี้คือปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์อย่างไรเล่า? ทำไมถึงกลายมาเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่ฝึกวิชาอมตะขึ้นมาได้?
ขันทีผู้กุมตราประทับกองทหารม้าแห่งราชสำนักต้าเฉวียนคำนวณพลาดไปเรื่องหนึ่ง นั่นคือคิดไม่ถึงว่าชุดคลุมบนร่างของเฉินผิงอันจะมีระดับขั้นสูงถึงเพียงนี้ ถึงขนาดต้านทานจิตหยินของตนไว้ได้ ท่าไม้ตายยื่นมือควักหัวใจทำให้ปรมาจารย์ใหญ่ในยุทธภพตายไปด้วยมือข้างนี้มาหลายคนแล้ว ไม่ได้มีภาพเลือดโชกไหลนองอย่างแท้จริง แต่ท่าไม้ตายนี้จะทำให้ ‘ผืนนาหัวใจ’ ของคนคนหนึ่งแตกระแหง เพียงชั่วพริบตาหลอดเลือดหัวใจก็ถูกตัดขาดการเชื่อมโยงกับช่องโพรงทั้งหมด หลังจากตายไปแล้ว เรือนกายจะเหมือนไม้แห้งเหี่ยว คล้ายคลึงกับวิชาหนึ่งหมัดต่อยสะพานอมตะขาดสะบั้น
การที่ขันทีถูกมองเป็นปรมาจารย์ใหญ่ด้านวิถีวรยุทธ์ หาใช่เพราะคนผู้นี้ใช้เวทอำพรางตาต่ำช้าจงใจตบตาคู่ต่อสู้ไม่ แต่เป็นเพราะคนผู้นี้มีเรือนกายของปรมาจารย์อย่างแท้จริง เลือดลมอุดมสมบูรณ์ เส้นเอ็นและกระดูกแข็งแกร่ง มากพอจะทัดเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหกขั้นสูงสุดได้
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ประชิดตัว การคุมเชิงกันโดยใช้วิชาอาคมบนภูเขา หรือการใช้สมบัติอาคมโจมตีกันอยู่ไกลๆ ขันทีชุดหม่างต่างก็เชี่ยวชาญทั้งสิ้น นี่จึงเป็นเหตุให้เขาไม่กลัวการต่อสู้แลกชีวิตกับคนอื่นมากที่สุด
แต่พอโดนหมัดที่สองเข้าไป ขันทีก็ตระหนักได้แล้วว่าท่าไม่ดี ไม่ใช่เพราะพายุหมัดของฝ่ายตรงข้ามร้ายกาจอะไร แต่เป็นเพราะไม่ควรเลยที่เขาจะหลบไม่พ้น
ห้าหมัดผ่านไป ขันทีใหญ่ก็กระจ่างอยู่ในใจ พอจะไล่เรียงหลักการของหมัดนี้ออกมาได้คร่าวๆ
สิบหมัดผ่านพ้น ดูเหมือนขันทีจะล้มเลิกความคิดหลบเลี่ยงอย่างสิ้นเชิงแล้ว จึงไม่ได้ถอยหนี
แต่เลือกจะใช้การบาดเจ็บแลกมาด้วยการบาดเจ็บ
ในช่วงเวลานี้กระบี่บินชูอีกับสืออู่ต่างก็แยกกันจับจ้องเทพหยินและเทพหยางของขันที
ขันทีชุดหม่างที่มองดูเหมือนผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นผู้ฝึกลมปราณ กับเฉินผิงอันที่มองดูเหมือนผู้ฝึกกระบี่ แต่แท้จริงแล้วคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว
ในพื้นที่แคบๆ เพียงแค่สองช่วงแขน คนทั้งสองต่อสู้กันด้วยกระบวนท่าที่หยาบมาก เมื่อเทียบกับการบังคับกระบี่รับมือศัตรูของสุยโย่วเปียนที่อยู่บนชั้นสอง ประกายแสงดาบวาววับของหลูป๋ายเซี่ยงและสวี่ชิงโจว เว่ยเซี่ยนที่อยู่นอกประตูโรงเตี๊ยมที่ต่อสู้อย่างฮึกเหิมห้าวหาญ รอบกายมีแต่สมบัติอาคมที่ทอแสงเป็นประกายระยิบระยับ สร้างภาพปรากฎการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างหลากหลายแล้ว
การเข่นฆ่าระหว่างเฉินผิงอันกับขันทีแห่งต้าเฉวียน นอกจากคำว่าเร็วแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก ไร้รสชาติน่าเบื่อหน่าย แต่กลับอันตรายอย่างถึงที่สุด
ส่วนผู้ติดตามที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทั้งสองตัวต่างก็ไปหลบอยู่ตรงทางขึ้นบันไดหมดแล้ว พวกเขารู้ดีว่าศึกวุ่นวายในโรงเตี๊ยมครั้งนี้ พวกเขาไม่มีแม้แต่คุณสมบัติจะสอดมือเข้าแทรกด้วยซ้ำ
สำหรับคนเหล่านี้ จูเหลี่ยนที่เป็นคนเดียวที่อยู่ว่างไม่ได้ขัดขวาง แม้แต่จะมองให้เต็มตาสักครั้งยังไม่ทำ
บัณฑิตแซ่จงยืนเอนพิงโต๊ะคิดเงิน สายตาจับจ้องมองเฉินผิงอัน
เขาเดินทางท่องไปทั่วทิศ ไม่เคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนไหนปล่อยกระบวนท่าหมัดหนึ่งได้…คล่องแคล่วเหมือนเมฆคล้อยน้ำไหลเช่นนี้มาก่อน
ในเมื่ออายุยังไม่มากก็แสดงว่าคงต้องเคยเดินทางมาไกล เห็นภูเขาสูงและแม่น้ำสายใหญ่มามากมายแล้วกระมัง?
ปราณสังหาร ปราณดุดัน ปราณแห่งความเหี้ยมหาญล้วนไม่มีเลย แม้แต่กลิ่นอายของการช่วงชิงชัยชนะก็ยังไม่เข้มข้น
ทว่าพลังอำนาจของเขากลับเพียงพออย่างมาก
บัณฑิตรู้สึกใคร่รู้นักว่า จุดประสงค์ของวิชาหมัดนี้ของคนหนุ่มคืออะไรกันแน่
แต่คนเราย่อมมีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดลง ร่างกายและจิตวิญญาณต้องแบกรับการสะท้อนกลับของปณิธานหมัด เดิมทีนี่ก็เป็นวิธีสังหารศัตรูหนึ่งพัน ตัวเองเสียหายแปดร้อยอยู่แล้ว สำหรับหลี่หลี่โส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียนที่ชื่อเสียงเลื่องลือคนนี้ หากคนหนุ่มหยุดวิชาหมัดไว้เพียงเท่านี้ ต่อให้ยอมทนรับอาการบาดเจ็บ หมัดสุดท้ายสามารถ ‘สังหาร’ หลี่หลี่ได้สำเร็จ แต่ก็ยังไม่พอ ยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก
ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไม่ได้รับความสำคัญจากคนในโลก ไม่ได้รับความเคารพนับถือจากคนในราชสำนัก แต่ผู้คนกลับกราบไหว้เลื่อมใสพวกผู้ฝึกตน นั่นเพราะมีเหตุผล
พันหมื่นคาถาอาคม หนึ่งกระบี่ทำลายสิ้น
ประโยคนี้ได้รับความนิยมอย่างมากบนภูเขา หลายคนต่างก็รู้สึกว่าประโยคนี้บอกถึงความกริ่งเกรงที่มีต่อพลังสังหารของผู้ฝึกกระบี่ แต่แท้จริงแล้วไม่ถือว่าถูกทั้งหมด คำว่าพันหมื่นนั้นได้บอกให้รู้ถึงความร้ายกาจของผู้ฝึกตนแล้ว
กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าหมัดสุดท้ายของเฉินผิงอันสามารถต่อยให้ร่างของขันทีชุดหม่างแหลกสลายได้จริงๆ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ชุดหม่างสีแดงก็คล้ายกลายเป็นวัตถุมายาเลื่อนลอยไปด้วย
แต่เมื่อเฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าไม่มีเลือดสดสาดกระเซ็นออกมา ในใจเขาก็รู้แล้วว่าท่าไม่ดีจึงรีบใช้กระบวนท่าสยบเสินโถวในคัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริงเปลี่ยนมาเป็นท่าหมัดป้องกัน ถอยแล้วถอยอีก โชคดีที่ชูอีซึ่งโจมตีพลาดอย่างน่าแปลกใจมาโผล่อยู่ตรงหน้า บวกกับชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างก็น่าจะสามารถช่วงชิงเวลาผลัดเปลี่ยนลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เฮือกใหม่ได้
ใต้หล้าไพศาลไม่ใช่พื้นที่มงคลดอกบัว อยู่ที่นี่ ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับขั้นเท่าเทียมกัน รวมไปถึงผู้ฝึกลมปราณทุกคนต่างก็พากันจับจ้องช่วงเวลาที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเปลี่ยนลมปราณเฮือกใหม่เขม็ง
การกระทำนี้ของขันทีหลี่หลี่คล้ายการใช้ยันต์ตัวตายตัวแทนของอาจารย์ผู้จัดวางค่ายกลที่อยู่นอกป้อมอินทรีบินคนนั้น เพียงแต่ว่าหลี่หลี่ใช้การสลายจิตหยางเข้าไปแทนที่เรือนกายที่แท้จริง เปลี่ยนไปอยู่ในตำแหน่งที่กระบี่บินชูอีคุมเชิงอยู่ กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่ปล่อยไปอย่างไม่มีกักเก็บพลังครั้งนี้ของเฉินผิงอันจึงกลายมาเป็นม้าตีนปลายแรงแผ่วแล้ว
และการสลายจิตหยางก็แค่ทำให้โอสถทองที่ยังไม่สมบูรณ์แบบเม็ดนั้นของหลี่หลี่หม่นแสงลงเล็กน้อยเท่านั้น
เทพหยินตนนั้นใช้วิธีควักหัวใจ กางห้านิ้วเป็นตะขอยื่นเข้ามาอีกครั้ง ประหนึ่งหมัดต่อยลงบนกระดาษ ชุดคลุมอาคมจินหลี่เหมือนกระดาษเซวี่ยนจื่อที่มีความยืดหยุ่นทนทานอย่างถึงที่สุด เป็นเหตุให้จิตวิญญาณของเฉินผิงอันไม่ถึงขั้นแหลกสลายไปในคราวเดียว ยังคงปกป้องผืนนาหัวใจเอาไว้ได้ ทว่าด้วยเหตุนี้จินหลี่เองก็ถูกพันธนาการเอาไว้ ไม่เพียงเท่านี้ กระบี่บินชูอีที่อยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันก็เหมือนจมลงในบ่อโคลน ถูกกักอยู่ในร่างของจิตหยิน
หลี่หลี่มาโผล่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้ว เขาฝาดฝ่ามือหนึ่งตบสลายปณิธานหมัดของท่าสยบเสินโถว เดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ประกบสองนิ้วทิ่มเข้าที่จุดไท่หยางของเฉินผิงอัน
ร่างทั้งร่างของเฉินผิงอันไถลปลิวออกไปในแนวขวาง
ความแข็งแกร่งของหลี่หลี่ไม่ได้อยู่ที่เขาคือเซียนดินครึ่งตัวซึ่งเหยียบอยู่บนธรณีประตูของขอบเขตโอสถทอง แต่เป็นเพราะเขาได้ทั้งรุกและรับโดยไม่ต้องพึ่งพาวัตถุนอกกาย
ส่วนข้อที่ว่าหลี่หลี่มีสมบัติอาคมก้นกรุหรือไม่ก็ยิ่งบอกได้ยาก
หลี่หลี่ไม่ได้ฉวยโอกาสตามไปโจมตีต่อ เขายืนอยู่ที่เดิม ฝ่ามือที่ก่อนหน้านี้สลายท่าสยบเสินโถวกำเป็นหมัดแล้วคลายออกอย่างรวดเร็ว รอจนฝ่ามือแบออก เส้นลายมือบนฝ่ามือก็เริ่มขยับเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวาเหมือนเส้นด้ายสีแดงสด สุดท้ายกลายมาเป็นยันต์สีชาดแผ่นหนึ่ง ใช้สองนิ้วที่ประกบกันแล้วทิ่มลงตรงจุดไท่หยางของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ปาดผ่านฝ่ามือ พร้อมกับที่หลี่หลี่ท่องในใจสองคำว่า ‘เปิดยันต์’
เฉินผิงอันที่พยายามจะผลัดเปลี่ยนลมปราณรู้สึกเพียงว่ามีขุนเขากดทับลงมาเหนือศีรษะ ชายแขนเสื้อสองข้างและไหล่แต่ละฝั่งของชุดคลุมอาคมจินหลี่ปรากฎยันต์หนึ่งแผ่นที่ส่องประกายแสงศักดิ์สิทธิ์
ตรงจุดของไท่หยางของเฉินผิงอันก็มีเลือดสดไหลลงมาเป็นสาย
“ข้าเองก็มีหนึ่งหมัด ถือซะว่านี่คือของขวัญรับแขกของราชวงศ์ต้าเฉวียนเราก็แล้วกัน”
หลี่หลี่ยิ้มบางๆ พลางเดินมาเบื้องหน้า ระหว่างที่พูดประโยคนี้ ขันทีเฒ่าที่ชายแขนเสื้อกว้างของชุดหม่างสั่นสะเทือนไม่หยุดเอียงก็ศีรษะหลบชูอีที่จู่โจมมาทางท้ายทอยด้านหลังไปด้วย เขาใช้ปลายนิ้วคีบกระบี่บินแล้วขว้างออกไปเบาๆ ชูอีก็ไปกระแทกโดนสืออู่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลพอดี
แค่ก้าวเดียวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน
มือซ้ายของหลี่หลี่ที่มียันต์อยู่กลางฝ่ามือวางลงบนหัวใจของเฉินผิงอันอย่างผ่อนคลาย ส่วนมือขวากำเป็นหมัดต่อยกระแทกลงบนหลังมือของตัวเอง
ประหนึ่งค้อนตอกตะปูให้ปักตรึงลงไปในชุดคลุมอาคมจินหลี่อย่างแน่นหนาด้วยพละกำลังหนักอึ้งมหาศาล
เฉินผิงอันถอยกรูดไปหลายก้าว
หลี่หลี่ตามติดเป็นเงา ยังคงใช้หมัดตีฝ่ามือซ้ำไปอีกหนึ่งหมัด ชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างของเฉินผิงอันโบกสะบัดอย่างรุนแรง ปราณวิญญาณแห่งแม่น้ำและภูเขารวมถึงลมพายุของผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในชายแขนเสื้อแตกสลายสาดกระเซ็นในเวลาเดียวกัน
เฉินผิงอันถอยแล้วถอยอีก
คราวนี้หลี่หลี่ไม่ได้ตามไป แค่ยื่นนิ้วออกมาคีบเชือกสีทองเส้นหนึ่งที่โผล่มาตรงลำคอ ออกแรงกระชากหนึ่งครั้ง ตรงลำคอก็ปรากฏเป็นรอยเลือด หลี่หลี่กลับไม่รู้สึกรู้สากับบาดแผลนี้ ปล่อยให้เชือกสีทองที่น่าจะเป็นเชือกพันธนาการปีศาจรัดพันข้อมือ ชายแขนเสื้อชุดหม่างถูกฉีกกระชากจนขาดวิ่น บนแขนถูกรัดเป็นรอยช้ำหลายเส้น หลี่หลี่จุ๊ปากพูด “บนร่างมีของดีเยอะจริงๆ นี่คงเป็นสมบัติอาคมอีกชิ้นหนึ่งสินะ น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่ทั้งผู้ฝึกกระบี่ และไม่ใช่ทั้งผู้ฝึกลมปราณ เลยใช้พวกมันได้ไม่คล่องมือ ไม่อย่างนั้นหมัดที่สามของข้าคงไม่มีโอกาสส่งไปให้เจ้าเร็วขนาดนี้”
ที่แท้หลังจากที่มือขวาของหลี่หลี่ถูกเชือกพันธนาการปีศาจสีทองรัดพัน มือซ้ายที่มียันต์ก็กำเป็นหมัดอีกครั้งแล้วชี้ไกลๆ มายังหน้าผากของเฉินผิงอัน เพียงเท่านั้นตรงหว่างคิ้วของเฉินผิงอันก็เหมือนถูกโจมตีอย่างรุนแรง ผิวหนังปริแตก เลือดซึมออกมา ศีรษะผงะหงายไปข้างหลัง เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันกระทืบเท้าลงบนพื้นหนักๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ฝืนบังคับตัวเองไม่ให้ล้มหงายลงบนพื้น
จุดลึกในดวงตาของหลี่หลี่มีพยับเมฆอึมครึมวูบผ่าน ด้านหลังของเขาก็คือกระบี่บินชูอีกับสืออู่ที่โรมรันอยู่กับจิตหยินซึ่งออกมาจากช่องโพรงของตนอย่างไม่ยอมเลิกรา
หลี่หลี่แค่นเสียงหัวเราะหยัน “เจ้าตัวน้อยทั้งสองมีใจจงรักภักดีเหมือนสกุลเหยาจริงๆ น่าเสียดายที่พวกเจ้าไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิต พลานุภาพจึงถูกลดทอน หากสามารถกำจัดสติปัญญาของพวกเจ้าได้ ไม่แน่ว่าเมื่อข้านำมาใช้งานอาจจะมีเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึง”
ทันใดนั้นจิตหยินของเขาก็พลันมีสามเศียรหกกร ใบหน้าแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่หน้าตาของ ‘ขันทีวัยกลางคน’ เหมือนหลี่หลี่ แต่เป็นใบหน้าของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามองค์ในศาลบู๊ของราชวงศ์ต้าเฉวียน แบ่งออกเป็นชายฉกรรจ์เคราดก แม่ทัพฝ่ายบุ๋นลักษณะสุภาพสง่างาม และผู้เฒ่าท่าทางทึ่มทื่อคนหนึ่ง แขนสามคู่แบ่งเป็นถือคทาเหล็กหนึ่งคู่ ขวานหนึ่งคู่และทวนเหล็กหนึ่งด้าม ซึ่งอาวุธเหล่านี้ล้วนเกิดจากการรวมตัวกันของควันธูป
แม้ว่าหลี่หลี่จะต้องแบ่งสมาธิไปจับตามองการ ‘ปะทะ’ กันระหว่างจิตหยินกับกระบี่บินสองเล่ม แต่ก็ไม่ส่งผลต่อการป้องกันเฉินผิงอันของเขา
โส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียนซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปในหลายแคว้นภาคกลางของใบถงทวีปผู้นี้ แม้จะพลาดโอกาสการโจมตีครั้งแรกไป แต่ภายหลังกลับยึดครองความได้เปรียบอย่างมั่นคง แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนั่นจะทนรับหมัดได้มากขนาดนี้ ตอนนี้ตรงจุดไท่หยางของเขายังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด แต่กลับยังทำท่าเหมือนไม่เป็นอะไร เขาได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส ทว่าจิงชี่เสินที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่งกว่าปณิธานหมัดบนร่างของเขากลับไม่เพียงแต่ไม่ทรุดดิ่งลงเหว กลับยังไต่ทะยานขึ้นสูงอีกด้วย?
แต่ก็ไม่เป็นไร หลี่หลี่สามารถใช้มีดทื่อแล่เนื้อคน เขาจะค่อยๆ เผาผลาญรากฐานของคนหนุ่มผู้นี้ไปก็แล้วกัน ต่อให้คนหนุ่มสามารถปล่อยหมัดมั่วซั่วได้อีกชุดหนึ่ง อย่างมากตนก็แค่สูญเสียจิตหยินไปชั่วคราว ทว่าทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของคนหนุ่มย่อมไม่มีทางต้านทานได้ไหว ใช่ว่าหลี่หลี่จะไม่อยากรีบรบรีบจบ แต่เขากลับทำแบบนั้นไม่ได้ หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดหรือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรทั่วไป ป่านนี้คงถูกเขาฆ่าตายไปสองรอบแล้ว
ระหว่างที่หลูป๋ายเซี่ยงประมือกับสวี่ชิงโจวก็ตกเป็นรองเช่นกัน
หนึ่งเพราะหลูป๋ายเซี่ยงไม่เหมือนเว่ยเซี่ยน เขาเพิ่งเดินออกมาจากภาพวาด ยังปรับตัวเข้ากับการกรอกเทปราณวิญญาณสู่ร่างกายของใต้หล้าไพศาลไม่ได้ สองคือบนร่างของสวี่ชิงโจวสวมเสื้อเกราะจินอูจิงเหว่ย หากไม่เป็นเพราะดาบแคบหยุดหิมะในมือคือวัตถุของเซียนดินก่อกำเนิดที่หายสาบสูญไปนานของภูเขาไท่ผิง เกรงว่าหลูป๋ายเซี่ยงคงไม่เหลือพละกำลังให้เอาคืนแล้ว
แม้ว่าตรงหน้าอกและหัวไหล่ของหลูป๋ายเซี่ยงต่างก็มีแผลถูกมีดฟันลึกจนเห็นกระดูกขาว ทว่าบรรพบุรุษผู้บุกเบิกลัทธิมารของพื้นที่มงคลดอกบัวท่านนี้กลับยังมีสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าเขารู้สึกสนใจวิชาดาบของสวี่ชิงโจวแม่ทัพฝ่ายบู๊ของต้าเฉวียนผู้นี้มากกว่าคิดจะเอาชนะเขา
แม้ว่าสุยโย่วเปียนจะมีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่การเข่นฆ่าระหว่างนางกับสวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่กลับเหมือนการประมือกันระหว่างผู้ฝึกลมปราณสองคนมากกว่า
เห็นได้ชัดว่าสวีถงคิดว่าสตรีผู้นี้คืออาจารย์กระบี่ ต่อให้รับมือได้ยาก แต่ขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ที่หล่อเลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ นั่นก็ไม่เป็นไร
เว่ยเซี่ยนที่อยู่นอกประตูต่อสู้อย่างเต็มคราบ
ลมพายุหนาข้นและแข็งแกร่งผุดขึ้นต่อเนื่องไม่ขาดสาย บวกกับเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่เฉินผิงอันมอบให้ ส่วนบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ที่มาจากฝีมือของพวกปลาที่หลุดรอดตาข่ายก็ยิ่งไม่เจ็บไม่คันสำหรับเขา
อันที่จริงสองฝ่ายที่เข่นฆ่ากันคอยจับตามองผลแพ้ชนะจากขันทีหลี่หลี่และเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา
สุยโย่วเปียนเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน “คุณชาย?”
เฉินผิงอันที่บาดแผลเต็มร่างแค่ส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร
ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นได้แต่ปล่อยค้างเติ่งเอาไว้ ไม่กล้าผลัดเปลี่ยน
หลี่หลี่ถามยิ้มๆ “ทำไม มีฝีมือแค่นี้เองหรือ?”
หากเฉินผิงอันไม่ได้สวมจินหลี่ เกรงว่าป่านนี้กลิ่นคาวเลือดจากร่างของเขาคงโชยคลุ้งให้คนทั้งโรงเตี๊ยมได้กลิ่นแล้ว
ยันต์กลางฝ่ามือที่หลี่หลี่ ‘ตอกเข้ามา’ ในหัวใจของเฉินผิงอัน จินหลี่ช่วยสกัดกั้นไว้แค่เกินครึ่งเท่านั้น ยังคงมีอีกเกือบครึ่งที่แทรกซอนเข้ามาในหัวใจ
ความเจ็บปวดนั้นไม่ต่างจากถูกคว้านหัวใจ
หน้าผากผุดพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อ พอปะปนกับเลือดบนใบหน้าก็ไหลมาตามโครงหน้าของคนหนุ่ม แล้วหยดติ๋งลงบนพื้น
จิตสังหารในใจหลี่หลี่ยิ่งเข้มข้นมากกว่าเดิม
หลี่หลี่กำลังรอให้ปราณที่แท้จริงของเฉินผิงอันถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น หากบอกว่าคนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้สามารถอาศัยความเด็ดเดี่ยวฝืนข่มกลั้นความเจ็บปวดจากบาดแผลทางกายไว้ได้ ทว่าขอแค่ปราณแท้จริงแหลกสลาย โอกาสของหลี่หลี่ก็มาถึงแล้ว เขารอได้ แต่เฉินผิงอันรอไม่ได้ ดังนั้นหลี่หลี่จึงไม่คิดได้คืบจะเอาศอกโดยการต่อสู้ประชิดตัวกับเฉินผิงอันอีก แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีการควบคุมจิตหยินและจิตหยางให้ออกจากช่องโพรงในเวลาเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว หากไม่เป็นเพราะโอสถทองครึ่งเม็ดทำให้รากฐานปราณวิญญาณของหลี่หลี่เหนือกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตเดียวกันไปมาก เทพหยินที่อยู่ด้านหลังตนนั้น อย่าว่าแต่จะรักษาสภาพสามเศียรหกกรของอริยะบู๊ไว้ได้เลย แค่ต้องรับมือกับกระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีสืออู่ก็อาจจะแหลกสลายไปเอง และกลับคืนมาสู่ร่างจริงของหลี่หลี่นานแล้ว
หางตาของหลี่หลี่ชำเลืองมองไปยังผู้เฒ่าที่นั่งยองอยู่บนราวระเบียงชั้นสอง
เขารู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย เหตุใดอีกฝ่ายถึงเอาแต่นิ่งดูดายอยู่ตลอดเวลา
ในช่วงเวลาที่หลี่หลี่ทอดสายตามองไปยังจูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์ เฉินผิงอันคล้ายคว้าจับโอกาสที่กำลังจะผ่านเลยไปไว้ได้ เขาเริ่มทำการผลัดเปลี่ยนลมปราณ
หลี่หลี่หัวเราะหยันอยู่ในใจไม่หยุด ดิ้นรนก่อนตาย ทว่าคราวนี้เจ้าแพ้เดิมพันแล้ว
จิตหยินพลันพุ่งมาหยุดอยู่ด้านหน้าเฉินผิงอันแล้วขว้างอาวุธห้าชิ้นที่ถือไว้ด้วยหกมือใส่เขาไม่ยั้ง
ส่วนหลี่หลี่นั้นหันไปรับมือกับกระบี่บินสองเล่มด้วยตัวเอง ปราณวิญญาณสีขาวหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนไหลออกมาจากชุดหม่างสีแดง คล้ายรังแมงมุมขนาดใหญ่ยักษ์ที่บดบังขัดขวางทางไปช่วยเจ้านายของชูอีกับสืออู่อย่างสิ้นเชิง แม้ว่าใยแมงมุมสีขาวเหล่านี้จะไม่สามารถกักตัวกระบี่บินไว้ได้ แต่ขอแค่ชะลอความเร็วของพวกมันได้เล็กน้อย หลี่หลี่ก็สามารถมาปรากฎตัวอยู่ใกล้กระบี่บิน จากนั้นก็ใช้นิ้วดีด หรือไม่ก็สะบัดชายแขนเสื้อโจมตีกระบี่บินทั้งสองเล่มได้อย่างง่ายดาย
หลี่หลี่รู้สึกขบขันเล็กน้อย
คนหนุ่มผู้นี้ไม่รู้จักกลัวตายเอาซะเลย ที่แท้เขาไม่ได้ผลัดเปลี่ยนลมปราณ แต่ที่ทำอย่างนั้นก็คงเพราะอยากหลอกให้ตนเข้าไปใกล้ แต่จะมีความหมายอะไรเล่า? วันนี้เขาบุ่มบ่ามออกหน้าให้ตระกูลเหยา ตอนนี้ที่ใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังคงบุ่มบ่ามอยู่ดี คงเป็นเพราะชาติกำเนิดของคนหนุ่มสูงส่งเกินไป อีกทั้งยังมียอดฝีมือเป็นข้ารับใช้ ชั่วชีวิตที่ผ่านมาเจอแต่ความราบรื่นสมหวัง ก็เลยไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
แต่คู่ต่อสู้ที่มีภูมิหลังน่าตะลึงเช่นนี้ ในเมื่อกลายเป็นศัตรูคู่แค้นกันแล้วก็ควรจะตัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก หากปล่อยเสือกลับภูเขา ไม่แน่ว่าตลอดทั้งราชวงศ์ต้าเฉวียนอาจต้องเจอกับปัญหาใหญ่เทียมฟ้า
เปรียบเทียบกับทุกหมัดปะทะเนื้อของเฉินผิงอันกับหลี่หลี่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้การทุบตีจากเทพหยินกลับยิ่งน่าตะลึงพรึงเพริดมากกว่าเดิม
ยังดีที่สิ่งนี้ไม่ได้แปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอันนัก ตอนที่อยู่บนภูเขากู่หนิวแล้วต้องรับมือกับกายธรรมร่างทองของติงอิงก็เป็นปรากฎการณ์ภูเขาถล่มพื้นดินปริแตกแบบนี้ไม่ใช่หรือ?
เพียงแต่ว่าคราวก่อนเฉินผิงอันได้แค่ฝืนทนรับเอาไว้ ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน ภูเขากู่หนิวทั้งลูกถูกร่างทองของติงอิงทุบตีเสียจนระเบิดแตกกระจาย
ตอนนี้เฉินผิงอันแค่ต้องต่อยตีกับเทพหยิน ‘เล็กๆ ’ ตนหนึ่งเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีใครหลบเลี่ยงใคร
ชุดคลุมอาคมจินหลี่จากที่เป็นสีหิมะขาวโพลนเพราะถูกร่ายเวทบังตาก็กลับคืนสภาพเดิมกลายมาเป็นสีทองแล้ว
หลังจากที่เฉินผิงอันปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าไปสิบหมัด ประกายในดวงตาของหลี่หลี่หม่นมัวลงเล็กน้อย แต่เขากลับยังไม่สนใจ ปล่อยให้คนหนุ่มรัวหมัดใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า
เทพหยินสามเศียรหกกรที่มีหน้าตาท่วงท่าเหมือนอริยะในศาลบู๊แหลกสลายดั่งไอหมอก ปราณวิญญาณแผ่กระจายไปสี่ทิศ
ส่วนชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็ปรากฏรอยกรีด รอยแตกยับเป็นริ้วๆ ตอนนี้ยังไม่อาจกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ อีกทั้งปราณวิญญาณบนชุดยังกระจัดกระจายอย่างยุ่งเหยิงด้วย
หลี่หลี่กระชากชุดหม่างสีแดงสดที่สภาพขาดวิ่นไม่เหลือดีตัวนั้นทิ้งไป มองคนหนุ่มที่หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ฝ่ามือและหลังมือทั้งสองข้างต่างก็เปรอะเลอะไปด้วยเลือด เขาพยายามฝืนเบิกตาสองข้างขึ้น ใบหน้ามีเลือดสดไหลนอง ดูเหมือนว่าจะมีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ยังคงใสสะอาดกระจ่างแจ้ง
หลี่หลี่เอ่ยกลั้วยิ้ม “น่าเสียดายที่เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว นี่หมายความว่าเจ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับใบถงทวีปและสำนักกุยหยก ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงๆ”
เฉินผิงอันหลับตาลงข้างหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “ร่างจำแลงสองร่างนี้ของเจ้าทนรับการทุบตีไม่ได้เลย เพิ่งจะสิบเจ็ดสิบแปดหมัดก็แตกสลายซะแล้ว เทียบติงอิงไม่ได้ด้วยซ้ำ”
หลี่หลี่ยิ้มบางๆ “แล้วยังไง?”
เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “หลังจากนี้ขอแค่ข้าปล่อยไปอีกสามหมัดก็สามารถแลกชีวิตกับเจ้าได้แล้ว เจ้ากลัวหรือไม่?”
หลี่หลี่ตอบรับด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ
อีกอย่างในฐานะโส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียน ผู้ที่สร้างโอสถทองได้ครึ่งเม็ดอย่างเขา จะไม่มีวิธีรับมืออื่นเตรียมรอไว้เลยได้อย่างไร ก็แค่ต้องจ่ายค่าตอบแทนมากหน่อยเท่านั้น
ค่าตอบแทนที่ว่ามากนั้น มากกว่าชีวิตของเขาด้วยซ้ำ
คนทั้งสองต่างก็เงียบงันกันไป ผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่หลี่พลันขมวดคิ้ว พูดเสียงเฉียบว่า “เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง เหตุใดถึงใช้วิธีการที่ตรงกันข้าม แอบดึงดูดปราณวิญญาณมาใช้?!”
หลี่หลี่ถอยหลังไปหลายก้าว เข้าใจว่าคนผู้นี้จงใจเปิดประตูใหญ่ให้แก่ช่องโพรงลมปราณแต่ละแห่ง ปล่อยให้ปราณวิญญาณกรอกเทเข้าสู่ร่าง นี่ก็คือโอกาสที่เจ้าเด็กคนนี้ช่วงชิงมาทำให้เขาต้องพินาศวอดวายไปด้วย
เสียสติไปแล้วจริงๆ
บัณฑิตแซ่จงพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้า
ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวใช้ปราณวิญญาณหล่อหลอมจิตวิญญาณ ช่างใจกล้ายิ่งนัก แต่ก็อันตรายมากเช่นกัน
ถ้าอย่างนั้นหมัดที่สามก็มีโอกาสส่งออกไปแล้ว
หากหลี่หลี่ประมาทก็ต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่
ศึกครั้งนี้ถือว่าไม่เหนื่อยเปล่าสำหรับคนหนุ่ม ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้ากำลังตามหาดีแห่งวีรบุรุษก้อนหนึ่ง (ดีสามารถเปรียบเปรยได้ถึงความใจกว้าง ความกล้าหาญ) อย่างยากลำบาก จิตหยินที่แปลกประหลาดของโส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียนผู้นี้ก่อกำเนิดขึ้นจากการนิมิตถึงอริยะสามท่านในศาลบู๊พอดี แต่นิมิตนี้เป็นวิธีนอกรีต เป็นที่สงสัยว่าเป็นการหมิ่นประมาททวยเทพ อีกทั้งยังทำลายโชคชะตาฝ่ายบู๊ เท่ากับว่าหลี่หลี่เอาของส่วนรวมมาใช้ส่วนตัว เชื่อว่าคนในราชสำนักต้าเฉวียนก็อาจจะไม่รู้ความจริงเรื่องนี้ ศึกระหว่างคนหนุ่มกับเทพหยิน เมื่อเขาคว้าชัยชนะมาได้แล้วเทพหยินเหล่านั้นก็แตกสลาย อริยะบู๊แห่งราชวงศ์สกุลหลิวสามท่านย่อมต้องสัมผัสได้ถึง ในอนาคตหากคนหนุ่มมีโอกาสเดินทางไปเมืองหลวงต้าเฉวียน เข้าไปในศาลบู๊แห่งนั้น เชื่อว่าต้องได้รับการตอบแทนอย่างดีแน่นอน
แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้นได้ คนหนุ่มกับพวกผู้ติดตามท่าทางประหลาดของเขาต้องรอดชีวิตไปจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้ให้ได้เสียก่อน
เขารับปากอีกฝ่ายไว้ว่าจะช่วยเก็บกวาดให้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะช่วยปกป้องคนหนุ่มผู้นั้น
ขันทีหลี่หลี่กวาดตามองไปรอบด้านแล้วเดินออกไปสิบกว่าก้าว มาหยุดข้างโต๊ะเหล้าตัวหนึ่ง หยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่มเหล้าแล้ววางลงเบาๆ มองผู้ติดตามหนุ่มทั้งหลายที่อยู่ตรงทางขึ้นบันได คนหนึ่งในนั้นคือท่านโหวน้อย คนหนึ่งคือลูกหลานแม่ทัพหลงเซียง คนอื่นๆ ก็ถือเป็นทหารผู้กล้าแห่งกองทหารรักษาพระองค์ที่อนาคตกว้างไกล
เจ้าเศษสวะสวี่ชิงโจว ไม่เพียงแต่ไม่สามารถจัดการกับเจ้าคนใช้ดาบผู้นั้นได้ กลับกันยังกลายเป็นคนป้อนกระบวนท่าดาบให้อีกฝ่ายดูโดยที่ตัวเองดันไม่รู้ตัว
สวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ยังจมจ่อมอยู่กับพลังอำนาจของวิชาสายฟ้านอกรีตผายลมสุนัข นึกว่าตัวเองจะกุมชัยชนะไว้ได้อยู่มือ แต่กลับไม่รู้เลยว่านังผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่อาจารย์กระบี่ เพียงแค่มีปณิธานแห่งกระบี่แตกหน่อขึ้นในใจประดุจต้นไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่มีชีวิตชีวาเท่านั้น พรสวรรค์ของอีกฝ่ายดีเยี่ยมจนสมควรเรียกว่าเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่แล้ว
ส่วนตรงนอกประตูก็ยิ่งตีกันอย่างครึกครื้น ทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกผลัดกันรับ แต่ก็แค่มองดูแล้วคึกคักเท่านั้น
สุดท้ายหลี่หลี่มองไปทางสตรีแต่งงานแล้วกับผู้เฒ่าหลังค่อม เขาไม่สนใจคนทั้งสองแม้แต่น้อย กลับเป็นบัณฑิตตกอับคนนั้นที่หลี่หลี่รู้สึกมองไม่ออก แต่เขาก็ไม่คิดอะไรมาก
ในโรงเตี๊ยม ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือเป็นคนกันเอง ทุกคนล้วนต้องตายทั้งหมด
หลี่หลี่โบกมือหนึ่งครั้ง ประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมก็พลันปิดลงดังปัง
จูเหลี่ยนเอ่ยเนิบช้า “ระวัง”
หลี่หลี่ยื่นมือมาวางทับไว้ตรงท้องนอกจุดตันเถียนแล้วเริ่มสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่
ทุกครั้งที่พ่นลมหายใจจะต้องมีไอสีแดงสดถูกพ่นออกมาด้วย
เฉินผิงอันกระโจนไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ
กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าถูกปล่อยไปเป็นครั้งที่สาม
หมัดนั้นต่อยลงบนหลังมือที่วางแนบติดกับหน้าท้องของขันที
ส่วนหลี่หลี่ก็ปล่อยหนึ่งหมัดต่อยเข้าที่หัวใจของเฉินผิงอัน
แค่หมัดง่ายๆ สองหมัดเท่านั้น
หลี่หลี่หงุดหงิดอย่างถึงที่สุด สภาพจิตใจของเขาเหมือนไม่ใช่จิตใจของเซียนดิน ขันทีในวังลึกผู้กุมกองทัพม้าคอยปกป้องเมืองหลวงอีกต่อไป สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนมาเป็นดุดัน ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ยกฝ่ามือตบฉาดลงบนจุดไท่หยางของเฉินผิงอัน
ครึ่งร่างของเฉินผิงอันปลิวออกไป มีเพียงสองเท้าที่ปักตรึงอยู่กับพื้น นั่นก็เพื่อปล่อยหมัดครั้งต่อไป
แต่ละหมัดที่ปล่อยออกไปล้วนเร็วกว่าหมัดก่อนหน้า
ส่วนแต่ละหมัดของหลี่หลี่ก็ยิ่งมีพลังอำนาจดุจสายฟ้า
กระบี่บินชูอีกับสืออู่ที่แทงเข้าไปในร่างของคนผู้นี้ แต่กลับเหมือนเข้าไปอยู่ในเขาวงกต พุ่งชนอยู่ท่ามกลางช่องโพรงลมปราณของอีกฝ่ายอย่างสะเปะสะปะ หาทางออกไม่เจอเสียที
กระดูกในร่างของเฉินผิงอันส่งเสียงลั่นแตกเป็นระลอก
บนใบหน้าของหลี่หลี่ที่ผ่านการบำรุงรักษาอย่างดีจึงยังเหมือนคนวัยกลางคนมีเส้นใยลอยขึ้นมา บางจุดปูดนูน บางจุดเว้ายวบลงไปราวกับว่าใบหน้านี้เป็นของปลอม
โอสถทองที่สร้างได้ครึ่งเม็ดระเบิดแตกดังโพล๊ะ
เพียงแต่วาเป็นเพียงชั้นผิวภายนอกเท่านั้นที่ระเบิดแตก เหมือนที่ก่อนหน้านี้หลี่หลี่ถอดชุดหม่างสีแดงคลุมกายทิ้งไป
จูเหลี่ยนถอนหายใจอยู่ในใจ ราวระเบียงใต้ฝ่าเท้าระเบิดแตก พื้นกระดานก็ปริร้าวตามไปด้วย เขาพลิ้วกายลงมายังชั้นหนึ่ง ความเร็วนั้นดั่งพายุลมกรด ย่างก้าวสองสามก้าวเหมือนไม่ใส่ใจ แต่กลับมาหยุดอยู่ข้างกายหลี่หลี่แล้ว เขาดีดปลายเท้าเล็กน้อย ร่างก็ทะยานขึ้นสูง ก่อนจะตีศอกใส่ศีรษะของขันทีเฒ่าที่อายุมากถึงเก้าสิบปีผู้นี้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งชักออกมาอย่างว่องไว ทำมือเป็นมีดที่แทงทะลุเข้าไปยังลำคอของหลี่หลี่
หลี่หลี่ที่เดิมทีควรต้องตายอย่างมิต้องสงสัยกลับยังคงออกหมัดต่อยเฉินผิงอัน พอเขาปล่อยหนึ่งหมัดไปแล้ว เลือดสดก็ไหลทะลักออกมาจากหูทั้งสองข้างของเฉินผิงอันเหมือนน้ำพุพุ่ง
ส่วนจูเหลี่ยนนั้นปลิวกระเด็นออกไปดังตูม ร่างกระแทกเข้ากับผนังที่อยู่ห่างไปไกลจนผนังแตกผัง แล้วหล่นตุ้บลงด้านนอก
หลี่หลี่ที่ลำคอถูกแทงทะลุสีหน้าเฉยเมย ใจคิดแต่ว่าต้องฆ่าคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าให้ได้ก่อน ส่วนคนอื่นๆ หลังจากที่เขาเผยร่างแท้จริงแล้ว ต่อให้ร่วมมือกันมาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ร่างของจูเหลี่ยนลอยหวือไปตกท่ามกลางกองทัพทหารม้าที่อยู่ด้านนอก อยู่ดีๆ มีคนคนหนึ่งลอยออกมา ทำเอาพวกทหารตกใจขวัญกระเจิง ในขณะที่กำลังจะล้อมสังหารคนผู้นี้ จูเหลี่ยนกลับถ่มเลือดออกมาหนึ่งคำ กลิ้งตัวไปด้านหลัง พอลุกขึ้นยืนก็เหมือนวานรที่ปีนป่ายอยู่ในป่า และความดุร้ายอำมหิตของคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ก็ได้สำแดงออกมาอย่างไม่มีกักเก็บไว้ มือทั้งคู่ของเขาดึงแขนสองข้างของทหารม้าคนหนึ่งกระชากออก ฉีกแขนทั้งสองข้างของคนผู้นั้นไปโดยตรง
ครั้นแล้วจึงใช้ฝ่ามือตบเข้าที่ศีรษะของทหารม้านายนั้น เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว
หมัดหนึ่งต่อยเข้าที่หน้าอกทะลุเรือนกาย เพราะรังเกียจที่ศพนี้ขวางหูขวางตา จึงทำมือเป็นมีดฟันฉับเป็นแนวเฉียงตั้งแต่ไหล่จนถึงหน้าท้อง ศพของคนผู้นั้นถูกผู้เฒ่าหลังค่อมฟันผ่าออกเป็นสองท่อน เลือดสดและไส้ไหลทะลักนองเต็มพื้น
ในโรงเตี๊ยม
สวีถงและสวี่ชิงโจว สุยโย่วเปียนและหลูป๋ายเซี่ยง ต่างฝ่ายต่างหยุดมือพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เพราะการเปลี่ยนแปลงของขันทีหลี่หลี่น่าเหลือเชื่อเกินไป
สัญชาตญาณทำให้พวกเขาทุกคนมองหลี่หลี่เป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด
และเวลานี้เอง จิ่วเหนียง ผู้เฒ่าหลังค่อม เด็กหนุ่มขาเป๋และเหยาหลิ่งจือที่อยู่บนชั้นสองต่างก็ตัวอ่อนนอนพังพาบอยู่บนพื้นอย่างน่าประหลาดใจ
ไม่รู้ว่าบัณฑิตตกอับแซ่จงมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังหลี่หลี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งใช้สองนิ้วคีบยาเม็ดสีแดงสดไว้หนึ่งเม็ด ก้มหน้าลงจ้องมองมันนิ่งๆ พลางพึมพำกับตัวเองว่า “มิน่าเล่า”
บัณฑิตออกแรงเล็กน้อย โอสถทองที่แท้จริงเม็ดนี้ก็ถูกบีบจนแตก
ได้ยินว่าเฉินผิงอันที่อยู่ด้านหลังต่อยหมัดใส่หน้าอกของขันทีที่ตายไปแล้ว และกระดูกมือของเฉินผิงอันก็แตกละเอียดไปหมด บัณฑิตก็หันหน้ากลับมา เนื่องจากยังมีหลี่หลี่ที่ร่างยังไม่ล้มลงขวางอยู่ เขาจึงได้แต่ขยับตัวเบี่ยงออกมา แสยะยิ้มให้เฉินผิงอัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส “น้องชายคนนี้ เจ้าไม่รู้จักเจ็บหรือไร?”
เฉินผิงอันยังคงจมจ่อมอยู่กับปณิธานหมัดของตัวเอง
อันที่จริงหมัดสุดท้ายไม่ถือว่ามีพลังพิฆาตอะไร มันค่อนข้างจะเบาหวิวด้วยซ้ำ ต้องรู้ว่ากระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าคือวิชาหมัดที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยซึ่งเคยยืนอยู่บนยอดสูงสุดของขอบเขตสิบวิถีวรยุทธ์ภาคภูมิใจมากที่สุด และหวังจะนำกระบวนท่าหมัดนี้ไปถามมรรคาจารย์เต๋าว่าสูงหรือต่ำ
ร่างของเฉินผิงอันโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ การมองเห็นพร่าเลือน เขายังพอจะมองเห็นได้ว่าขันทีที่ลำคอแหลกเละผู้นั้นไหล่ลู่คอตก เสียงตุ้บดังหนึ่งครั้ง อีกฝ่ายก็ลงไปนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น เฉินผิงอันสัมผัสไม่ได้ถึงพลังชีวิตของเขา
เฉินผิงอันยืนอยู่ท่าเดิม ยังคงค้างอยู่ในท่าปล่อยหมัด ไม่ได้เก็บหมัดกลับมา นาทีนี้ในหัวของเขามีแค่ความคิดเดียว โชคดีที่หมัดสุดท้ายนี้ไม่ได้ปรากฏอยู่ในสายตาของผู้เฒ่าเปลือยเท้า ไม่อย่างนั้นผู้เฒ่าต้องด่าเขาจนไม่เหลือชิ้นดีแน่
บัณฑิตมองสวีถงและสวี่ชิงโจว กะพริบตาปริบๆ ถามว่า “วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ คำพูดหลอกเด็กพวกนี้ พวกเจ้าเชื่อจริงๆ หรือ?”
สวีถงกับสวี่ชิงโจวกลืนน้ำลาย
แขนสองข้างของเฉินผิงอันห้อยตกลง นั่งแปะลงไปบนพื้น ขยับขานั่งขัดสมาธิ
ใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายกำสองมือเป็นหมัดวางลงบนหัวเข่าเบาๆ ได้แต่ลืมตาข้างเดียว
ชุดคลุมอาคมจินหลี่เสียหายอย่างหนัก ปราณวิญญาณบางเบาจนแทบไม่เหลืออยู่ สูญเสียประสิทธิภาพไปชั่วคราว
เลือดสดที่ท่วมร่างเขาเด่นชัดสะดุดตายิ่งกว่าชุดหม่างสีแดงสดที่หลี่หลี่สวมก่อนหน้านี้ซะอีก
บัณฑิตพูดกับคนหนุ่มว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคู่ต่อสู้ของตัวเองคืออะไร?”
แต่เพราะในโรงเตี๊ยมยังมีคนอยู่อีกมาก บัณฑิตจึงไม่ได้บอกคำตอบออกมา ก่อนที่ตนจะลงมือ ลมปราณของคนหนุ่มได้เปลี่ยนแปลงไป นั่นน่าจะเป็นวิชารักษาตัวรอดที่อีกฝ่ายอำพรางไว้อย่างลึกล้ำ หรือไม่ก็เป็นกระบวนท่าสังหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด บัณฑิตพอจะเดาออกแค่เล็กน้อยเท่านั้น
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นช้าๆ ยังคงลืมตาได้แค่ข้างเดียว เขายิ้มบางๆ ตอบว่า “เบื้องหน้าไร้คน”
บัณฑิตทรุดตัวลงนั่งยอง ถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
เฉินผิงอันหลับตาลง
บัณฑิตกลอกตามองสูงใส่
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาวาดวงกลมกลางอากาศเหมือนเด็กระบายสี
หลังจากที่เรือนกายและโอสถทองของหลี่หลี่ทยอยกันระเบิดแตก ปราณวิญญาณฟ้าดินในโรงเตี๊ยมก็ค่อยๆ ไหลเข้าหาผู้ฝึกยุทธ์หนุ่ม อีกทั้งตำแหน่งที่มารวมตัวกันยังเป็นช่องโพรงลมปราณที่ปราณกระบี่สิบแปดหยุดของเฉินผิงอันต้องไหลเวียนผ่านพอดี
นอกจากนี้เมื่อเขากวักมือหนึ่งครั้ง ศพของหลี่หลี่ก็หายวับไป แต่ชูอีสืออู่กลับพุ่งพรวดออกมาหยุดลอยอยู่สองข้างไหล่ของเฉินผิงอันอย่างรวดเร็ว ปลายกระบี่ชี้ไปที่บัณฑิต
บัณฑิตแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เขาเงยหน้าตะโกนขึ้นไปยังชั้นสอง “นังหนูน้อย หยุดอ่านหนังสือได้แล้ว รีบมาดูพ่อเจ้าเร็วเข้า”
เผยเฉียนที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงอ่านหนังสืออยู่นานแล้วรีบวิ่งออกมาจากห้อง นางมองไปที่บัณฑิตตกอับก่อน จากนั้นก็ถามอย่างแกล้งโง่ว่า “อะไรนะ? ดูพ่อเจ้า?”
บัณฑิตจุ๊ปากพูด “โอ้โห รู้จักรังแกคนอื่นด้วยหรือนี่”
เผยเฉียนวิ่งปรู๊ดลงมาจากชั้นบน เหยียบลงบันไดเสียงดังตึงๆ
นางมานั่งยองอยู่ข้างบัณฑิตชุดเขียว เผยเฉียนมองเฉินผิงอันแล้วเอ่ยถามคนที่อยู่ข้างกายเบาๆ “คงไม่ได้ตายแล้วหรอกนะ?”
บัณฑิตพยักหน้ารับ “จากไปตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”
เผยเฉียนมองซ้ายมองขวา ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น
เผยเฉียนหันขวับมามองบัณฑิตด้วยสายตาเดือดดาล “ทำไมเจ้าต้องสาปแช่งให้พ่อข้าตายด้วย? พ่อเจ้าต่างหากที่ตาย!”
บัณฑิตทำสีหน้าไร้เดียงสา “พ่อข้าตายไปตั้งนานแล้วนี่นา ทุกปีพอถึงช่วงเทศกาลชิงหมิง (เชงเม้ง) ข้าก็ต้องไปเก็บกวาดสุสาน”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าลงมาจิบเหล้าบ๊วยคำเล็กๆ ตอนที่ยกมือขึ้น สภาพมือข้างนั้นน่าอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด ทำเอาเผยเฉียนที่เห็นเหงื่อแตกพลั่ก คิดเหมือนกับบัณฑิตข้างกายเลยว่า ใต้หล้านี้มีคนที่ไม่กลัวเจ็บขนาดนี้ได้อย่างไร?
บัณฑิตยิ้มถาม “เพื่อตระกูลเหยา เกือบต้องมาตายอยู่ที่นี่ ไม่รู้สึกกลัวในภายหลังบ้างเลยรึ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ใช่เพื่อตระกูลเหยา”
บัณฑิตยิ้มชั่วร้าย “ตระกูลเหยาเจอกับหายนะใหญ่ครั้งนี้ อันที่จริงมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความงาม เชื่อว่าอีกไม่นานเจ้าก็จะได้รู้ ขนาดบุรุษยึดมั่นในรักที่จิตใจแข็งแกร่งดุจหินผาอย่างข้าก็ยังเกือบจะไขว้เขวไป ความงามของสตรีผู้นั้น แค่คิดก็พอจะรู้ได้”
หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน คนหนึ่งสองมือกุมด้ามดาบ อีกคนหนึ่งสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง ต่างก็มายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน
คนหนึ่งใช้เงินฝนธัญพืชสองเหรียญ อีกคนหนึ่งกลับใช้เงินฝนธัญพืชแค่เหรียญเดียว
สี่คนรวมกันก็ใช้เงินฝนธัญพืชที่เฉินผิงอันเก็บสะสมไว้หมดพอดี
นักพรตเฒ่าช่างผลักคนลงหลุมได้ลึกนัก
บัณฑิตพลันถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าคงไม่ได้รู้ถึงการดำรงอยู่ของข้า ก็เลยมองศึกเป็นตายครั้งนี้เป็นตัวขัดเกลาตบะวิถีวรยุทธ์หรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า ไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้ แต่ถามยิ้มๆ กลับมาว่า “เจ้าคือ?”
บัณฑิตโบกมือ “ไม่มีค่าพอให้กล่าวถึง”
เฉินผิงอันจึงไม่ถามอะไรต่ออีก
บัณฑิตหันมามองเผยเฉียนที่เบิกตากว้าง เขาจ้องดวงตาคู่นั้นของนาง ดั่งตะวันลอยขึ้นเหนือทะเลบูรพา ดั่งดวงจันทราลอยเหนือภูเขาทักษิณ งดงามจริงๆ
ทว่านิสัยแบบนี้กลับไม่น่าชื่นชอบเอาเสียเลย
บัณฑิตหันไปมองทางประตูใหญ่ “เหยาเจิ้นและคนขององค์ชายอีกท่านหนึ่งใกล้จะมาถึงแล้ว”
สุดท้ายเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าพักรักษาตัวให้สบายใจก็พอ หลังจากนี้มอบให้ข้าจัดการเอง”
เฉินผิงอันดิ้นรนลุกขึ้นยืน เขากุมหมัดคารวะบัณฑิต เห็นมือทั้งคู่ของเขา บัณฑิตก็รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ สุดท้ายเฉินผิงอันหันไปพูดกับหลูป๋ายเซี่ยง “ขอบคุณมาก หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เจ้าน่าจะได้ออกมาเป็นคนแรก”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มบางๆ
เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปยังสุยโย่วเปียน ฝ่ายหลังมองตาเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เฉินผิงอันเดินขึ้นไปยังชั้นสอง เผยเฉียนตามติดมาด้านหลัง
ข้ารับใช้หนุ่มเหล่านั้น แต่ละคนหน้าไร้สีเลือด
บัณฑิตมองแผ่นหลังของหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่แล้วก็เกาหัว คิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นก็เลยไม่คิดให้เปลืองแรงอีก
พอเขาคิดได้ว่าหลังจากผ่านพ้นคืนนี้ไปจะไม่สามารถมาขอกินฟรีอยู่ฟรีที่นี่ได้อีกแล้วก็รู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย
ดังนั้นอันดับต่อมาบัณฑิตจึงนั่งลงแล้วเริ่มดื่มเหล้า บัณฑิตคนหนึ่งที่ตรงเอวห้อยหยกประดับเดินออกจากประตูไป สำหรับเขาแล้วทุกคนที่อยู่ตรงประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมคล้ายไม่มีตัวตน เขาเงื้อฝ่ามือข้างหนึ่งตบจนองค์ชายคนนั้นพลิกตัวกลิ้งตลบอยู่กลางอากาศหลายรอบ บัณฑิตอีกคนหนึ่งพกกระบี่จำแลงร่างกลายเป็นรุ้งขาวพุ่งจากไปไกล ไปหาองค์ชายต้าเฉวียนอีกคนหนึ่งแล้วเตะอีกฝ่ายจนกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น ก่อนจะกระทืบลงบนใบหน้าของเขาอย่างแรง
หลังจากที่จิตหยินและจิตหยางของบัณฑิตออกจากช่องโพรงไปแล้ว ในรัศมีพันลี้รอบด้าน ขอแค่เป็นวัตถุหยินหรือภูตผีปีศาจ ต่อให้เป็นทวยเทพของศาลเถื่อนทั้งหลายก็ล้วนก้มลงกราบกรานตัวสั่นอย่างที่มิอาจห้ามตัวเองได้
หมื่นผีบนโลก พบข้าจงขุย ต้องโขกศีรษะให้