Skip to content

Sword of Coming 340

บทที่ 340 คนประหลาด ฝันประหลาด

ชายหญิงที่มายืนด่าขวางหน้าประตูโรงเตี๊ยมมีมากถึงยี่สิบกว่าคน บนใบหน้าของชายฉกรรจ์เต็มไปด้วยความเดือดดาล ส่วนสตรีแต่งงานแล้วก็เท้าเอวด่ากราด พวกเด็กๆ กลับไม่สนใจใยดีอะไร หากไม่เอียงหัวเลียถังหูลู่ในมือก็แอบดีดแผ่นผ้าป้ายร้านเล่น

เฉินผิงอันยืนอยู่ในกลุ่มคนครู่หนึ่ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ เพราะพวกเขาพูดภาษาถิ่นของเมืองหูเอ๋อร์ แต่ดูจากสีหน้าลนลานของเผยเฉียนหลังจากที่เห็นตนแล้ว เฉินผิงอันก็เริ่มจะเข้าใจ เดิมทีเผยเฉียนนั่งยองอยู่บนราวระเบียงชั้นสอง ถ้าไม่แคะขี้มูกก็แคะขี้หู ไม่ยี่หระเลยสักนิด แถมยังจงใจทำท่ากวนโอ้ยชวนให้คนโมโห คนข้างนอกด่าแรงมากเท่าไหร่ เผยเฉียนก็ยิ่งหัวเราะชอบใจมากเท่านั้น

ยังดีที่ชายหญิงเหล่านั้นของเมืองหูเอ๋อร์ต่างก็ไม่กล้าเข้าไปในโรงเตี๊ยม เด็กหนุ่มขาเป๋รำคาญเสียงโหวกเหวกโวยวายของคนเหล่านี้ก็จริง แต่ก็แค่ก้มหน้าก้มตาเก็บกวาดโต๊ะอาหารไปเงียบๆ ผู้เฒ่าหลังค่อมนั่งสูบยาอยู่ห่างๆ จิ่วเหนียงแทะเมล็ดแตงอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน ไม่รังเกียจหากจะเกิดเรื่องราวใหญ่โต บัณฑิตตกอับที่มารับหน้าที่เป็นคนคิดบัญชี เดิมทีคิดจะทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย ผลคือถูกชายฉกรรจ์คนหนึ่งผลักออกอย่างแรงจนเซถอยกลับเข้ามาในโรงเตี๊ยม จึงกลับไปอยู่ข้างกายสตรีแต่งงานแล้วอย่างขลาดๆ แสร้งทำเป็นหยิบสมุดบัญชีสีขาวที่ว่างเปล่าขึ้นมาอ่าน จิ่วเหนียงที่อยู่ข้างกันค้อนขวับ

รอจนเฉินผิงอันเดินหน้าเคร่งข้ามธรณีประตูเข้าไป เผยเฉียนคิดจะวิ่งกลับเข้าห้อง แต่กลับถูกเฉินผิงอันเรียกตัวไว้ บอกให้นางลงมาจากชั้นบน

เผยเฉียนเดินลงมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่รอให้เฉินผิงอันเอ่ยถามก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังด้วยตัวเองรวดเดียวจบเหมือนเทถั่วเหลืองออกจากกระบอกไม้ไผ่ ตามคำบอกเล่าของนางคือตัวนางไปที่เมืองหูเอ๋อร์เพราะอยากไปซื้อยาที่ร้านยาให้เฉินผิงอัน แต่กลับถูกคนวัยเดียวกันในเมืองรังแก คนหลายคนรุมรังแกนางที่เป็นคนต่างถิ่นคนเดียว ตอนแรกก็แย่งถังหูลู่ไม้ที่นางกะว่าจะเอากลับมาให้เฉินผิงอันไป นางก็ยอมทน บอกว่าอ่านหลักการเหตุผลในตำรามามากมาย จึงเข้าใจแล้วว่าความปรองดองเป็นสิ่งมีค่า แต่คนเหล่านั้นกลับยังเดินตามหลังมาพูดจาร้ายกาจหยาบคายใส่นาง แถมยังจับกลุ่มกันปาหินใส่นาง นางไม่สนใจ ภายหลังพอนางซื้อว่าวกระดาษรูปกบก็มีคนอิจฉาตาร้อน กระชากเอาไปจากนางแล้วปล่อยไป พริบตาเดียวว่าวกระดาษก็ลอยลิ่วออกจากเมืองหูเอ๋อร์ หายไปไม่เห็นเงา นางโมโหจึงต่อยตีกับคนพวกกนั้น คนห้าหกคนสู้นางไม่ได้ ยังร้องไห้กลับบ้านไปฟ้องพ่อแม่ให้มาตีนาง นางไม่ได้โง่สักหน่อย เลยรีบวิ่งหนีมา อีกอย่างว่าวกระดาษรูปกบอันนั้นราคาตั้งยี่สิบอีแปะเชียวนะ อยู่ดีๆ ก็หายไปอย่างนี้ นางเจ็บปวดใจจะตายอยู่แล้ว ทำเอานางเสียเวลาตามหาอยู่นอกเมืองเกินครึ่งวัน…

แม้เผยเฉียนจะไม่มีความมั่นใจอะไร แต่ตอนที่แต่งเรื่องโกหกก็คอยสังเกตสีหน้าเฉินผิงอันไปด้วย เตรียมพร้อมรับการถูกตีอยู่ตลอดเวลา ถึงเวลานั้นก็แค่ยกมือกุมหัวก็ได้แล้ว อาจถูกเฉินผิงอันเตะท้อง หรืออาจถูกหยิกแขน ก็ไม่เป็นไร กินข้าวอิ่มหนึ่งมื้อก็กลับมาองอาจผึ่งผายได้อีกครั้งแล้ว

แต่เฉินผิงอันเพียงแค่รับฟังเผยเฉียนอธิบายจนจบ แล้วถึงถามว่า “โกหกเสร็จแล้ว บอกความจริงกับข้ามาอีกรอบ หรือจะไม่พูดก็ได้ วันหน้าทิ้งเจ้าไว้ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ เจ้าก็คงไม่ต้องอดตาย”

เผยเฉียนไม่พูดอะไรอีก

เฉินผิงอันเดินไปทางโต๊ะคิดเงิน จิ่วเหนียงชำเลืองตามองเด็กหญิงผอมแห้งที่อยู่ตรงทางขึ้นบันไดแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “คุณชายเฉิน ท่านสอนปีศาจน้อยผู้นี้ออกมาอย่างไร นางเกือบจะทำให้คนทั้งตรอกในเมืองหูเอ๋อร์โกลาหลปั่นป่วนกันไปหมด ตอนแรกก็หลอกกินอาหารของเด็กบ้านอื่น ทำเอาพวกเด็กๆ ที่เล่นดินเล่นโคลนตกใจกันแทบขวัญกระเจิงเพราะเชื่อว่าเป็นความจริง คิดว่านางคือองค์หญิงของเมืองหลวงต้าเฉวียนที่พลัดถิ่นต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับหมู่ชาวบ้าน สักวันหนึ่งจะต้องได้กลับวังหลวง พอคุ้นเคยกันดีแล้ว นางก็พาเด็กเหล่านั้นเล่นสนุกอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นหัวโจกของกลุ่มเด็ก ภายหลังเพื่อกระดาษว่าวตัวหนึ่งก็ยิ่งก่อเรื่องราวใหญ่โตจนไม่อาจสลัดหลุดพ้น ดูเหมือนว่าสุดท้ายนางจะถูกผู้ใหญ่คนหนึ่งตีสองที หากเป็นคนอื่นเสียเปรียบแล้วก็คงยอมหยุด แต่นังหนูของเจ้านี่กลับดีนัก บอกว่าตัวเองเป็นญาติห่างๆ ของข้า อาศัยเรื่องนี้จ่ายเงินจ้างอันธพาลสองสามคนในเมืองหูเอ๋อร์ ฉวยโอกาสตอนฟ้ามืดแอบไปตีผู้ชายคนนั้น ตอนหลังก็ยิ่งไร้ขื่อไร้แป พวกเด็กๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพื่อนบ้านในตรอกเดียวกัน ตอนกลางคืนมีผีอาละวาด อย่าว่าแต่พวกเด็กๆ เลย ต่อให้เป็นผู้ใหญ่ก็ยังตกใจจนกลางคืนไม่กล้าดับไฟนอน คุณชายเฉินเจ้าเองก็รู้ ตอนนี้ที่เมืองหูเอ๋อร์มีผีอาละวาดอยู่จริงๆ ด้วยเรื่องนี้ มือปราบหลายคนต้องเฝ้ายามกันตลอดทั้งคืนกว่าจะลากตัวนังหนูที่แสร้งเล่นผีหลอกเจ้าออกมาได้ ผลเป็นยังไงเจ้าลองเดาดูสิ ทุกคนกลับถูกนังหนูของเจ้าสยบไว้ได้อย่างอยู่หมัด ไม่รู้นางพูดอะไร พวกเขาถึงพาตัวนางกลับมาส่งอย่างเกรงใจ จะว่าไปแล้วตอนที่มือปราบสวมชุดขุนนางคุ้มครองนังหนูเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมก็เหมือนองค์รักษ์คุ้มครององค์หญิงอยู่จริงๆ”

เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนหัวโตขึ้นในฉับพลัน เขาหันหน้าไปมองเผยเฉียน แต่มองไม่เห็นหน้านาง เห็นแค่ขาสองข้าง นางน่าจะนั่งอยู่บนขั้นบันได

จิ่วเหนียงปิดปากหัวเราะ “จ่ายเงินฟาดเคราะห์ จะเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว แค่เงินเล็กๆ น้อยๆ มากสุดก็แค่สิบตำลึงเท่านั้น เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยหรอก ให้ข้าจัดการเองก็พอ ด้วยนิสัยใจดีของคุณชาย คนพวกนั้นจะยิ่งเรียกร้อง เรื่องใหญ่เท่าก้นกลับถูกพวกเขาเอามาพูดจนกลายเป็นเรื่องใหญ่เหมือนท้องฟ้าถูกเจาะเป็นรู”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ลงบัญชีเอาไว้ เดี๋ยวคิดพร้อมกับค่าห้อง”

จิ่วเหนียงหุบยิ้ม กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณชายเฉินมีพระคุณช่วยชีวิตคนทั้งตระกูลเหยาของพวกเรา ยังจะต้องคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องหยุมหยิมพวกนี้อีกหรือ แบบนั้นข้าจิ่วเหนียงจะยังมีหน้าพบปะผู้คนได้อย่างไ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้ากล่าวว่า “นี่มันคนละเรื่องกัน”

จิ่วเหนียงยังจะพูดต่อ แต่เฉินผิงอันกลับชิงพูดขึ้นเสียก่อนว่า “เรื่องวันนี้คงต้องรบกวนฮูหยินแล้ว”

จิ่วเหนียงรับปากแล้วเดินนวยนาดออกมาจากหลังโต๊ะคิดเงิน ใช้ข้อศอกดันคนคิดบัญชีผู้นั้นออก ดึงลิ้นชักหยิบเศษก้อนเงินออกมา แล้วนำเงินไปจัดการกับปัญหาที่อยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม

เมืองหูเอ๋อร์ที่ตั้งอยู่ริมชายแดนมีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถสูง แต่สายตาของพวกเขาย่อมไม่คับแคบอย่างแน่นอน ผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาดสาย เรื่องแปลกใหม่แบบใดบ้างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน จึงยังพอมีความคิดและสติปัญญาอยู่บ้าง อีกอย่างไม่แน่ว่าอาจมียอดฝีมือนอกโลกที่ปิดบังชื่อแซ่มาเยือน ยกตัวอย่างเช่นจิ่วเหนียง (ท่านหญิงเก้า) และซานเหย่ (นายท่านสาม/ท่านปู่สาม) ของตระกูลเหยานี้

ก่อนหน้านี้ที่โรงเตี๊ยมมีความเคลื่อนไหวใหญ่โตเกิดขึ้น โดยเฉพาะตอนที่เว่ยเซี่ยนผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่กับผู้ฝึกลมปราณกลุ่มนั้นที่สะดุดตาอย่างมาก ภาพเหตุการณ์ที่เทพเซียนตีกันอย่างแท้จริง เมื่อมองไกลๆ มาจากเมืองหูเอ๋อร์ นอกจากจะครึกครื้นแล้ว ย่อมต้องสร้างความกริ่งเกรงเลื่อมใสด้วย ภายหลังยังมีกลุ่มทหารม้าควบอาชาตะบึงขึ้นเหนือไป จึงมีข่าวลือต่างๆ แพร่ออกมา บ้างก็บอกว่าจิ่วเหนียงแห่งโรงเตี๊ยมคือปีศาจจิ้งจอกที่ชอบล่อลวงชายหนุ่ม เป็นปีศาจจิ้งจอกจริงๆ คนที่พูดแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสตรีที่แต่งงานแล้วหรือสตรีมีอายุของเมืองหูเอ๋อร์ บ้างก็พูดจาคลุมเครือยิ่งกว่านั้น บอกว่าหลายปีมานี้เมืองหูเอ๋อร์ไม่เคยสงบสุขก็เพราะที่นี่คือถิ่นของภูตผีปีศาจ คราวนี้มีมังกรที่แท้จริงข้ามผ่านอาณาเขต ปราณปีศาจและปราณมังกรปะทะกันจึงเกิดการกำจัดปีศาจปราบมารขึ้น

จิ่วเหนียงเดินส่ายเอวคอดอ้อนแอ้นนั้นไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตู เสียงโวยวายด้านนอกเบาลงทันที

บัณฑิตจงขุยถามยิ้มๆ ว่า “ใบถงทวีปมีพรรคในยุทธภพที่ใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? คือพรรคในยุทธภพที่เทียบเท่าได้กับตระกูลเซียนที่มีคำวาสำนักในชื่อแล้ว?”

กล่าวมาถึงตรงนี้ บัณฑิตก็หัวเราะอยู่กับตัวเอง ราวกับรู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ของตนค่อนข้างจะแปลกใหม่และน่าสนใจไม่น้อย

บุรุษผู้แกร่งกล้าที่สมกับคำว่าหนึ่งคนคือด่านกั้นขวาง ผู้เฒ่าหลังค่อมผู้ดุร้ายกระหายเลือด บุรุษใช้ดาบที่ปล่อยให้แม่ทัพบู๊แห่งต้าเฉวียนอย่างสวี่ชิงโจวป้อนกระบวนท่าดาบให้ดู สตรีงามเลิศล้ำที่ใช้มือเดียวบังคับกระบี่ก็สามารถสยบกำราบเซียนซือสวีถงไว้ได้

ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือสี่คนนี้เมื่ออยู่ในศึกใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพลังอำนาจหรือตบะก็ล้วนเพิ่มพูนขึ้นทุกขณะ

แน่นอนว่ายังรวมถึงคุณชายหนุ่มที่ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ แต่กลับสามารถบังคับกระบี่อีกคนหนึ่งด้วย เพียงแต่ว่าเขารูปงามไปหน่อย หากไม่มาแย่งทำตัวโดดเด่นต่อหน้าจิ่วเหนียง ตนคงกอดไหล่คล้องคอ เรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับคนผู้นี้ไปแล้ว

เฉินผิงอันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังเลือกบอกอีกฝ่ายไปตามตรง “พวกเราไม่ใช่คนของใบถงทวีป”

จงขุยอืมรับหนึ่งที “มาจากทักษินาตยทวีปงั้นรึ?”

ทักษินาตยทวีปมีชื่อเสียงอย่างถึงที่สุด ต่อให้เป็นคนในใบถงทวีปที่สายตามองเห็นแต่จุดสูง ชอบดูแคลนวีรบุรุษในใต้หล้า แต่สำหรับทักษินาตยทวีปที่อยู่ใกล้ภูเขาห้อยหัวที่สุดแล้ว พวกเขาก็ยังต้องยอมให้ เพราะที่นั่นมีคนสกุลเฉินอิ่งอิน มีเฉินฉุนอันที่แทบจะยึดครองฉายา ‘ผู้รอบรู้แห่งลัทธิขงจื๊อ’ ไว้เพียงผู้เดียว

จงขุยเองก็เลื่อมใสในทักษินาตยทวีปมานานมากแล้ว เพียงแต่ติดอยู่ที่สถานะของสำนักศึกษา รวมไปถึงคำสอนของอาจารย์ผู้มีพระคุณ ถึงไม่สามารถออกเดินทางไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ได้เสียที

นอกจากสกุลเฉินอิ่งอินแล้ว ทักษินาตยทวีปยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์มากมาย จงขุยอยากจะไปเที่ยวชมสักรอบ อยู่ที่ใบถงทวีปน่าเบื่อเกินไป ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านล่างภูเขาหรือผู้ฝึกตนบนภูเขาก็ล้วนไม่ชอบเดินทางไปไหน

เฉินผิงอันชี้ไปทางทิศเหนือ

จงขุยดวงตาเป็นประกาย “เจ้ารู้จักอาจารย์ฉีแห่งสำนักศึกษาซานหยาหรือไม่?”

เฉินผิงอันสะอึกอึ้ง ไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไร

จงขุยหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าน่าจะรู้จักอาจารย์ฉี แต่อาจารย์ฉีไม่รู้จักเจ้าสินะ ไม่เป็นไรๆ พวกเราสองคนก็เหมือนกัน”

ส่วนเพื่อนบ้านทางเหนือที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างแจกันสมบัติทวีปนั้น จงขุยไม่ค่อยเห็นอยู่ในสายตาสักเท่าไหร่ เพราะที่นั่นน่าจะมีแค่ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่โดดเด่นอยู่คู่เดียว ความรู้ของฉีจิ้งชุนแห่งสำนักศึกษาซานหยา ฝีมือการเล่นหมากล้อมของชุยฉานราชครูต้าหลี เพียงแต่ได้ยินมาว่าถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกแล้วร่วงลงมา อาจารย์ฉีท่านนั้นก็ร่างมอดม้วยมรรคาสลายไปแล้ว แม้แต่อาจารย์ผู้มีพระคุณของจงขุยยังรู้สึกเสียดายอย่างมาก ถึงขั้นพูดกับจงขุยเป็นการส่วนตัวว่าหากฉีจิ้งชุนอยู่ที่ใบถงทวีปจะไม่มีทางได้รับความอัปยศเช่นนี้แน่นอน ต่อให้แย่ที่สุดก็ไม่มีทางเดียวดายเพียงลำพังเช่นนี้

เฉินผิงอันถามยิ้มๆ “ดื่มเหล้าพลางคุยกันไปด้วยดีไหม?”

เพื่อสามคำว่า ‘ฉีจิ้งชุน’ ที่ออกมาจากปากจงขุย เฉินผิงอันยินดีจะดื่มเหล้ากับคนผู้นี้หนึ่งกา

จงขุยมองสตรีแต่งงานแล้วที่กำลังให้คำชี้แนะอยู่หน้าประตูแล้วพูดเสียงเบา “ดื่มเหล้าน่ะได้ แต่หากจิ่วเหนียงบ่นขึ้นมา เจ้าต้องช่วยข้าพูดด้วย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “นั่นมันแน่อยู่แล้ว”

จงขุยหิ้วเหล้าบ๊วยมาสองกา ใช้สถานะของคนคิดบัญชีใช้ให้เด็กหนุมขาเป๋ยกกับแกล้มสองสามจานมาให้พวกเขา

จงขุยนั่งขัดสมาธิบนม้านั่งตัวยาวอย่างไม่มีมาด

เฉินผิงอันถาม “ได้ยินว่าท่านมาจากสำนักศึกษาต้าฝู?”

จงขุยตอบด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ก็ใช่น่ะสิ แถมยังเป็นวิญญูชนด้วยนะ ร้ายกาจไหมล่ะ?”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าคารวะเขาหนึ่งถ้วย

คารวะให้กับคำว่าวิญญูชน

จงขุยรีบยื่นมือมาห้าม เพียงแต่เฉินผิงอันกระดกดื่มหมดแล้ว วิญญูชนแห่งสำนักศึกษาที่พเนจรอยู่ในยุทธภพท่านนี้จึงถอนหายใจกล่าวว่า “เรื่องแค่นี้ก็คู่ควรให้ดื่มเหล้าคารวะด้วยหรือ? ข้าว่าเจ้าอยากดื่มเหล้ามากกว่ากระมัง?”

เฉินผิงอันไพล่นึกไปถึงนักปราชญ์ของสำนักศึกษาที่เจอในแคว้นซูสุ่ยอย่างโจวจวี่ อีกฝ่ายไม่ค่อยเหมือนกับวิญญูชนตรงหน้าเท่าใดนัก ตอนนั้นบทความที่โจวจวี่ท่องออกมาต่อหน้าผู้อาวุโสซ่งในหมู่บ้านวารีกระบี่ก็สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนคนหนึ่งได้แล้ว สมกับคำว่าคำพูดดุจกฎแห่งสวรรค์ยิ่งนัก

คนเรียนหนังสือ อ่านตำราที่แตกต่างกันออกไป ก็คงจะมีบุคคลท่าทางต่างกันกระมัง

จงขุยพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ชายฉกรรจ์คนที่ขัดขวางพวกผู้ฝึกลมปราณอยู่นอกประตูคืนนั้นสวมใส่ หากข้ามองไม่ผิดน่าจะเป็น ‘ซีเยว่’ ที่ถูกบันทึกไว้ในตำราโบราณของสำนักการทหาร คือหนึ่งในเสื้อเกราะบรรพบุรุษแปดตัวของเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน เจ้าได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษงั้นรึ?”

เฉินผิงอันใจสั่นเล็กน้อย เขาส่ายหน้ากล่าวว่า “ซื้อมาจากหอหลิงจือของภูเขาห้อยหัว”

จงขุยถาม “จ่ายเงินเงินฝนธัญพืชไปกี่เหรียญ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “แค่จ่ายเงินร้อนน้อยไปบางส่วน ไม่แพง กะว่าวันหน้าจะเอาไปมอบให้คนอื่น”

จงขุยเอ่ยยิ้มๆ “หอหลิงจือไม่รู้จักดูของ ทำให้เจ้าโชคดีได้มาครอง แต่ก็เป็นเรื่องปกติ ซีเยว่ถูกยอดฝีมือร่ายตราผนึกเอาไว้ หากไม่เป็นเพราะในสำนักศึกษาของข้ามีตำราลับที่ใกล้จะขาดเป็นเศษชิ้นส่วนเล่มนั้น จึงรู้เรื่องวงในด้านการสืบทอดเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารพอดี อีกทั้งตอนนั้นยังพยายามเพ่งมองอยู่นาน ก็คงไม่มีทางจำได้ว่าเป็นมัน ข้าแนะนำเจ้าว่าเก็บมันไว้จะดีกว่า มันมีค่าขนาดนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่มันยังมีเรื่องราวมากมาย มอบให้คนอื่นง่ายๆ คงน่าเสียดายยิ่งนัก”

เฉินผิงอันไม่ได้บอกว่าสุดท้ายแล้วจะมอบหรือไม่มอบให้ใคร เขาเพียงถามอย่างใคร่รู้ว่า “เสื้อเกราะบรรพบุรุษแปดตัว?”

จงขุยหยิบถั่วลิสงหนึ่งเม็ดโยนเข้าปาก “เสื้อเกราะน้ำค้างหวานมีชื่อเต็มว่าเทพรับน้ำค้าง ข้าถามเจ้า เทพอะไร? รับน้ำค้างอะไร?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้

จงขุยจึงคลี่ยิ้ม “นอกจากซีเยว่แล้ว เสื้อเกราะน้ำค้างหวานอีกเจ็ดตัวแรกสุดแบ่งออกเป็นฝอกั๋ว ฮวาเปา ซานกุ่ย สุ่ยเซียน เสียกวาง ไฉ่อีและอวิ๋นไห่ ส่วนใหญ่ล้วนถูกทำลายไปในสนามรบและสูญหายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ที่เหลืออยู่มีไม่มาก ตามหลักฐานซึ่งสามารถตรวจสอบได้ก็มีแค่ซานกุ่ยและไฉ่อีสองชิ้นเท่านั้น อย่าเห็นว่าซีเยว่ที่อยู่ในมือเจ้าพังเละมากแล้ว เมื่อเทียบกับอีกสองชิ้นที่ยังอยู่บนโลกมนุษย์ได้อย่างยากลำบากก็ถือว่าดีมากแล้ว หากไปเจอกับคนที่รู้จักดูของ เจ้าสามารถเรียกราคาได้เต็มที่ รับรองว่าจะต้องได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ว่าถึงอย่างไรเสื้อเกราะบรรพบุรุษเหล่านี้ก็สูญเสียพลังต้นกำเนิดไปแล้ว วิชาอภินิหารที่ช่วยปกป้องเจ้านายไม่เหลือแม้แต่ส่วนเดียว เป็นเรื่องที่น่าเสียดายนัก สำหรับเรื่องนี้ สมควรต้องดื่มหนึ่งจอก”

จงขุยยกถ้วยเหล้าขึ้น แหงนหน้ากระดกดื่มจนหมดนำไปก่อน

เฉินผิงอันจึงได้แต่ดื่มตามไปอีกถ้วย

แล้วจงขุยก็เป็นฝ่ายเอ่ยถึงหายนะในครั้งนี้ด้วยตัวเอง “องค์ชายสองคนนั้นไม่ใช่คนดีอะไร หลังจากนี้หากเจ้ายังอยู่ต่อในต้าเฉวียนก็ต้องระวังตัวสักหน่อย ล่างภูเขาย่อมมีกฎของล่างภูเขา อีกทั้งยอดฝีมือที่อยู่ล่างภูเขาก็มีมากมาย ยกตัวอย่างเช่นเมื่อองค์ชายสามผู้นั้นมาพบกับเจ้าก็คือเหนือภูเขายังมีภูเขา ดังนั้นเขาถึงได้กลับไปอย่างสะบักสะบอม”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก็คือหลักการนี้”

จู่ๆ จงขุยก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “คิดถึงการเข่นฆ่าระหว่างเจ้ากับโส่วกงไหวของต้าเฉวียนคืนนั้น แล้วหันมามองเจ้าตอนนี้ที่นั่งดื่มเหล้าพูดจาเออออกับข้า ข้ารู้สึกไม่ค่อยคุ้นสักเท่าไหร่ ทำไม ตอนอยู่บ้านเกิดเคยลำบากเพราะสำนักศึกษามาก่อนงั้นหรือ ถึงได้กริ่งเกรงยศวิญญูชนถึงขนาดนี้?”

เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด

จงขุยเอ่ยขึ้นอีกว่า “วันนั้นที่เจ้าพูดว่าเหตุผลของใครก็ล้วนมีเหตุผลเสมอ ข้ารู้สึกว่าเจ้าพูดได้ดีมาก ส่วนที่บอกให้กั๋วกงน้อยถามใจตัวเองดู แม้ฟังแล้วจะเผด็จการไปสักหน่อย แต่ก็สมเหตุสมผล หาข้อตำหนิไม่ได้เลย แต่อันที่จริงแล้วค่อนข้างจะ…ไม่มีมารยาทสักเท่าไหร่”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก “ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”

จงขุยพยักหน้ารับ “ก็จริง เรื่องราวบนโลกก็เป็นเช่นนี้ ตัวอยู่ในหลุมขี้ก็เลยรู้สึกว่าการกินขี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน มีคนยกกับข้าวมาให้หนึ่งถาด คนเขาก็ยังไม่เต็มใจจะกิน”

เฉินผิงอันฟังแล้วถึงกับเดาะลิ้น

นี่คือ ‘หลักการ’ ที่วิญญูชนของลัทธิขงจื๊อพูดกันหรือ?

จงขุยทอดถอนใจ “แต่ต่อให้โลกใบนี้จะเละเหมือนหลุมขี้ก็ไม่ใช่เหตุผลที่พวกเราจะกินขี้”

คราวนี้เฉินผิงอันที่มือหนึ่งคีบอาหาร มือหนึ่งถือถ้วยเหล้าอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้

จงขุยเห็นท่าทางผิดปกติของเฉินผิงอันก็รีบพูดปลอบใจ “ที่พวกเรากินดื่มไม่ใช่ขี้เยี่ยว คืออาหารดีสุรารสเลิศ เจ้ากินให้สบายใจ”

เฉินผิงอันจึงเริ่มกินดื่มอีกครั้งเงียบๆ

พูดคุยกับคนผู้นี้แล้วรู้สึกตามความคิดของเขาไม่ทันสักเท่าไหร่

ทันใดนั้นเฉินผิงอันก็ไพล่นึกไปถึงเป่าผิงน้อย

ตรงหน้าประตู มีจิ่วเหนียงออกหน้าให้ เพียงไม่นานปัญหาก็คลี่คลาย

ตอนนี้โรงเตี๊ยมในสายตาของชาวบ้านเมืองหูเอ๋อร์ทั้งลึกลับและพิลึกพิลั่น ดังนั้นแม้แต่ความกล้าที่จะเข้ามาโวยวายข้างในก็ยังไม่มี

เฉินผิงอันขอบคุณสตรีแต่งงานแล้ว แล้วจึงเดินไปทางบันได เผยเฉียนยังนั่งวาดวงกลมอยู่ตรงนั้น เฉินผิงอันพูดว่าตามข้ามา นางก็เดินตามไปด้านหลังแต่โดยดี ไหล่ลู่คอตก มองดูเหมือนคนที่ทำความผิดแล้วรู้ว่าตัวเองผิด แต่เฉินผิงอันใช้หัวเข่าคิดยังรู้เลยว่าเด็กหญิงที่อยู่ด้านหลังกำลังแอบหัวเราะชอบใจ เขาถึงขั้นจินตนาการได้ถึงท่าทางเห่อเหิมลำพองใจของเผยเฉียนยามนางไปเยือนเมืองหูเอ๋อร์คราวหน้า

มาถึงในห้อง เฉินผิงอันก็นั่งลง เผยเฉียนไม่กล้านั่ง พอปิดประตูลงแล้วก็ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะ

เฉินผิงอันพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “วันหน้าเจ้าก็อยู่ที่นี่ต่อไป ข้าจะมอบเงินก้อนหนึ่งให้ทางโรงเตี๊ยม”

เผยเฉียนพลันเงยหน้าขึ้นอย่างเดือดดาล กำลังจะขยับปากพูด แต่พอนางเห็นสีหน้าเย็นชาของเฉินผิงอันก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง “ข้าผิดไปแล้ว คราวหน้าไม่กล้าแล้ว เดี๋ยวข้าจะกลับไปที่เมืองหูเอ๋อร์ ซื้อว่าวตัวใหม่ให้เสี่ยวเหมย จะซื้อว่าวผีเสื้อตัวใหญ่สีสันสวยงามราคาสี่สิบอีแปะให้นาง มันสวยกว่าว่าวรูปกบเยอะเลย พวกเสี่ยวเหมยอยากได้มานานแล้ว แต่พวกลูกกระต่ายยากจนที่พอได้ถังหูลู่ไม้เดียวก็รู้สึกเหมือนได้ฉลองปีใหม่พวกนั้นซื้อไม่ไหว คราวนี้ถือว่าได้ดีนางไป”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าไปเอาเงินมาจากไหน?”

เผยเฉียนเงยหน้า กะพริบตาปริบๆ “ขอยืมมาจากจิ่วเหนียง ไม่มากหรอก รวมกันก็แค่สองตำลึงเงินเท่านั้น”

เฉินผิงอันถามอีก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะใช้คืนอย่างไร?”

เผยเฉียนกล่าวอย่างขลาดๆ “ลงบัญชีไว้ด้วยกันก่อน วันหน้าข้าจะเป็นวัวเป็นม้าให้เจ้า ค่อยๆ ใช้คืนเจ้าไปทีละนิด”

เฉินผิงอันเอ่ย “วันหน้าเจ้าก็อยู่ที่นี่ไปเถอะ เงินก้อนนี้ เจ้าสามารถช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ของโรงเตี๊ยมเป็นการใช้คืนจิ่วเหนียงไปทีละนิด”

เผยเฉียนยู่หน้าเล็กๆ น้ำตาคลอเจียนจะหยด

เฉินผิงอันชี้ไปที่ประตูห้อง พูดเสียงเรียบ “ออกไป”

นางเช็ดน้ำตาแรงๆ พูดเสียงดังว่า “ข้ารู้แล้ว! เจ้าชอบแค่หนอนหนังสืออย่างเฉาฉิงหล่างคนเดียวเท่านั้น! เจ้าเอาแต่เป็นห่วงเขา หากเป็นไปได้ เจ้าก็ไม่มีทางต้องการข้า แต่จะพาเฉาฉิงหล่างมาอยู่ข้างกาย พอเขาทำผิด เจ้าก็ไม่มีทางทำแบบนี้ เจ้ามีแต่จะค่อยๆ พูดเหตุผลกับเขา และยังบอกเขาด้วยว่าวันหน้าอย่าทำตัวเหมือนข้า! เฉินผิงอัน วันทั้งวันเจ้าก็เอาแต่คิดจะสลัดข้าทิ้ง!”

เผยเฉียนวิ่งจากไป กระแทกประตูเปิดอย่างแรง กลับไปที่ห้องของตัวเอง

เฉินผิงอันเริ่มใคร่ครวญถึงการเดินทางขึ้นเหนือของใบถงทวีปหลังจากนี้ ถึงอย่างไรท่าเรือตระกูลเซียนที่เดินทางจากแจกันสมบัติทวีปไปถึงนครมังกรเฒ่าก็อยู่ทางเหนือของต้าเฉวียน หากเดินอ้อมก็ต้องเดินเพิ่มอีกเป็นระยะทางสองสามพันลี้ ตอนนี้แตกหักกับองค์ชายสามสกุลหลิวต้าเฉวียนไปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาต้องเรียกว่าไม่ตายไม่ยอมเลิกรา หากกลุ่มของตนเดินอาดๆ ตรงเข้าไปทางเหนือ หากเปลี่ยนตนไปเป็นองค์ชายสามก็ไม่มีทางอดทนได้ไหว ต่อให้ครั้งนี้พวกเขาจะถูกตนกับวิญญูชนแห่งสำนักต้าฝูเล่นงานจนหวาดกลัวไปแล้ว แต่องค์ชายคนหนึ่งที่สามารถกรีฑาทัพเดินทางไกลบุกเข้าไปกลางถิ่นของศัตรู เข่นฆ่าเจ้าเมืองและศาลเทพวารีของแคว้นอื่นได้ ต่อให้ไม่คิดจะใช้วิธีทำให้วอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย แต่ก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะสร้างปัญหามากมายให้ตน

หากไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องเดินทางอ้อมไปแล้ว

บนชั้นเดียวกัน ไม่พูดถึงเผยเฉียนที่ ‘ปิดด่าน’ เว่ยเซี่ยนกำลังอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดเล่มหนึ่งที่ซื้อมาจากเมืองหูเอ๋อร์ ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้ปฏิบัติต่อตัวเองเป็นอย่างดี บนโต๊ะมีทั้งสุรา มีทั้งเนื้อ และยังวางเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารเอาไว้ข้างกัน หลังจากศึกใหญ่ผ่านไป เขาใคร่ครวญอยู่นานก็ต้องทอดถอนใจให้กับฝีมือเทพเซียนของผู้ฝึกลมปราณในใต้หล้าไพศาล รวมไปถึงวัตถุวิเศษของฟ้าดินแห่งนี้ที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

ขยับไปอีกหน่อยก็คือห้องของจูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์ เขากำลังยืนเอาสองมือไพล่หลัง ค้อมเอวเดินวนรอบโต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่า

หลูป๋ายเซี่ยงยืนอยู่ตรงหน้าต่างห้องตัวเอง ทอดสายตาไปไกล ตรงเอวห้อยดาบแคบหยุดหิมะที่เฉินผิงอันมอบให้เขาไว้ชั่วคราว ว่ากันว่านี่เป็นของชิ้นหนึ่งของเซียนดินก่อกำเนิดที่ตายไป ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ศาสตราวุธทั้งหลายในบ้านเกิดของเขาจะเทียบเคียงได้เลย

สุยโย่วเปียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง เข้าฌานทำสมาธิ วางกระบี่บินชือซินไว้บนโต๊ะ

เฉินผิงอันหยิบม้วนภาพวาดอันหนึ่งที่ว่างเปล่าออกมา นึกถึงจิตสังหารที่ผุดวาบขึ้นมาในคืนนั้นก็ยิ้มขื่นอย่างอดไม่ได้

ใจที่คิดร้ายต่อผู้อื่นไม่ควรมี ใจที่คิดป้องกันคนอื่นไม่ควรขาด

ยามสนธยาของวันนี้ เฉินผิงอันลงไปกินข้าวเย็นข้างล่าง คนในภาพวาดสี่คนที่อยู่ชั้นบน มีแค่จูเหลี่ยนที่ทำตัวสนิทสนมมานั่งโต๊ะเดียวกับเฉินผิงอัน อีกทั้งยังช่วยรินเหล้าให้ด้วย พวกหลูป๋ายเซี่ยงสามคนไม่ได้ออกมาจากห้อง ส่วนเผยเฉียนก็อยู่ในห้องตลอดเวลา ไม่มีความเคลื่อนไหว เฉินผิงอันออกจากโรงเตี๊ยมไปเพียงลำพัง เดินเลียบทางหลวงไปยังเมืองหูเอ๋อร์ช้าๆ

เดินอยู่บนทางดินเหลืองที่เป็นหลุมเป็นบ่อไม่ราบเรียบ เฉินผิงอันมองไปทางทิศตะวันตกแวบหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับโรงเตี๊ยม

เขากับคนกลุ่มหนึ่งมาถึงนอกโรงเตี๊ยมแทบจะเวลาเดียวกัน อีกฝ่ายก็คือเจ้าประมุขสกุลเหยาที่ยังได้รับบาดเจ็บ แม่ทัพใหญ่เหยาเจิ้น เขาพาเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ตอนนั้นก็เป็นหนึ่งในคนที่ตกอยู่ในวงล้อมสังหารมาด้วย นอกจากนี้ก็มีเหยาหลิ่งจือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ที่ผ่านคลื่นมรสุมในโรงเตี๊ยมมากับตัว รวมไปถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมผ้าคลุมหน้า ด้านหลังคนเหล่านี้มีทหารม้าห้าหกนาย ไม่ใช่กองทหารม้าชายแดนของตระกูลเหยา แต่เป็นผู้ฝึกตนที่ติดตามกองทัพซึ่งไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อเกราะ คนบนภูเขาที่เข้าร่วมกองทัพเหล่านี้ หากอยู่ที่ต้าหลีน่าจะถูกเรียกว่าเลขาธิการฝ่ายบู๊

พอเห็นเฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียว แม่ทัพผู้เฒ่าที่สีหน้าอิดโรย แต่ยังยืนกรานจะมาเยือนโรงเตี๊ยมด้วยตัวเองก็รีบลงจากหลังม้า เดินเร็วๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน กุมมือคารวะพลางกล่าวว่า “สองครั้งที่ผู้ผดุงคุณธรรมให้ความช่วยเหลือ สกุลเหยาของข้าซาบซึ้งยิ่งนัก! วันนี้มาพบผู้มีพระคุณ ขอท่านโปรดรับการคารวะจากข้าเหยาเจิ้น!”

ผู้เฒ่าพูดจบก็โค้งตัวลงต่ำให้เฉินผิงอัน เฉินผิงอันได้แต่รั้งแขนของผู้เฒ่าเอาไว้ ไม่ให้อีกฝ่ายทำท่าคารวะที่ยิ่งใหญ่นี้

เพียงแต่ว่าแม้จะห้ามปรามเหยาเจิ้นไว้ได้ แต่ลูกหลานสกุลเหยาคนอื่นๆ รวมไปถึงผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับคนสกุลเหยากลับก้มลงคารวะเขาอย่างพร้อมเพรียงกันแล้ว

ผู้เฒ่าหน้าซีดขาว ใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพมานานทำให้เขามีนิสัยตรงไปตรงมา จึงถามเข้าประเด็นโดยตรงว่า “ไม่ทราบว่าต้องการให้ตระกูลเหยาของข้าตอบแทนเช่นไร?”

เห็นเฉินผิงอันไม่พูดไม่จา ผู้เฒ่าก็คลี่ยิ้มกล่าวว่า “หาใช่ดูแคลนน้ำใจและความมีคุณธรรมของคุณชายไม่ แต่บุญคุณยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หากสกุลเหยาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พวกเราก็คงไม่มีหน้าชูธงที่ด้านบนมีอักษรคำว่าเหยาไว้เหนือกองทัพชายแดนตระกูลเหยาอีกต่อไปแล้ว”

เฉินผิงอันจึงถามอย่างไม่เกรงใจ “แม่ทัพผู้เฒ่ามีวิธีช่วยให้ข้าหลบเลี่ยงหูตาของราชสำนักต้าเฉวียนจนกระทั่งเดินทางไปถึงยอดเขาเทียนแชวของชายแดนทางเหนือหรือไม่?”

เหยาเจิ้นถาม “กลุ่มของผู้มีพระคุณมีกันทั้งหมดกี่คน?”

เดิมทีเฉินผิงอันอยากตอบว่าหกคน แต่พอคำพูดมารอตรงปากแล้วก็รีบเปลี่ยนใหม่ว่า “ห้าคน”

เหยาเจิ้นทำท่าครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้ารับ “ได้! หากผู้มีพระคุณเชื่อใจสกุลเหยาก็รออยู่ที่นี่อีกสักสองสามวัน หลังจบเรื่องจะต้องทำให้กลุ่มของผู้มีพระคุณทั้งห้าไปถึงยอดเขาเทียนแชวทางทิศเหนือได้อย่างปลอดภัยแน่นอน”

เฉินผิงอันถาม “จะสร้างปัญหาให้พวกท่านหรือไม่?”

เหยาเจิ้นหัวเราะเสียงดังกังวาน “ปัญหาใหญ่เทียมฟ้ายังผ่านมันไปได้แล้ว ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่จะเป็นปัญหาได้อีกแล้ว”

ตอนที่แม่ทัพผู้เฒ่าพูดประโยคนี้ เขารู้สึกเบาสบายไปทั้งร่าง แม้ว่าบาดแผลจะสาหัส ขี่ม้ากระเด้งกระดอนมาตลอดทางก็ยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ แต่ระหว่างที่พูดคุยกันนี้ เขากลับรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก

เพียงแต่ว่าทุกคนที่อยู่ด้านหลังเหยาเจิ้นกลับมีสีหน้าหนักอึ้ง แฝงไว้ด้วยความไม่ยินยอมอย่างเข้มข้น

ดูเหมือนเหยาเจิ้นจะไม่ค่อยอยากเข้าไปในโรงเตี๊ยมสักเท่าไหร่ เขาจึงเสนอให้เฉินผิงอันเดินไปบนทางหลวงด้วยกัน เฉินผิงอันไม่ปฏิเสธ คนทั้งสองเดินห่างทุกคนไปสิบกว่าก้าวแล้ว เหยาเจิ้นถึงเปิดเผยความลับด้วยการพูดเบาๆ ว่า “ไม่กล้าโกหกผู้มีพระคุณ ข้ารบราฆ่าฟันมาทั้งชีวิต คราวนี้ฝ่าบาทมีพระราชานุญาตให้ข้าไปใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่เมืองหลวง รับตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหม สามารถพาคนในครอบครัวและข้ารับใช้ไปด้วยกันได้ร้อยกว่าคน ดังนั้นผู้มีพระคุณสามารถแฝงตัวอยู่ในกลุ่มของพวกเรา ข้าต้องใช้เวลาสองสามวันจัดหาสถานะที่เหมาะสมในกองทัพให้พวกเจ้าเสียก่อน บอกตามตรง คนร้อยกว่าคนนี้ ทางราชสำนักต้องไล่ตรวจสอบไปทีละคนอย่างละเอียดแน่นอน ดังนั้นอาจต้องทำให้พวกผู้มีพระคุณลำบากสักเล็กน้อย”

ผู้เฒ่ารู้สึกละอายใจ

เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้าตอบรับ

สามารถคุ้มครองผู้เฒ่าสกุลเหยาเดินทางไปส่งถึงเมืองหลวง เฉินผิงอันก็จะสบายใจด้วย

อันที่จริงประโยคแรกของผู้เฒ่าไม่ค่อยสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของวงการขุนนางเท่าใดนัก เข้าเมืองหลวงไปรับตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหมคือการโยกย้ายในระดับที่เสมอกัน ไม่ใช่การลดขั้นอะไร เพราะเจ้ากรมกลาโหมของราชวงศ์ต้าเฉวียนคือตำแหน่งขุนนางสำคัญที่แท้จริงในราชสำนัก คือเก้าอี้ที่แม่ทัพใหญ่หลายคนฝันใฝ่ว่าจะได้ครอบครอง เพียงแต่ว่าสำหรับเหยาเจิ้นแล้ว วันใดที่ต้องถอดเสื้อเกราะลงจากหลังม้าก็คือวันที่เขาปลดประจำการและพักผ่อนในชีวิตบั้นปลายแล้ว

อีกอย่างการที่ต้องไปจากชายแดนใต้ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตระกูลเหยาลงหลักปักฐานมาหลายรุ่นหลายสมัย ไปอาศัยอยู่เมืองเซิ่นจิ่งที่เป็นเมืองหลวงก็ถือเป็นการพลัดที่นาคาที่อยู่ ด้วยอายุของเหยาเจิ้น รวมไปถึงสถานะเสาเทพค้ำมหาสมุทร (เปรียบเปรยถึงคนสำคัญ คนที่เป็นที่พึ่งให้กับผู้อื่น) ทางทิศใต้ของต้าเฉวียน การกระทำนี้ของหลิวเจินฮ่องเต้ต้าเฉวียนจึงทำให้ทุกคนในราชสำนักต้องขบคิดกันอย่างหนัก

แต่ก็มีอยู่ข้อหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ ราชสำนักมีคำสั่งให้คุ้มครองคนตระกูลเหยา หรือควรจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่าฮ่องเต้ตัดสินใจแล้วว่าจะกระชากตระกูลเหยาออกจากน้ำวนลูกนี้ ประทานรางวัลโดยการให้เหยาเจิ้นได้รักษาตัวรอด มีโอกาสบำรุงรักษาสุขภาพยามชราก็ถือว่าเป็นจุดจบที่ไม่เลว

แม้ว่าระดับความดุเดือดในการแข่งขันระหว่างองค์ชายสกุลหลิวของต้าเฉวียนรุ่นนี้จะผิดไปจากปกติ ทว่าองค์ชายสามท่านในปัจจุบันนี้ ต่อให้จะเป็นองค์ชายใหญ่ที่อายุยังน้อยก็สามารถปกครองพื้นที่ทางเหนือได้แล้ว ก็ยังให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของตัวเองในราชสำนักอย่างมาก พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย เหยาเจิ้นที่อยู่ชายแดนจะแก่ตาย ป่วยตาย รบตายในสนามรบหรือตายอย่างเฉียบพลันก็ล้วนไม่ใช่เรื่องแปลก มีเพียงอย่างเดียวคือไม่สามารถตายอยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งที่อยู่ใต้ฝ่าพระบาทของโอรสสวรรค์ได้

เพราะมีข่าวลือว่าวิญญูชนคนหนึ่งของสำนักศึกษาต้าฝูที่มีประสบการณ์และความรู้เลิศล้ำ หลังจากออกจากสำนักศึกษาแล้วก็ได้ไปสอนหนังสืออยู่ที่เมืองเซิ่นจิ่งนานหลายปี

เหยาเจิ้นไม่ต้องการให้เฉินผิงอันคิดว่าการที่ทั้งสองฝ่ายเดินทางไปยังเมืองเซิ่นจิ่งด้วยกัน เพราะพวกเขาต้องการให้กลุ่มของเฉินผิงอันปกป้องตระกูลเหยาเดินทางขึ้นเหนือ จึงช่วยไล่เรียงเหตุการณ์ในราชสำนักต้าเฉวียน อธิบายถึงสภาพการณ์ของตระกูลเหยาในทุกวันนี้ให้เฉินผิงอันฟังอย่างละเอียด บอกให้เขารู้ว่าเหตุใดการเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ถึงเท่ากับว่าตระกูลเหยาได้หลุดพ้นจากสถานการณ์อันตราย และสาเหตุหนึ่งในนั้นก็มีทั้งความดีความชอบของวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาที่อยู่ในเมืองหลวงท่านนั้น และทั้งจากบารมีที่มองไม่เห็นของวิญญูชนหนุ่มที่อยู่ในโรงเตี๊ยม

เฉินผิงอันแทบไม่ได้พูดอะไร ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเขาที่ตั้งใจรับฟังคำอธิบายจากแม่ทัพผู้เฒ่า

เขาถามไปเพียงครั้งเดียว คือถามเรื่องเกี่ยวกับนักโทษที่องค์ชายสามคุมตัวไป

เดิมทีเหยาเจิ้นเป็นคนเข้มงวดจริงจัง ยึดมั่นในหลักปฏิบัติของบิดาและของขุนนางที่ซื่อสัตย์ยิ่งกว่าบัณฑิตที่คร่ำครึเสียอีก เพียงแต่ว่าเมื่อผ่านหายนะครั้งนี้มา เขาเสียความรู้สึกอย่างสุดซึ้ง ความคิดและการกระทำหลายอย่างจึงเปลี่ยนไป เรื่องวงในของต้าเฉวียนที่หากเป็นเมื่อก่อนต่อให้ตายก็คงไม่มีทางปริปากบอกใคร เวลานี้กลับหลุดจากปากเขาอย่างง่ายดาย คิดดูแล้วนอกจากความเสียใจแล้ว อันที่จริงผู้เฒ่าคงรู้สึกวางใจแล้วด้วย วางใจว่าจะสงบใจใช้ชีวิตในบั้นปลายแล้ว

การต่อสู้ระหว่างเจ้าเมืองจินหวงแห่งเป่ยจิ้นและเทพวารีทะเลสาบซงเจินในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็บาดเจ็บและล้มตาย ทำลายรากฐานชะตาแคว้นของเป่ยจิ้น ตอนนั้นในรถนักโทษสิบกว่าคันก็มีคันหนึ่งที่คุมขังเทพภูเขาอันดับหนึ่งแห่งเป่ยจิ้นที่มีระดับรองลงมาจากทวยเทพแห่งห้าขุนเขา องค์ชายสามวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานถึงเจ็ดแปดปี ใช้กองกำลังลับของราชวงศ์ต้าเฉวียนไปเป็นจำนวนมาก ขอแค่คุมตัวเจ้าเมืองเทพภูเขากลับไปได้สำเร็จ ในสายตาของคนเมืองเซิ่นจิ่ง นี่ถือเป็นคุณความชอบที่ยิ่งใหญ่ ไม่ต่างจากการที่แม่ทัพบู๊บุกเบิกพื้นที่พันลี้ น่าเสียดายก็แต่ทุกสิ่งที่ทำมาล้วนสูญเปล่า ทุกอย่างล้วนพังภินท์อยู่ในโรงเตี๊ยมของเมืองเล็กๆ ริมชายแดน หลี่หลี่ขันทีผู้ควบคุมกองทหารม้าตายไปแล้ว บุตรชายคนเดียวของเซินกั๋วกงก็ตายไปแล้ว ไปๆ มาๆ แผนการที่วางไว้อย่างยากลำบากตลอดสิบปี สุดท้ายก็แค่ได้หน้า แต่สูญเสียพลังภายใน

ท่ามกลางสีแห่งรัตติกาล คนทั้งสองเดินไปบนทางหลวงด้วยกัน เหยาเจิ้นพูดคุยไปเรื่อยเปื่อยอย่างสบายอารมณ์ เขามองเฉินผิงอันเป็นผู้มีพระคุณ และไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนเพราะอายุของเฉินผิงอัน

ในขณะที่เฉินผิงอันกับแม่ทัพผู้เฒ่าพูดคุยกันอยู่ข้างนอก

ในโรงเตี๊ยมกลับมีบรรยากาศแปลกประหลาด

จิ่วเหนียงยืนเอนพิงขอบประตู ผู้เฒ่าหลังค่อมดื่มเหล้ากาเล็กอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน บัณฑิตจงขุยนั่งอยู่บนธรณีประตู แหงนหน้ามองซีกหน้าด้านข้างของสตรีแต่งงานแล้ว

ตลอดทั้งโรงเตี๊ยมมีลูกค้าอยู่แค่โต๊ะเดียว สาวงามสะพายกระบี่ บุรุษพกดาบท่าทางน่าเกรงขาม บุรุษผอมบางที่บอกว่าตัวเองคอแข็ง แต่กลับไม่ยอมดื่มเหล้า พวกเขาสั่งอาหารสามอย่างจากทางโรงเตี๊ยม เด็กหนุ่มขาเป๋เองก็หิวมากเหมือนกัน เห็นว่ายังมีที่ว่างจึงนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับคนทั้งสาม แต่ไม่คีบกับข้าว เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าวสวยในถ้วย

เด็กหนุ่มขาเป๋คอยชำเลืองตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นระยะ

หน้าตาสะสวยกว่าเถ้าแก่เนี้ยะเยอะเลย บนโลกมีสตรีที่หน้าตางดงามขนาดนี้ได้อย่างไรกันนะ?

นางสะพายกระบี่ คงจะเป็นจอมยุทธ์หญิงในยุทธภพกระมัง

ไม่รู้ว่าวันหน้านางจะเดินทางผ่านโรงเตี๊ยมอีกหรือไม่ ถึงเวลานั้นเขาน่าจะเป็นพ่อครัวใหญ่แล้ว ไม่ต้องคอยกวาดพื้น เช็ดโต๊ะและยกน้ำชายกสุราอีกแล้ว

พอคิดถึงเรื่องนี้ เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าข้าวสวยในถ้วยไม่แย่ไปกว่าอาหารเลิศรสที่บัณฑิตจงขุยกล่าวถึงเลย

ตอนที่เฉินผิงอันกลับมาถึงโรงเตี๊ยม โรงเตี๊ยมก็ปิดแล้ว ชั้นหนึ่งเหลือแค่จงขุยที่รอปิดประตู

ปิดประตูเรียบร้อย จงขุยก็เป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เฉินผิงอันดื่มเหล้า แต่กลับไม่ชวนคุยอะไร ต่างคนต่างดื่ม ดื่มเสร็จแล้วจงขุยก็ปูผ้านอนหลังโต๊ะคิดเงิน เฉินผิงอันขึ้นไปพักบนชั้นสอง ก่อนจะจากกันจงขุยพูดกลั้วหัวเราะว่าเงินค่าเหล้าจะจดลงในบัญชี ตอนนั้นเฉินผิงอันรู้สึกระอาใจเล็กน้อย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดวิญญูชนแห่งลัทธิขงจื๊อที่มีตบะเลิศล้ำค้ำฟ้าถึงต้องมายืมจมูกคนอื่นหายใจ ใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นถึงขนาดนี้ เฉินผิงอันพบเห็นอะไรหลายอย่างตลอดการเดินทาง คนที่ถูกเรียกว่ายอดฝีมือ เขาเองก็รู้จักมาไม่น้อย แต่ไม่มีใครที่ไม่พิถีพิถันได้ถึงขนาดนี้ กุ้ยฮูหยินที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำ ชายฉกรรจ์กอดกระบี่คนเฝ้าประตูภูเขาห้อยหัว ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโอสถทองที่ตอนนั้นทำหน้าที่เป็นสารถีให้เขากับฟ่านเอ้อร์ อันที่จริงคนเหล่านี้ล้วนไม่มีนิสัยเรียบง่ายเป็นกันเองสักเท่าไหร่

และประโยคสุดท้ายที่จงขุยทิ้งไว้ก็คือ “เดินทางท่องอยู่ในยุทธภพ เงินหายาก ขี้กินยาก ขอแค่ไม่ใช่ใช้เงินกับกินขี้ ชีวิตก็สบายแล้ว”

ทางฝั่งของถนนทางหลวง คนตระกูลเหยาเดินห่างจากโรงเตี๊ยมไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ

มีม้าตัวหนึ่งเหยาะย่างอยู่เคียงข้างกับม้าของเหยาเจิ้น คือสตรีที่สวมผ้าคลุมหน้าคนนั้น เวลานี้นางเลิกผ้าคลุมหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงหน้างดงามมีเสน่ห์มาตั้งแต่กำเนิด น่าจะเป็นต้นตอหายนะของตระกูลเหยาที่จงขุยเคยพูดถึง แม้ว่าโฉมหน้าของนางจะงามเพริศพริ้ง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นมีประกายแห่งวสันตฤดูที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาตลอดทั้งปี แต่บุคลิกกลับเย็นชา

เพราะบาดเจ็บ ผู้เฒ่าจึงไม่ได้ควบม้าห้อทะยาน แม่ทัพผู้เฒ่าที่อยู่บนหลังม้ามาทั้งชีวิตผู้นี้เริ่มศิโรราบให้แก่ความชราขึ้นทุกทีแล้ว

หญิงสาวถามเสียงเบา “ท่านปู่ ทำไมถึงไม่เข้าไปเยี่ยมท่านน้าเก้าสักหน่อย? เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว ครั้งนี้ยังต้องเดินทางไปเมืองหลวง ไม่คิดจะพบหน้ากันสักครั้งเลยหรือ?”

เหยาเจิ้นส่ายหน้า “ช่างเถอะ”

หญิงสาวหันหน้ามองไปทางเด็กสาวพกดาบและเด็กหนุ่มที่เงียบงัน “ตอนนี้สภาพจิตใจของหลิ่งจือกับเซียนจือไม่ค่อยดีนัก”

เหยาเจิ้นยิ้มบางๆ กล่าวว่า “พวกเขาจะได้ไม่ต้องคอยคิดว่าตัวเองฝีมือเลิศล้ำเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไงล่ะ นี่เป็นเรื่องดี รอจนพวกเขาไปถึงเมืองเซิ่นจิ่งแล้วยังต้องลำบากอีกมาก”

หญิงสาวทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด

ผู้เฒ่าเงียบงันไปพักใหญ่ ก่อนกล่าวว่า “เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

นางถามอย่างอดไม่ไหว “ท่านปู่ ในใจท่านไม่คิดโทษท่านน้าเล็กและท่านน้าเขยเล็กสักนิดเลยหรือ?”

ผู้เฒ่าไม่ได้ตอบคำถามนี้

ท่ามกลางม่านราตรี ผู้เฒ่าพลันเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเจ้าพูดถึงความสุขุมนุ่มลึก ความเฉลียวฉลาดรู้จักวิเคราะห์ ความกล้าหาญตรงไปตรงมา คุณสมบัติเหล่านี้แยกเป็นอันดับที่เท่าไหร่บ้างแล้วนะ?”

แม้หญิงสาวจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านปู่ถึงพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ยังตอบคำถามว่า “แยกเป็นอันดับหนึ่ง สาม และสอง”

ผู้เฒ่าถามด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าผู้มีพระคุณคนนั้นมีคุณสมบัติอันดับที่เท่าไหร่?”

หญิงสาวส่ายหน้า “ข้าไม่กล้าวิจารณ์ผู้ที่มีพระคุณต่อพวกเราหรอก”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ หันหน้ามามองนางแล้วกล่าวว่า “จิ้นจือ เจ้าไม่ควรตามไปเมืองเซิ่นจิ่งด้วย ไม่ลองคิดดูอีกหน่อยหรือ? เสียใจตอนนี้ยังทันนะ”

นางที่มีชื่อว่าเหยาจิ้นจือคลี่ยิ้มกล่าว “ในเมื่อท่านหมอดูบอกแล้วว่า…”

ไม่รอให้นางพูดจบ เหยาเจิ้นก็ถลึงตาใส่นางเสียก่อน “ห้ามพูดนะ! วันหน้าไปถึงเมืองหลวงแล้วก็ยิ่งห้ามพูด!”

เหยาจิ้นจือหัวเราะเสียงพริ้วหวาน ดึงผ้าคลุมหน้าผืนบางลงมาบดบังดวงหน้าอีกครั้ง

สองวันต่อมา ทั้งโรงเตี๊ยมและเมืองหูเอ๋อร์ต่างก็สงบสุขไร้เรื่องวุ่นวาย

เด็กหญิงเผยเฉียนแทบจะไม่ได้ออกจากห้อง ต่อให้ออกมาหาของกินก็ยังจงใจหลบเลี่ยงเฉินผิงอัน

เวลาระหว่างนี้เฉินผิงอันนั่งดื่มเหล้าอยู่บนธรณีประตูเป็นเพื่อนจงขุย บัณฑิตบอกว่าเขาต้องคอยจับตามองเมืองหูเอ๋อร์แห่งนั้นเอาไว้ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุด เขาหวังให้ตัวเองได้มองจิ่วเหนียงทุกวัน

เฉินผิงอันถามเขาว่าทำไมถึงชอบจิ่วเหนียงขนาดนี้ จงขุยคิดอยู่นาน ก่อนจะอธิบายด้วยประโยคเดียวว่า ‘ผีล่อลวงใจ’

เฉินผิงอันเย้าถามเขาว่าชอบนางมากแค่ไหนกันแน่ จงขุยทอดถอนใจ บอกว่าก็แค่นั้นแหละ ชอบไม่มากเท่าไหร่ ดังนั้นในใจเขาถึงได้รู้สึกผิดต่อจิ่วเหนียงตลอดเวลา

เฉินผิงอันจนปัญญากับอีกฝ่ายจริงๆ

ช่างเป็นคนประหลาดนัก

ก่อนที่ขบวนเดินทางสู่เมืองหลวงของตระกูลเหยาจะมาถึงโรงเตี๊ยม สุยโย่วเปียนมาเคาะห้องเฉินผิงอัน บอกว่าใครบางคนฝากให้นางนำความมาบอกแก่เขา

คนทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกัน สุยโย่วเปียนเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า “หลังจากที่สะพานแห่งความเป็นอมตะถูกสร้างขึ้นใหม่ หากคิดจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนก็จำเป็นต้องหลอมสมบัติอาคมห้าชิ้นที่สอดคล้องกับธาตุทั้งห้าเพื่อชดเชยห้าธาตุ ยิ่งวัตถุที่เอามาหลอมมีระดับขั้นสูงเท่าไหร่ ตบะก็จะสูงตามเท่านั้น”

เฉินผิงอันถาม “ยกตัวอย่างเช่น?”

ดูเหมือนสุยโย่วเปียนจะคาดการณ์เอาไว้แล้ว หรือบางทีควรบอกว่าคนที่ให้นางนำความมาบอกได้คิดคำนวณมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว นางจึงตอบเฉินผิงอันด้วยคำพูดที่แทบจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม “ยกตัวอย่างเช่นธาตุทองของห้าธาตุ อาจจะเป็นเหรียญทองแดงแก่นทองถุงนั้นหรือหัวใจบุ๋นสีทองดวงนั้น หรือยกตัวอย่างเช่นไม้ของห้าธาตุ อาจเป็นไม้ไหวของถ้ำสวรรค์หลีจู หรืออาจเป็นไม้ไผ่ของภูเขาชิงเสิน น้ำของห้าธาตุสามารถเป็นตราประทับคำว่าน้ำชิ้นนั้น ดินของห้าธาตุก็อาจเป็นแท่นสังหารมังกร หรือไม่ก็ดินของห้าขุนเขาในราชวงศ์ต้าหลี ไฟของห้าธาตุก็อาจจะเป็นหินดีงูก้อนใดก้อนหนึ่ง หรืออาจจะเป็นมังกรเพลิงตัวหนึ่งบนข้อมือ”

สุดท้ายสุยโย่วเปียนกล่าวว่า “นี่เป็นเพียงแค่การ ‘ยกตัวอย่าง’ เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วจะหล่อหลอมวัตถุใด หล่อหลอมอย่างไร และหล่อหลอมเมื่อไหร่ก็ยังต้องให้คุณชายใคร่ครวญเอาเอง”

หลังจากส่งสุยโย่วเปียนออกจากห้องแล้ว เฉินผิงอันก็เริ่มฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลู

คืนวันนี้เขาสามารถหลับลึกด้วยท่านอนนิ่งเชียนชิวได้แล้ว เฉินผิงอันฝันประหลาดอย่างมาก ในความฝันมีคนผู้หนึ่งมาขวางอยู่เบื้องหน้าตน แขนทั้งสองข้างของเขาขาด เลื่อมท่วมไปทั้งตัว เขาค้อมตัวหันหลังให้เฉินผิงอัน ใช้ปากกัดด้ามดาบในแนวขวางด้วยท่าทางที่เหนือเกินกว่าจินตนาการของผู้คน

ตอนที่เฉินผิงอันลืมตาตื่นขึ้น เขาพยายามหวนนึกถึงความฝันนั้น แต่กลับจำได้แค่แผ่นหลังของคนผู้นั้นอย่างเลือนราง

และตอนที่เฉินผิงอันทอดตัวลงนอนบนเตียงกำลังเคลิ้มหลับ ห่างไปไกลนอกโรงเตี๊ยม หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กกำลังช่วยกันกลบเนินดินเล็กๆ สองคนนี้คือจงขุยและเผยเฉียน ฝ่ายแรกนั่งยองอยู่ตรงนั้น ฝ่ายหลังกำลังเติมดินลงไปในหลุมที่กลบเสร็จแล้วจนกลายเป็นเนินดินลักษณะคล้ายหลุมศพขนาดเล็ก อีกทั้งยังหาแผ่นหินบางๆ ชิ้นหนึ่งมาปักลงตรงหน้า ‘หลุมฝังศพ’ หลังจากทำงานใหญ่เสร็จแล้ว เด็กหญิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบดินก็หันมาพูดกับจงขุยด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจังว่า “นี่ก็คือหลุมฝังศพของเฉินผิงอัน วันนี้ของทุกปีนับจากนี้ไป พวกเราสองคนต้องมาเซ่นไหว้หนึ่งครั้ง!”

จงขุยกล่าวอย่างอัดอั้น “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

เผยเฉียนนั่งแปะลงไปบนพื้น ยกสองมือกอดอก เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “ก็ในใจของข้า เฉินผิงอันตายไปแล้วไงล่ะ!”

จงขุยร้องอ้อหนึ่งที “เมื่อเป็นเช่นนี้ เนินดินเล็กๆ นี่ก็สามารถเรียกได้ว่าหลุมอีกวนแล้ว” (หลุมอีกวนหรืออีกวนจ่งคือหลุมศพที่ฝังไว้เฉพาะเสื้อผ้าและสิ่งของของผู้ตาย ไม่ได้มีศพอยู่ภายใน ตั้งไว้เพื่อเป็นที่ระลึกเท่านั้น)

เผยเฉียนขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง?”

จงขุยเอาคางวางเท้าไว้บนแขน เหม่อมองหลุมศพน้อยและป้ายเล็กหน้าหลุมศพ แต่อันที่จริงหางตาคอยเหลือบมองดวงตาที่ใสกระจ่างคู่นั้นของเผยเฉียนอยู่ตลอดเวลา

บัณฑิตครุ่นคิดแล้วก็คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!