Skip to content

Sword of Coming 341

บทที่ 341 ตวัดพู่กันมีเทพช่วย

เฉินผิงอันนอนลงบนเตียง ฝันประหลาดนั้นคอยวนเวียนรบกวนจิตใจไม่จางหาย

คราวก่อนเขาอ่านหนังสือในความฝันตอนอยู่บนเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวา ไม่รู้ว่าคราวนี้จะมีความหมายที่ลึกซึ้งอะไรอีก หรือนี่จะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น เป็นตนที่สงสัยขี้ระแวงมากไป?

เฉินผิงอันลุกขึ้นนั่ง ในเมื่อนอนไม่หลับแล้ว เขาเลยลุกขึ้นมานั่งข้างโต๊ะแล้วเริ่มนับทรัพย์สมบัติของตัวเอง

ตอนกลางวันจิ่วเหนียงเอาข่าวที่แน่ชัดมาบอกให้รู้ว่า พรุ่งนี้ยามเช้าตรู่ ขบวนเดินทางสู่เมืองหลวงของตระกูลเหยาจะผ่านเมืองหูเอ๋อร์ ถึงเวลานั้นทั้งสองฝ่ายเดินทางไปยังเมืองเซิ่นจิ่งด้วยกัน จากนั้นจะแยกทางกันที่ท่าเรือแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงของเมืองหลวง กลุ่มของเฉินผิงอันจะเดินทางขึ้นเหนือต่อ เพื่อเข้าไปยังแถบภูเขาเทียนแชว แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นจัดหาสถานะไว้ให้พวกเขาสองแบบ การเดินทางล่างภูเขาในช่วงท้ายต่อจากนั้นก็จะราบรื่นไร้อุปสรรคเช่นกัน

เฉินผิงอันจุดตะเกียง วางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้บนโต๊ะ กระบี่บินสืออู่พุ่งออกมา เฉินผิงอันหยิบชุดคลุมอาคมจินหลี่ออกมาด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ทั้งเสียดายที่วัตถุของเซียนนอกมหาสมุทรชิ้นนี้ถูกทำลาย ยิ่งเสียดายเงินเหรียญหนึ่งที่ใช้ซ่อมแซมจินหลี่ เงินฝนธัญพืชถูกใช้ไปหมดแล้ว แล้วก็ไม่ใช่เงินร้อนน้อย ยิ่งไม่ใช่เงินเกล็ดหิมะ แต่เป็นเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่งในถุงเล็กที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้เป็นค่าตอบแทนเฉินผิงอันตอนอยู่นครมังกรเฒ่า

เฉินผิงอันลูบคลำชุดคลุมอาคมที่พับอย่างเป็นระเบียบแล้วถอนหายใจ

มิน่าเล่าคนถึงได้พูดกันว่าการฝึกตนคืองานที่ต้องกินภูเขาเงินภูเขาทอง ใครก็อย่าหวังจะพูดได้ว่าตัวเองมีเงินมากมายจนใช้ไม่หมด

แต่อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็ไพล่นึกไปถึงหลิวโยวโจวแห่งจวนหยวนโหรวของภูเขาห้อยหัว คาดว่าคนวัยเดียวกันที่บิดาคือเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีปผู้นี้ต่างหากที่มีคุณสมบัติพูดว่าตัวเองมีเงินมากจนเป็นทุกข์

จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบเงินเหรียญทองแดงแก่นทองถุงนั้นออกมาเทลงบนโต๊ะเบาๆ เงินเหรียญแล้วเหรียญเล่าทับซ้อนกันเป็นหอเรือนเล็กๆ สูงไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ หอเรือนนี้เล็กไปหน่อย เตี้ยไปหน่อย ไม่อย่างนั้นเขาคงดีใจมากกว่านี้

เงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่มีมูลค่าควรเมืองเหล่านี้ ไม่มีเงินก้งหย่างและเงินอิ๋งชุนแม้แต่เหรียญเดียว แต่เป็นเงินยาเซิ่งแบบเดียวกันทั้งหมด ด้านหน้าและด้านหลังแบ่งแยกกันสลักคำว่า ‘แคล้วคลาดปลอดภัย’ ‘ร่มเย็นเป็นสุข’ ตัวอักษรที่ใช้ไม่เหมือนกับเงินยาเซิ่งที่เฉินผิงอันเคยสัมผัสครั้งแรกตอนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู คิดดูแล้วการสร้างเหรียญเงินทุกๆ หกสิบปีคงมีการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่เฉินผิงอันอยู่ภูเขาห้อยหัว เขาเคยเรียนวิชาหล่อหลอมวัตถุที่มองดูเหมือนตื้นเขิน แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นวิธีดั้งเดิมที่ถูกต้องที่สุดมาจากบุรุษกอดกระบี่ ก่อนหน้านี้ตอนที่หลอมเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญนั้นใช้เวลาแค่หนึ่งถ้วยชา (ประมาณ 10 นาทีหรือ 14.4 นาที) เส้นใยแนวตั้งแนวนอนบนชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่เต็มไปด้วยรอยฉีกขาดเสียหายก็เหมือนกิ่งหลิ่วแตกหน่ออย่างมีชีวิตชีวา มหัศจรรย์อย่างยิ่ง

เฉินผิงอันคาดการณ์ว่าอย่างมากที่สุดเสื้อคลุมตัวนี้ต้องใช้เวลาสิบวันถึงจะสามารถกลับคืนมาเป็นปกติเหมือนเดิมได้ และยังมีเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดีอย่างหนึ่งเกิดขึ้น นั่นคือเฉินผิงอันค้นพบว่าลักษณะของมังกรทองหลายตัวที่อยู่บนชุดคลุมอาคมแปลกไปจากเดิม ก่อนหน้านี้แสงสีทองของไข่มุกเม็ดที่มังกรขนดตัวนั้นคาบเอาไว้และดวงตาของมังกรทองตัวเล็กสองตัวล้วนไม่เด่นชัดเท่าไหร่ แต่พอ ‘กิน’ เหรียญทองแดงแก่นทองเข้าไปเป็นอาหารก็เหมือนการแต้มนัยน์ตามังกร โดยเฉพาะปราณวิญญาณในไข่มุกสีทองเม็ดนั้นที่คล้ายจะเข้มข้นดุจน้ำ

การค้นพบนี้ทำให้เฉินผิงอันที่ไม่เคยยึดติดกับสมบัติอาคมหรือของวิเศษบนโลกก็ยังอดหวั่นไหวไม่ได้ เพราะระดับขั้นของชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนี้กำลังเพิ่มพูนเหมือนขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของพวกเว่ยเซี่ยนและจูเหลี่ยน ควรรู้ไว้ว่าเหนือสมบัติอาคมคืออะไร? อาวุธเซียน! ตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าที่ร่ำรวยที่สุดในทวีปสั่งสมทรัพย์สมบัติมานานนับพันปีก็ยังไม่เคยได้ครอบครองอาวุธเซียนที่แท้จริงมาก่อนแม้แต่ชิ้นเดียว

แต่เฉินผิงอันไม่ได้คาดหวังว่าจินหลี่จะต้องกลายเป็นชุดคลุมอาคมที่ระดับขั้นเทียบเท่ากับอาวุธเซียน ถึงอย่างไรก็มีแค่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจำเป็นต้องใช้เหรียญทองแดงแก่นทองกี่เหรียญ อีกอย่างตอนนี้ถ้ำสวรรค์หลีจูก็ไม่เหลืออยู่แล้ว จึงมีความเป็นไปได้มากว่าเหรียญทองแดงแก่นทองทั้งสามชนิดจะหายสาบสูญ ไม่มีปรากฏบนโลกอีกนับแต่นี้

ต่อให้โชคดีสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะได้สำเร็จก็ยังต้องหล่อหลอมสมบัติอาคมห้าธาตุอีกห้าชิ้น ใช้สี่คำว่ายากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์มาบรรยายก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าสำหรับเฉินผิงอันแล้ว อันที่จริงก็ถือว่ายังดี ก็แค่ฝึกหมัดครบหนึ่งล้านหมัดแล้วค่อยฝึกอีกหนึ่งล้านหมัดเท่านั้น ขอแค่มองเห็นเส้นทางใต้ฝ่าเท้าที่เดินไป รู้ว่าก้าวต่อไปของตัวเองควรจะขยับไปทางไหนก็พอแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าต้องไปไกลแค่ไหน เดินไปได้ยากเท่าไหร่ เขาไม่คิดถึงมันให้วุ่นวาย

เฉินผิงอันหยิบสิ่งของบางส่วนที่เก็บไว้นานแล้วออกมา

หัวใจบุ๋นสีทองที่เทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินมอบให้ เศษชิ้นส่วนร่างทองที่เหลือทิ้งไว้ในโลกมนุษย์หลังจากร่างของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มอดม้วย

แผ่นไม้ไผ่สีเขียวขจีที่มีต้นกำเนิดมาจากภูเขาชิงเสินหนึ่งกอง ซึ่งเกินครึ่งถูกเฉินผิงอันเอามาสลักบทกลอนและถ้อยคำไพเราะไว้จนเต็ม

หินดีงูก้อนที่นักพรตหญิงเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพมอบให้เขา

สุดท้ายเฉินผิงอันหยิบตราประทับตัวอักษรคำว่าน้ำที่อาจารย์ฉีแกะสลักด้วยตัวเองออกมาวางลงตรงกลางโต๊ะเบาๆ เฉินผิงอันฟุบตัวนอนคว่ำ สุภาษิตบอกว่าน้ำและภูเขาไม่แยกจากกัน ตราประทับอักษรภูเขาถูกทำลายในร่องน้ำเจียวหลง ตราประทับอักษรน้ำจึงดูโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด

เฉินผิงอันนั่งเหม่อ ความคิดหนึ่งพลันบังเกิดขึ้นมา นั่นคือระหว่างที่เดินทางจะหาโอกาสซื้อปิ่นหยกสีขาวสักอัน ต่อให้วัสดุจะธรรมดาก็ไม่เป็นไร หลังจากแกะสลักตัวอักษรแปดคำนั้นลงไปแล้วก็สามารถเอามาปักมวยผม ไม่ใช่เพื่อโอ้อวดอะไร แค่เพราะเขารู้สึกว่าการแต่งกายของตัวเองในทุกวันนี้ แม้ว่าจะไม่ได้สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็ต้องสวมชุดคลุมยาวสีเขียวปักปิ่นหยกอยู่ดี แม้ไม่ใช่บัณฑิต แต่ก็ลองแต่งกายให้คล้ายบัณฑิตดูได้ ถ้าอย่างนั้นเมื่อกลับไปถึงแจกันสมบัติทวีป ไปหาพวกหลี่เป่าผิงที่สำนักศึกษาซานหยาก็ไม่ต้องกังวลใจอีกแล้วว่าจะทำให้พวกเขาถูกเพื่อนร่วมชั้นดูแคลน

อ่านหนังสือมามากมาย ได้เห็นหลักการอริยะปราชญ์มาหลากหลาย แต่เฉินผิงอันก็ยังคงชอบอักษรแปดตัวนั้นมากที่สุดอยู่ดี

หวนคำนึงถึงวิญญูชน ผู้อ่อนโยนนุ่มนวลดุจหยก

เพียงแต่พอคิดถึงวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาที่ปูผ้านอนบนพื้นในโรงเตี๊ยม เฉินผิงอันก็เริ่มสงสัยใคร่รู้ว่าสำนักศึกษาต้าฝูเป็นอย่างไร หากไม่ใช่เพราะไม่สะดวกให้เดินทางล่าช้าอยู่ในใบถงทวีป เฉินผิงอันก็อยากจะไปเยือนสำนักศึกษาต้าฝูสักครั้งจริงๆ

เฉินผิงอันเก็บของทั้งหมดกลับเข้าไปในวัตถุฟางชุ่นทีละชิ้น

ตอนนั้นเพื่อสะสางบัญชีเก่าใหม่ทั้งสองครั้งให้สะอาดเอี่ยม นอกจากเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งถุงแล้ว เจิ้งต้าเฟิงยังมอบวัตถุจื่อชื่อในตำนานชิ้นหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน คือป้ายหยกแผ่นหนึ่ง ไม่มีตัวอักษรใดสลักไว้ เรียบง่ายแต่งดงามอย่างถึงที่สุด

เพียงแต่เฉินผิงอันเคยชินกับการสื่อสารกับกระบี่บินสืออู่ อีกทั้งเวลาใช้ก็คล่องมือ จึงไม่เคยแตะต้องวัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้น ของล้ำค่าที่แม้แต่เซียนดินก่อกำเนิดก็อาจจะไม่มีในครอบครองกลับถูกเฉินผิงอันเก็บซ่อนไว้แบบนี้

‘ซีเยว่’ เสื้อเกราะน้ำค้างหวานนำไปมอบให้เว่ยเซี่ยนใช้ชั่วคราว ดาบแคบหยุดหิมะก็ห้อยอยู่ที่เอวของหลูป๋ายเซี่ยง กระบี่ชือซินถูกสุยโย่วเปียนสะพายไว้ข้างหลัง

เชือกพันธนาการปีศาจสีทองที่ทำมาจากหนวดของเจียวเฒ่า หากไม่เป็นเพราะสีสันสะดุดตาเกินไป ไม่ว่าจะใช้กับจินหลี่ที่เวลาปกติเป็นสีขาวหิมะ หรือใช้กับชุดคลุมยาวสีเขียวที่ซื้อมาจากร้านค้าข้างทางก็ล้วนไม่เหมาะ ไม่อย่างนั้นก็สามารถเอามาใช้เป็นเข็มขัดรัดเอวได้

เก็บทรัพย์สมบัติมากมายไปแล้ว อารมณ์ของเฉินผิงอันก็ผ่อนคลาย สิ่งใดที่ช่วยคลายความกังวลให้เขาได้? มีเพียงเงินและสุราเท่านั้น

ลุกขึ้นยืน เดินไปเปิดหน้าต่าง พลันสัมผัสได้ว่าเผยเฉียนที่อยู่ห้องติดกันไม่มีความเคลื่อนไหว ผนังห้องของโรงเตี๊ยมเก็บเสียงได้ไม่ดีนัก เวลาที่เด็กหญิงนอนหลับมักจะส่งเสียงกรนเบาๆ เสมอ เฉินผิงอันนึกว่าเผยเฉียนทำเหมือนเมื่อก่อนคือพอตกกลางคืนก็กลายเป็นหนู แอบไปขโมยของกินในห้องครัว เพียงแต่หลังจากรอมาหนึ่งก้านธูปกลับได้ยินเสียงประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมเปิดและปิดลง เฉินผิงอันดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งครั้ง ไฟในตะเกียงก็มอดดับ เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงเผยเฉียนเดินขึ้นมาชั้นบน

รอจนห้องข้างๆ ปิดประตูลงแล้ว เฉินผิงอันถึงสงบใจลงได้ จุดตะเกียงใหม่อีกครั้ง หยิบหนังสือสามเล่มออกมาเปิดอ่าน

‘ตำราหมัดเขย่าขุนเขา’ ที่ถือว่ายืมกู้ช่านมาอ่าน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้

ตอนนี้บทความทั้งหลายในตำรา เฉินผิงอันล้วนท่องจำได้ขึ้นใจแล้ว เพียงแต่ว่านอกจาก ‘เชียนชิว’ นอนนิ่งของวิชาหมัดเขย่าขุนเขาที่เริ่มฝึกในช่วงนี้แล้ว เรื่องการเขียนยันต์และการฝึกวิชากระบี่ เมื่อเทียบกับก่อนหน้าที่จะจับผลัดจับผลูเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัวก็แทบจะไม่มีความก้าวหน้า เพราะไม่อาจแบ่งสมาธิไปสนใจได้จริงๆ เฉินผิงอันเชื่อว่าหลังจากนี้น่าจะเริ่มทดลองขยับพู่กันวาดยันต์ตาม ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่มีระดับสูงกว่ายันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจเล็กน้อยได้แล้ว ถ้ามีโอกาสคงสามารถวาดได้รวดเดียวเสร็จ

เฉินผิงอันอ่านหนังสือทั้งคืนจนถึงตอนเช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ได้ยินเสียงแสกสากเบาๆ จากห้องด้านข้าง ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ก็มีเสียงเคาะประตูดังมา เฉินผิงอันเก็บตำราทั้งสามเล่ม ลุกขึ้นไปเปิดประตู ผลคือเห็นเผยเฉียนที่แต่งตัวเรียบร้อยพร้อมออกเดินทาง อีกทั้งยังสะพายห่อสัมภาระมาด้วย ในมือนางถือไม้เท้าเดินป่า เงยหน้ายิ้มกว้างถามเขาว่า “พวกเราจะออกเดินทางไปเมืองเซิ่นจิ่งเมื่อไหร่?”

เฉินผิงอันถาม “บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เจ้าอยู่ที่โรงเตี๊ยม?”

รอยยิ้มของเผยเฉียนยังคงไม่แปรเปลี่ยน แกล้งโง่พูดต่อว่า “จะให้ข้าไปเรียกเจ้าเป๋น้อยลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้พวกเราไหม? กินข้าวอิ่มแล้วค่อยเดินทางจึงจะดี ได้ยินว่าเมืองหูเอ๋อร์ห่างจากเมืองหลวงต้าเฉวียนไปตั้งสองสามพันลี้ ไกลมากเลยนะ”

เฉินผิงอันกำลังจะพูด บัณฑิตตกอับที่กำลังอ้าปากหาวกลับมาปรากฏตัวตรงปากบันได เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างกายคนทั้งสอง จงขุยตบท้ายทอยเผยเฉียนหนึ่งที ถามเฉินผิงอันทั้งที่ยังสะลึมสะลือ “คนตระกูลเหยามาเช้าขนาดนี้เชียวหรือ? เหยาเจิ้นอยากเป็นเจ้ากรมกลาโหมขนาดนั้นเลยหรือไง”

เผยเฉียนที่อยู่ดีๆ ก็โดนตบอย่างไร้เหตุผลโมโหเดือด ยกไม้เท้าขึ้นมาเตรียมจะฟาดเข้าที่เอวของจงขุย แต่พอชำเลืองตาไปเห็นเฉินผิงอันก็รีบหยุดการกระทำลง ก้มหน้าบ่นเบาๆ “ในตำราว่าไว้ วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ เจ้าเป็นบัณฑิตได้อย่างไร สมควรแล้วที่จิ่วเหนียงไม่ชายตาแลเจ้า เจ้าเป๋น้อยพูดไม่ผิดเลย ใต้หล้านี้ก็มีแต่บัณฑิตยากจนอย่างพวกเจ้านี่แหละที่น่ารังเกียจที่สุด”

จงขุยไม่สนใจเสียงบ่นจากเด็กหญิง เอาฝ่ามือข้างหนึ่งกดหัวเผยเฉียนเอาไว้ พูดยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าพานางไปด้วยเถอะ ข้าไม่อยากทะเลาะกับนังหนูนี่ทุกวันหรอกนะ เสียสุขภาพจิตเกินไป เกรงว่าแม้แต่เหล้าบ๊วยก็คงไร้รสชาติ อีกอย่างเมืองหูเอ๋อร์ก็ไม่ค่อยสงบสุขนัก เจ้าทิ้งนางไว้ที่นี่จะผิดต่อความตั้งใจเดิมของตัวเองเอาได้” ”

เผยเฉียนรีบขยับตัวยืนให้ดี ยืดอกตั้ง ตามองจมูก จมูกมองใจ พยายามทำให้ตัวเองดูเรียบร้อยว่าง่ายที่สุด

เฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบทันที “ขอข้าคิดดูก่อน”

จงขุยพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ควรต้องคิดดูให้ดีจริงๆ นั่นแหละ”

เฉินผิงอันเดินลงจากชั้นสองแล้วออกไปเดินเล่นข้างนอก จงขุยเพิ่งจะเปิดประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม พวกจิ่วเหนียงสามคนก็ตื่นกันแล้ว แต่ละคนเริ่มลงมือเตรียมอาหารเช้า

คนสี่คนซึ่งรวมถึงจูเหลี่ยนเปิดประตูห้องบนชั้นสองออกมาแทบจะเวลาเดียวกัน

ทันใดนั้นบรรยากาศก็พลันครึกครื้น

ตอนที่เผยเฉียนเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกับจงขุย นางแอบกระตุกชายแขนเสื้อเขา รอจนเขาหันหน้ามาแล้ว เผยเฉียนถึงกล่าวเสียงอ่อยว่า “เดี๋ยวข้าจะไปพูดถึงเจ้ากับจิ่วเหนียงดีๆ บ้าง”

นี่เรียกว่าเขามอบผลท้อให้เรา เราตอบแทนกลับคืนด้วยผลหลีสินะ?

จงขุยชูนิ้วโป้งให้นาง “มีคุณธรรม!”

เฉินผิงอันเดินเตร็ดเตร่ไปได้หลายลี้ ทั้งไปและกลับต่างก็ใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวเดินไปบนถนนทางหลวงอย่างเชื่องช้า ทั้งสีหน้าและจิตใจล้วนปลอดโปร่งแจ่มใส

เขาหันไปมองเค้าโครงของเมืองหูเอ๋อร์ที่เห็นอยู่ไกลๆ อยู่หลายครั้ง

เฉินผิงอันเกือบจะข่มใจไม่ไหว อยากจะหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นนั้นออกมา ซึ่งก็คือยันต์ปราณหยางส่องไฟเพียงหนึ่งเดียวที่เขียนด้วยกระดาษยันต์สีทอง เพื่อเอามาตรวจสอบดูว่าที่เมืองหูเอ๋อร์แห่งนั้นมีเทพเจ้าท่านใดซุกซ่อนตัวอยู่กันแน่ หากเป็นฝีมือของปีศาจตบะแก่กล้า ยันต์ปราณหยางส่องไฟธรรมดาอาจไม่สามารถทำให้มันปราฎตัวได้ แต่การที่มีวิญญูชนจากสำนักศึกษาต้าฝูมาเฝ้าอยู่ที่นี่ แสดงว่าต้องไม่ใช่ ‘ปีศาจใหญ่ขอบเขตห้า’ อย่างในแคว้นไฉ่อีแน่นอน

เพียงแต่ว่าความคิดนี้เพิ่งจะบังเกิดขึ้นก็ถูกเฉินผิงอันล้มเลิกไปอย่างรวดเร็ว หากเรียกยันต์ปราณหยางส่องไฟสีทองแผ่นนั้นออกมา แล้วถ้ามีปีศาจใหญ่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองหูเอ๋อร์จริง การเผาไหม้ของยันต์เป็นทั้งการบอกเตือน ขณะเดียวกันก็เป็นการท้าทายอย่างหนึ่ง เฉินผิงอันต้องกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำเท่านั้นถึงจะหาปัญหาใส่ตัว อีกอย่างกระดาษยันต์สีทองแผ่นหนึ่งเป็นของหายาก ทุกวันนี้ใช้หมดไปแผ่นหนึ่งก็น้อยลงแผ่นหนึ่ง ไม่มีเหตุผลให้เขาต้องล้างผลาญแบบนั้น

พอเฉินผิงอันกลับไปถึงโรงเตี๊ยม นั่งลงบนธรณีประตู เขาก็รู้สึกปวดหัวเพิ่มกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

ที่แท้เผยเฉียนกับจงขุยนั่งอยู่บนโต๊ะตัวเดียวกัน จงขุยจิบเหล้าคำเล็กๆ กำลังตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอน เผยเฉียนก็รับฟังอย่างตั้งใจ สีหน้าเหมือนคนถูกเปิดสติปัญญาให้โล่งกว้าง

จงขุยถาม “รู้หรือไม่ว่าทำไมถึงต้องกล่าวว่า วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ?”

เผยเฉียนตอบ “ก็บัณฑิตต่อยตีกับคนอื่นไม่เป็นอย่างไรล่ะ”

จงขุยกดเสียงลงต่ำ พูดด้วยท่าทางลึกลับ “ความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้ก็คือ ขอแค่วิญญูชนขยับปาก อีกฝ่ายก็ซี้แหงแก๋ไปแล้ว”

เผยเฉียนสงสัย “วิญญูชนทะเลาะกับคนเก่งขนาดนี้เชียว ถึงขั้นด่าคนให้ตายได้เลยหรือ?”

จงขุยยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเหยียบบนม้านั่งตัวยาว ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ เขาเลิกคิ้วสูงบอกเป็นนัยให้เด็กหญิงรินเหล้าให้ตนก่อน ตนถึงจะบอกคำตอบ

เผยเฉียนเหลือกตาใส่อย่างรังเกียจ ชำเลืองตามองจงขุย บนใบหน้าเล็กๆ ที่ดำเกรียมของนางเขียนคำว่า ‘เจ้าคือหอมต้นไหน’ ไว้อย่างชัดเจน

จงขุยเองก็ไม่ขุ่นเคือง ยื่นนิ้วมาชี้หน้าเด็กหญิงที่ผิวดำเกรียมราวกับถ่านแล้วหัวเราะฮ่าๆ “เจ้านี่ไม่ยอมเสียเปรียบใครเลยจริงๆ”

เผยเฉียนกลับเป็นฝ่ายโมโหเสียเอง นางลุกขึ้นยืน เอื้อมตัวมาตีนิ้วข้างนั้นของจงขุย

จงขุยขยับตัวหลบเลี่ยง ยังคงชี้นิ้วใส่เผยเฉียน ส่วนเผยเฉียนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ปัดตบฝ่ามือข้างนั้นอยู่ตลอดเวลา

จิ่วเหนียงที่อยู่ตรงโต๊ะคิดเงินมองจงขุย ไม่ได้รู้สึกว่าการที่บุรุษตัวโตๆ คนหนึ่งมีจิตใจเป็นเด็กจะมีค่าพอให้สตรีหันมามองข้อดีของเขา

แต่ในเมื่อจงขุยเป็นแบบนี้ได้ ก็น่าจะไม่ใช่คนเลวร้ายสักเท่าไหร่

เผยเฉียนไม่เคยเจอบัณฑิตคนไหนไร้ยางอายเท่านี้มาก่อน นางเหนื่อยจนหอบดังฮักๆ กลับไปนั่งที่เดิม พูดเหน็บแนมว่า “ในเมื่อวิญญูชนร้ายกาจขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงยังพูดว่ายินดีล่วงเกินวิญญูชน แต่ไม่คิดล่วงเกินคนถ่อยเล่า?!”

จงขุยยิ้มบางๆ ตอบว่า “นั่นเป็นเพราะไม่ได้เจอกับข้า”

เผยเฉียนกระตุกมุมปาก “เจ้าแต่งเรื่องโกหกแล้วกระมัง หนังสือที่เจ้าอ่านจะมากกว่าท่านพ่อข้าได้หรือ?”

จงขุยตบหน้าตัวเอง ไร้คำพูดให้ตอบโต้ ท่าทางราวกับว่าไม่มีหน้าไปเจอเหล่าอาจารย์อริยะปราชญ์ที่รูปปั้นถูกตั้งบูชาบนแท่นบูชาอีกแล้ว “ถือว่าข้าแพ้แล้ว”

เฉินผิงอันเดินไปหาจิ่วเหนียง หยิบเงินที่เตรียมมาไว้นานแล้วออกมา คราวนี้จิ่วเหนียงไม่ได้ปฏิเสธ เงินเล็กน้อยแค่ยี่สิบสามสิบตำลึง ในเมื่อผู้มีพระคุณของสกุลเหยาตรงหน้าผู้นี้ยินดีมอบให้ นางก็ได้แต่รับเอาไว้ นางยิ้มจืดเจื่อนกล่าวว่า “คุณชายเฉิน เข้าเมืองหลวงคราวนี้ หวังว่าเจ้าจะช่วยข้าดูแลหลิ่งจือสักหน่อย นางมีนิสัยหยิ่งผยอง ไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นเท่าใดนัก ขอคุณชายช่วยโอนอ่อนผ่อนตาม ถือซะว่าข้าได้คืบจะเอาศอกแล้วกัน”

เฉินผิงอันพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็ยิ้มพลางยื่นมือออกมา

จิ่วเหนียงไม่เข้าใจ

เฉินผิงอันจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ค่าตอบแทนในการดูแลแม่นางเหยา หากไม่ถึงยี่สิบสามสิบตำลึงก็คงพูดยากแล้ว”

จิ่วเหนียงไม่เคยอารมณ์ดีอย่างนี้มาหลายปีแล้ว นางตบเงินลงบนฝ่ามือของเฉินผิงอันหนักๆ สตรีแต่งงานแล้วหัวเราะอย่างขำขันสุดขีด “โอ้โห คิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายจะเป็นคนทำการค้าที่ชาญฉลาดด้วย!”

เฉินผิงอันเก็บเงินไปจริงๆ เขาเอ่ยสัพยอกนางว่า “ออกเดินทางอยู่ข้างนอก จำเป็นต้องรู้จักคิดวิธีหาเงิน”

จงขุยหันหน้าไปมองจิ่วเหนียงกับเฉินผิงอันที่พูดคุยกันอย่างถูกคอ แล้วตะโกนใส่ทางห้องครัวเสียงดัง “เดี๋ยวพอยกอาหารเช้าขึ้นโต๊ะ อย่าลืมเอาน้ำส้มสายชูมาให้ข้าถ้วยหนึ่ง ต้องถ้วยใหญ่ด้วย!” (น้ำส้มสายชูในภาษาจีนมีความหมายอีกอย่างคือความหึงหวง ในภาษาจีนคำว่าหึงจะพูดว่าชือชู่ที่แปลว่ากินน้ำส้ม)

ทุกคนกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้นบนทางหลวงนอกโรงเตี๊ยม ยิ่งนานยิ่งชัดเจน

การจากลากำลังจะมาถึง

เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามหยั่งเชิงจงขุย “ช่วยเขียนโคลงคู่ให้ข้าสักแผ่นได้ไหม?”

เฉินผิงอันคิดว่าจะดีจะชั่วบัณฑิตตรงหน้าก็เป็นวิญญูชนคนหนึ่งของสำนักศึกษา คิดดูแล้วลายมือของอีกฝ่ายน่าจะงดงามมาก ให้อีกฝ่ายเขียนกลอนคู่ถือว่าเป็นสัญญาณการเริ่มต้นอันดีสำหรับเขา

ดวงตาจงขุยเป็นประกาย “จ่ายเงินไหม?”

จิ่วเหนียงหัวเราะอย่างฉุนๆ “ในสายตาเจ้ามีแต่เงินหรือไง?!”

จงขุยจึงวิ่งตุปัดตุเป๋ไปทางโต๊ะคิดเงิน ถูมือกล่าวอย่างขลาดๆ “จิ่วเหนียง พู่กันกับหมึกอยู่ไหนหรือ?”

จิ่วเหนียงตวัดค้อนใส่ “เจ้าเป็นคนคิดบัญชี หาเองไม่เจอรึไง?”

โรงเตี๊ยมมีพู่กันกับหมึกและกระดาษสีแดงว่างเปล่าที่ตัดเป็นแถบสำหรับใช้เขียนโคลงคู่อยู่แล้ว เพราะในอดีตเวลาถึงช่วงปีใหม่ล้วนเป็นผู้เฒ่าหลังค่อมที่ลงมือเขียนตัวเอง อีกทั้งยังเขียนสวยมาก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นน้องสามของเหยาเจิ้น แม้ว่าสกุลเหยาจะเป็นทหารชายแดนตระกูลใหญ่ แต่สำหรับเรื่องการแต่งกลอนเขียนบทความ สกุลเหยาก็ไม่เคยละเลย การเคลื่อนทัพจัดขบวนรบ การวางกลยุทธ์ทำสงคราม หากลูกหลานสกุลเหยาทุกคนเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่หยาบกระด้างจริงๆ ก็ไม่อาจรับหน้าที่เหล่านี้ได้

เฉินผิงอันบอกว่าไม่ต้องเตรียมพู่กันกับหมึก เขามี

ก่อนจะพูดประโยคนี้เขาแอบพลิกข้อมือเบาๆ หยิบเอาเหล็กหมาดหิมะออกมาจากวัตถุฟางชุ่นแล้ว

เผยเฉียนไปรับกระดาษแดงที่ใช้เขียนคำกลอนคู่มาอย่างประจบประแจง แล้วนำมาปูวางลงบนโต๊ะ

นางยังไม่ลืมเอ่ยกำชับจงขุยที่ยืนม้วนชายแขนเสื้ออยู่หน้าโต๊ะว่า “เจ้าต้องตั้งใจให้มากนะ เขียนให้ดีหน่อย วันหน้ายังต้องเอาไปแปะไว้บนผนังบ้านของข้า!”

พวกจูเหลี่ยนสี่คนต่างก็ขยับเข้ามาดู เพราะอยากรู้อย่างยิ่งว่าวิญญูชนท่านนี้จะเขียนอะไร

ส่วนเรื่องที่ว่าเฉินผิงอันไปเอาพู่กันมาจากไหน แล้วทำไมไม่ต้องใช้หมึกก็สามารถเขียนตัวอักษรได้ จิ่วเหนียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

หลังจากรับพู่กันมาแล้ว ลมปราณของจงขุยก็ลดตัวลงไปที่จุดตันเถียน สีหน้าเคร่งเครียด ตวาดเบาๆ หนึ่งที พู่กันที่จรดลงไปก็เหมือนมังกรว่ายวน เขียนตัวอักษรลงไปห้าตัว

ตัวอักษรที่เขาเขียนแค่เป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น ส่วนเรื่องท่วงทำนองหรือความมีชีวิตชีวาอะไรเทือกนั้น แทบไม่มีอยู่เลย

ตัวอักษรทั้งห้ามีเนื้อความว่า ‘จรดพู่กันสะเทือนลมฝน’

เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ตัวอักษรที่ควรมีในโคลงคู่ กลับเหมือนว่าพอจงขุยคว้าโอกาสที่หาได้ยากเอาไว้ได้ก็เลยพยายามจะโอ้อวดตัวตนบัณฑิตของตนมากกว่า

จูเหลี่ยนที่หลังโก่งงอพินิจตัวอักษรทั้งห้านั้นอย่างละเอียดพลางยิ้มตาหยี

สุยโย่วเปียนหันหน้าไปมองทางประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม อีกไม่นานคนตระกูลเหยาก็ใกล้จะถึงแล้ว

จิ่วเหนียงกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าเป๋น้อยไปหยิบไม้กวาดมา มีคนคันผิวอยากโดนฟาด”

จงขุยทำหน้าไร้เดียงสา “อย่านะ ข้าตั้งใจเขียนมากแล้วนะ หากไม่ได้จริงๆ ข้าจะเขียนอีกแผ่นแล้วกัน เงินค่ากระดาษกลอนคู่สองแผ่นนี้ เดี๋ยวข้าจ่ายให้เอง”

เฉินผิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม “ดีมากแล้ว เอาแผ่นนี้นี่แหละ เขียนอีกแค่ห้าตัวอักษรก็ใช้ได้แล้ว”

จิ่วเหนียงจ้องจงขุยเขม็ง ฝ่ายหลังรีบผลักเด็กหนุ่มขาเป๋ที่ท่าทางมีความสุขบนความทุกข์คนอื่นออกไป “ไปหยิบกระดาษในห้องอาจารย์เจ้ามาอีกแผ่นหนึ่ง ช่างเถอะ เอามาสองแผ่นเลยแล้วกัน หากจิ่วเหนียงไม่พอใจ ข้าจะได้แก้ใหม่”

จงขุยเขียนตัวอักษรท่อนหลังของกลอนคู่แผ่นแรกให้เสร็จก่อน คือประโยคว่า ‘กลอนเขียนสำเร็จ ผีและเทพร่ำไห้’

บางทีอาจรู้สึกว่าตัวเองเขียน ‘ใหญ่’ ไป จงขุยจึงหัวเราะแห้งๆ รอบหนึ่งแล้วหาทางลงให้กับตัวเองโดยการพูดว่า “ไม่ได้เขียนมานาน เลยเขียนได้ไม่ค่อยดี เขียนได้ไม่ค่อยดี ไม่ถึงครึ่งของฝีมือเวลาปกติเลย”

กลอนคู่อีกสองบทหลัง จงขุยเขียนอย่างมีกฎมีเกณฑ์ เหมาะแก่การนำไปใช้ในการเฉลิมฉลองอย่างมาก คือโคลงคู่ที่ถูกต้องเหมาะสม ไม่ได้ไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายอย่างกลอนแผ่นแรก

“ปีใหม่สุขสำราญ ฤดูใบไม้ผลิยาวนานตลอดไป”

หลังจากเขียนกลอนบทที่สองเสร็จ ตัวจงขุยเองก็พึงพอใจอย่างยิ่งยวด บอกว่าเนื้อหาในกลอนบทนี้คือบรรพบุรุษของกลอนคู่ทุกแผ่นทั่วหล้า

ส่วนกลอนบทที่สามนั้นจิ่วเหนียงพอใจมากที่สุด เพราะว่าเข้ากับสถานการณ์อย่างมาก คือคำว่าชาติรุ่งเรือง บ้านรุ่งเรือง บ้านเมืองรุ่งเรือง คนแก่ปลอดภัย คนเด็กสงบสุข ปวงประชาปลอดภัยสงบสุข

ต่อให้เป็นเผยเฉียนก็ยังรู้สึกว่าไม่เลวเลยทีเดียว ในที่สุดก็ยอมทำสีหน้าดีๆ ให้จงขุย

เฉินผิงอันเก็บกลอนคู่ทั้งสามแผ่นลงไปอย่างระมัดระวัง กุมหมัดขอบคุณจงขุย

จงขุยรับการคารวะจากเขาอย่างตรงไปตรงมา

คนทั้งสองสบตากัน

เฉินผิงอันเอ่ยเตือนอย่างจนใจ “พู่กัน”

จงขุยถาม “ข้าอุตส่าห์มอบกลอนคู่ที่งดงามเปี่ยมไปด้วยความมงคลให้เจ้าตั้งสามแผ่น เจ้าจะมอบพู่กันให้ข้าสักด้ามไม่ได้เลยหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้”

จงขุยยังคิดจะต่อรอง แต่สังเกตเห็นสีหน้ามืดทะมึนของจิ่วเหนียงเสียก่อน สีหน้านั้นเกรงว่าไม่ต้องให้เจ้าเป๋น้อยไปหยิบไม้กวาด นางอาจจะลงมือกวาดตนออกจากประตูไปด้วยตัวเองก็เป็นไป เขาจึงถอนหายใจหนึ่งครั้ง ส่งเหล็กหมาดหิมะให้กับเฉินผิงอันอย่างอาลัยอาวรณ์ พูดพึมพำว่า “คำว่าตวัดพู่กันดุจเทพช่วยที่สลักไว้บนด้ามมีวาสนากับข้ามากเลย เหมาะสมกันมากขนาดนี้ เจ้าเฉินผิงอันกลับเอาไม้ตียวนยางให้แยกจาก ช่างทำลายบรรยากาศยิ่งนัก”

เฉินผิงอันเก็บเหล็กหมาดหิมะที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้โดยไม่ได้จงใจจะปิดบัง ก่อนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มอบให้เจ้าไม่ได้จริงๆ”

เห็นสีหน้าน่าสงสารของจงขุย จิ่วเหนียงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องจ่ายเงินค่ากระดาษโคลงคู่แล้ว ไม่เพียงเท่านี้ เห็นแก่โคลงคู่สามแผ่น วันนี้เจ้าเอาเหล้าบ๊วยหมักห้าปีไปได้หนึ่งไห”

จงขุยยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งทันที

ทางหลวงนอกโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยฝุ่นผงที่ตลบคละคลุ้ง

เด็กสาวห้อยดาบเหยาหลิ่งจือและเด็กหนุ่มเหยาเซียนจือลงจากม้าพร้อมกัน เดินมาหยุดอยู่ตรงประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมเพื่อรอรับกลุ่มของเฉินผิงอัน

จิ่วเหนียงพูดประโยคหนึ่งกับเหยาหลิ่งจือว่าเดินทางระมัดระวัง แล้วก็เริ่มสะอึกสะอื้นอยู่ในลำคอ

เด็กสาวเองก็ตาแดง ก้มหน้าลงหมุนตัวกลับ ไม่ต้องการเห็นใบหน้ากลัดกลุ้มเป็นทุกข์ของมารดาตัวเองอีก

เหยาเจิ้นที่สวมชุดลำลองยืนอยู่ข้างรถม้าคันหนึ่ง ครั้งนี้ในขบวนของตระกูลเหยาที่เดินทางเข้าเมืองหลวง นอกจากเขาจะตั้งใจหารถม้าที่ว่างเปล่ามาสามคันแล้ว ยังเตรียมม้าสูงใหญ่ไว้ให้เฉินผิงอันอีกห้าตัว ม้าทุกตัวล้วนเป็นม้าศึกระดับหนึ่งในกองทัพของต้าเฉวียน ต่อให้เป็นลูกหลานคนร่ำรวยในเมืองหลวงก็ยังไม่อาจได้ครอบครอง

เหยาเจิ้นคิดไม่ถึงว่านอกจากเด็กหญิงผอมแห้งและหญิงสาวสะพายกระบี่ที่หน้าตางดงามอย่างถึงที่สุดแล้ว คนอื่นๆ อีกสี่คนซึ่งรวมถึงเฉินผิงอันด้วยต่างก็เลือกขี่ม้าเดินทางขึ้นเหนือ

สำหรับเรื่องนี้เหยาเจิ้นไม่มีความเห็นต่าง หลังจากทักทายเฉินผิงอันแล้ว แม่ทัพผู้เฒ่าก็กลับเข้าไปนั่งในห้องโดยสารรถม้าของตัวเอง ด้านในมีตำราพิชัยยุทธสิบกว่าเล่ม ล้วนเป็นตำราที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลเหยา หนังสือทุกเล่มเขียนคำอธิบายและข้อสรุปตามความเข้าใจของบรรพบุรุษตระกูลเหยาหลายท่านยามที่อ่านตำราเหล่านี้เอาไว้ และเป็นอย่างนี้แทบทุกหน้า

บางทีนี่ต่างหากถึงจะเป็นการสืบทอดอย่างมีระบบระเบียบของตระกูลสูงศักดิ์ ทำให้ควันธูปสืบเนื่องได้อย่างยาวนาน

คราวนี้เหยาเจิ้นพาลูกหลานสกุลเหยาไปด้วยแค่สามคน คนทั้งสามต่างก็อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน เหยาจิ้นจือที่นั่งอยู่ในรถม้าคันหนึ่งเพียงลำพัง เหยาเซียนจือและเหยาหลิ่งจือที่ขี่ม้าเคียงคู่กันอยู่ท้ายสุดของขบวน

ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพเจ็ดแปดคนกระจายตัวอยู่รอบๆ ขบวน

เหยาเจิ้นบอกกับเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมาว่า ในบรรดาผู้ฝึกตนเหล่านี้มีสองคนที่เป็นข้ารับใช้ลับๆ ของราชวงศ์ต้าเฉวียน หากไม่เป็นเพราะครั้งนี้ได้รับคำสั่งให้เข้าวัง แม้แต่แม่ทัพใหญ่ประจำชายแดนที่ระดับขั้นสูงสุดอย่างเขาก็ยังไม่มีอำนาจโยกย้ายผู้ฝึกตนสองคนนี้

ทหารม้าที่เหลืออีกหกสิบนายล้วนเป็นทหารเก่าแก่ที่เชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนูเป็นอย่างดี และยังมีคนในครอบครัวของทหารเก่าแก่เหล่านี้อีกเล็กน้อย คนส่วนใหญ่จะเป็นพวกพ่อบ้านหรือไม่ก็สาวใช้ในจวนตระกูลเหยา

เฉินผิงอันปะปนอยู่ในกลุ่มคน ขี่ม้าไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า

จูเหลี่ยนที่ต่อให้จะนั่งอยู่บนหลังม้าก็ยังคงอยู่ในท่าห่อไหล่หลังค่อม เมื่อหลังม้ากระเด้งกระดอนแกว่งซ้ายเอียงขวา เขาจึงมองดูเหมือนคนที่น่าเข้าใกล้และเรียบง่ายที่สุดในบรรดากลุ่มผู้ติดตามของเฉินผิงอัน

หลูป๋ายเซี่ยงกำลังหลับตาทำสมาธิ

เว่ยเซี่ยนที่อยู่ในกลุ่มทหารม้าเหมือนปลาที่ได้น้ำ เป็นธรรมชาติกลมกลืนมากที่สุด

ที่โรงเตี๊ยม จิ่วเหนียงจ้องมองขบวนเดินทางอยู่นานไม่ยอมดึงสายตากลับ

ผู้เฒ่าหลังค่อมนั่งยองสูบยาอยู่ตรงหน้าประตู ควันที่พวยพุ่งขึ้นมาบดบังใบหน้าแก่ชราที่ยับย่นของเขาเหมือนไอหมอกที่ลอยอวลอยู่เต็มร่องลึกระหว่างเทือกเขา

เด็กหนุ่มขาเป๋ปีนขึ้นไปบนหลังคา ทอดสายตามองไปไกล เพิ่งจะจากลาก็ทำให้เขาเริ่มคาดหวังที่จะได้พบกับพี่สาวสะพายกระบี่คนนั้นอีกครั้งในคราวหน้าแล้ว

จงขุยมาหยุดอยู่หน้าหลุมศพขนาดเล็ก ป้ายหินหน้าหลุมศพล้มคว่ำลงไปแล้ว แถมยังมีคนขุดดินเอาสิ่งของที่อยู่ในหลุมอีกวนออกไป

ก็เด็กนี่นะ ถึงอย่างไรก็ชอบเล่นสนุก

จงขุยลูบคลำศีรษะ หันหน้าไปมองขบวนเดินทางขนาดใหญ่แวบหนึ่งแล้วถอนสายตากลับ เอาสองมือไพล่หลัง เดินเตร็ดเตร่กลับไปที่โรงเตี๊ยมพลางพึมพำกับตัวเอง “ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือทะเลบูรพา แสงทองอร่ามตาส่องหมื่นลี้ ยามจันทราตกลงสู่ภูเขาทักษิณ เสียงวานรร้องครวญ น่าเสียดายที่ไม่คล้องจอง ไม่อย่างนั้นคงได้กลายเป็นบทกวีที่เลื่องลือไปทั่วหล้าแน่ๆ”

จงขุยครุ่นคิด ลังเลว่าจะไปที่เมืองหูเอ๋อร์สักรอบดีหรือไม่

อาจารย์ก็ขี้ขลาดไปหน่อย จะดีจะชั่วก็เป็นถึงเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝู อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดจากจวนของอริยะบางท่านในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง

แม้ว่าชื่อของจิ้งจอกเก้าหางตนนั้นจะอยู่บนสุดของหน้าสองในตำรา ‘บทชื่อที่แท้จริง’ ที่นายท่านผู้เฒ่าป๋ายเขียนไว้ แต่ในเมื่อตนรู้ชื่อจริงของนางแล้ว คิดจะให้นางตายก็แค่เอ่ยประโยคเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือ?

จงขุยสอดสองมือรองใต้ท้ายทอย ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า

ราวกับว่ายังมีลมฤดูใบไม้ร่วงโชยมาเป็นระลอกแล้วหมุนวนเป็นเกลียวอยู่ในชายแขนเสื้อสองข้างที่ชูขึ้นสูงของเขา

จงขุยที่เป็นเช่นนี้ สตรีแต่งงานแล้วที่อยู่ในโรงเตี๊ยมไม่เคยเห็นมาก่อน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!